https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร 2024-03-06T17:07:18+07:00 ศกร คุณวุฒิฤทธิรณ (Skorn Koonawootrittriron) [email protected] Open Journal Systems https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/258988 การประเมินความพร้อมต่อการทำเกษตรอัจฉริยะของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดปทุมธานี 2023-07-05T21:45:21+07:00 วีรชาติ สุขรัตนไชยกุล [email protected] พิชัย ทองดีเลิศ [email protected] พัชราวดี ศรีบุญเรือง [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์:</strong> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความพร้อมต่อการทำเกษตรอัจฉริยะของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดปทุมธานี ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโดยนำเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะเข้ามาใช้ในแปลงนา ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องของกรมการข้าว โดยมีจำนวนเกษตรกร 1,556 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวจังหวัดปทุมธานี จำนวน 319 คน <br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t–test และ F–test<br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 51.97 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า มีรายได้จากการปลูกข้าวเฉลี่ย 212,648.90 บาทต่อปี ประสบการณ์ในการปลูกข้าวเฉลี่ย 16.48 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่มีสถานะเป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ โดยมีจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดเฉลี่ย 24.67 ไร่ ถือครองที่ดินทั้งพื้นที่เช่าและพื้นที่ของตนเอง มีการใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกข้าว ประกอบด้วย การใช้เครื่องจักรกลการเกษตรในการปลูกข้าว และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว และการใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน พันธุ์ข้าวที่ปลูกมากที่สุดคือ ปทุมธานี 1 เกษตรกรปลูกข้าวตลอดปี ด้วยวิธีหว่านน้ำตม สำหรับความพร้อมต่อการทำเกษตรอัจฉริยะในทุกด้านภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 2.71)<br /><strong>สรุป:</strong> ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เกษตรกรที่มีปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลและสภาพการทำเกษตรต่างกันมีความพร้อมในการทำเกษตรอัจฉริยะแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และ 0.01 ภาครัฐจึงควรสนับสนุนงบประมาณในเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรต่อไป</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/259453 การประเมินความอุดมสมบูรณ์ดินด้วยแบบจำลองการประมาณค่าเชิงพื้นที่ของดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือในตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น 2023-06-23T14:55:48+07:00 วรัมพร วงษ์วรภาส [email protected] เสาวนุช ถาวรพฤกษ์ [email protected] ณัฐพล จิตมาตย์ [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> การประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือในพื้นที่ขนาดใหญ่มีข้อจำกัดด้านเวลา กำลังคน และงบประมาณในการวิเคราะห์ดิน การใช้แบบจำลองการประมาณค่าเชิงพื้นที่ร่วมกับการทำแผนที่ดิจิทัล เพื่อประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการคาดการณ์สมบัติดิน ติดตามระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือเชิงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นฐานข้อมูลสำหรับการจัดการดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือได้อย่างเหมาะสม แต่ยังขาดการพัฒนาแบบจำลองให้มีความแม่นยำและถูกต้อง การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประมาณค่าเชิงพื้นที่ด้วยแบบจำลอง Random Forest (RF) เพื่อการคาดการณ์การกระจายของสมบัติดิน และประเมินความอุดมสมบูรณ์ดินในพื้นที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือในกลุ่มดินย่อย Typic Natraqualfs ในตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>เก็บตัวอย่างดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือ กลุ่มดินย่อย Typic Natraqualfs ในตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 100 บริเวณ โดยเก็บตัวอย่างดินที่ระดับความลึก 0–30 เซนติเมตร และวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ ความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออน ค่าร้อยละความอิ่มตัวเบส และค่าการนำไฟฟ้าของสารละลายที่สกัดจากดินอิ่มตัวด้วยน้ำกลั่น (EC<sub>e</sub>, อีซีอี) และนำเข้าตัวแปรเหล่านี้ในแบบจำลองการประมาณค่าเชิงพื้นที่เพื่อคาดการณ์การกระจายเชิงพื้นที่ของสมบัติดิน ร่วมกับตัวแปรทำนาย คือ แบบจำลองระดับความสูงเชิงเลข (DEM) และข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 8 แล้วทำการประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ดินในพื้นที่ศึกษา<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>แบบจำลอง RF สามารถคาดการณ์การกระจายเชิงพื้นที่ของสมบัติดินได้ดีด้วยค่าสัมประสิทธิ์ของการตัดสินใจ (R<sup>2</sup> = 0.41–0.82) แต่แบบจำลองมีค่าความคลาดเคลื่อนสูงในการประมาณค่าปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ ปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ และอีซีอี ผลการประเมินความอุดมสมบูรณ์ดินที่ระดับความลึก 0–30 เซนติเมตร พบว่า กลุ่มดินย่อย Typic Natraqualfs ในพื้นที่การศึกษามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในช่วงระดับต่ำถึงปานกลาง<br /><strong>สรุป: </strong>แบบจำลอง RF มีความแม่นยำในระดับที่สามารถนำไปใช้ในการคาดการณ์การกระจายเชิงพื้นที่ของสมบัติดินเบื้องต้น และสามารถใช้ประเมินความอุดมสมบูรณ์ดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/257905 การชักนำการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยาของบัวบกสายพันธุ์พื้นเมืองของไทยด้วยรังสีแกมมาแบบเฉียบพลัน 2023-05-11T09:52:13+07:00 น้ำฝน ชาชัย [email protected] บัณฑิตา เพ็ญสุริยะ [email protected] มนัสชนก เกตกลางดอน [email protected] พงศกร นิตย์มี [email protected] พงษ์ศักดิ์ แก้วศรี [email protected] สุรสิทธิ์ วงษ์สัจจานันท์ [email protected] ภัทรา ประทับกอง [email protected] เรวัตร จินดาเจี่ย [email protected] จรรยา มุ่งงาม [email protected] ปราโมทย์ ไตรบุญ [email protected] จักรกฤษณ์ ศรีแสง [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>บัวบกเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อนชื้นทั่วโลก จัดเป็นพืชสมุนไพร 1 ใน 5 สุดยอดพืชสมุนไพรของไทย บัวบกมีสารสำคัญประกอบด้วยเอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) เอเชียติคแอซิด (Asiatic acid) มาเดคาสโซไซด์ (Madecassoside) และมาเดคาสซิกแอซิด (Madecassic acid) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชักนำเมล็ดบัวบกสายพันธุ์พื้นเมืองให้เกิดการกลายพันธุ์ด้วยรังสีแกมมาแบบเฉียบพลันและศึกษาความแปรปรวนทางพันธุกรรมของบัวบกสายพันธุ์พื้นเมืองหลังได้รับรังสีรุ่นที่ M<sub>1</sub>V<sub>2</sub> เพื่อใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมในโครงการปรับปรุงพันธุ์บัวบก<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>ฉายรังสีแกมมาแบบเฉียบพลันให้เมล็ดบัวบก จำนวน 6 ระดับ ตามแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ เพาะเมล็ดที่ผ่านการฉายรังสีเพื่อศึกษาการ<br />กระจายตัวของลักษณะสัณฐานวิทยาบัวบกสายพันธุ์พื้นเมืองหลังได้รับรังสี (รุ่น M<sub>1</sub>V<sub>2</sub>) วิเคราะห์ค่าความแปรปรวนที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันของลักษณะการเจริญเติบโต<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ปริมาณรังสีที่ทำให้การงอกของเมล็ดบัวบกลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ (LD<sub>50</sub>) อยู่ที่ระดับ 162.51 เกรย์ ปริมาณรังสีแกมมาสามารถเปลี่ยนแปลงสัณฐานวิทยาของบัวบก ปริมาณรังสีแกมมาที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความสูงต้น ความยาวก้านใบ และความยาวไหลลดลง แต่ทำให้จำนวนใบ ความกว้างใบ ความยาวใบ และจำนวนไหลเพิ่มขึ้นเมื่อปลูกทดสอบที่อายุ 90 วัน นอกจากนี้ การกระจายตัวของลักษณะทางสัณฐานวิทยาของบัวบกรุ่นที่ M<sub>1</sub>V<sub>2</sub> ที่อายุ 60 วันหลังย้ายปลูก พบว่า มีความแปรปรวนทางสัณฐานวิทยาค่อนข้างสูงในทุกลักษณะ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของลักษณะสัณฐานวิทยาของบัวบกรุ่นที่ M<sub>1</sub>V<sub>2</sub> ที่อายุ 60 วันหลังย้ายปลูก พบว่า ความสูงต้นของบัวบกมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงกับความยาวใบ (0.487) ความกว้างใบ (0.415) และความยาวก้านใบ (0.708)<br /><strong>สรุป: </strong>รังสีแกมมาแบบเฉียบพลันสามารถกระตุ้นให้เกิดความแปรปรวนทางสัณฐานวิทยาของเมล็ดพันธุ์บัวบกพื้นเมืองได้ แต่ไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงปริมาณร่วมในการพิจารณาคัดเลือกสายพันธุ์กลาย ซึ่งการชักนำด้วยรังสีแกมมาสามารถสร้างความแปรปรวนของบัวบกเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ได้ต่อไป</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/259374 ประสิทธิภาพสารสกัดหยาบแห้วหมู (Cyperus rotundus L.) ในการควบคุมหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (Spodoptera frugiperda (J.E. Smith)) ในสภาพห้องปฏิบัติการ 2023-07-24T17:08:57+07:00 คริษฐ์ ปัจฉิมนันท์ [email protected] วันชัย ปลื้มภานุภัทร [email protected] ลลิตา พิมสว่าง [email protected] วสกร บัลลังก์โพธิ์ [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์:</strong> หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (<em>Spodoptera frugiperda </em>(J.E. Smith)) เป็นแมลงอยู่ในวงศ์ Noctuidae ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ เนื่องจากสามารถกินพืชอาหารได้หลากหลายชนิด จึงสร้างความเสียหายกับผลผลิตทางการเกษตรได้หลากหลาย ทั้งนี้ การใช้สารเคมีกำจัดแมลงในการควบคุมนิยมใช้เป็นวิธีหลักในการควบคุมหนอนชนิดนี้ ปัจจุบันพบปัญหาหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดพัฒนาเพื่อต้านทานต่อสารกำจัดแมลงมากมาย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าแห้วหมูและศึกษาผลกระทบต่อการพัฒนาในหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในห้องปฏิบัติการ<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> สารสกัดหยาบจากหญ้าแห้วหมูถูกสกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอธิลอะซิเตต และเมทานอล ตามลำดับ จากนั้น นำมาศึกษาความเป็นพิษและศึกษาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดวัย 2 ในห้องปฏิบัติการเมื่อรับสารโดยวิธีสัมผัสจากด้านบน<br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> สารสกัดหยาบจากไดคลอโรมีเทนมีฤทธิ์การออกฤทธิ์ในการกำจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดดีที่สุด โดยมีค่า LD<sub>50</sub> เท่ากับ 4.58 ไมโครกรัมต่อตัว และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดมากที่สุด โดยสามารถทำให้เกิดความผิดปกติของการพัฒนาการเพื่อเป็นตัวเต็มวัยได้ โดยหนอนที่รับสารจะไม่สามารถหดตัวและลอกคราบกลายเป็นดักแด้<br /><strong>สรุป:</strong> สารสกัดจากแห้วหมูมีประสิทธิภาพที่สามารถควบคุมหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดในห้องปฏิบัติการได้และอาจนำมาใช้ทดแทนสารเคมีเพื่อควบคุมหนอนชนิดนี้ได้ในอนาคต</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/259609 ผลของความร้อนในการกำจัดเชื้อไวรัส Cymbidium mosaic virus ในระยะโปรโตคอร์มไลค์บอดี้ของกล้วยไม้สกุลหวายพันธุ์ขาวสนาน 2023-08-15T13:50:46+07:00 วงศกร เสือสืบพันธ์ [email protected] ดวงพร บุญชัย [email protected] เฌอมาลย์ วงศ์ชาวจันท์ [email protected] พัชรียา บุญกอแก้ว [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> <em>Cymbidium mosaic virus</em> (CymMV) คือเชื้อไวรัสที่เป็นปัญหาสำคัญในการปลูกและส่งออกกล้วยไม้สกุลหวายของไทย ต้นที่ติดเชื้อมีการเจริญเติบโตและออกดอกลดลง การใช้ต้นพันธุ์ปลอดเชื้อไวรัสเพื่อปลูกทดแทนจึงเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดเชื้อไวรัส CymMV ใน protocorm-likes bodies (PLBs) ของกล้วยไม้สกุลหวายพันธุ์ขาวสนานด้วยความร้อนบำบัด<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>คัดเลือก PLBs ขนาด 5 มิลลิเมตร ที่ได้จากหน่ออ่อนของต้นที่ติดเชื้อไวรัส CymMV ซึ่งเลี้ยงในอาหารกึ่งแข็งสูตร Vacin and Went ดัดแปลง ที่เติมน้ำมะพร้าว 15 เปอร์เซ็นต์ และน้ำตาลทราย 2 เปอร์เซ็นต์ แผนแบบการทดลองสุ่มสมบูรณ์ แบ่งเป็น 2 การทดลอง คือ 1) ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 37 ± 2 องศาเซลเซียส นาน 5 7 และ 10 วัน และ 2) ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 10 20 และ 30 นาที เปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่ไม่ได้ผ่านความร้อน (เลี้ยงในสภาพอุณหภูมิ 25 ± 2 องศาเซลเซียส) หลังได้รับความร้อนทั้ง 2 วิธี ย้าย PLBs ไปเลี้ยงในอาหารเหลวสูตร VW ดัดแปลง เป็นเวลา 6 สัปดาห์<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> PLBs ทนต่ออุณหภูมิที่ 37 ± 2 องศาเซลเซียส ได้ไม่เกิน 7 วัน มีการรอดชีวิต 70 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวนเฉลี่ย 16.40 ชิ้น และน้ำหนักสดเฉลี่ย 2.00 กรัม ซึ่งไม่แตกต่างกับชุดควบคุม (P &gt; 0.05) ส่วนความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ทนได้นาน 20 นาที มีการรอดชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวน PLBs เฉลี่ย 22.50 ชิ้น ซึ่งไม่แตกต่างจากชุดควบคุม (P &gt; 0.05) แต่มีน้ำหนักสดเฉลี่ย (2.23 กรัม) น้อยกว่าชุดควบคุม (4.81 กรัม) อย่างมีนัยสำคัญ (P &lt; 0.01) ทั้ง 2 วิธี ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัส CymMV ใน PLBs ได้ หลังจากการตรวจสอบด้วยวิธี RT-PCR<br /><strong>สรุป: </strong>การใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 37 ± 2 องศาเซลเซียส และ 70 องศาเซลเซียส ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัส CymMV ใน PLBs ได้ ต้องศึกษาเพิ่มเติมหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/257956 การคาดการณ์ผลผลิตข้าวในประเทศไทยด้วยแบบจำลอง AquaCrop 2023-06-20T13:37:34+07:00 ยุทธศาสตร์ อนุรักติพันธุ์ [email protected] พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ [email protected] ปรางทิพย์ อุนจะนำ [email protected] พาฝัน อภิปริญญา [email protected] <p><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์:</strong> ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญแต่การเผชิญภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภัยแล้ง และน้ำท่วม สร้างความเสียหายต่อผลผลิตเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อคาดการณ์ผลผลิตข้าวในอนาคต ให้เกษตรกรสามารถเตรียมความพร้อมต่อการปรับตัวในการทำเกษตรกรรม<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากเกษตรกรปี พ.ศ. 2562 เป็นปีฐาน นำไปวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลสภาพภูมิอากาศรายวัน จำนวน 6 พารามิเตอร์ ได้แก่ อุณหภูมิสูงสุด-ต่ำสุด ปริมาณน้ำฝน ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ และรังสีดวงอาทิตย์ ข้อมูลการจำลองสภาพภูมิอากาศในอนาคตจากแบบจำลอง PRECIS และข้อมูลการจำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Special Report Emissions Scenarios: SRES) แบบการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก (A2) และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (B2) พร้อมทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยวิธี Least Significant Difference (LSD) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และทดสอบประสิทธิภาพความถูกต้องของแบบจำลอง AquaCrop ด้วยการคำนวณค่าเฉลี่ยของเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน (Mean Absolute Percent Error; MAPE) ที่เปรียบเทียบผลผลิตจริงและผลผลิตที่คาดการณ์ด้วยแบบจำลองในปี พ.ศ. 2563 และ 2564 พบว่ามีค่าเฉลี่ย MAPE -0.10% ในรูปแบบ A2 และ -0.04% ในรูปแบบ B2 โดยค่าที่ต่ำแสดงถึงความแม่นยำสูง<br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> ปีฐานมีผลผลิตข้าวเฉลี่ย 562.24 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อนำมาคาดการณ์ผลผลิตข้าวทั้งในรูปแบบ A2 และ B2 ปี พ.ศ. 2573 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ได้ผลผลิตเฉลี่ย 646.00 และ 600.77 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับปี พ.ศ. 2603 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้ผลผลิตเฉลี่ย 668.95 และ 669.16 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ซึ่งทุกคู่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05)<br /><strong>สรุป:</strong> ผลผลิตข้าวในอนาคตที่ได้จากการคาดการณ์ด้วยแบบจำลอง AquaCrop มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีฐาน โดยข้อมูลการเพิ่มขึ้นและลดลงของผลผลิตข้าวที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวและวางแผนการทำเกษตรกรรมในอนาคต รวมถึงการจัดการพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการปลูกข้าวของเกษตรกรต่อไป</p> 2024-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร