https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร 2025-10-06T18:34:07+07:00 ศกร คุณวุฒิฤทธิรณ (Skorn Koonawootrittriron) thaiagrisci@gmail.com Open Journal Systems https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/264221 อิทธิพลของการพรางแสงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและผลผลิตมะเขือเทศเชอรี่ในโรงเรือน 2024-08-31T12:51:49+07:00 พีรดา ทองเย็น th.phirada@gmail.com วันทนีย์ เทวธรรมนาถ wanthanee.t@ku.th ปริยานุช จุลกะ agrpnc@ku.ac.th จุติภรณ์ ทัสสกุลพนิช jutiporn.thu@ku.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ปัจจุบันมีการปลูกมะเขือเทศเชอรี่ในโรงเรือนเพื่อลดปัญหาโรคและแมลง แต่การปลูกพืชในโรงเรือนอาจประสบปัญหาความเข้มแสงสูง การพรางแสงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการพรางแสงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและผลผลิตมะเขือเทศเชอรี่ในโรงเรือน<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ทรีตเมนต์ ได้แก่ ไม่พรางแสง และพรางแสง 10 เปอร์เซ็นต์ ทำการทดลอง 5 ซ้ำ/ทรีตเมนต์ ในมะเขือเทศเชอรี่ 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์โทนี่ TA 104 และพันธุ์สวีทบอย 1 วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างทรีตเมนต์ด้วยวิธีStudent’s <em>t</em>-test (P &lt; 0.05)<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>การพรางแสงทำให้จุดชดเชยแสงและจุดอิ่มแสงของมะเขือเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การพรางแสงยังเพิ่มอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงสุทธิ ค่าการนำไหลปากใบ และอัตราการคายน้ำของพันธุ์โทนี่ TA 104 อย่างมีนัยสำคัญ แต่การพรางแสงลดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงสุทธิในพันธุ์สวีทบอย 1 การพรางแสงมีแนวโน้มทำให้น้ำหนักผลของพันธุ์สวีทบอย 1 ลดลงแต่ไม่มีผลต่อน้ำหนักผลของพันธุ์โทนี่ TA 104 นอกจากนี้ การพรางแสงมีแนวโน้มเพิ่มปริมาณไลโคปีนในพันธุ์โทนี่ TA 104<br /><strong>สรุป: </strong><span style="font-weight: 400;">การพรางแสงไม่มีผลต่อปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้และปริมาณวิตามินซีในมะเขือเทศเชอรี่ทั้งสองพันธุ์ ดังนั้น การพรางแสงส่งผลต่อการตอบสนองทางสรีรวิทยาแต่ไม่สามารถเพิ่มผลผลิตของมะเขือเทศเชอรี่อย่างมีนัยสำคัญ</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/264180 ผลของระยะเวลาในการฉายพลาสมาแบบไดอิเล็กทริคแบริเออร์ดิสชาร์จต่อการเจริญเติบโต สารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านไกลเคชั่นในผักบุ้ง 2024-08-27T12:00:31+07:00 ประภาสิริ องค์รักษ์ prapasiri1994@gmail.com นพพร พูลยรัตน์ noppornp@tint.or.th เยาวพา จิระเกียรติกุล yjirakia@tu.ac.th ภาณุมาศ ฤทธิไชย panumart@tu.ac.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์: </strong>พลาสมาแบบไดอิเล็กทริคแบริเออร์ดิสชาร์จ (DBD พลาสมา) เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ใช้ความร้อนและสารเคมี ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและสารพฤกษเคมีของพืช ผักบุ้งเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนเภสัชสูงจึงสามารถพัฒนาไปเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระยะเวลาการฉาย DBD พลาสมาต่อการเจริญเติบโต ปริมาณสารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านไกลเคชั่นในผักบุ้ง<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย: </strong>วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 5 ทรีตเมนต์ 3 ซ้ำ โดยนำเมล็ดผักบุ้งมาผ่านการฉาย DBD พลาสมาเป็นเวลา 5 10 15 และ 20 นาที เปรียบเทียบกับเมล็ดไม่ผ่านการฉายพลาสมาเป็นทรีตเมนต์ควบคุม จากนั้น นำมาปลูกและเก็บเกี่ยวที่อายุ 20 วันหลังเพาะเมล็ด บันทึกการเจริญเติบโต สารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านไกลเคชั่น<br /><strong>ผลการวิจัย: </strong>เมล็ดผ่านการฉาย DBD พลาสมาเป็นเวลา 10 นาที ให้ต้นที่มีน้ำหนักสดและแห้งสูงที่สุด ต้นผักบุ้งจากเมล็ดที่ผ่านการฉาย DBD พลาสมา เป็นเวลา 5–20 นาที มีปริมาณคลอโรฟิลล์บี คลอโรฟิลล์ทั้งหมด แคโรทีนอยด์ และกรดแอสคอร์บิกทั้งหมดสูง โดยไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (P &gt; 0.05) ผักบุ้งมีปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมดสูงที่สุดเมื่อเมล็ดผ่านการฉาย DBD พลาสมาเป็นเวลา 20 นาที ส่วนการฉาย DBD พลาสมาเป็นเวลา 10 นาที มีปริมาณสารฟลาโวนอยด์ทั้งหมด และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากปฏิกิริยา FRAP สูงที่สุด แต่การฉาย DBD พลาสมาเป็นเวลา 5 นาที ส่งผลให้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากปฏิกิริยา DPPH และ ABTS รวมถึงฤทธิ์ต้านไกลเคชั่นสูงที่สุด<br /><strong>สรุป: </strong><span style="font-weight: 400;">การฉาย </span><span style="font-weight: 400;">DBD </span><span style="font-weight: 400;">พลาสมาให้กับเมล็ดผักบุ้งเป็นเวลา 10 นาที เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเจริญเติบโต เพิ่มสารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านไกลเคชั่นในผักบุ้ง</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/262994 ผลของสารสกัดจากใบและเมล็ดมะแฮะต่อฤทธิ์ทางชีวภาพในหลอดทดลอง 2024-09-01T15:15:08+07:00 ภัทรนภา นิ่มตระกูล pataranapa@tistr.or.th ศรัญญา เหล่าวิทยางค์กูร sarunya@tistr.or.th วรากร สองเมือง warakorn@tistr.or.th ภัทรวดี เก่งกว่าสิงห์ pattarawadee@tistr.or.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> อาหารเพื่อสุขภาพเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมทั้งการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสารสกัดจากใบและเมล็ดมะแฮะเบื้องต้นในด้านพิษวิทยา โดยการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เพาะเลี้ยง และด้านเภสัชวิทยา โดยการประเมินการยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>เตรียมสารสกัดโดยสกัดใบและเมล็ดมะแฮะด้วย 70% เอทานอล ทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ RAW 264.7 ด้วย MTT assay ที่ 0.39–50 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และวัดการยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ด้วยชุด Griess reagent ที่ 0.39–1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>สารสกัดจากใบที่ความเข้มข้น 0.39–1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และเมล็ดที่ 0.39–12.5 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ และสารสกัดจากใบและเมล็ดที่ 1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร สามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมบวก ได้แก่ ยาต้านการอักเสบ (Diclofenac) อย่างมีนัยสำคัญ (P &lt; 0.01)<br /><strong>สรุป: </strong><span style="font-weight: 400;">สารสกัดจากใบและเมล็ดมะแฮะที่ความเข้มข้น 0.39–1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ และที่ 1.56 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร มีการยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์สูงกว่ายาต้านการอักเสบ (</span><span style="font-weight: 400;">Diclofenac) </span><span style="font-weight: 400;">ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมบวก ดังนั้น จึงสามารถนำสารสกัดนี้ใช้ไปในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/264216 สถานภาพการผลิตและการตลาดแพะเนื้อในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศไทย 2024-08-31T12:46:33+07:00 ทัสนันทน์ หงสะพัก swktsn@ku.ac.th ทวี เหล่าดิ้ม fagrtwl@ku.ac.th สุธิษา มาเจริญ latijude@yahoo.com วันวิสา ชุ่มเงิน agrwws@ku.ac.th วิสูตร ไมตรีจิตต์ swkwsm@ku.ac.th สาคร ชินวงค์ eatskc@ku.ac.th รุ่งรัตนา ฉ่ำสิงห์ eatpyr@ku.ac.th วริฏฐา ทองสมุทร warittha.t@ku.th ธเนตร ศรีสุข eattss@ku.ac.th นพสิทธิ์ ล่องจ้า eatnol@ku.ac.th สุกัญญา รัตนทับทิมทอง agrsura@ku.ac.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ความต้องการบริโภคผลผลิตจากแพะเนื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพผลผลิตแพะเนื้อที่ผลิตได้ในแต่ละครั้งมีความหลากหลาย ด้วยเหตุนี้ วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาสถานภาพการผลิตและการตลาดแพะเนื้อในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศไทย<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ 130 ราย ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ถูกคัดเลือกสำหรับการศึกษาครั้งนี้ ข้อมูลประชากรศาสตร์ การเลี้ยงแพะ การคัดเลือกและจับคู่ผสมพันธุ์ การตลาดและการจำหน่าย และปัญหาและอุปสรรคถูกเก็บรวบรวมจากเกษตรกรโดยใช้แบบสอบถาม<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะมีอายุเฉลี่ย 50.40 ± 11.22 ปี และมีประสบการณ์ในการเลี้ยงแพะเฉลี่ย 9.51 ± 7.69 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 52.46) มีการเลี้ยงแพะเพื่อเป็นอาชีพเสริม (ร้อยละ 59.38) และมีฟาร์มขนาดเล็ก (ร้อยละ 41.54) เป้าหมายหลักในการเลี้ยงแพะของเกษตรกรคือเพื่อจำหน่าย (ร้อยละ 84.55) โดยพันธุ์แพะที่นิยมเลี้ยงคือแพะลูกผสมบอร์ ด้านการจำหน่ายแพะ พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมจำหน่ายแพะเนื้อแบบมีชีวิต (ร้อยละ 71.43) โดยราคารับซื้อแพะเนื้อแต่ละครั้งมีความผันแปรไปตามช่วงน้ำหนักตัวที่แตกต่างกัน ขณะที่ด้านปัญหาในการเลี้ยงแพะ พบว่าเกษตรกรประสบปัญหาด้านความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงแพะให้มีคุณภาพและมีความปลอดภัย การจัดหาพันธุ์ แรงงาน และอาหารหยาบ<br /><strong>สรุป: </strong><span style="font-weight: 400;">เกษตรกร</span><span style="font-weight: 400;">ส่วนใหญ่</span><span style="font-weight: 400;">เลี้ยงแพะเป็นอาชีพเสริม</span> <span style="font-weight: 400;">มีฟาร์มขนาดเล็ก และมีเป้าหมายในการเลี้ยงแพะเพื่อจำหน่าย </span><span style="font-weight: 400;">นอกจากนี้ เกษตรกร</span><span style="font-weight: 400;">ยังประสบกับปัญหาด้านความรู้ พันธุกรรม แรงงาน และอาหารหยาบในการเลี้ยงแพะ</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/264225 การใช้บรรจุภัณฑ์บรรยากาศดัดแปลงย่อยสลายได้ทางชีวภาพเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาดอกไม้กินได้ 2024-09-08T13:25:29+07:00 อชิรญา พรมจินา achiraya.pro@ku.th อินทุอร ยมหา intuon.yo@ku.th กาญจนา บุญเรือง kanchana.boon@ku.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ดอกผีเสื้อเป็นดอกไม้กินได้ที่ได้รับความนิยม แต่เสื่อมเสียง่ายและมีอายุการเก็บรักษาสั้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ฟิล์มพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ได้แก่ พอลิแลคติกแอซิด (Polylactic acid, PLA) และพอลิบิวทิลีนซัคซิเนต (Polybutylene succinate, PBS) เปรียบเทียบกับบรรจุภัณฑ์ทางการค้าจากพลาสติกฐานปิโตรเลียม ได้แก่ ฟิล์ม oriented polypropylene (OPP) และกล่องพอลิพรอพิลีน (Polypropylene, PP) ต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของดอกผีเสื้อ<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>:</strong> ศึกษาผลของบรรจุภัณฑ์ ประกอบด้วย 1) กล่อง PP (ชุดควบคุม) 2) ฟิล์ม OPP 3) ฟิล์ม PLA และ 4) ฟิล์ม PBS วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 3 ซ้ำ ซ้ำละ 9 ดอก เก็บรักษาที่ 4 ± 1 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 14 วัน บันทึกผลทุก 2 วัน ได้แก่ ปริมาณ O<sub>2</sub> และ CO<sub>2</sub> ในบรรจุภัณฑ์ การสูญเสียน้ำหนัก การเปลี่ยนสีดอก และการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้านลักษณะปรากฏ<br /><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ฟิล์ม OPP, PLA และ PBS สร้างสภาพบรรยากาศดัดแปลงสมดุลไม่ต่างจากอากาศปกติในวันที่ 6 มีค่า O<sub>2</sub> 17.65 ± 0.83% และ CO<sub>2</sub> 1.90 ± 0.24% โดยดอกผีเสื้อที่บรรจุในฟิล์ม PBS สูญเสียน้ำหนักน้อยที่สุด 17.51 ± 6.38% แต่ในวันที่ 10 ดอกผีเสื้อที่บรรจุในฟิล์ม OPP มีค่าการสูญเสียน้ำหนักน้อยที่สุดเท่ากับ 21.66 ± 5.92%<br /><strong>สรุป:</strong> <span style="font-weight: 400;">ฟิล์ม </span><span style="font-weight: 400;">OPP </span><span style="font-weight: 400;">สามารถยืดอายุการเก็บรักษาดอกผีเสื้อได้นานที่สุด </span><span style="font-weight: 400;">12 </span><span style="font-weight: 400;">วัน เนื่องจากมีการยอมให้ผ่านของไอน้ำต่ำที่สุด รองลงมา ได้แก่ ฟิล์ม </span><span style="font-weight: 400;">PBS </span><span style="font-weight: 400;">และกล่อง </span><span style="font-weight: 400;">PP </span><span style="font-weight: 400;">จากผลการศึกษาพบว่า </span><span style="font-weight: 400;">PBS </span><span style="font-weight: 400;">ช่วยรักษาคุณภาพของดอกไม้กินได้และมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้ทดแทนพลาสติกฐานปิโตรเลียมได้</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/ASJ/article/view/264511 ความต้องการส่งเสริมการผลิตมะม่วงตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีของเกษตรกรในอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี 2024-09-15T11:10:09+07:00 กรรณิการ์ ศรีแก้วตุง janbiot20@gmail.com นารีรัตน์ สีระสาร seerasarn@hotmail.com สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม sineenuch.san@stou.ac.th <p style="font-weight: 400;"><strong>ความเป็นมาและวัตถุประสงค์:</strong> เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี ประสบปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของผลผลิต โดยมีผลผลิตบางส่วนที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice: GAP) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกร ความต้องการด้านการส่งเสริมการเกษตร และความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาความต้องการดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน GAP<br /><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่างคือเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี จำนวน 182 ราย ซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรในปี พ.ศ. 2565 โดยสุ่มตัวอย่างจำนวน 126 ราย เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดอันดับ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ<br /><strong>ผลการวิจัย:</strong> เกษตรกรมีอายุเฉลี่ย 60 ปี และมีประสบการณ์การปลูกมะม่วงเฉลี่ย 7.53 ปี รายได้เฉลี่ยต่อปีจากการผลิตมะม่วงเท่ากับ 11,427.38 บาท ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 1,769.29 บาทต่อปี และมีผลผลิตเฉลี่ย 223.17 กิโลกรัมต่อไร่ เกษตรกรเห็นว่าการผลิตมะม่วงที่ได้มาตรฐาน GAP สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงกว่ามะม่วงทั่วไป อย่างไรก็ตาม เกษตรกรยังประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะการขาดความรู้ด้านการปฏิบัติ GAP สำหรับการผลิตมะม่วง<br /><strong>สรุป:</strong><span style="font-weight: 400;"> ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการด้านการส่งเสริมการผลิตมะม่วงตามมาตรฐาน </span><span style="font-weight: 400;">GAP </span><span style="font-weight: 400;">ได้แก่ อายุและประสบการณ์การผลิต ดังนั้น เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรควรปรับวิธีการถ่ายทอดความรู้ให้เหมาะสมกับเกษตรกรในช่วงอายุและระดับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน</span></p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมการเกษตร