วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN
<p>วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร (Journal Of Agricultural Research And Extension) เป็นวารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวกับวิชาการด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนวัตกรรมด้านการเกษตร และการส่งเสริมวิชาการเกษตร เป็นวารสารราย 4 เดือน กำหนดเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ในรูปแบบตีพิมพ์ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2526 (ISSN 0125-8850 : พิมพ์) และได้เผยแพร่ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ . 2562 (E- ISSN 2630-0206 จนถึง ปี พ.ศ. 2565) ปัจจุบันเผยแพร่ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ (ISSN 2985-0118 (Online)) </p>
สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
th-TH
วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
0125-8850
<p><span style="font-weight: 400;">บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</span></p>
-
บทบรรณาธิการ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/268937
<p>วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร ปีที่ 42 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม 2568) ฉบับนี้ เป็นฉบับที่สองของปี 2568 อยู่ในช่วงฤดูการเพาะปลูกพืชผลการเกษตร ซึ่งแม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2567 มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของความแปรปรวนของสภาพอากาศยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง สถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ มีความผันผวนมาก ราคาผลผลิตตกต่ำ ซึ่งอาจเป็นผลพวงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง กอปรกับสถานการณ์ความมั่นคง ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลกระทบสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และกระทบการส่งออกสินค้าเกษตรไทย วารสารวิจัย ฯ จึงขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้โดยเร็ว</p> <p>วารสารวิจัย ฯ ฉบับนี้ ท่านจะได้พบกับเนื้อหาบทความที่หลากหลายประเด็น เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตพืชที่หลากหลายชนิด ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ผักกาดหอม พริกพันธุ์พื้นเมืองนครพนม ฝรั่ง พริกลูกผสม การสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ต่อลักษณะทางกายภาพและคุณภาพเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศและคะน้า การประเมินฟักทอง ถั่วเหลืองฝักสด เทคโนโลยีทางด้านสัตว์น้ำ เช่น การศึกษาการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของปูภูเขา การเลี้ยงกุ้งทะเล ผลิตภัณฑ์การแปรรูป เช่น ความคงตัวของสารให้สีจากธรรมชาติ และคุณภาพผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบในระหว่างการเก็บรักษาด้วยกระบวนการแช่เยือกแข็ง ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวจากข้าวไรซ์เบอรี่และสารสกัดงาดำ และเทคโนโลยีทางด้านการจัดการทรัพยากรการเกษตร แนวทางการประเมินประสิทธิภาพการใช้ถ่านชีวภาพเพื่อลดความเป็นกรดของดิน การประเมินความเสี่ยงภัยแล้งพื้นที่ปลูกมะม่วง เป็นต้น</p> <p>กองบรรณธิการ วารสารวิจัยฯ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้ ได้แนวคิดในการต่อยอดศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป แล้วพบกันใหม่ในฉบับสุดท้ายของปี ครับ</p>
รองศาสตราจารย์ ดร. เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
-
การเปรียบเทียบการเจริญเติบโต ผลผลิต และปริมาณแลคโตนรวม ของฟ้าทะลายโจรต่างสายพันธุ์ที่ปลูกในถังไลซิมิเตอร์
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/263708
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการเจริญเติบโต ผลผลิต และปริมาณแลคโตนรวม ของฟ้าทะลายโจร 4 สายพันธุ์ ที่ปลูกในชุดศึกษาการใช้น้ำและธาตุอาหารพืช ดำเนินการทดลอง ณ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดลำปาง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จำนวน 4 กรรมวิธี กรรมวิธีละ 8 ซ้ำ ได้แก่ สายพันธุ์พิจิตร 4-4 สายพันธุ์พิษณุโลก 5-4 และพันธุ์การค้า 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ตราภูเขาทอง และสายพันธุ์ตราสี่ทิศ ผลการทดลองพบว่าทั้ง 4 สายพันธุ์ มีการเจริญเติบโตทางลำต้นและข้อมูลสรีรวิทยา ที่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ แต่มีปริมาณผลผลิต องค์ประกอบของผลผลิต และปริมาณสารสำคัญต่างกัน โดยสายพันธุ์พิษณุโลก 5-4 และสายพันธุ์ตราสี่ทิศ ให้น้ำหนักแห้ง สูงที่สุด มีค่าเฉลี่ย 20.26 และ 20.74 กรัมต่อต้น ตามลำดับ ขณะที่สายพันธุ์พิจิตร 4-4 และสายพันธุ์ตราภูเขาทอง มีน้ำหนักแห้งเฉลี่ย 17.12 และ 16.28 กรัมต่อต้น ตามลำดับ ส่วนปริมาณแลคโตนรวมโดยคำนวณเป็น แอนโดรกราโฟไลด์ พบว่าทั้ง 4 สายพันธุ์ มีค่าสูงกว่ามาตรฐานของสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยมีค่าเฉลี่ยระหว่าง 23.64–27.70 กรัม/ 100กรัม น้ำหนักแห้ง โดยสายพันธุ์พิจิตร 4-4 มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด</p>
ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์
ชิติ ศรีตนทิพย์
เสกสรร วงศ์ศิริ
มนัสวี วังไชยเลิศ
บุศรินทร์ บุญเต็ม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
1
9
10.14456/jare-mju.2025.21
-
อิทธิพลของสีพลาสติกฟิล์มคลุมแปลงต่อการเจริญเติบโต คุณภาพ และผลผลิตของผักกาดหอม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260570
<p>พลาสติกคลุมหลังคาโรงเรือนถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่มีความจำเป็นต่อการปลูกพืชในโรงเรือน ดังนั้นการเลือกชนิดของพลาสติกคลุมหลังคาจึงมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ซึ่งการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของชนิดของพลาสติกคลุมหลังคาที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกาดหอม วางแผนการทดลองแบบ Split Plot in CRD (Completely Randomized Design) หน่วยทดลองหลัก คือ ชนิดของพลาสติกคลุมหลังคาที่มีสเปกตรัมแสงแตกต่างกัน 4 แบบ ได้แก่ พลาสติกสีแดง สีเหลือง สีขาว และการไม่คลุมพลาสติก (กลางแจ้ง) หน่วยทดลองรอง คือ ผักกาดหอม 2 พันธุ์ ได้แก่ เรดโอ๊คและกรีนโอ๊ค ปลูกทดสอบด้วยระบบไฮโดรพอนิกส์แบบ NFT (Nutrient Film Technique) อายุ 45 วันหลังเพาะกล้า ทำการเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตและผลผลิต จากการทดลองพบอิทธิพลร่วมระหว่างชนิดของพลาสติกและพันธุ์ผักกาดหอม โดยการปลูกกรีนโอ๊คภายใต้พลาสติกสีแดง มีผลให้ความสูงต้นสูงที่สุด แต่ไม่แตกต่างจากพลาสติกสีเหลือง และการปลูก เรดโอ๊คภายใต้พลาสติกสีขาว มีผลทำให้แต่ความกว้างทรงพุ่มสูงที่สุด และการปลูกกรีนโอ๊คภายใต้พลาสติกทั้งสีขาว แดง และเหลือง มีผลให้จำนวนใบสูงกว่าการไม่คลุมหลังคา และพบว่าการปลูกภายใต้พลาสติกสีเหลืองมีผลทำให้ผักกาดหอมทั้ง 2 พันธุ์ให้ผลผลิต สูงที่สุด ในขณะที่ค่า SPAD และการแสดงออกของสีใบ โดยวัดค่าสี L* a* และ b* การปลูกเรดโอ๊คภายใต้การไม่คลุมพลาสติกคลุมหลังคา และการคลุมหลังคาด้วยพลาสติกสีขาว และสีเหลือง ให้ค่า SPAD และการแสดงออกสีใบสูงกว่าการปลูกด้วยหลังคาพลาสติกสีแดง โดยค่า a* ซึ่งแสดงสีใบสีแดงน้อยที่สุด ดังนั้นปลูกด้วยพลาสติกสีขาวและสีเหลืองมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกาดหอมสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกด้วยพลาสติกสีแดง</p>
จริญญา ฤทธิรัมย์
อารักษ์ ธีรอำพน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
10
24
10.14456/jare-mju.2025.22
-
ระยะแก่ทางสรีรวิทยาของเมล็ดพริกพันธุ์พื้นเมืองนครพนม 3 พันธุ์
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261727
<p>พริกนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมีการบริโภคกันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ลักษณะเด่นของพริกพันธุ์พื้นเมือง ได้แก่ ต้านทานโรค ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เพื่อเป็นการยกระดับการผลิตพริกพันธุ์พื้นเมือง การศึกษาทางสรีรวิทยาและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ มีความจำเป็นต่อการเพิ่มผลผลิต ในการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะแก่ทางสรีรวิทยาในระยะการสุกที่แตกต่างกันที่สัมพันธ์กับคุณภาพเมล็ดของเมล็ดพริกพื้นเมืองนครพนม จำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่ พริกปี พริกผี และพริกขี้หนูสวน ในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563–มีนาคม พ.ศ. 2564 ที่แปลงทดลองมหาวิทยาลัยนครพนม วางแผน การทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomize Design: CRD) จำนวน 3 ซ้ำ ซ้ำละ 50 เมล็ด จากการศึกษาพบว่า ระยะสุกแก่ของพริกแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกันในลักษณะของสีและคุณภาพเมล็ด ในระยะการสุกที่ 45 วันหลังดอกบานในพริกปีและพริกผี และ 41 วันหลังดอกบานในพริกขี้หนูสวน เป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ เนื่องจากเมล็ดมีความสุกทั้งทางกายภาพและทางสรีรวิทยา และมีคุณภาพเมล็ดสูงที่สุด (เปอร์เซ็นต์การงอก เปอร์เซ็นต์ต้นกล้าปกติ น้ำหนักสดต้นกล้า น้ำหนักแห้งต้นกล้า และค่าดัชนีมวลชีวภาพ) ทั้งนี้ในระยะวันหลังดอกบานดังกล่าวสามารถเป็นดัชนีการเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ โดยผลพริกแต่ละพันธุ์มีการเปลี่ยนสีจากสีส้มจนถึงสีแดง และผลพริกยังมีลักษณะ ผลแน่น ไม่เหี่ยวย่น</p>
ชัชวาล แสงฤทธิ์
กิตติยา ผางโยธา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
25
35
10.14456/jare-mju.2025.23
-
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความมีชีวิต ความงอกของละอองเกสร และสภาพอากาศ ต่อการติดผลของฝรั่งพันธุ์ ‘ไร้เมล็ด’ ‘เด่นขุนวัง’ และ ‘บางกอกแอปเปิล’
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260683
<p>การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความมีชีวิต ความงอกของละอองเกสร และสภาพอากาศ ต่อการติดผลของฝรั่งพันธุ์ ‘ไร้เมล็ด’ ‘เด่นขุนวัง’ และ ‘บางกอกแอปเปิล’ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุของการติดผลน้อยของฝรั่งกลุ่มไร้เมล็ด โดยสภาพอากาศที่เก็บบันทึกข้อมูล ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณน้ำฝน และปริมาณหยาดน้ำฟ้า ทำการทดลองกับฝรั่ง 3 สายพันธุ์ ที่ปลูกในสภาพแปลงในพื้นที่ของ พล. ร. 7 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผลการทดลองพบว่า ความมีชีวิตของละอองเกสรกับการติดผลมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันในฝรั่งทั้งสามพันธุ์ (พันธุ์ไร้เมล็ด r = 0.755; พันธุ์เด่นขุนวัง r = 0.690; พันธุ์บางกอกแอปเปิล r = 0.706) ฝรั่งแต่ละสายพันธุ์ติดผลได้ดีในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยพันธุ์ไร้เมล็ดมีการติดผลได้ดีที่สุดในเดือนสิงหาคม ร้อยละ 56.54 พันธุ์เด่นขุนวังติดผลได้ดีที่สุดในเดือนตุลาคม ร้อยละ 71.43 ส่วนพันธุ์บางกอกแอปเปิลติดผล ได้ดีที่สุดในเดือนเมษายนและมิถุนายน ร้อยละ 42.77 และ 40.00 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าสภาพอากาศ มีลักษณะความสัมพันธ์กับการติดผลของฝรั่งทั้งสาม สายพันธุ์ ในทิศทางเดียวกัน ได้แก่ ความชื้นสัมพัทธ์ (พันธุ์ไร้เมล็ด r = 0.246; พันธุ์เด่นขุนวัง r = 0.296; พันธุ์บางกอกแอปเปิล r = 0.343) ปริมาณน้ำฝน (พันธุ์ไร้เมล็ด r = 0.383; พันธุ์เด่นขุนวัง r = 0.322; พันธุ์บางกอกแอปเปิล r = 0.457) และปริมาณหยาดน้ำฟ้า (พันธุ์ไร้เมล็ด r = 0.356; พันธุ์เด่นขุนวัง r = 0.232; พันธุ์บางกอกแอปเปิล r = 0.363) ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าปัจจัยทางสภาพอากาศมีผลอย่างมากต่อการติดผลของฝรั่งแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสภาพภูมิอากาศต่อการติดผลของฝรั่งอย่างชัดเจน หากวางแผนการผลิตให้เหมาะสมจะสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของกลุ่มฝรั่งที่ศึกษาได้</p>
ฐานิชสรณ์ วรรณศรี
ธีรนุช เจริญกิจ
เฉลิมศรี นนทสวัสดิ์ศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
36
49
10.14456/jare-mju.2025.24
-
ผลของระยะเวลาการเตรียมอับละอองเกสรร่วมกับความเข้มข้นของ 2,4-D ต่อการเพาะเลี้ยงอับละอองเกสรพริกลูกผสมชั่วที่ 1 พันธุ์ ‘ปากคลอง’
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260420
<p>การสร้างสายพันธุ์ดับเบิลแฮพลอยด์เป็นวิธีการ ที่มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงพันธุ์ เนื่องจากเป็นการลดระยะเวลาในการสร้างพืชสายพันธุ์แท้ การเพาะเลี้ยงอับละอองเกสรเป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างสายพันธุ์ดับเบิลแฮพลอยด์ งานวิจัยนี้ศึกษาผลของระยะเวลาการเตรียมอับละอองเกสรร่วมกับความเข้มข้นของ 2,4-D ต่อการเพาะเลี้ยงอับละอองเกสรพริกหยวกลูกผสมชั่วที่ 1 พันธุ์ปากคลอง ดำเนินการ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย ระหว่างปี พ.ศ. 2563–2564 นำอับละอองเกสรของพริกที่มีไมโครสปอร์อยู่ในระยะ late uninucleate เพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร C ที่เติม 2,4-D ความเข้มข้น 0.1 และ 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร ร่วมกับไคเนตินความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร แล้วบ่มในที่มืดที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4, 6 และ 8 วัน และนำไปเพาะเลี้ยงในที่มืดที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส 10 วัน จึงย้ายอับละอองเกสรลงบนอาหารสูตร R ที่เติมไคเนติน 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร เพาะเลี้ยงในที่มีแสง 16 ชั่วโมง และที่มืด 8 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อเพาะเลี้ยงประมาณ 40 วัน สังเกตพบเอ็มบริโอเกิดขึ้นจึงย้ายลงบนอาหารสูตร R ซึ่งไม่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต พบว่าสูตรอาหารและระยะเวลาการเตรียมอับละอองเกสรที่เหมาะสมต่อการชักนำให้ ไมโครสปอร์มีการพัฒนาเป็นเอ็มบริโอคืออาหารสูตร C ที่มี 2,4-D 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร ร่วมกับไคเนติน 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร เพาะเลี้ยงในที่มืดที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส 6 วัน โดยสามารถชักนำให้พัฒนาเป็นต้นได้ประมาณ 5.8 ต้นต่อ 100 อับละอองเกสร เมื่อตรวจสอบต้นที่ได้จากการเพาะเลี้ยงอับละอองเกสรด้วยการนับจำนวนคลอโรพลาสต์ ในเซลล์คุมและดีเอ็นเอเครื่องหมายชนิดไมโครแซทเทลไลท์ ได้ต้นแฮพลอยด์จำนวน 18 ต้น และได้ต้นดับเบิลแฮพลอยด์ที่เกิดจากการเพิ่มจำนวนโครโมโซมขึ้นเองในสภาพเพาะเลี้ยง (spontaneous double haploid) จำนวน 22 ต้น จากการเพาะเลี้ยง 1,270 อับละอองเกสร</p>
พรพนัช มีกุล
วัฒนนิกรณ์ เทพโพธา
ทัศนีย์ ดวงแย้ม
ศศิธร วรปิติรังสี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
50
59
10.14456/jare-mju.2025.25
-
ผลของอายุการเก็บรักษาของตำรับสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ต่อลักษณะทางกายภาพ และคุณภาพเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศและคะน้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/263663
<p>การปลูกพืชทั่วไปส่วนใหญ่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเคลือบเมล็ดร่วมกับสารเคมีป้องกันโรคและแมลงเพื่อลดการเข้าทำลายของปัจจัยการเพาะปลูกที่ไม่เหมาะสม แต่ในระบบการปลูกพืชในระบบเกษตรอินทรีย์ไม่สามารถใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเตรียมร่วมกับสารเคมีได้ จึงเป็นการลดประสิทธิภาพการใช้เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ลง ดังนั้นการสร้างสูตรสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการใช้เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ให้สามารถเพาะปลูกได้ทัดเทียมกับการปลูกพืชในระบบทั่วไปได้ การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสูตรตำรับสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วยการสร้างสูตรสารเคลือบจำนวน 3 ตำรับ ประกอบด้วย gum arabic 0.3% w/v, sodium alginate 0.2% w/v และ xanthan gum 0.1% w/v แล้วนำไปเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน 2 สภาพ คือ สภาพควบคุมอุณหภูมิ (4 องศาเซลเซียส) และสภาพไม่ควบคุมอุณหภูมิ (27±2 องศาเซลเซียส) เก็บรักษาสูตรสารเคลือบเป็นระยะเวลา 12 เดือน จากนั้นสุ่มสารเคลือบในแต่ละตำรับทุก ๆ 3 เดือน มาทดสอบลักษณะทางกายภาพและทดลองเคลือบร่วมกับเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศและเมล็ดพันธุ์คะน้า จากการศึกษาพบว่า pH ของสารเคลือบทั้ง 3 ตำรับ มีค่าเป็นด่างแก่ในช่วง 3 เดือนแรก จากนั้นความเป็นด่างแก่จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเก็บรักษานานยาวนานขึ้น ส่วนสารเคลือบเมล็ดพันธุ์ทั้ง 3 ตำรับ พบว่าหลังการเก็บรักษาทั้ง 2 สภาพสารเคลือบเมล็ดพันธุ์ยังคงมีความหนืดที่เหมาะสมสำหรับการเคลือบเมล็ดพันธุ์ เมื่อตรวจสอบแผ่นฟิล์มของ gum arabic 0.3% w/v พบว่าสามารถละลายน้ำได้ 100% ตลอดการเก็บรักษาทั้ง 2 สภาพ ส่วนแผ่นฟิล์มของ sodium alginate 0.2% w/v และ xanthan gum 0.1% w/v สามารถละลายน้ำได้ดีในช่วง 3 เดือนแรก จากนั้นจะลดลงตามระยะเวลาการเก็บรักษา เมื่อตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์พบว่าตำรับสารเคลือบ sodium alginate 0.2% w/v มีเปอร์เซ็นต์การงอกรากแรกและเปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศและคะน้าดีกว่าตำรับอื่น ๆ ดังนั้นจึงแนะนำสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ที่ได้จากการเตรียมด้วย sodium alginate 0.2% w/v ที่เก็บรักษาในสภาพควบคุมเป็นระยะเวลา 12 เดือน เป็นสารเคลือบเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพดีสำหรับใช้เคลือบเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศและเมล็ดพันธุ์คะน้า</p>
จักรพงษ์ กางโสภา
นรารัตน์ ทาวงค์
สุธีระ เหิมฮึก
ฉัตรสุดา เผือกใจแผ้ว
จีราภรณ์ อินทสาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
60
74
10.14456/jare-mju.2025.26
-
การประเมินฟักทองพันธุ์ทองล้านนา 18 พันธุ์
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/263897
<p>พันธุ์ฟักทองทองล้านนา 18 พันธุ์ เป็นพันธุ์ ที่ได้รับการจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินพันธุ์ทองล้านนา 18 พันธุ์ ร่วมกับพันธุ์มาตรฐาน 4 พันธุ์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (RCB) จำนวน 3 ซ้ำ 3 ฤดูปลูก ในแปลงทดลองเดิม และวิเคราะห์ความแปรปรวนรวม (combined analysis in RCB) ของ 3 ฤดูปลูก ระหว่างพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2564 ณ จังหวัดลำปาง พบว่าช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ปริมาณของแข็ง ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของเนื้อดิบและสุก ความแน่นของเนื้อดิบและสุกมีความเป็นเอกพันธ์ เมื่อวิเคราะห์ความแปรปรวนรวม พบว่าพันธุ์ทองล้านนามีค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาเก็บเกี่ยวมากกว่าพันธุ์มาตรฐาน เท่ากับ 7.9 และ 3.9 วัน และปริมาณของแข็ง พบว่า พันธุ์ทองล้านนามีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าพันธุ์มาตรฐาน เท่ากับ ร้อยละ 17.7 และ 18.4 และพันธุ์ทองล้านนา 11, 17, 18 พันธุ์มาตรฐาน 1 และ 2 มีปริมาณของแข็งมากกว่า ร้อยละ 19.0 ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของเนื้อดิบและสุก พบว่าพันธุ์ทองล้านนามีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าพันธุ์มาตรฐาน เท่ากับ ร้อยละ 9.9 และ 10.9 กับ 10.2 และ 11.1 พันธุ์ทองล้านนา 10 และ 17 มีปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ของเนื้อดิบและสุกมากกว่าร้อยละ 11.0 การปลูกในฤดูฝน ระหว่างมิถุนายน ถึง พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 พบว่าผลผลิต จำนวนผลต่อต้น และน้ำหนักผลมากกว่าฤดูอื่น ๆ การคัดเลือกอย่างอิสระ (independent culling selection) พบว่าพันธุ์ทองล้านนา 17, 10, 18, 1, 6, 8 และ 14 มีลักษณะเศรษฐกิจที่ดีกว่าพันธุ์มาตรฐาน 2</p>
จานุลักษณ์ ขนบดี
ภัทราภรณ์ ศรีสมรรถการ
พรพนา จินาวงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
75
84
10.14456/jare-mju.2025.27
-
แนวทางการประเมินประสิทธิภาพการใช้ถ่านชีวภาพเพื่อลดความเป็นกรดของดิน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/265969
<p>ถ่านชีวภาพที่ทำจากวัสดุทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหลายชนิดควรมีวิธีการประมาณอัตราที่ใช้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเกษตรกร ดังนั้น ในการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาอัตราการใส่ถ่านชีวภาพที่เหมาะสมและประเมินศักยภาพของการใช้ถ่านชีวภาพจากการเจริญเติบโตของพืชในระยะเริ่มต้น โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ (1) การหาอัตราที่เหมาะสมของถ่านชีวภาพก่อนคัดเลือกมาทดลองกับการปลูกพืชในกระถาง (2) คุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของถ่านชีวภาพ และ (3) ประเมินการตอบสนองของพืช การศึกษาแรกเป็นการบ่มดินกรดที่ทราบอัตราความต้องการปูน (LR) ร่วมกับถ่านชีวภาพที่เตรียมจากก้อนเชื้อเห็ดเก่า (Spent Mushroom Substrate: SMS) และกะลามะพร้าว (Coconut Shell: CS) ที่ผสมกับปูนขาว (Slaked Lime: L) ประกอบด้วย 5 กรรมวิธี ได้แก่ ควบคุม SMS 0.5LR, SMS 0.75LR, CS:L (3:1) LR และ CS:L (1:1) LR วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า กรรมวิธี SMS 0.5LR และ CS:L (1:3) LR เป็นกรรมวิธีที่ทำให้ค่า pH เพิ่มขึ้นไม่เกิน 7.5 จึงคัดเลือกกรรมวิธีดังกล่าว ขั้นตอนต่อมาวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 4 กรรมวิธี จำนวน 6 ซ้ำ ดังนี้ ควบคุม ปูนขาวอัตรา LR, SMS 0.5LR, และ CS:L (1:3) LR และใส่ปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนำ โดยพิจารณาการตอบสนองของข้าวโพดฝักอ่อน (<em>Zea</em> <em>mays</em> L.) ด้านการเจริญเติบโต ความเขียวของใบ อาการขาดธาตุอาหารพืช การศึกษาพบว่า การใช้ถ่านชีวภาพทั้งสองชนิดทำให้การเจริญเติบโตของข้าวโพดฝักอ่อน ไม่แตกต่างจากการใช้ปูนขาว</p>
พจนีย์ แสงมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
85
96
10.14456/jare-mju.2025.28
-
การประยุกต์ใช้ภาพถ่ายหลายช่วงคลื่นจากอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็กในการติดตาม การเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วเหลืองฝักสด พื้นที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260514
<p>การใช้ภาพถ่ายหลายช่วงคลื่นจากอากาศยาน ไร้คนขับขนาดเล็ก ในการติดตามการเจริญเติบโตและผลผลิตถั่วเหลืองฝักสด มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตาม การเจริญเติบโตในระยะต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับผลผลิตของถั่วเหลืองฝักสด โดยเก็บข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ การเจริญเติบโตทั้งหมด 4 ระยะ จากวันที่เมล็ดงอก คือ อายุ 7, 16, 31 และ 61 วัน แปรผลภาพออกมาเป็นค่าดัชนี พืชพรรณผลต่างแบบนอร์มัลไลซ์ (Normalized Difference Vegetation Index, NDVI) และแถบคลื่นแสงที่ตามองเห็น Visible light (Red Green and Blue, RGB) นำข้อมูลเชิงตัวเลขจากภาพหาความสัมพันธ์ ตามระยะการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วเหลืองฝักสด ผลการศึกษาพบว่าปริมาณที่ปกคุลมพื้นที่ของถั่วเหลืองฝักสดเพิ่มขึ้นตามระยะการเจริญเติบโตหลังจากเมล็ดงอกน้อยที่สุด 7 วัน และมากที่สุด 61 วัน ในส่วนของระดับความเขียวของใบมีความเข้มน้อยสุดที่ 7 วัน และเข้มมากสุดที่ 31 วัน ซึ่งระดับความเขียวของใบในภาพ RGB มีแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับภาพ NDVI ที่มีค่าเข้าใกล้ -1 มากที่สุดที่ 7 วัน และเข้าใกล้ 1 มากสุดที่ระยะ 31 วัน ค่า NDVI ในระยะ 31 DAS มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ปลูกสูงสุด (R<sup>2 </sup>= 0.86) โดยมีค่าสูงสุด 0.97 และค่าต่ำสุด -0.77 ผลผลิตรวมที่ระยะ 31 DAS อยู่ในช่วง 1,200–1,330 กรัม/ 2 ตารางเมตร (960–1,064 กิโลกรัม/ไร่) และค่า NDVI อยู่ในช่วง 0.65–0.79 ซึ่งผลผลิตของถั่วเหลืองฝักสด มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามค่า NDVI (R<sup>2</sup>=0.80)</p>
ภานุมาศ เวชกร
โสพิศ ใจปาละ
จงรักษ์ พันธ์ไชยศรี
ปรีชา กาเพ็ชร
จีราภรณ์ อินทสาร
วาสนา วิรุญรัตน์
จักรพงษ์ ไชยวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
97
105
10.14456/jare-mju.2025.29
-
การประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นใกล้เคียงช่วงอินฟราเรด เพื่อตรวจสอบการเข้าทำลายของด้วงงวงมันเทศ (Cylas formicarius) ในมันเทศสีม่วง (Ipomoea batatas (L.) Lam.)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/266322
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการเข้าทำลายของด้วงงวงมันเทศ (<em>Cylas formicarius</em>) ในมันเทศ สีม่วงภายหลังการเก็บเกี่ยวโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นใกล้เคียงช่วงอินฟราเรด (Near Infrared (NIR) spectroscopy) นำมันเทศสีม่วงจากสถานีเกษตรหลวงปางดะ 171 หัว ประกอบด้วยมันเทศสีม่วงหัวปกติ 86 หัว และหัวที่ถูกด้วงงวงมันเทศเข้าทำลาย 85 หัว ทำการวัดสเปกตรัมจำนวน 6 จุดต่อหัว ด้วย NIR spectrometer คำนวณค่าเฉลี่ย แล้วแบ่งสเปกตรัมของตัวอย่างทั้งหมดออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดสร้างและชุดทดสอบสมการ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสเปกตรัมด้วยเทคนิค Principle Component Analysis (PCA) เพื่อศึกษาความแปรปรวนของข้อมูล จากนั้นวิเคราะห์และจำแนกข้อมูลสเปกตรัมของมันเทศสีม่วงหัวปกติและหัว ที่ถูกด้วงงวงมันเทศเข้าทำลาย ด้วยวิธี Partial Least Squares Discriminant Analysis (PLS-DA) ผลการทดลองแสดงว่าเทคนิค PCA ไม่สามารถแสดงลักษณะความแตกต่างของข้อมูลสเปกตรัมจากกลุ่มตัวอย่าง ทั้งสองได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามสเปกตรัมที่ปรับแต่งข้อมูลโดยวิธี Second Derivative และเทคนิค PLS-DA สามารถแยกหัวมันเทศสีม่วงที่ถูกด้วงงวงทำลายออกจากมันเทศหัวปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับตรวจสอบการเข้าทำลายของด้วงงวงในหัวมันเทศสีม่วง โดยมีความแม่นยำอยู่ที่ 92.94 เปอร์เซ็นต์ และความยาวคลื่นที่สำคัญในการตรวจสอบ คือ 1,395 และ 1,878–1,945 นาโนเมตร ดังนั้นการใช้ NIR ร่วมกับการสร้างแบบจำลองวิเคราะห์จำแนกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธี PLS-DA จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถนำมาตรวจสอบการเข้าทำลายของด้วงงวงมันเทศในมันเทศสีม่วง</p>
กวินธิดา สุขใส
ปาริชาติ เทียนจุมพล
พลกฤษณ์ มณีวระ
พวงเพชร เหมรัตน์ตระกูล
พิมพ์ใจ สีหะนาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
106
118
10.14456/jare-mju.2025.30
-
ผลของความหนาแน่นที่แตกต่างกันต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโตและอัตราการรอด ของลูกปูภูเขา (Potamon sp. V) (Naiyanetr, 1998)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/264413
<p>วัตถุประสงค์ของการทดลองเพื่อศึกษาความหนาแน่นที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของลูกปูภูเขา (<em>Potamon</em> sp. V) โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design: CRD) ทำการอนุบาลลูกปูภูเขาอายุ 7 วัน จำนวน 84 ตัว ที่มีน้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 0.15±0.01 กรัม/ตัว ความกว้างกระดองเฉลี่ยเริ่มต้น 0.55±0.01 ซม. และความยาวกระดองเฉลี่ยเริ่มต้น 0.51±0.01 ซม./ตัว อนุบาลในกล่องพลาสติกที่ความหนาแน่นแตกต่างกัน 4 ชุดการทดลอง ๆ ละ 3 ซ้ำ ได้แก่ 4, 6, 8 และ 10 ตัว/0.18 ตร.ม. หรือ 22, 33, 44 และ 55 ตัว/ตร.ม. ตามลำดับ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ โดยให้กินอาหารเม็ดสำเร็จรูป ที่มีระดับโปรตีน 32 เปอร์เซ็นต์ เป็นอาหาร เก็บข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนัก วัดความยาว และความกว้างกระดองของลูกปูภูเขาทุก ๆ 7 วัน ผลการศึกษาพบว่า ลูกปูภูเขาที่อนุบาลในแต่ละความหนาแน่นมีการเจริญเติบโตทั้งด้านความกว้างกระดองเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ความยาวกระดองเฉลี่ยเพิ่มขึ้น น้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะเฉลี่ย แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ส่วนอัตราการรอด พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) โดยลูกปูภูเขาที่อนุบาลด้วยระดับความหนาแน่น 4 ตัว/0.18 ตร.ม. หรือ 22 ตัว/ตร.ม. มีประสิทธิภาพการเจริญเติบโต และอัตราการรอดดีที่สุด ข้อมูลจากการศึกษาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญ สำหรับการนำไปศึกษาต่อยอด และพัฒนาการเลี้ยงปูภูเขาต่อไป</p>
กิตติศํกดิ์ ผุยชา
เสกสรร ชินวัง
ปริญญา มุลสิน
ประกิต สมัครค้า
กฤษฎา บูรณารมย์
กิตติ วิรุณพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
119
128
10.14456/jare-mju.2025.31
-
โมเดลการใช้สื่อใหม่เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/265980
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบท สภาพปัญหา และความต้องการการส่งเสริมการใช้สื่อใหม่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทย 2) ศึกษาสภาพพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคม การใช้สื่อและสื่อใหม่ และความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการใช้สื่อใหม่ของเกษตรกร 3) ศึกษาความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการใช้สื่อใหม่ของเกษตรกร 4) วิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบของโมเดลการใช้สื่อใหม่ และ 5) พัฒนาโมเดลและประเมินโมเดลการใช้สื่อใหม่เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทย ประชากรที่ศึกษา คือ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทย 40,983 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน่ ที่ค่าความคลาดเคลื่อน 0.06 ได้ 276 คน สุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนเกษตรกรในแต่ละภาค เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ สำหรับการพัฒนาโมเดลและประเมินโมเดล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ 12 คน และเกษตรกร 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรมีการใช้เทคโนโลยีสื่อสาร ได้แก่ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ระบบการจัดการฐานข้อมูล การใช้โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันในการเลี้ยงกุ้งทะเล แต่ยังมีปัญหาในการใช้สื่อใหม่ทั้งในด้านผู้ส่งสาร เนื้อหา ช่องทาง และผู้รับสาร 2) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 47.17 ปีจบการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีประสบการณ์ ในการเลี้ยงกุ้งทะเลเฉลี่ย 12.02 ปี ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม/สถาบันเกษตรกร ได้รับข่าวสารจากเพื่อนเกษตรกร การอบรมสัมมนา กิจกรรมต่าง ๆ และสื่อเพจเฟซบุ๊ก 3) ในการใช้สื่อใหม่เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงกุ้งทะเลเกษตรกรมีความรู้และทัศนคติอยู่ในระดับมาก มีการปฏิบัติในระดับมากที่สุด โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา การเป็นสมาชิกกลุ่มและสถาบัน การใช้สื่อใหม่ ได้แก่ เพจเฟซบุ๊ก ยูทูบ สื่อเว็บไซต์ 4) องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อใหม่ ได้แก่ ผู้ส่งสาร สาร ช่องทางการสื่อสาร และผู้รับสาร ที่เหมาะสมช่วยให้การสื่อสารเกี่ยวกับการเลี้ยงกุ้งทะเลมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการ และความสนใจของเกษตรกรเป้าหมาย 5) โมเดลการใช้สื่อใหม่เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทย มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้ส่งสาร ข้อมูลข่าวสาร ช่องทางการสื่อสาร และผู้รับสาร และการประเมินโมเดล พบว่าปัจจัยนำเข้าและกระบวนการอยู่ในระดับมากที่สุด และด้านผลผลิต/ผลลัพธ์อยู่ในระดับมาก</p>
พลอยปภัส วิริยะธาดาศักดิ์
สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม ครุฑเมือง แสนเสริม
บำเพ็ญ เขียวหวาน
นิติ ชูเชิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
129
146
10.14456/jare-mju.2025.32
-
ความคงตัวของสารให้สีจากธรรมชาติ และคุณภาพผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบ ในระหว่างการเก็บรักษาด้วยกระบวนการแช่เยือกแข็ง
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260508
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบสูตรผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบที่ดีที่สุดโดยศึกษาอัตราส่วนของแป้งชนิดต่าง ๆ ในการห่อหุ้มผลแห้ว แล้วนำมาศึกษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบระหว่างการเติมสาร ให้สีจากธรรมชาติ และสีสังเคราะห์ทางการค้าในผลิตภัณฑ์โดยทำการเก็บรักษาด้วยกระบวนการแช่เยือกแข็งที่อุณหภูมิ -18ºซ. เป็นระยะเวลา 90 วัน พบว่าการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบสูตรที่ 2 ที่ใช้แป้งมันสำปะหลัง 400 กรัม และแป้งท้าวยายม่อม 50 กรัม มีลักษณะปรากฏดีที่สุด มีคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมสูงสุด จึงคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบสำหรับศึกษาการเปรียบเทียบระหว่างการเติม สารให้สีจากธรรมชาติ และสีสังเคราะห์ทางการค้า ในผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบจำนวน 4 สูตร โดยเก็บรักษาด้วยการแช่เยือกแข็งที่อุณหภูมิ -18ºซ. เป็นระยะเวลา 90 วัน พบว่าการทดลองที่ 3 ที่ใช้สารให้สีจากธรรมชาติ ปริมาตร 10 มล. ต่อน้ำ 200 มล. เหมาะสำหรับนำมาเติม ในผลิตภัณฑ์ทับทิมกรอบ เนื่องจากความคงตัวทางด้านสีในวันที่ 0–90 ของการเก็บรักษามากที่สุด (ความเป็นสีแดง (<em>a*</em>) สูงที่สุดถึง 23.12) มีคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสในด้านลักษณะปรากฎ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมสูงถึง 3.41, 3.52, 2.97, 3.63, 3.76 และ 3.54 คะแนน ตามลำดับ อีกทั้งยังมีค่าความแข็งสูงถึง 27.73 นิวตัน</p>
ณัฐพงษ์ มุงเมือง
จุฑาวุฒิ อุชุปัจ
นิภาดา โททอง
ปณิดา พวงนิลน้อย
วิวัฒน์ หวังเจริญ
ธีระพล เสนพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
147
160
10.14456/jare-mju.2025.33
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวสูตรอ่อนโยนจากสารสกัดสมุนไพร ที่มีส่วนผสมของสารสกัดข้าวไรซ์เบอรี่และสารสกัดงาดำ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/265782
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวสูตรอ่อนโยนจากสารสกัด ข้าวไรซ์เบอรี่และสารสกัดงาดำ ร่วมกับการใช้สารสีจากธรรมชาติ คือ เทียนกิ่งและใบคราม จากการวิเคราะห์ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระพบว่า สารสกัดข้าวไรซ์เบอรี่และสารสกัดงาดำมีค่าปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดเท่ากับ 328.02±5.06 และ 210.40±6.19 mg GAE/100g extracts ตามลำดับ ค่าปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดเท่ากับ 69.17±0.94 และ 50.60±0.22 mg CE/100g extracts ตามลำดับ สารสกัดข้าวไรซ์เบอรี่และสารสกัด งาดำถูกนำมาพัฒนาสูตรแชมพูปิดผมขาว โดยสูตร ที่เหมาะสมจะใช้สารสกัดในปริมาณร้อยละ 1 ร่วมกับการใช้สารสีจากเทียนกิ่งและใบครามในปริมาณร้อยละ 2 โดยน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวเป็นสูตรอ่อนโยน ไม่มีส่วนประกอบของสารเคมีกลุ่มฟีนีลีนไดอะมีน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และแอมโมเนีย ไม่มีสารในกลุ่มโซเดียม ลอริลซัลเฟต แอลกอฮอล์ พาราเบน และซิลิโคน เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีผิวบอบบาง ผลิตภัณฑ์แชมพูที่ได้มีสีดำ มีค่าความเป็นด่างเล็กน้อย (pH 8) มีความคงตัวไม่เกิดการแยกชั้น ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวนี้สามารถใช้งานได้ง่าย สระผมได้ทันที ไม่จำเป็นต้องผสมก่อน ไม่มีกลิ่นฉุน และสามารถปกปิดผมขาวได้นาน 14 วัน จากการประเมินความพึงพอใจโดยการให้คะแนนความชอบ 9 ระดับ พบว่าผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบโดยรวมเท่ากับ 7.6±0.9 คะแนน (อยู่ในช่วงชอบปานกลางถึงชอบมาก)</p>
ศนิพร จันทร์บุรี
ปรัชญาไชย แช่มช้อย
ญาณิศา จินดาหลวง
ธนพล กิจพจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
161
174
10.14456/jare-mju.2025.34
-
อิทธิพลของความเร็วในการตีฟองต่อสมบัติของฟองน้ำยางธรรมชาติ ที่ใช้เปลือกลำไยเป็นสารตัวเติม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260407
<p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาอิทธิพลของความเร็ว ในการตีฟองต่อสมบัติของฟองน้ำยางธรรมชาติที่ใช้เปลือกลำไยเป็นสารตัวเติม แปรปริมาณเปลือกลำไยที่ 0 และ 5 ส่วนต่อเนื้อยางแห้งหนึ่งร้อยส่วน (phr) สมบัติที่ทดสอบได้แก่ เวลาในการเจล ความสูงฟองยาง ค่าการหดตัว ความหนาแน่น และค่าการเสียรูปหลังการกดอัด แปรความเร็วที่ใช้ในการตีฟองเป็น 100, 125, และ 190 รอบต่อนาที พบว่าเมื่อเพิ่มระดับความเร็วในการตีฟองส่งผลให้ความสูงฟองยางเพิ่มขึ้น เวลาในการเจลลดลง ยางฟองน้ำที่ได้มีค่าความหนาแน่นลดลง และในการตีฟองที่ความเร็ว 190 รอบต่อนาที ให้ค่าการเสียรูปหลังการกดอัดน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบสมบัติของยางฟองน้ำเมื่อใช้เปลือกลำไยที่ 0 และ 5 phr พบว่าที่ปริมาณเปลือกลำไย 5 phr ให้ความสูงของฟองยางและเวลาในการเจลที่น้อยกว่า ส่วนผลการทดสอบสมบัติพบว่าการใช้เปลือกลำไยที่ปริมาณ 5 phr จะให้ค่าการหดตัว ความหนาแน่น และค่าการเสียรูปหลังการกดอัดที่มากกว่า</p>
อรุณศรี เอี่ยมรัมย์
ดริญญา มูลชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
175
185
10.14456/jare-mju.2025.35
-
ความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำภาคการเกษตรจากความแปรปรวนของฝน ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260424
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำภาคการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถระบุปัจจัยบ่งชี้นำไปสู่การวางแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำแม่แปะตอนบนอย่างยั่งยืน โดยใช้กระบวนการวิจัยที่เน้นการเรียนรู้และวิเคราะห์ปัญหาร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้วยข้อมูลเชิงวิชาการ และสถานการณ์เชิงประจักษ์ในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตกของฝนจากความแปรปรวนของสภาพอากาศในรอบ 70 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการวิเคราะห์ลักษณะทางอุทกลุ่มน้ำและสมดุลน้ำภาคการเกษตรกรรม ผลการศึกษาพบว่า ลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน มีความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำภาคการเกษตร จากแนวโน้มปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในช่วง 15 ปีหลัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550–2565 ลดลงเหลือเพียง 862.43 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ฝนแล้ง (ต่ำกว่า 900 มิลลิเมตรต่อปี) และได้รับอิทธิพลจากปรากการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นถึง 16 ครั้ง แต่ละครั้งต้องเผชิญกับภาวะแห้งแล้งที่ยาวนานกว่า 20 สัปดาห์ ทำให้ช่วงเวลาการไหลของน้ำท่าไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ปรากฏเพียงช่วงฤดูฝนและเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง มีปริมาณน้ำท่าเพียง 0.37 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นน้ำต้นทุนเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวเกษตรกรมีความต้องการใช้น้ำ 1.21 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ปริมาณน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืช ฤดูแล้งไม่อยู่ในภาวะสมดุล และขาดแคลนน้ำเฉลี่ย 0.84 ล้านลูกบาศก์เมตรในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนของทุกปี สำหรับระบบเก็บน้ำของอ่างเก็บน้ำขุนแปะและอ่างเก็บน้ำต้นผึ้งมีขนาดเล็ก ปริมาณน้ำกักเก็บน้อย ไม่สามารถจัดสรรได้ในฤดูแล้ง บ่อเก็บน้ำ คสล. มีปัญหาทั้งด้านจำนวนและตำแหน่งที่ตั้งที่ไม่สามารถกระจายน้ำได้อย่างทั่วถึง ส่วนรูปแบบการใช้น้ำเพื่อการเกษตรกรรมของเกษตรกรในเขตต้นน้ำมีการสูบน้ำจากลำห้วยขุนแปะไปใช้เพาะปลูกพืชฤดูแล้งจึงเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันของเกษตรกรที่อยู่ต้นน้ำและปลายน้ำ ปัญหาด้านทรัพยากรน้ำดังกล่าวเป็นปัจจัยเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาแผนการบริหารจัดการน้ำภาคเกษตรกรรม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำแม่แปะตอนบน</p>
อรทัย มิ่งธิพล
ยศสรัล ศรีสุข
วิทยา ดวงธิมา
ยุทธภูมิ เผ่าจินดา
พิทักษ์พงศ์ แบ่งทิศ
กิตติพงศ์ รื่นวงค์
สุระพงษ์ เตชะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
186
198
10.14456/jare-mju.2025.36
-
การประเมินความเสี่ยงภัยแล้งพื้นที่ปลูกมะม่วงด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ศักยภาพเชิงพื้นที่ ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260690
<p>ตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว เป็นพื้นที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองส่งออกที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ แต่พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอนอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว ส่งผลทำให้ผลผลิตมะม่วงไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในปีที่เกิดภาวะภัยแล้ง การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการประเมินความเสี่ยงภัยแล้งพื้นที่ปลูกมะม่วง ด้วยข้อมูลภูมิประเทศของพื้นที่และข้อมูลสภาพอากาศ เพื่อให้ได้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับการจัดการดินและน้ำของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง เพื่อลดผลกระทบของภาวะภัยแล้งต่อการผลิตมะม่วง ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ศักยภาพเชิงพื้นที่ (Potential Surface Analysis: PSA) ปัจจัยที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน ชนิดของ เนื้อดิน ความลาดชันของพื้นที่ แหล่งน้ำธรรมชาติและชลประทาน และปริมาณน้ำใต้ดิน โดยแบ่งตามสภาพ ภูมิประเทศ 2 แบบ ได้แก่ พื้นที่ดอน จำนวน 1,924 ไร่ พบว่า มีความเสี่ยงภัยแล้งน้อยจำนวน 887 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.10 มีความเสี่ยงภัยแล้งปานกลางจำนวน 799 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 41.52 และมีความเสี่ยงภัยแล้งมากจำนวน 238 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.37 ตามลำดับ สำหรับพื้นที่ปลูกมะม่วงบนพื้นที่ราบเชิงเขาและพื้นที่ราบลุ่มทั้งหมด 372 ไร่ มีความเสี่ยงภัยแล้งปานกลางจำนวน 180 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 48.38 มีความเสี่ยงภัยแล้งน้อย 118 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.72 และมีพื้นที่ปลูกมะม่วงที่เสี่ยง ภัยแล้งระดับมาก 74 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 19.89</p>
สุทธิพงษ์ ศรีฉัตรใจ
จักรพงษ์ ไชยวงศ์
ปริเวท วรรณโกวิท
วาสนา วิรุญรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
199
210
10.14456/jare-mju.2025.37
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของเกษตรกรต่อสิ่งพิมพ์ในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิตขมิ้นชันในอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/265692
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไป ระดับความพึงพอใจต่อสื่อสิ่งพิมพ์ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในสื่อสิ่งพิมพ์ ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันของเกษตรกร อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง จำนวน 86 ราย เนื่องจากในพื้นที่ปลูกขมิ้นชันมีปริมาณสารเคอร์คูมินอยด์และปริมาณน้ำมันหอมระเหยสูงเกินค่ามาตรฐาน เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตขมิ้นชัน ที่ปลูกในพื้นที่อื่น ๆ ดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงแบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษา พบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 76.74) อายุเฉลี่ย 51.14 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 50.00) มีสถานภาพสมรส (ร้อยละ 60.77) ประสบการณ์การปลูกขมิ้นชันเฉลี่ย 10.80 ปี และ 2) เกษตรกรผู้ปลูกขมิ้นชันมีความพึงพอใจต่อสื่อสิ่งพิมพ์ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.30) เมื่อพิจารณาความพึงพอใจแต่ละด้าน พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกขมิ้นชันมีความพึงพอใจต่อสื่อสิ่งพิมพ์ในระดับมากที่สุดทุกด้าน คือ ด้านคุณภาพของสื่อ (ค่าเฉลี่ย 4.37) ด้านเนื้อหาของสื่อ (ค่าเฉลี่ย 4.27) และด้านรูปภาพประกอบของสื่อ (ค่าเฉลี่ย 4.25) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบว่าเพศหญิงมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันของเกษตรกรผู้ปลูกขมิ้นชัน ในอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
เสาวณีย์ เล็กบางพง
อภิญญา รัตนไชย
ทัศนี ขาวเนียม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
211
221
10.14456/jare-mju.2025.38
-
ความพร้อมของสินทรัพย์ทางกายภาพเพื่อการพัฒนาย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารแม่โจ้
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260425
<p>มหาวิทยาลัยแม่โจ้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่เทศบาลเมืองแม่โจ้ ให้กลายเป็นย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารแห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับกิจกรรมนวัตกรรมการเกษตร ทั้งนี้การพัฒนาย่านจำเป็นต้องมี การประเมินความพร้อมของระบบนิเวศนวัตกรรมจากสินทรัพย์ 3 ประเภท คือ สินทรัพย์ทางกายภาพ เศรษฐกิจ และเครือข่าย โดยสินทรัพย์ทางกายภาพถูกนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรก เนื่องจากมีความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในย่าน และดึงดูดผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมให้เข้ามาร่วมลงทุน การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพร้อมขององค์ประกอบทางด้านกายภาพของย่านนวัตกรรม โดยใช้วิธีการศึกษาแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาย่านนวัตกรรม การประเมินสินทรัพย์ทางกายภาพด้วยตัวชี้วัดเชิงคุณภาพตามแนวทางการประเมินระบบนิเวศนวัตกรรม และการสร้างความเข้าใจร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อวางแผนและกำหนดทิศทางการพัฒนาย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารแม่โจ้ในอนาคต</p> <p>สินทรัพย์ทางกายภาพย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหารแม่โจ้ มีความพร้อมที่สามารถพัฒนาให้เป็นย่านนวัตกรรมเกษตรและอาหาร ด้วยศักยภาพดังนี้ 1) ที่ตั้งของย่านอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมืองเชียงใหม่ ทำให้การเดินทางเข้าถึงสะดวก ระบบบริการสาธารณูปโภคพื้นฐานไฟฟ้าและน้ำประปาทั่วถึงและเพียงพอ 2) การใช้ประโยชน์ที่ดินมีความโดนเด่นผสมผสานระหว่างพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และย่านพาณิชยกรรม สามารถรองรับการอยู่อาศัยและการลงทุนของผู้ประกอบการเริ่มต้นในกลุ่มธุรกิจด้านเกษตรและอาหาร และ 3) ความพร้อมของสินทรัพย์ทางกายภาพในมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทั้งด้านพื้นที่เรียนรู้ พื้นที่บ่มเพาะทางธุรกิจ และนวัตกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ รวมถึงสินทรัพย์ทางกายภาพของหน่วยงานภาครัฐภายในย่านที่มีพื้นที่เรียนรู้ สร้างสรรค์นวัตกรรม และพื้นที่ทดลองทดสอบนวัตกรรมส่งเสริมการถ่ายทอดพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมของผู้ประกอบการ และ 4) พื้นที่กระตุ้นเศรษฐกิจภายในย่าน ได้แก่ สถาบันทางการเงิน ตลาดกระจายสินค้า และธุรกิจขนส่งที่มีความพร้อมส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจด้านการเกษตรและอาหาร</p>
พิทักษ์พงศ์ แบ่งทิศ
อรทัย มิ่งธิพล
ยศสรัล ศรีสุข
วิทยา ดวงธิมา
ปนวัฒน์ สุทธิกุญชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
222
236
10.14456/jare-mju.2025.39
-
แนวทางการพัฒนาเพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย ให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่องบนฐานบีซีจีโมเดล (BCG Model)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/265332
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย ประเมินความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าเกษตรปลอดภัย พัฒนาและยกระดับเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรทฤษฎีใหม่บ้านโนนทอง ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่องบนฐานบีซีจีโมเดล โดยดำเนินการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ตัวนักวิจัยและผู้ช่วยนักวิจัย แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และเทคนิคการสนทนากลุ่ม และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังการถ่ายทอดความรู้เป็นเครื่องมือในการวิจัย ผู้ให้ข้อมูล คือ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรทฤษฎีใหม่บ้านโนนทอง ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 20 ราย ในการสนทนากลุ่มประกอบด้วย ตัวแทนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 15 ราย ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง ตัวแทนจากคณะเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ สำนักงานเกษตรอำเภอกาบเชิง และคณะผู้วิจัยจำนวน 5 ราย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยที่เป็นสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยอยู่ในระดับที่ยังไม่เพียงพอต่อการที่จะดำเนินการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยอย่างถูกต้อง ตามมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP ของกรมวิชาการเกษตร นอกจากนี้ยังพบว่าเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จำนวน 19 ราย ยังขาดคุณสมบัติของการเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง เนื่องจากขาดคุณสมบัติทั้งด้านรายได้และคุณสมบัติพื้นฐาน (Developing Smart Farmer) และมีเพียง 1 รายที่มีคุณสมบัติของการเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Existing Smart Farmer) แนวทางในการพัฒนาเพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง ได้แก่ การให้ความรู้ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิต ทางการเกษตรที่ทำอยู่เดิมอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้และความเข้าใจในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จำเป็นต่อ การประกอบการตัดสินใจ การส่งเสริมให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างเกษตรกรกับตลาดในทุกระดับ การให้ความรู้และการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในการดำเนินการเพื่อการขอรับรองมาตรฐานการผลิตทางการเกษตร ในลักษณะต่าง ๆ การให้ความรู้เพิ่มเติมในการลดการใช้ปุ๋ยเคมี และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการจัดการศัตรูพืชอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมเพื่อกระตุ้นให้ทราบและเห็น ถึงความสำคัญของการปรับตัวเข้าสู่การทำการเกษตรอัจฉริยะ และการให้ความรู้ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย และการส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรในรายที่มีรายได้ต่ำกว่า 180,000 บาท/ครัวเรือน/ปี</p>
นิติพัฒน์ พัฒนฉัตรชัย
เพชรรัตน์ พรหมทา
นภาพรรณ พัฒนฉัตรชัย
สุวรรณี สุมหิรัญ
ต่อตระกูล เหมียดนอก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-26
2025-08-26
42 2
237
253
10.14456/jare-mju.2025.40