วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN <p>วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร (Journal Of Agricultural Research And Extension) เป็นวารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวกับวิชาการด้านการเกษตร อาหาร สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนวัตกรรมด้านการเกษตร และการส่งเสริมวิชาการเกษตร เป็นวารสารราย 4 เดือน กำหนดเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ในรูปแบบตีพิมพ์ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2526 (ISSN 0125-8850 : พิมพ์) และได้เผยแพร่ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ . 2562 (E- ISSN 2630-0206 จนถึง ปี พ.ศ. 2565) ปัจจุบันเผยแพร่ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ (ISSN 2985-0118 (Online)) </p> th-TH <p><span style="font-weight: 400;">บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</span></p> mju_journal@gmaejo.mju.ac.th (รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง) mju_journal@gmaejo.mju.ac.th (นางสาว รัญรณา ขยัน) Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกกัญชงพันธุ์ CBD type และ Superfood type https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260378 <p>การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการปลูก กัญชง (<em>Cannabis sativa</em> L.) พันธุ์ CBD type และพันธุ์ Superfood type ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ 1) การศึกษาเทคโนโลยีการปลูกและการเก็บเกี่ยวกัญชง พันธุ์ CBD type โดยศึกษาลักษณะประจำพันธุ์และผลของสูตรปุ๋ยที่มีต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิต โดยปลูกกัญชง 3 พันธุ์ ได้แก่ CD1 1:20 และ CD2 purple ร่วมกับวิธีการจัดทรงพุ่ม 3 แบบ ได้แก่ ไม่จัดทรงพุ่ม (ทรงต้นคริสต์มาส) Screen of Green (ScrOG) และ Low Stress Training (LST) และการให้ปุ๋ยแตกต่างกัน 3 สูตร ที่ระยะหลังปลูก 60 วัน ได้แก่ ไม่ใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25 กก./ไร่ และ 4-12-15 อัตรา 25 กก./ไร่ ผลการทดลองปรากฏว่าพันธุ์ CD2 purple ที่ไม่จัดทรงพุ่ม (ทรงต้นคริสต์มาส) และให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลังปลูก 60 วัน มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงที่สุด คือ ต้นมีความสูงมากที่สุด 382.0 ซม. น้ำหนักต้นมากที่สุด 12,500 กรัม มีจำนวนช่อ/ต้นมากที่สุด 35.3 ช่อ และความยาวช่อมากที่สุด 57.7 ช่อ และมีน้ำหนักช่อรวมมากที่สุด 8,066.7 กรัม และการศึกษาผลของพันธุ์และระยะเก็บเกี่ยวช่อดอกสุกแก่ ที่ 50, 75 และ 100% ต่อปริมาณสาระสำคัญในกัญชง พันธุ์ CBD type จำนวน 3 พันธุ์ ผลปรากฏว่าพันธุ์ CD1 เก็บเกี่ยวที่ระยะช่อดอกแก่ 50% มีปริมาณสาร CBD มากที่สุด 10.63%w/w ของน้ำหนักแห้ง และ 62.00% ของสารสกัดหยาบ และ 2) การศึกษาเทคโนโลยีการปลูกและเก็บเกี่ยวกัญชงพันธุ์ Superfood type โดยศึกษาผลของพันธุ์ที่การเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของกัญชง จำนวน 8 พันธุ์ ได้แก่ RPF1, RPF2, RPF3, RPF4, RPF5, RPF6, RPF7 และ RPF8 ผลปรากฏว่า พันธุ์ RPF6 ให้ผลผลิตเมล็ดต่อต้นสูงที่สุด 107.4 กรัม และให้เปอร์เซ็นต์น้ำมัน ที่สกัดสูง 15.3% ส่วนการศึกษาผลของพันธุ์และระยะ เก็บเกี่ยวต่อเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ด โดยศึกษา ในกัญชงจำนวน 8 พันธุ์ และระยะเก็บเกี่ยว 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเก็บเกี่ยวที่ 50, 75 และ 100% พบว่าพันธุ์ RPF6 เก็บเกี่ยวที่ระยะ 75% มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงที่สุด ที่ 94.0% ดังนั้น ควรแนะนำให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวเมล็ดกัญชง ที่ระยะ 75% สำหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อจำหน่าย และสกัดน้ำมัน</p> วชิระ เกตุเพชร, พุทธพงศ์ มะโนคำ, นันทภรณ์ เตจะสร้อย, พีรวุฒิ วงศ์สวัสดิ์, ประภัสสร ทิพย์รัตน์, สิริสุภาพร คำสุกดี, ชนากาณ ศรีเมือง, ศศิเทพ ชัยชม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260378 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของวัสดุปลูกต่อการเจริญเติบโตของต้นใบพายอัลบิดา (Cryptocoryne albida) ในระบบไฮโดรโปรนิกส์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261739 <p>ใบพายอัลบิดา <em>Cryptpcoryne albida</em> (R. Parker) เป็นพรรณไม้น้ำสวยงามเฉพาะถิ่นของไทย ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่สถานะภาพในธรรมชาติกลับมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการบุกรุกและการขยายพันธุ์ ในธรรมชาติที่ค่อนข้างช้า การใช้เทคโนโลยีระบบปลูกพืชไร้ดินแบบ Deep Flow Technique (DFT) เป็นทางเลือกหนึ่งที่นิยมใช้ในการเพาะขยายพันธุ์พรรณไม้น้ำ จึงทำการศึกษาผลของวัสดุปลูกที่แตกต่างกัน 3 ชนิด ต่อการเจริญเติบโตของใบพายอัลบิดาในระบบไฮโดรโปรนิกส์ ได้แก่ ฟองน้ำสีดำ (Sponge) ใยหิน (Rockwool) และ หินภูเขาไฟ (Pumice) ชุดการทดลองละ 4 ซ้ำ การทดลองซ้ำละ 10 ต้น เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยเก็บข้อมูล การเจริญเติบโตทุก ๆ 2 สัปดาห์ ได้แก่ ความยาวราก ความสูงต้น ความยาวใบ ความกว้างใบ และจำนวนใบ พบว่า ใบพายอัลบิดาที่ปลูกด้วยฟองน้ำสีดำส่งผลให้มีความยาวรากเฉลี่ย (16.98±1.73 ซม.) เพิ่มขึ้นสูงที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ส่วนการเจริญเติบโตทางด้านความสูงต้น (12.01±1.79 ซม.) ความยาวใบ (9.72±1.42 ซม.) ความกว้างใบ (0.65±0.10 ซม.) และจำนวนใบ (4.25±0.61 ใบ) มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&gt;0.05) กับวัสดุปลูกอื่น ๆ จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าฟองน้ำสีดำมีคุณสมบัติที่ดี ในการเป็นวัสดุปลูกพรรณไม้น้ำในระบบปลูกไร้ดิน เนื่องจากลักษณะที่มีรูพรุนไม่อัดแน่น ทำให้รากสามารถชอนไช ได้ง่าย มีช่องว่างสำหรับการแลกเปลี่ยนอากาศกับรากพรรณไม้น้ำ จึงช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบพายอัลบิดาให้สมบูรณ์ แข็งแรง และมีผลผลิตที่มีคุณภาพ</p> เบญญากร หล่าบรรเทา, ชนัตธาม โศธินบวรกฤต, นงนุช เลาหะวิสุทธิ์ , วรางคณา กาซัม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261739 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาชนิดดินปลูกและขนาดกระถางต่อการปลูกหน่อไม้น้ำสำหรับการเกษตรในเมือง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261717 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดของดินปลูกและขนาดกระถางปลูกต่อความสูงและจำนวนต้นของหน่อไม้น้ำ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design: CRD) การทดลองที่ 1 การศึกษาดินปลูกที่แตกต่างกัน จำนวน 5 กรรมวิธี การทดลองที่ 2 ศึกษาขนาดกระถางปลูก จำนวน 4 กรรมวิธี ผลการศึกษาการทดลองที่ 1 พบว่าหน่อไม้น้ำ ที่ปลูกในดินการค้า-2 ให้ความสูงของต้นและจำนวนหน่อสูงที่สุด ที่อายุ 75 วันหลังปลูก เท่ากับ 100.76 ซม. และ 14.00 ต้นต่อกระถาง ตามลำดับ สำหรับการศึกษาขนาดกระถางปลูกพบว่า เมื่อหน่อไม้น้ำอายุ 45, 60 และ 75 วันหลังปลูก จำนวนหน่อและความสูงในขนาดกระถาง 14 นิ้ว สูงกว่าการปลูกในกระถางขนาด 9, 11 และ 17 นิ้ว จากผลการศึกษานี้ทำให้ทราบว่าชนิดดินการค้า-2 และกระถางขนาด 14 นิ้ว มีความเหมาะสมต่อการใช้ปลูกหน่อไม้น้ำในระบบการเกษตรในเมือง</p> อภิสิทธิ์ ชิตวณิช, ธนาวัฒน์ เยมอ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261717 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของไคโตซานต่อการเจริญเติบโตของข้าวภายใต้สภาพขาดน้ำ ที่ระยะการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260585 <p>ไคโตซานสามารถใช้เพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้พืชที่อยู่ในสภาวะเครียด การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฉีดพ่นไคโตซานต่อผลผลิตของข้าวภายใต้สภาพขาดน้ำที่ระยะการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน โดยวางแผนการทดลองแบบ 2x5 factorial in CRD ทำการทดลอง 4 ซ้ำ โดยปัจจัย A คือ การฉีดพ่นไคโตซาน 2 วิธีการ คือ มีการฉีดพ่นและไม่ฉีดพ่นไคโตซาน และปัจจัย B คือ ระยะการเจริญเติบโตของข้าวที่ขาดน้ำ 5 ระยะ คือ การให้น้ำปกติ การขาดน้ำที่ระยะต้นกล้า ระยะแตกกอ ระยะสร้างรวงอ่อน และระยะออกรวง เริ่มดำเนินการ เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ 2565 ณ โรงเรือนสาขาวิชาพืชไร่ คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผลการทดลองพบว่า การฉีดพ่นไคโตซานมีผลทำให้ความสูง ความเขียวของใบ จำนวนหน่อต่อกอ จำนวนรวงต่อกอ ดัชนีการ เก็บเกี่ยว และผลผลิตมีความแตกต่างกันทางสถิติ โดยข้าวที่มีการฉีดพ่นไคโตซานสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าข้าวที่ไม่ได้ฉีดพ่นไคโตซาน 58.1% และการขาดน้ำของข้าว ที่ระยะการเจริญเติบโตแตกต่างกันมีผลทำให้ความสูงและความเขียวของใบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยิ่งไปกว่านั้นความเสียหายอย่างรุนแรงของผลผลิตที่เกิดจากการขาดน้ำที่ระยะออกรวงสามารถบรรเทาได้ด้วยการฉีดพ่นไคโตซาน ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาการสูญเสียของผลผลิตได้ 56.06% เมื่อเทียบกับการไม่ฉีดพ่นไคโตซาน</p> ธิดารัตน์ ศิริบูรณ์, กาญจนา จอมสังข์ , สัมพันธ์ ตาติวงค์ , อัษฎาวุธ สุวรรณชาติ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260585 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ถ่านชีวภาพดัดแปลงเสริมด้วยจุลินทรีย์บำรุงจากฟางข้าวสำหรับการส่งเสริมการเจริญ ของพืชและปรับปรุงดิน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260524 <p>จากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดซากวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรด้วยการเผาและคุณภาพดิน ที่เสื่อมโทรม การประยุกต์ใช้ถ่านชีวภาพในภาคการเกษตรกลายเป็นที่นิยมมากเนื่องจากความสามารถในการเก็บกักและปลดปล่อยธาตุอาหารรวมถึงการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งการใช้งานจริงในพื้นที่กลับพบข้อจำกัดและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันรวมถึงความสนใจที่จะพัฒนารูปแบบของถ่านให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของถ่านชีวภาพดัดแปลงเสริมด้วยจุลินทรีย์บำรุงจากเศษวัสดุเหลือทิ้งจากนาข้าวเพื่อใช้ปรับปรุงดินและส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช ในการศึกษาจะทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานถ่านชีวภาพในระดับโรงเรือนสำหรับการปลูกข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ กข 105 โดยจะทำการศึกษาหาสัดส่วนการใส่ถ่านชีวภาพ ที่เหมาะสมที่ความเข้มข้นของถ่านชีวภาพที่แตกต่างกัน 3 ระดับ คือ 1, 2 และ 3 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ซึ่งจะเก็บตัวอย่างดินก่อนและหลังการปลูกเพื่อวิเคราะห์หาคุณภาพทางกายภาพ เคมีและชีวภาพ และเก็บตัวอย่างพืชเพื่อวัดความสูงของต้น ความยาวของราก น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง จำนวนใบ จำนวนต้นต่อกอ จำนวนรวงและเมล็ด และปริมาณคลอโรฟิลล์ และทดสอบการตอบสนองในระดับการแสดงออกของยีนพืชที่ได้รับถ่านชีวภาพดัดแปลง ผลการศึกษาพบว่าการเติมถ่านชีวภาพดัดแปลงที่ 1 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ช่วยส่งเสริมให้ข้าวเจริญเติบโตดีที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ในขณะที่ถ่านชีวภาพดัดแปลงสามารถปรับปรุงคุณภาพของดินให้ดีขึ้นโดยมีปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ไนโตรเจนทั้งหมด ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และโพแทสเซียมที่สกัด ได้ในดินหลังการปลูกมีค่าสูงขึ้น จากการประเมินการแสดงออกของยีนพบว่าถ่านชีวภาพดัดแปลงสามารถเหนี่ยวนำการแสดงออกของยีน ISR ที่ช่วยเสริมฤทธิ์ ในการกระตุ้น ISR และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช</p> <p><strong> </strong></p> มุจลินทร์ ผลจันทร์, ทิพปภา พิสิษฐ์กุล, ปิยะนุช เนียมทรัพย์, ศรีกาญจนา คล้ายเรือง, นงคราญ พงค์ตระกุล, สุรศักดิ์ กุยมาลี, จักรพงษ์ ไชยวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260524 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความหลากชนิดและอัตราการเพิ่มพูนของไม้ไผ่ในพื้นที่ป่าชุมชน จังหวัดแพร่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260411 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายของชนิด และอัตราการเพิ่มพูนของไม้ไผ่ ในพื้นที่ป่าชุมชน อำเภอลอง จังหวัดแพร่ โดยทำการคัดเลือกพื้นที่ป่าชุมชน 3 แห่ง เป็นกลุ่มตัวอย่างของป่าชุมชนในอำเภอลอง ได้แก่ ป่าชุมชนบ้านปง ป่าชุมชนบ้านนาสาร และป่าชุมชนบ้านหัวฝาย ทำการวางแปลงตัวอย่างแบบเป็นระบบขนาด 20x20 ตารางเมตร ในพื้นที่ป่าชุมชนละ 25 แปลง รวมทั้งหมด 75 แปลง ทำการเก็บข้อมูล ด้านจำนวนกอไม้ไผ่ นับจำนวนลำ พร้อมทำการสุ่มจำนวน 3 ลำต่อกอ วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง วัดความสูงทั้งหมด ความกว้างของกอ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลค่าดัชนีความหลากของชนิดจากสมการของ Shanon–Wiener Index (H') และนับจำนวนตอไม้ไผ่สดที่ถูกตัด นับจำนวนหน่อไผ่ใหม่จากแปลงตัวอย่างชนิดละ 30 กอ เพื่อคำนวณอัตราการเพิ่มพูนของไม้ไผ่แต่ละชนิด</p> <p>ผลการศึกษาพบไม้ไผ่ จำนวน 5 ชนิด 4 สกุล ได้แก่ ไผ่ซางนวล (<em>Dendrocalamus membranaceu</em>s) ไผ่ข้าวหลาม (<em>Cephalostachyum pergracile</em>) ไผ่ไร่ (<em>Gigantochloa albociliata</em>) ไผ่ไล่ลอ (<em>Gigantochloa nigrociliata</em>) และไผ่บงดำ (<em>Bambusa tulda</em>) โดยในป่าชุมชนบ้านปง มี 5 ชนิด บ้านนาสาร มี 5 ชนิด และบ้านหัวฝาย มี 4 ชนิด ซึ่งไม่พบไผ่บงดำ โดยมีค่าดัชนีความหลากชนิด (H') ของไม้ไผ่ในพื้นที่บ้านปง เท่ากับ 1.00 บ้านนาสาร เท่ากับ 1.32 และบ้านหัวฝาย เท่ากับ 1.27 ขนาดของพื้นที่หน้าตัด (ตารางเมตร/เฮกแตร์) บ้านปง เท่ากับ 0.54 บ้านนาสาร เท่ากับ 0.49 และบ้านหัวฝาย เท่ากับ 0.63 และด้านความถี่โดยรวม (ร้อยละ) บ้านปง เท่ากับ 152 บ้านนาสาร เท่ากับ 196 และบ้านหัวฝาย เท่ากับ 212 ตามลำดับ อัตราการเพิ่มพูนของไม้ไผ่ ซางนวลในป่าชุมชนบ้านปงมากที่สุด 758 ลำ/ปี รองลงมา บ้านหัวฝาย จำนวน 608 ลำ/ปี และบ้านนาสาร จำนวน 368 ลำ/ปี ตามลำดับ</p> กฤษดา พงษ์การัณยภาส, แหลมไทย อาษานอก, พิทญาธร อิ่นแก้ว, วรรณอุบล สิงห์อยู่เจริญ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260411 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การจัดกลุ่มพันธุ์ข้าวไทยด้วยลำดับนิวคลีโอไทด์ที่แตกต่างของยีนซึ่งเกี่ยวข้องกับความทนแล้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260700 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดกลุ่มพันธุ์ข้าวไทย ร่วมกับพันธุ์ข้าวที่มีรายงานความทนแล้งจากโครงการ 3,000 Rice Genomes Project ด้วยการเปรียบเทียบลำดับนิวคลีโอไทด์ที่แตกต่างของยีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความทนแล้งจำนวน 4 ยีน ได้แก่ ยีน Soil surface rooting 1 (<em>OsSor1</em>) ยีน Deeper rooting 1 (<em>OsDro1</em>) ยีน NAC domain-containing protein 5 (<em>OsNAC5</em>) และยีน NAC domain-containing protein 6 (<em>OsNAC6</em>) ผลการเปรียบเทียบลำดับนิวคลีโอไทด์ของยีนทั้ง 4 ยีน จากข้าว 23 พันธุ์ พบลำดับนิวคลีโอไทด์ ที่แตกต่างจำนวน 147 ตำแหน่ง เมื่อนำมาจัดกลุ่มข้าว แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม I จำนวน 12 พันธุ์ เป็นกลุ่มอินดิกาและจาโปนิกา ที่การจัดกลุ่มสัมพันธ์กับระบบนิเวศการปลูก ลักษณะรากและความทนแล้ง กลุ่ม II จำนวน 11 พันธุ์ เป็นข้าวอินดิกาที่เป็นพันธุ์พื้นเมือง ข้าวไร่ และข้าวนาสวน ซึ่งไม่พบสัมพันธ์กับระบบนิเวศน์การปลูกอย่างชัดเจน นอกจากนั้นข้าวไทยพันธุ์เจ้าฮ่อ และขาวโป่งไคร้ อยู่กลุ่มเดียวกับข้าวไร่ที่มีลักษณะรากลึกทนแล้ง ซึ่งสามารถคัดเลือกไปใช้ในการพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับความทนแล้งต่อไป</p> แสงทอง พงษ์เจริญกิต, กนกวรรณ จันทร์เพ็ญ, ช่อทิพา สกูลสิงหาโรจน์, ยุพเยาว์ คบพิมาย Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260700 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์เห็ดถังเช่าทิเบต (Ophiocordyceps sinensis) จากดอกเห็ดถังเช่าทิเบตแห้งที่มาจากประเทศจีน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260344 <p>เห็ดถังเช่าทิเบต (<em>Ophiocordyceps sinensis</em>) เป็นเห็ดทางการแพทย์ที่มีการใช้ในยาแผนโบราณของจีนมายาวนาน ด้วยองค์ประกอบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลัก คือ โพลิแซ็คคาไรด์ คอร์ไดเซปิน และอะดีโนซีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกายและมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่โดดเด่น กล่าวคือ สามารถต้านมะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งดอกเห็ดดังกล่าวเป็นที่ต้องการและมีมูลค่าทางการตลาดสูง ทำให้เกิดวิกฤตวัตถุดิบจากธรรมชาติไม่เพียงพอ การเพาะเลี้ยงเส้นใยเพื่อทดแทนดอกเห็ดจึงถูกนำมาใช้ตอบสนองความต้องการของตลาด</p> <p>การศึกษาครั้งนี้เพื่อให้ได้สายพันธุ์ราเห็ดถังเช่าทิเบตบริสุทธิ์ที่ถูกต้อง โดยใช้การวิเคราะห์ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรา การวิเคราะห์ลำดับนิวคลีโอไทด์ และการวิเคราะห์สายวิวัฒนาการ จากการรวบรวมดอกเห็ด ถังเช่าทิเบตแห้งในธรรมชาติหลากหลายแหล่งที่มาจากประเทศจีน โดยใช้ทั้งส่วนของราที่งอกออกจากหัวหนอน (Stroma) และส่วนที่เป็นตัวหนอน (Sclerotium) ผลการวิจัยดังกล่าวพบว่ามีเพียง 1 ไอโซเลท ที่มีลักษณะโคโลนีและรูปร่างสัณฐานวิทยาที่คล้ายคลึงกับราเห็ด</p> <p>ถั่งเช่าทิเบต และทำการยืนยันด้วยเทคนิคทางชีววิทยาโมเลกุลโดยเปรียบเทียบลำดับนิวคลีโอไทด์ของไรโบโซมนิวเคลียสด้วยไพรเมอร์ ITS4 (5′-TCCTCCGCT TATTTGATATGC-3′) และ ITS5 (5′-GGAAGT AAAAGTCGTAACAAGG-3′) พบว่าราดังกล่าว คือ <em>Ophiocordyceps sinensis </em>เมื่อทำการเทียบสายวิวัฒนาการ (Phylogenetic tree) พบว่า <em>O. sinensis</em> ดังกล่าวอยู่ในวงศ์ Ophiocordycipitaceae</p> <p>การเลี้ยงราสายพันธุ์บริสุทธิ์ดังกล่าว สามารถเลี้ยงในอาหารวุ้นสูตร เพปโตน 10 กรัม เด็กซ์โทรส 40 กรัม ยีสต์สกัด 20 กรัม ผงวุ้น 15 กรัม และน้ำกลั่น 1 ลิตร ที่อุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส ในที่มืด เป็นเวลา 14 วัน โดยมีลักษณะโคโลนีที่ตรงกลางมีสีขาวถึงสีครีมอ่อนและรูปร่างกลม มีลักษณะของเส้นใยที่มีสีขาวขนนกซ้อนกันอย่างหนาแน่น เส้นใยแตกเป็นข้อแขนง มีเส้นใยอากาศปุยฟู และมีสปอร์รูปแท่งยาว 5-10 ไมโครเมตร ดังนั้นสายพันธุ์ราบริสุทธิ์ที่ได้จะสามารถใช้เป็นหัวเชื้อสำหรับการตรวจหาสารออกทธิ์ทางชีวภาพและทดสอบการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่อไป</p> สุวรรณโฉม ชาตินรินทร์, วิจิตรา แดงปรก, ภาวิณี อารีศรีสม, มงคล ถิรบุญยานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260344 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากดอกเอื้องคำสด ด้วยแก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปกโทรเมตรี/แมสสเปกโทรเมตรี ทริปเปิ้ลควอดรูโพล https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260582 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากดอกกล้วยไม้เอื้องคำสด โดยนำดอกกล้วยไม้เอื้องคำสดมากลั่นด้วยน้ำเพื่อแยกน้ำมันหอมระเหยออกมา แล้ววิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีด้วยแก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปกโทรเมตรี/แมสสเปกโทรเมตรี ทริปเปิ้ลควอดรูโพล ผลการศึกษาพบว่า ได้ร้อยละน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้เท่ากับ 0.09 (น้ำหนัก/น้ำหนักดอกสด) องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยพบสารที่เป็นองค์ประกอบหลักจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ ไฮโดรคาร์บอนที่อิ่มตัว แอลกอฮอล์ เทอร์ปีนที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เทอร์ปีน และกลุ่มของอัลเคน โดยน้ำมันหอมระเหยจากดอกกล้วยไม้เอื้องคำพบสารที่เป็นองค์ประกอบหลัก ได้แก่ n-eicosane (40.71%), n-heneicosane (25.71%), n-pentacosane (7.11%), α-phellandren-8-ol (5.42%) และ n-docosane (4.23%) ตามลำดับ</p> รุ่งทิพย์ กาวารี, นลิน วงศ์ขัตติยะ , ทิพย์สุดา ตั้งตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260582 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดผลิตภัณฑ์สปาบำรุงเส้นผมสูตรอ่อนโยนจากสารสกัดสมุนไพรไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261724 <p>ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในด้านการรักษาโรคและความงามเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลเส้นผม จึงเกิดแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการดูแลเส้นผม งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดผลิตภัณฑ์สปาบำรุงเส้นผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดสมุนไพรใบย่านาง ใบหมี่ กะเม็ง ดอกคำฝอย และทองพันชั่ง จากการวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในสารสกัดของพืชแต่ละชนิด พบว่าสารสกัดใบย่านางมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงกว่าสารสกัดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดได้ถูกพัฒนาพร้อมคุณสมบัติชะลอผมร่วงโดยมีสารสกัดใบย่านาง ใบหมี่ กะเม็ง ดอกคำฝอย และทองพันชั่ง ที่ร้อยละ 1.0, 1.0, 2.5, 2.5 และ 5.0 ตามลำดับ สูตรแชมพูและครีมนวดชะลอผมร่วงสำหรับผิวที่บอบบางถูกพัฒนาจนได้สูตรที่เหมาะสม มีคุณสมบัติที่ดี ไม่มีส่วนประกอบของโซเดียม ลอริลอีเทอร์ซัลเฟต (เอสแอลอีเอส) ไม่มีพาราเบน ไม่มีซิลิโคน และใช้สีธรรมชาติจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดสมุนไพรมีเนื้อผลิตภัณฑ์เป็นสีเขียว ค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 4 ถึง 6 และมีกลิ่นหอมอโรมาตามธรรมชาติ จากการประเมินความพึงพอใจทางประสาทสัมผัส (คะแนน 9 ระดับ) พบว่าผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดผมสมุนไพรมีค่าคะแนนความชอบโดยรวมเท่ากับ 7.0±0.6 และ 7.0±0.3 คะแนน ตามลำดับ จากการศึกษาความคงตัวของผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดผมสมุนไพรที่สภาวะเร่ง พบว่าผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมนวดสมุนไพรมีความคงตัว ไม่เกิดการแยกชั้น</p> ธนพล กิจพจน์, ศนิพร จันทร์บุรี Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261724 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 จลนพลศาสตร์ของการอบแห้งไพลที่อบแห้งด้วยรังสีอินฟราเรดไกลภายใต้สภาวะสุญญากาศ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260801 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจลนพลศาสตร์ของการอบแห้ง แบบจำลองการอบแห้ง ที่เหมาะสม และคุณภาพสำหรับการอบแห้งเหง้าไพลที่มีความหนา 5 มิลลิเมตร ด้วยรังสีอินฟราเรดไกลความเข้มรังสี 4,929, 6,550, 8,541 และ 10,955 วัตต์/ตารางเมตร ภายใต้สภาวะสุญญากาศที่ระดับ 5 กิโลปาสคาล ที่ความชื้นเริ่มต้น 3.58±0.04 กรัม น้ำ/กรัม วัสดุแห้ง จนความชื้นสุดท้ายเท่ากับ 0.10±0.02 กรัม น้ำ/กรัม วัสดุแห้ง พบว่าใช้เวลาในการอบแห้งเท่ากับ 145, 85, 55 และ 35 นาที กระบวนการอบแห้งที่เกิดขึ้นเป็นช่วงอัตราการอบแห้งลดลงที่ทุก ๆ สภาวะการอบแห้ง จากข้อมูล ผลการทดลองใช้แบบจำลองการอบแห้งจำนวน 5 แบบจำลอง โดยความถูกต้องของแบบจำลองจะพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R<sup>2</sup>) และค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (RMSE) พบว่าแบบจำลองการอบแห้ง Midilli <em>et al</em>. (2002) ให้ผลการทำนายการอบแห้งดีที่สุด โดยให้ค่า R<sup>2</sup> สูงที่สุด ในขณะที่ให้ค่า RMSE น้อยที่สุด ตามลำดับ ค่าสัมประสิทธิ์การแพร่ความชื้นประสิทธิผลมีค่าอยู่ระหว่าง 0.59x10<sup>-7</sup> – 2.75x10<sup>-</sup><sup>7</sup> ตารางเมตร/วินาที และค่าพลังงานที่ใช้ในการกระตุ้นการเคลื่อนที่ของสสาร มีค่าเท่ากับ 17.97 กิโลจูล/โมล คุณภาพของเหง้าไพลแห้งพบว่า ค่าความเป็น สีเหลืองมีแนวโน้มลดลงเมื่อความเข้มรังสีในการอบแห้งเพิ่มขึ้น สำหรับความหนาแน่นมวลรวมและการหดตัว มีค่าอยู่ระหว่าง 0.19-0.31 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร และ 77.57-93.47 เปอร์เซ็นต์ โดยพบว่าเมื่อความเข้มรังสีเพิ่มขึ้นจะมีค่าความหนาแน่นมวลรวม และการหดตัวเพิ่มขึ้น แต่ในการอบแห้งด้วยความเข้มรังสี 4,929 และ 6,550 วัตต์/ตารางเมตร ไม่มีความแตกต่างกัน</p> เศรษฐวัฒน์ ถนิมกาญจน์, ชวกร มุกสาน, ชโลธร ศักดิ์มาศ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260801 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ซุปปลิงกาหมาดพร้อมบริโภค https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260712 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาสูตรซุปปลิงกาหมาดพร้อมบริโภค โดยทำการศึกษาเพื่อค้นคว้าหาสูตรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเตรียมซุปจากน้ำซุป 4 สูตร (สูตรควบคุม สูตรที่ใช้อัตราส่วนปลิงทะเล 50, 100 และ150 กรัม) รวมถึงการทดสอบประสาทสัมผัสเพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภค นำสูตรที่ได้รับการตอบรับดีที่สุดวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการและระยะเวลาในการเก็บรักษา ผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภค ให้การยอมรับสูตรที่ใช้อัตราส่วนปลิงกาหมาด 100 กรัม มากที่สุด ผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของ ซุปปลิงกาหมาด พบว่า มีค่าความชื้น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เถ้า และไขมัน ร้อยละ 91.55 5.18 2.05 1.02 และ 0.20 ตามลำดับ ซุปปลิงกาหมาดต่อหนึ่งขวดบริโภค ขนาด 50 กรัม มีพลังงาน 15 กิโลแคลอรี น้ำตาล 2 กรัม และโซเดียม 0.2 กรัม การบริโภคซุปนี้มีข้อดีในแง่ของพลังงานต่ำ น้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ และเกลือต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักและคำนึงถึงสุขภาพ ซุปปลิงที่ทำการ เก็บรักษา เป็นระยะเวลา 56 วัน พบว่าไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด และจุลินทรีย์ <em>Escherichia coli, Staphylococcus aureus, Salmonella</em> spp. และ <em>Vibrio</em><em> parahaemolyticus</em> โดยผลิตภัณฑ์ซุปปลิงกาหมาดจึงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ประเภทซุปเห็ดสำเร็จรูปตามมาตรฐาน มผช. 1505/2562</p> ชุตินุช สุจริต, ลักษมี วิทยา Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260712 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของชาเลือดมังกรพร้อมดื่มระหว่างการเก็บรักษา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261521 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาเลือดมังกรพร้อมดื่ม โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของเครื่องดื่มในระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (30±2°ซ.) และอุณหภูมิตู้เย็น (4±2°ซ.) เป็นระยะเวลา 24 วัน จากผลการทดลองพบว่าเครื่องดื่มชาเลือดมังกรที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง สามารถเก็บได้เพียง 1 วัน ณ วันที่ผลิต ในขณะที่เครื่องดื่มชาเลือดมังกรที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิตู้เย็นสามารถเก็บรักษาได้นาน 15 วัน เครื่องดื่ม ชาเลือดมังกรที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องมีการเปลี่ยนแปลงของสีอย่างชัดเจน แสดงค่ามุมของสี (Hue angle) จากเฉด สีแดง-ม่วง (Red purple) เป็นเฉดสีเหลือง-แดง (Yellow red) มีค่าการส่องผ่านของแสง (Transmittance, %T<sub>670</sub>) สูง มีค่าความเป็นด่างลดลง ปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ในรูปกรดซิตริกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) การเก็บรักษาที่อุณหภูมิตู้เย็นสามารถช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของค่าสี โดยเครื่องดื่มชาเลือดมังกรยังคงแสดงค่า Hue angle เป็นเฉดสีแดง-ม่วง ตลอดระยะเวลาการเก็บรักษา มีค่าความเป็นกรด-ด่างและปริมาณกรดที่ไทเทรตได้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ส่วนคุณภาพทางจุลินทรีย์พบว่าเครื่องดื่มชาเลือดมังกรที่เก็บรักษา ที่อุณหภูมิห้องมีเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด ยีสต์และรา เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าการเก็บรักษาที่อุณหภูมิตู้เย็น จึงส่งผลให้มีอายุการเก็บรักษาสั้น ทั้งนี้ในการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของเครื่องดื่มชาเลือดมังกรที่เก็บรักษา ที่อุณหภูมิตู้เย็นพบว่าผู้บริโภคยังคงให้คะแนนความชอบด้านรสชาติอยู่ในระดับปานกลางตลอดระยะเวลาการเก็บรักษานาน 15 วัน</p> ภาสุรี ฤทธิเลิศ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261521 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อคัดแยกระดับความสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้โดยใช้เทคนิคค่าเฉลี่ยของสี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261800 <p>วัตถุประสงค์ในการวิจัยนี้ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ในการคัดมะม่วงด้วยระดับความเข้มของสี หลักการทำงานของระบบใช้การวิเคราะห์หาระดับความเข้มของค่าเฉลี่ยของกลุ่มสีแดง เขียว น้ำเงิน เพื่อใช้ทดสอบในการคัดแยกมะม่วงด้วยสี ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบที่ได้จากการประมวลผลภาพด้วย อัลกอริทึมที่พัฒนาใหม่ จากกลุ่มภาพตัวอย่าง 6 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ภาพ รวม 60 ภาพ ในระดับมาตรฐานของภาพ 640x480 พิกเซล ความแม่นยำของกลุ่มที่ 1 มีค่าเฉลี่ย 80% ความแม่นยำของกลุ่มที่ 2 มีค่า เฉลี่ย 80% ความแม่นยำของกลุ่มที่ 3 มีค่าเฉลี่ย 90% ความแม่นยำของกลุ่มที่ 4 มีค่าเฉลี่ย 90% ความแม่นยำของกลุ่มที่ 5 มีค่าเฉลี่ย 90% ความแม่นยำของกลุ่มที่ 6 มีค่าเฉลี่ย 100% และความแม่นยำของค่าเฉลี่ยรวม 88.33% วิธีการใช้ระบบต้องเพิ่มอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพเชื่อมกับคอมพิวเตอร์แล้วทำการจับภาพผลมะม่วงโดยตรงจากกล้อง หรือนำภาพจากกล้องถ่ายภาพทั่วไป ที่สามารถนำมาประมวลผลกับซอฟต์แวร์ได้</p> <p>ภาพรวมระบบที่พัฒนาถือว่ามีประสิทธิภาพ อยู่ในระดับดีมาก แสดงว่าคุณภาพในการเปรียบเทียบระดับความเข้มสีของอัลกอลิทึมที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีความเที่ยงตรงสูง และมีความเหมาะสมต่อการนำไปประยุกต์ใช้งาน ในการประมวลผลคัดแยกมะม่วงด้วยการวิเคราะห์สีต่อไป</p> <p> </p> วิทยา บุญสุข, จิ่ม ยืนนาน , วัฒนา ศรีวะรมย์ , ศักดิ์ชัย ศรีสุข Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261800 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ไมโครเอนแคปซูเลชันสารสกัดเห็ดหลินจือสำหรับควบคุมการปลดปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ ในสภาวะเลียนแบบทางเดินอาหารสัตว์ปีก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260350 <p>เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสามารถใช้เป็นสารเสริมพัฒนาสุขภาพทางเดินอาหาร สัตว์ปีก อย่างไรก็ตามสารต้านอนุมูลอิสระมีความคงตัวค่อนข้างต่ำ และมีข้อจำกัดในการนำส่งสู่ลำไส้ ไมโคร เอนแคปซูเลชันเป็นเทคนิคเพื่อปรับปรุงความเสถียร ชีวปริมาณสารออกฤทธิ์ และควบคุมการปลดปล่อยสารออกฤทธิ์ที่บริเวณเป้าหมาย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสารสกัดเห็ดหลินจือไมโครแคปซูล ประเมินการปลดปล่อยสารและความเสถียร ภายใต้สภาวะเลียนแบบทางเดินอาหารสัตว์ปีก โซเดียมอัลจิเนตถูกใช้เป็นสารห่อหุ้มเพื่อสร้างอัลจิเนตไมโครแคปซูลที่บรรจุสารสกัดเห็ดหลินจือเป็นต้นแบบสารเสริมอาหารสัตว์ ทำการประเมินประสิทธิภาพการกักเก็บสาร ประสิทธิภาพการบวมตัว การปลดปล่อยสาร และความเสถียรของสารต้านอนุมูลอิสระ อัลจิเนตไมโครแคปซูลมีความสามารถกักเก็บสารสูง (73.50±0.05%) เทอร์โมกราวิเมตริกพิสูจน์ได้ว่าไมโครแคปซูลปรับปรุงเสถียรภาพทางความร้อน ผลการบวมตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพที่ดีของไมโครแคปซูล (64.96±2.04% and 86.00±1.77% ในกระเพาะและลำไส้ ตามลำดับ) ขณะที่ไมโครแคปซูลแสดงการปลดปล่อยสารสกัดเห็ดหลินจือในกระเพาะอาหาร (41.00±1.98%) และในลำไส้ (85.02±2.33%) นอกเหนือจากนี้อัลจิเนตไมโครแคปซูลรักษาคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระ ภายใต้สภาวะความทนทานต่อกรด น้ำดี ทริปซิน รวมถึงความร้อนได้ดี สรุปได้ว่าอัลจิเนต ไมโครแคปซูลสามารถขับเคลื่อนประสิทธิภาพของสารสกัดเห็ดหลินจือ ยา และสารออกฤทธิ์อื่น ๆ ดังนั้นสารสกัดเห็ดหลินจือไมโครแคปซูลสามารถใช้เป็นสารเสริมอาหารสัตว์ และจะมีการศึกษาในสัตว์ทดลองต่อไป</p> <p><strong> </strong></p> สุรีรัตน์ ถือแก้ว, ปิยาพัชร เพ็ชรวัฒนาภา, ทองเลียน บัวจูม, บัวเรียม มณีวรรณ์, อัมพร คำฟองเครือ, ปรีชา รัตนัง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260350 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การสำรวจไวรัสโคโรนาในนกในประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260362 <p>เชื้อไวรัสโคโรนาเป็นเชื้อที่พบได้ในสัตว์หลายชนิดและก่อให้เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อันเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพคน สัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่า การเฝ้าระวังไวรัสโคโรนาในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้นำไปสู่การค้นพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จำนวนมาก แต่ยังมีการศึกษาเชื้อไวรัสโคโรนาในนกธรรมชาติน้อยมาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงสำรวจเชื้อไวรัสโคโรนาในกลุ่มนกชายเลน นกเป็ดน้ำ นกลุยน้ำ นกเกาะคอน และนกเขานกพิราบในประเทศไทย โดยเก็บตัวอย่างสวอบปากและช่องทวารร่วม ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึงกันยายน พ.ศ. 2565 เพื่อตรวจหาไวรัสโคโรนาทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธีปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสและการเปรียบเทียบลำดับรหัสพันธุกรรม ผลการศึกษาสามารถเก็บตัวอย่างนกทั้งสิ้น 530 ตัวอย่าง จากนก 24 ชนิด จำนวน 265 ตัว เป็นกลุ่มนกชายเลน กลุ่มเป็ดน้ำ กลุ่มนกเกาะคอน กลุ่มนกเขานกพิราบ และกลุ่มนกลุยน้ำ ร้อยละ 41.51 (110/265), 21.13 (56/265), 20.38 (54/265), 10.19 (27/265) และ 6.79 (18/265) ตามลำดับ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการแสดงอัตราการพบเชื้อไวรัสโคโรนา ร้อยละ 6.03 (16/265) เป็นกลุ่มแกมมาโคโรนาไวรัส จากเป็ดแดง (<em>Dendrocygna javanica</em>) ร้อยละ 6.52 (3/46) และนกนางนวลแกลบเคราขาว (<em>Chlidonias hybrida</em>) ร้อยละ 2.63 (1/38) และกลุ่มเดลตาโคโรนาไวรัสจากนกยางควาย (<em>Bubulcus coromandus</em>) ร้อยละ 100 (6/6) นกกาน้ำ ปากยาว (<em>Phalacrocorax fuscicollis</em>) ร้อยละ 33.33 (2/6) นกยางเปีย (<em>Egretta garzetta</em>) ร้อยละ 28.57 (2/7) นกพิราบ (<em>Columba livia</em>) ร้อยละ 9.09 (1/11) และ นกนางแอ่นบ้าน (<em>Hirundo rustica</em>) ร้อยละ 6.66 (2/30) โดยนกที่ตรวจพบเชื้อไม่มีอาการป่วยผิดปกติ เชื้อไวรัส ทั้ง 2 กลุ่ม เป็นเชื้อที่มีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อที่พบในนกกลุ่มเดียวกันในภูมิภาคอื่น จากการศึกษาในครั้งนี้ไม่พบเหตุการณ์การป่วยหรือตายผิดปกติของนกในพื้นที่ศึกษา อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาในครั้งนี้แสดงถึงการหมุนเวียนของเชื้อและบทบาทของนกต่อการถ่ายทอดเชื้อไวรัสในพื้นที่ประเทศไทย ดังนั้นควรดำเนินการเฝ้าระวังไวรัสโคโรนาในนกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าใจระบาดวิทยาของเชื้อไวรัสในนกเหล่านี้และเพื่อติดตามวงจรการถ่ายทอดเชื้อไวรัสในภูมิภาคนี้</p> ภัคพล ศิลปานนท์, เจริญชัย โตไธสง, กิรณา นรเดชานนท์, อนัญพร สุภัทรกุล, ณัฐกานต์ ทิพม้อม Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/260362 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/255669 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการปลูกพริกไทยสายพันธุ์ปะเหลียน ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน เพื่อประโยชน์สำหรับการวางแผนในส่งเสริมการปลูกพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง และพื้นที่อื่นที่มีลักษณะทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม คล้ายคลึงกันให้ก้าวหน้าขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 21 ราย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 55.33 ปี จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือ สูงกว่า มีสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 3.61 คน ทำการเกษตรเฉลี่ย 1.95 คน รายได้เฉลี่ย 18,095.23 บาทต่อเดือน มีหนี้สินเฉลี่ย 374,117.64 บาทต่อครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเกษตรจากโทรทัศน์ และมีการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเกษตรทุกวัน ระบบการปลูกพริกไทยสายพันธุ์ปะเหลียนของเกษตรกรนั้น พบว่า เกษตรกรมีประสบการณ์ในการปลูกพริกไทยมาแล้วเฉลี่ย 2.57 ปี มีพื้นที่ถือครองทั้งหมดเฉลี่ย 10.52 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกพริกไทยเฉลี่ย 1.71 ไร่ แหล่งพันธุ์เริ่มต้นปลูกครั้งแรกได้มาจากในหมู่บ้าน ปลูกเพื่อจำหน่ายเป็นหลัก แต่ไม่เคยผ่านการอบรมความรู้เกี่ยวกับการปลูกพริกไทยมาก่อน ลักษณะการปลูกเป็นเชิงเดี่ยว ต้นพันธุ์ใช้การปักชำ มีการใช้ค้างเสาปูน ปลูกระยะ 2x2 เมตร เฉลี่ย 1.85 ต้นต่อค้าง ใช้แหล่งน้ำบาดาล ไม่มีการวิเคราะห์ธาตุอาหารดิน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นส่วนใหญ่ ระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งแรกหลังปลูกเฉลี่ย 13.50 เดือน และเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งต่อไปเฉลี่ย 3.50 เดือน การใช้ปัจจัยการผลิตในกรณีปลูกสร้างแปลงพริกไทยใหม่ (อายุไม่เกิน 1 ปี) มีต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ย 85,565.48 บาทต่อไร่ กรณีแปลงพริกไทยที่ให้ผลผลิตแล้ว (อายุ 1 ปีขึ้นไป) มีผลผลิตเฉลี่ย 127.50 กิโลกรัมแห้งต่อไร่ ราคาจำหน่ายเฉลี่ย 400 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าผลผลิตเฉลี่ย 48,640.00 บาทต่อไร่ ต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 2,123.59 บาทต่อไร่ ต้นทุนคงที่เฉลี่ย 2.17 บาทต่อไร่ รายได้สุทธิเฉลี่ย 46,948.00 บาทต่อไร่ และกำไรสุทธิเฉลี่ย 46,911.00 บาทต่อไร่ ถึงแม้จะให้ผลผลิตแห้งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น เช่น พันธุ์ซาลาวัค ของพื้นที่ การผลิตจังหวัดจันทบุรีและระยอง แต่เกษตรกรได้รับราคาที่ค่อนข้างดีกว่าราคาในพื้นที่อื่น ๆ และใช้ปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ยที่เน้นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีต้นทุนต่ำกว่าปุ๋ยเคมี และสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้นจึงต้องมีการส่งเสริมการผลิตหรือปลูกพริกในวิธีการดังกล่าวเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มองค์ความรู้ในการผลิตตามหลักวิชาการให้แก่เกษตรกรตามปัญหาที่ประสบ</p> รัตนา อุ่นจันทร์, นภัสวรรณ เลี่ยมนิมิตร Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/255669 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาระบบการผลิตและการตลาดไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/258868 <p>การวิจัยเรื่องนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการผลิตและการตลาดไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสม ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสม จำนวน 30 ราย โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง ผลการศึกษาด้านต้นทุนผลตอบแทนการผลิตไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสม พบว่า เกษตรกรมีรายได้สุทธิต่อรอบการผลิต จำนวน 3.09 บาท/ตัว/รอบการผลิต และรายได้เหนือต้นทุนเงินสด จำนวน 18.68 บาท/ตัว/รอบการผลิต และมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุน (ROI) เท่ากับ 2.82&nbsp; ด้านต้นทุนรวมในการเลี้ยงไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสม เป็นจำนวน 109.41 บาท/ตัว/รอบการผลิต&nbsp; โดยแยกเป็นต้นทุนคงที่ ประกอบด้วย ค่าเสื่อมราคาโรงเรือนและอุปกรณ์ ค่าเสียโอกาสการใช้ที่ดิน และค่าเสียโอกาสเงินลงทุน โดยเป็นค่าเสียโอกาสเงินลงทุนมากที่สุด&nbsp; ด้านต้นทุนผันแปรรวม ประกอบด้วย ค่าอาหาร ร้อยละ&nbsp; 72.93 ค่าพันธุ์ ร้อยละ&nbsp; 10.97&nbsp; และ ค่าเสียโอกาสแรงงานครัวเรือนที่ไม่เป็นเงินสด ร้อยละ 8.96&nbsp; ตามลำดับ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่า กลุ่มเกษตรกรนิยมจำหน่ายไก่พื้นเมืองลูกผสม ให้กับผู้บริโภคในชุมชน ร้านอาหารในชุมชน หรือกลุ่มวิสาหกิจในชุมชนฯ โดยตรงมากที่สุด เนื่องจากความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร และทำการติดต่อซื้อขายไก่พื้นเมืองหลากหลายสายพันธุ์กันมาเป็นระยะเวลายาวนาน&nbsp; รองลงมาคือจำหน่ายให้แก่ พ่อค้ารวบรวมในท้องถิ่น และจำหน่ายให้แก่พ่อค้าส่ง/พ่อค้าปลีกที่มารับซื้อในชุมชน ตามลำดับ ทั้งนี้จากการประชุมกลุ่มย่อย ร่วมกับเกษตรกร พ่อค้ารวบรวม พ่อค้าส่ง/พ่อค้าปลีกไก่พื้นเมืองลูกผสม และผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมจำนวน 12 ราย เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาการผลิตไก่คอล่อนศรีวิชัยลูกผสมเชิงการค้า โดยใช้เครื่องมือทางการตลาด (4P’s) ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภคนิยมไก่พื้นเมืองลูกผสมที่มีความนุ่ม แน่น และไม่เหนียว น้ำหนักตัวประมาณ 1.2 – 1.5 กิโลกรัม&nbsp; ด้านราคา โดยมีระดับราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพที่คาดว่าจะได้รับ ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ &nbsp;รวมทั้งการส่งเสริมการตลาด ในส่วนของการให้ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการที่ดีจากไก่พื้นเมืองลูกผสม อีกทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรช่วยกันประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ เพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการบริโภคไก่พื้นเมืองลูกผสมในอนาคต</p> จรีวรรณ จันทร์คง, ณปภัช ช่วยชูหนู, บัณฑิตา ภู่ทรัพย์มี โปณะทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/258868 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 พลวัตของตลาดและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการค้าไก่พื้นเมืองในจังหวัดพัทลุง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261472 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะทั่วไปของการซื้อขายไก่พื้นเมือง โครงสร้างการตลาด พฤติกรรมตลาด และผลการดำเนินงานการตลาดไก่พื้นเมืองในจังหวัดพัทลุง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการค้าไก่พื้นเมือง 3 กลุ่ม คือ ผู้รวบรวมระดับท้องถิ่น จำนวน 6 คน ผู้รวบรวมระดับจังหวัด จำนวน 4 คน ผู้ค้าปลีกไก่ชำแหละ จำนวน 16 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาและเชิงคุณภาพ จากการศึกษาพบว่า การซื้อขายไก่พื้นเมืองในตลาด จำแนกเป็นไก่มีชีวิตและไก่ชำแหละ โครงสร้างตลาดไก่มีชีวิตเป็นแบบตลาดผู้ขายมากราย ผู้ซื้อกึ่งน้อยราย โครงสร้างตลาดไก่ชำแหละเป็นตลาดผู้ซื้อมากราย ผู้ขายน้อยราย ผลการดำเนินงานตลาดไก่มีชีวิตของผู้รวบรวมระดับท้องถิ่น ส่วนเหลื่อมการตลาด 8.40 บาทต่อกิโลกรัม ประสิทธิภาพการตลาดจากราคา และประสิทธิภาพการตลาดทางเทคนิค 112.24 และ 9.17 ตามลำดับ ผู้รวบรวมระดับจังหวัด ส่วนเหลื่อมการตลาด 17.59 บาทต่อกิโลกรัม ประสิทธิภาพการตลาดจากราคา และประสิทธิภาพการตลาดทางเทคนิค 124.73 และ 5.04 ตามลำดับ ผลการดำเนินงานตลาดไก่ชำแหละของผู้ค้าปลีกซื้อไก่จากเกษตรกร ส่วนเหลื่อมการตลาด 63.04 บาทต่อกิโลกรัม ประสิทธิภาพการตลาดจากราคา และประสิทธิภาพการตลาดทางเทคนิค 191.41 และ 3.12 ตามลำดับ ผู้ค้าปลีกซื้อไก่จากผู้รวบรวม ส่วนเหลื่อมการตลาด 59.29 บาทต่อกิโลกรัม ประสิทธิภาพการตลาดจากราคา และประสิทธิภาพการตลาดทางเทคนิค 179.05 และ 2.21 ตามลำดับ</p> ดำรงค์รักษ์ รักบุรี, บัญชา สมบูรณ์สุข, สุธา วัฒนสิทธิ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/261472 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร ในอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/262615 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกร 2) ระดับความรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร 4) ปัญหาและข้อเสนอแนะ 5) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว เก็บข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวรอบนาปี พ.ศ. 2566 จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ Chi-Square</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 54.96 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประสบการณ์ในการปลูกข้าวเฉลี่ย 22.39 ปี เกษตรกรเลือกปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ กข41 ขนาดพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 22.69 ไร่ โดย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เช่า ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ย 28.94 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งหว่านในนาน้ำตม ต้นทุนการผลิตข้าวเฉลี่ย 4,562 บาทต่อไร่ ปริมาณผลผลิตเฉลี่ย 906 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาขายผลผลิตเฉลี่ย 10,204 บาทต่อตัน ผลตอบแทนจากการปลูกข้าวเฉลี่ย 4,731 บาทต่อไร่ 2) ระดับความรู้ของเกษตรกรอยู่ในระดับปานกลาง 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด พบว่าเกษตรกรให้ความสำคัญในด้านผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการส่งเสริมการขาย 4) ปัญหาที่เกษตรกรพบมาก คือ ปัญหาด้านผลิตภัณฑ์ ได้แก่ คุณภาพ และราคาเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งเกษตรกรกรมีความต้องการให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาควบคุมมาตรฐาน และราคาตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าว 5) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร พบว่าลักษณะดินปลูก แหล่งน้ำที่ใช้ แหล่งซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าว ราคาเมล็ดพันธุ์ข้าว ปริมาณผลผลิต ผลตอบแทน ระดับความรู้ และการประชาสัมพันธ์ผ่านเพื่อนบ้านและผู้นำชุมชน มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p> ปทุมมาลย์ นาคสมพันธ์, เชิดพงษ์ ขีระจิตต์, จิรัฐินาฏ ถังเงิน Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/262615 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700 บทบรรณาธิการ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/266043 <p>วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร ปีที่ 41 ฉบับที่ 3 (กันยายน–ธันวาคม 2567) เป็นฉบับสุดท้ายของปี พ.ศ. 2567 ก่อนอื่นใด ทางกองบรรณธิการวารสารวิจัย ฯ ต้องขอแสดงความเสียใจ และมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฝนที่สร้างความเสียหายทั้งภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ โดยในช่วงสามเดือนท้ายของปีนี้ จังหวัดเชียงรายเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ ราษฎรได้รับผลกระทบกว่า 60,000 ครัวเรือน พื้นที่เกษตรและปศุสัตว์ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ในขณะที่ภาคใต้นั้น สถานการณ์อุทกภัยครอบคลุมพื้นที่กว่า 11 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เกษตรกรและพื้นที่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบจำนวนมาก ผลกระทบ&nbsp; และความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเราตกอยู่ในภาวะการแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศอย่างมาก&nbsp; การปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการผลิตพืชและสัตว์จึงมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง</p> <p>วารสารวิจัย ฯ ฉบับนี้ ท่านจะได้พบกับบทความวิจัยและบทความวิชาการ ในประเด็นต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ ได้แก่ การศึกษาวิจัยด้านเทคโนโยลีการปลูกพืชต่างๆ การศึกษาวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การคัดเลือกสายพันธุ์ การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์พืชและสมุนไพร งานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตและการตลาดของไก่พื้นเมือง ตลอดจนงานวิจัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่หลากหลาย</p> <p>วารสารวิจัย ฯ หวังว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยเพื่อเป็นการส่งเสริมและแลกเปลี่ยน&nbsp; องค์ความรู้เพื่อช่วยกันพัฒนาการเกษตรไทยให้ก้าวหน้าและทันต่อการเปลี่ยนแปลงยิ่ง ๆ ขึ้นไป และในศุภวารดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 นี้ กระผมและกองบรรณาธิการวารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร ขอให้ทุกท่านได้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ให้สุขภาพแข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และสุขสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ&nbsp;&nbsp; ด้วยเทอญ แล้วพบกันใหม่ในฉบับหน้า 2568 ครับ</p> รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/266043 Wed, 25 Dec 2024 00:00:00 +0700