https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/issue/feed Journal of SciTech-ASEAN 2025-08-03T00:00:00+07:00 รองศาสตรจารย์ ดร.เตชภณ ทองเติม spsc_network@hotmail.com Open Journal Systems <div class="page" title="Page 2"> <div class="layoutArea"> <div class="column"> <p style="font-weight: 400;"><strong>Journal of SciTech-ASEAN (JSTA) </strong>เร่ิมพิมพ์ เผยแพร่ในรูปแบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ในปี พ.ศ. 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ และเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา นักวิจัย และอาจารย์ ในด้านการ ศึกษาและวิจัย โดยวารสารได้รับการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการจาก ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) และได้รับผลการประเมินให้วารสารอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 1 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2568 และได้รับการรับรองต่อเนื่องจนไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572</p> <p> การดำเนินการจัดทำวารสารดังกล่าว กำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม) โดยตีพิมพ์เผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เลข ISSN 3088-2575 ซึ่งวารสารดำเนินการเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เป็นหลักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 หรือวารสารปีที่ 2 ฉบับที่ 1 </p> </div> </div> </div> <p>บทความทุกบทความจะ<strong>ต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านที่มาจากหลากหลายสถาบัน</strong> และใช้กระบวนการปิดบังชื่อผู้แต่งและผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณาบทความ</p> <p>บทความที่ได้รับการเผยแพร่ทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ</p> <p> </p> <p> </p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/267185 การใช้โพสไบโอติกเป็นอาหารเสริมในการเลี้ยงสัตว์น้ำ 2025-06-02T17:29:08+07:00 ชนกันต์ จิตมนัส chanagun1@hotmail.com ฐปนขจร ปันแจ่ม thapanakhajorn@gmail.com <p>โพสไบโอติก (Postbiotics) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจุลินทรีย์โปรไบโอติก โดยประกอบด้วยเซลล์จุลินทรีย์ที่ตายแล้ว ส่วนประกอบของเซลล์แบคทีเรียและเมแทบอไลต์ต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นระหว่างกระบวนการเมตาบอลิซึม ซึ่งมีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพและการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการเกี่ยวกับโพสไบโอติก โดยครอบคลุมถึงวิธีการเตรียม องค์ประกอบทางชีวภาพ กิจกรรมทางชีวภาพ ตลอดจนประสิทธิภาพของโพสไบโอติกในฐานะสารเติมแต่งอาหารสัตว์น้ำ จากการศึกษาวิจัย พบว่าโพสไบโอติกสามารถส่งผลเชิงบวกต่ออัตราการเจริญเติบโต การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน สุขภาพของระบบทางเดินอาหารและความสามารถในการต้านทานโรคของสัตว์น้ำหลายชนิด อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ ปริมาณการใช้ที่เหมาะสมและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ อันเป็นอุปสรรคต่อการประยุกต์ใช้ในระดับอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงเสนอแนะให้มีการวิจัยเชิงลึกเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาสูตรโพสไบโอติกที่มีประสิทธิภาพสูง และศึกษาศักยภาพในการเสริมฤทธิ์ร่วมกับสารเติมแต่งอาหารชนิดอื่น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะ และส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในระยะยาว</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of SciTech-ASEAN https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266370 การเสริมประสิทธิภาพปุ๋ยหมักและปุ๋ยมูลไส้เดือนด้วยจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน เพื่อยกระดับศักยภาพการให้ธาตุอาหารพืช 2025-04-02T14:51:54+07:00 ปัญญา ชัยรัตนพานิช throngvid.ho@rmu.ac.th ปิยะวดี สราภิรมย์ piyawadee.sa@rmu.ac.th พงศธร กองแก้ว throngvid.ho@rmu.ac.th ชรินรัตน์ พรรณะ throngvid.ho@rmu.ac.th ทิพย์ธัญญา ศรีโยพล throngvid.ho@rmu.ac.th ศิริน เรืองศิริ throngvid.ho@rmu.ac.th ทรงกลด พลพวก throngvid.ho@rmu.ac.th มัลลิกา ธีระกุล throngvid.ho@rmu.ac.th จักรกฤช ศรีละออ throngvid.ho@rmu.ac.th ทัย กาบบัว throngvid.ho@rmu.ac.th ทรงวิทย์ หงสประภาส throngvid.ho@rmu.ac.th <p class="p1">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณสมบัติของปุ๋ยหมักและเวอร์มิคอมโพสต์ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพที่มีคุณภาพสูง โดยประเมินปุ๋ย<span class="s1"> 4 </span>สูตร ได้แก่<span class="s1"> (1) </span>ปุ๋ยหมักจากเศษผักและผลไม้ผสมมูลสัตว์ หมักในถังหมุนเป็นเวลา<span class="s1"> 42 </span>วัน ก่อนทำให้แห้งและร่อน<span class="s1"> (2) </span>ปุ๋ยมูลไส้เดือนย่อยสลายโดยไส้เดือนสายพันธุ์<span class="s1"> <em>Eudrilus eugeniae</em> </span>เป็นเวลา<span class="s1"> 10 </span>วัน แล้วนำไปทำให้แห้งและร่อน<span class="s1"> (3) </span>ปุ๋ยหมักสูตรที่<span class="s1"> (1) </span>เสริมด้วยแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>Azotobacter vinelandii</em> </span>ซึ่งมีความสามารถในการ ตรึงไนโตรเจน และ<span class="s1"> (4) </span>ปุ๋ยมูลไส้เดือนสูตรที่<span class="s1"> (2) </span>เสริมด้วยแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>A. vinelandii</em> </span>ประสิทธิภาพของปุ๋ยทั้งหมดได้รับการประเมินโดยวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและเคมี เปรียบเทียบมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของประเทศไทย<span class="s1"> (</span>พ<span class="s1">.</span>ศ<span class="s1">. 2548) </span>พบว่าทุกสูตร มีคุณลักษณะตรงตามเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ ขนาดเม็ดปุ๋ยไม่เกิน<span class="s1"> 5×5 </span>มิลลิเมตร ความชื้นและสารระเหยต่ำกว่าร้อยละ<span class="s1"> 30 </span>ปริมาณอินทรียวัตถุสูงกว่าร้อยละ<span class="s1"> 3.5 </span>ปริมาณเศษหินต่ำกว่าร้อยละ<span class="s1"> 1 </span>และปลอดจากสิ่งปนเปื้อน เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ และวัสดุมีคม<span class="s1"> </span>ค่าความเป็นกรด<span class="s1">-</span>ด่าง<span class="s1"> (pH) </span>อยู่ระหว่าง<span class="s1"> 8.00–8.55 </span>และค่าการนำไฟฟ้า<span class="s1"> (EC) </span>อยู่ในช่วง<span class="s1"> 1.97–2.55 dS/m </span>ทั้งนี้วัสดุอินทรีย์ในทุกสูตรถูกย่อยสลายมากกว่าร้อยละ<span class="s1"> 90 </span>แสดงถึงความสมบูรณ์ของกระบวนการผลิต<span class="s1"> </span>ผลการเติมแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>A. vinelandii</em> </span>ซึ่งเป็นแบคทีเรียตรึงไนโตรเจน แสดงให้เห็นถึงการยกระดับคุณภาพของปุ๋ยอย่างชัดเจน โดยในปุ๋ยหมักพบว่าอินทรียวัตถุเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 17.33 </span>เป็น<span class="s1"> 22.33 </span>ขณะที่ในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 27.61 </span>เป็น<span class="s1"> 28.66 </span>ปริมาณไนโตรเจนในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.87 </span>เป็น<span class="s1"> 1.12 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 1.38 </span>เป็น<span class="s1"> 1.43 </span>ฟอสฟอรัสในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.068 </span>เป็น<span class="s1"> 0.108 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.188 </span>เป็น<span class="s1"> 0.240 </span>ส่วนโพแทสเซียมในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.16 </span>เป็น<span class="s1"> 0.21 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 1.39 </span>เป็น<span class="s1"> 2.13 </span>โดยสรุปการศึกษานี้นำเสนอแนวทางที่มีศักยภาพในการยกระดับกระบวนการผลิตปุ๋ยหมัก ด้วยการใช้จุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทางชีวภาพอย่าง<span class="s1"> <em>A. vinelandii </em></span>เพื่อเปลี่ยนของเหลือทิ้งทางชีวภาพให้เป็นปุ๋ยชีวภาพคุณภาพสูงที่อุดมด้วยธาตุอาหาร ส่งเสริมความยั่งยืนในภาคการเกษตรได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-08-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266500 คุณสมบัติของผงโปรตีนจากรำข้าวที่สกัดด้วยเอนไซม์และการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์วุ้น 2025-05-14T10:03:36+07:00 ขนิษฐา ฉิมพาลี jiranan.r@gmail.com จินดารัตน์ ใจตรง jiranan.r@gmail.com สุจิรา ศรีดาชาติ jiranan.r@gmail.com จิรนันต์ รัตสีวอ jiranan.r@gmail.com <p class="p1">รำข้าวเป็นส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตข้าวแต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสกัดโปรตีนจากรำข้าวด้วยเอนไซม์สำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์วุ้น รำข้าวจากข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ<span class="s1"> 105 </span>สกัดด้วยเอนไซม์เซลลูเลส<span class="s1"> (100 </span>กรัม ต่อ<span class="s1"> 1 </span>มิลลิลิตร<span class="s1">) </span>ใช้ระยะเวลาในการสกัดที่แตกต่างกัน คือ<span class="s1"> 8, 16 </span>และ<span class="s1"> 24 </span>ชั่วโมง อบแห้งที่อุณหภูมิ<span class="s1"> 60 </span>องศาเซลเซียส ประเมินคุณภาพทางกายภาพ เคมี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ผลการศึกษาพบว่ารำและรำข้าวสกัดมีปริมาณน้ำอิสระ<span class="s1"> (a<sub>w</sub>) </span>อยู่ในช่วง<span class="s1"> 0.560-0.715 </span>ความชื้นอยู่ในช่วงร้อยละ<span class="s1"> 8.19-10.83 </span>รำข้าวสดมีค่า<span class="s1"> L* </span>สูงที่สุด<span class="s1"> 56.13 </span>ขณะที่รำข้าวสกัด<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง มีค่า<span class="s1"> a* </span>และ<span class="s1"> b* </span>สูงสุดคือ<span class="s1"> 9.97 </span>และ<span class="s1"> 32.32 </span>ตามลำดับ นอกจากนี้การสกัดที่<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง ยังมีปริมาณโปรตีนและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูงสุด<span class="s1"> 18.02 </span>และ<span class="s1"> 236.45 mg GAE/g </span>ดังนั้น เลือกสภาวะเหมาะสมที่ระยะเวลาสกัด<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง จากนั้นนำผงรำข้าวสกัดเสริมลงในวุ้นที่ปริมาณแตกต่างกัน<span class="s1"> 4 </span>ระดับ คือ<span class="s1"> 0, 10, 20 </span>และ<span class="s1"> 30 </span>กรัม ผลการศึกษาพบว่าปริมาณโปรตีนและสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูงสุดพบในวุ้นที่เติมผงรำข้าวสกัด<span class="s1"> 30 </span>กรัม<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 7.07 </span>และ<span class="s1"> 148.85 mg GAE/g) </span>รองลงมาคือสูตรที่เติม<span class="s1"> 20 </span>กรัม<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 5.67 </span>และ<span class="s1"> 106.32 mg GAE/g) </span>คะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสพบว่าค่าลักษณะปรากฏ สี กลิ่นรส เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมของวุ้นสูตรควบคุมที่ไม่มีการเติมผงโปรตีนมีคะแนนสูงสุด รองลงมาเป็นสูตรที่เติมผงโปรตีนจากรำข้าว<span class="s1"> 10 </span>กรัม และ<span class="s1"> 20 </span>กรัม ดังนั้นสูตรที่เหมาะสมคือวุ้นเสริมโปรตีนจากรำข้าว<span class="s1"> 20 </span>กรัม สามารถพิจารณาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้กับผู้บริโภคต่อไป</p> 2025-08-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266945 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจบนมือถือสำหรับการปลูกข้าวในจังหวัดศรีสะเกษ 2025-04-02T12:19:52+07:00 ภาภรณ์ เหล่าพิลัย Paporn.l@sskru.ac.th วัฒนกฤษณ์ ปัตไต k.intichit@sskru.ac.th กนิษฐา อินธิชิต k.intichit@sskru.ac.th <p class="p1">การปลูกข้าวยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจการเกษตรในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษซึ่งมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพึ่งพาน้ำฝนและระบบชลประทานที่ไม่เพียงพอ แม้ว่าเทคโนโลยีการเกษตรจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ยังขาดเครื่องมือดิจิทัลที่สามารถให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจที่เหมาะสมกับบริบทในท้องถิ่น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ<span class="s1"> (1) </span>ศึกษาวิธีการปลูกข้าวที่เหมาะสมในจังหวัดศรีสะเกษ<span class="s1"> (2) </span>พัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ<span class="s1"> Android </span>เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าว และ<span class="s1"> (3) </span>ประเมินความเหมาะสมของแอปพลิเคชันจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานจริง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้มีประสบการณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการปลูกข้าว พบรูปแบบการปลูกข้าวหลัก<span class="s1"> 2 </span>รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบการทำนาดำ จำนวน<span class="s1"> 18 </span>ขั้นตอน และรูปแบบการทำนาหว่าน จำนวน<span class="s1"> 17 </span>ขั้นตอน ซึ่งสะท้อนถึงลำดับขั้นตอนการเพาะปลูกที่สอดคล้องกับบริบทการใช้น้ำในพื้นที่ จากข้อมูลดังกล่าวได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ประกอบด้วย<span class="s1"> 5 </span>โมดูลหลัก ได้แก่<span class="s1"> (1) </span>ระบบนำเข้าข้อมูลพื้นที่<span class="s1"> (2) </span>ระบบบันทึกข้อมูลเพาะปลูก<span class="s1"> (3) </span>ระบบประมวลผลกิจกรรม<span class="s1"> (4) </span>ระบบแสดงข้อมูลรายบุคคล และ<span class="s1"> (5) </span>ระบบแจ้งเตือนกิจกรรม รวมถึงฟังก์ชันเสริม เช่น การสร้าง แก้ไข ลบแผนเพาะปลูก การแนะนำปุ๋ย แหล่งเมล็ดพันธุ์ การจัดการศัตรูพืช และการเรียกดูผลผลิตย้อนหลัง ผลการประเมินแอปพลิเคชันดำเนินการกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและเทคโนโลยีจำนวน<span class="s1"> 5 </span>คน และเกษตรกรผู้ใช้งานจริง<span class="s1"> 35 </span>คน โดยใช้แบบสอบถามมาตรฐาน วิเคราะห์ผลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่าแอปพลิเคชันมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย<span class="s1"> 4.09 </span>และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<span class="s1"> 0.81 </span>ผลการวิจัยชี้ว่า<span class="s1"> </span>แอปพลิเคชันสามารถผสานองค์ความรู้ท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีบนอุปกรณ์พกพาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในการตัดสินใจด้านการเพาะปลูก ซึ่งมีศักยภาพในการส่งเสริมผลผลิตและการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่</p> 2025-08-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266949 การประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นในการประเมินความเสี่ยง ของขั้นตอนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำ 2025-04-17T12:46:25+07:00 ยลดา งาใหญ่ 6614350002@rumail.ru.ac.th นันท์นภัสร อินยิ้ม 6614350002@rumail.ru.ac.th เลิศเลขา ศรีรัตนะ 6614350002@rumail.ru.ac.th เสรีย์ ตู้ประกาย 6614350002@rumail.ru.ac.th <p class="p1">กระบวนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ซึ่งแต่ละกิจกรรมมีอันตรายแฝงและมีระดับความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงานแตกต่างกัน งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความเสี่ยงของกระบวนการดังกล่าวอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถวางแผนควบคุมและป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นเป็นกรอบในการตัดสินใจ เริ่มจากการศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติงานและเอกสารขออนุญาตทำงานของโครงการกรณีศึกษา<span class="s1"> </span>เพื่อนำมาวิเคราะห์และจำแนกขั้นตอนหลักของกระบวนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำ พร้อมทั้งระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้น<span class="s1"> </span>การประเมินความเสี่ยงมีเป้าหมายเพื่อค้นหาขั้นตอนการทำงานที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยใช้เกณฑ์การตัดสิน<span class="s1"> 3 </span>ด้าน ได้แก่ ความน่าจะเป็นของการเกิดอันตราย ความรุนแรงของอันตราย และค่าใช้จ่ายในการป้องกัน จากนั้นจึงจัดทำแบบสอบถามการประเมินความเสี่ยงแบบเปรียบเทียบเป็นคู่ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำจำนวน<span class="s1"> 5 </span>ท่านทำการประเมินระดับความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์แต่ละด้านผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงให้เห็นว่างานยกประกอบท่อบนพื้นที่สูงเป็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงสูงสุด โดยมีค่าถ่วงน้ำหนักรวมเท่ากับ<span class="s1"> 0.259 </span>รองลงมาคือการทดสอบแนวเชื่อมด้วยรังสี<span class="s1"> (0.143) </span>การเชื่อมท่อ<span class="s1"> (0.129) </span>การหุ้มฉนวนกันความร้อน<span class="s1"> (0.101) </span>การบรรจุก๊าซไนโตรเจนเข้าท่อ<span class="s1"> (0.097) </span>การยกประกอบท่อบนพื้นที่ราบ<span class="s1"> (0.095) </span>การขนส่งท่อ<span class="s1"> (0.092) </span>และการทดสอบแรงดันและทำความสะอาดท่อ<span class="s1"> (0.085) </span>ผลจากการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการควบคุมความเสี่ยงเพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับโครงการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำในอนาคต</p> 2025-10-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/267260 การประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรมเพื่อส่งเสริมการจัดการแมลงศัตรูพืชในแปลงนาข้าวอัลฮัม 2025-06-06T18:31:19+07:00 วนิดา เพ็ชร์ลมุล wanida.pe@skru.ac.th ไสว บัวแก้ว wanida.pe@skru.ac.th กันตภณ มะหาหมัด wanida.pe@skru.ac.th พงษ์ศักดิ์ มานสุริวงศ์ wanida.pe@skru.ac.th <p class="p1">ระบบนิเวศวิศวกรรมในนาข้าว เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเกษตรเพื่อลดการใช้สารเคมี งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม กรณีศึกษาแปลงนาข้าวอัลฮัม โดยวางแผนการทดลองแบบ<span class="s1"> Randomized Complete Block Design (RCBD) </span>ประกอบด้วย<span class="s1"> 4 </span>ทรีตเมนต์ ๆ ละ<span class="s1"> 3 </span>ซ้ำ ได้แก่<span class="s1"> 1) </span>ไม่ปลูกพืชบนคันนา<span class="s1"> (</span>กลุ่มควบคุม<span class="s1">) 2) </span>ปลูกถั่วฝักยาวบนคันนา<span class="s1"> 3) </span>ปลูกดาวเรืองบนคันนา และ<span class="s1"> 4) </span>ปลูกถั่วฝักยาวร่วมกับดาวเรืองบนคันนา ดำเนินการสำรวจประชากรแมลงในแปลงนาข้าวอัลฮัม ก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม จำแนกชนิดแมลง วิเคราะห์ค่าระดับความถี่ของการปรากฏ และค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการศึกษาพบว่าแมลงในอันดับ<span class="s1"> Orthoptera </span>เป็นกลุ่มที่มีความชุกชุมสูงสุด คิดเป็นร้อยละ<span class="s1"> 22 </span>ของประชากรทั้งหมด แมลงที่มีค่าระดับความถี่ของการปรากฏในกลุ่มที่พบบ่อย<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 71.00–79.06) </span>พบปานกลาง<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 45.50–57.10) </span>และพบน้อย<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 10.50–11.20) </span>ซึ่งตลอดระยะการเจริญเติบโตของข้าวพบการปรากฏของแมลงในทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะในช่วงระยะออกรวงถึงระยะสุกแก่ ซึ่งเป็นช่วงที่พบความหลากชนิดและปริมาณของแมลงสูงที่สุด ผลการประเมินดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพของแมลงหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม พบว่า ทรีตเมนต์ที่<span class="s1"> 2–4 </span>มีค่าแตกต่างจากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (<em>p</em>&lt;0.05) </span>โดยค่าเฉลี่ยของดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรมเท่ากับ<span class="s1"> 1.0175 </span>ซึ่งเป็นค่าที่สูงกว่าก่อนการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม<span class="s1"> (0.4425) </span>ถึง<span class="s1"> 2.3 </span>เท่า ทั้งนี้แมลงที่พบทั้งหมด<span class="s1"> 21 </span>ชนิด<span class="s1"> 20 </span>วงศ์ และ<span class="s1"> 9 </span>อันดับ นอกจากนี้ ระบบนิเวศวิศวกรรมยังช่วยลดปริมาณแมลงสิงศัตรูข้าวลงได้โดยเฉลี่ย<span class="s1"> 1.7 </span>เท่า</p> 2025-10-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/267079 การจัดการขนส่งสีเขียวและแบบลีนในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนของผู้ให้บริการขนส่ง ในระบบโซ่ความเย็นอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย 2025-04-22T12:29:59+07:00 ธมนวรรณ์ เฟื่องประยูร s64584923014@ssru.ac.th ณัฐพัชร์ อารีรัชกุลกานต์ s64584923014@ssru.ac.th <p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาผลกระทบของการขนส่งสีเขียวและการขนส่งแบบลีนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าในระบบโซ่ความเย็นอาหารของประเทศไทย โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้ให้บริการขนส่ง 408 ราย และข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 12 ราย การวิเคราะห์ด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง พบว่าการขนส่งสีเขียวและการขนส่งแบบลีนส่งผลในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งในระบบโซ่ความเย็นและผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โมเดลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ² = 119.077, df = 109, <em>p</em> = 0.240, χ²/df = 1.092, RMSEA = 0.015, GFI = 0.969, CFI = 0.997) และสามารถอธิบายความแปรปรวนของความยั่งยืนได้ร้อยละ 74.2 การขนส่งสีเขียวซึ่งประกอบด้วยการลดการปล่อยก๊าซ การใช้ยานพาหนะที่ประหยัดพลังงาน และการประยุกต์เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่การขนส่งแบบลีน ซึ่งเน้นการขจัดความสูญเปล่า การปรับปรุงเส้นทาง และความร่วมมือ ช่วยเพิ่มความคุ้มค่า การตอบสนอง และความน่าเชื่อถือของการให้บริการขนส่งสินค้า ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์เชิงเสริมจากการบูรณาการทั้งสองแนวทาง โดยแนวทางลีนให้ผลลัพธ์ต่อประสิทธิภาพในระยะสั้น ขณะที่แนวทางสีเขียวสร้างผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โมเดลนี้สามารถใช้เป็นกรอบเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมระบบขนส่งอย่างยั่งยืนสำหรับภาคการขนส่งโซ่ความเย็นในประเทศไทย</p> 2025-11-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266749 การพัฒนานวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุเพื่อหาเส้นทางกลับบ้านโดยใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์ 2025-04-22T11:38:16+07:00 อรนุช พันโท roselin@cmru.ac.th รสลิน เพตะกร roselin@cmru.ac.th ภาณุวัฒน์ สุวรรณกูล roselin@cmru.ac.th พิรุฬห์ แก้วฟุ้งรังษี roselin@cmru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุเพื่อหาเส้นทางกลับบ้านโดยใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์ และ 2) ประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจของนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น การพัฒนานวัตกรรมนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือในส่วนหน้าบ้านใช้ Flutter เป็นเฟรมเวิร์กในการพัฒนา UI ส่วนหลังบ้านใช้ภาษาไพธอนในการประมวลผลข้อมูลและสร้าง API ติดต่อฐานข้อมูล MySQL การพัฒนามุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บข้อมูลผู้สูงอายุโดยใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากการถ่ายภาพใบหน้าผ่านแอปพลิเคชัน เมื่อตรวจสอบผลวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อใช้สำหรับค้นหาข้อมูลเพื่อช่วยในการนำทางผู้สูงอายุกลับบ้าน โดยใช้เทคนิค Principal Component Analysis (PCA) และ Support Vector Machine (SVM) ซึ่งเป็นอัลกอริธึม Machine Learning ที่มีประสิทธิภาพสูงในการจำแนกข้อมูลในรูปแบบของมิติได้สูง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม ระบบนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงข้อมูลและตำแหน่งพิกัดบ้านของผู้สูงอายุ ผลการทดลองของการตรวจสอบใบหน้าสามารถแสดงผลความถูกต้องของใบหน้ามีค่าเท่ากับร้อยละ 89 และ 2) ผลประเมินประสิทธิภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน พบว่า ประสิทธิภาพของระบบอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.34 และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 33 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง มีระดับความถึงพอใจในระบบที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยรวม 4.36 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of SciTech-ASEAN https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/267104 การศึกษาการขยายตัวของเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กรณีศึกษาอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2025-04-21T13:31:26+07:00 สุภาพร มานะจิตประเสริฐ smanajitprasert@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและศึกษารูปแบบการขยายตัวของเมืองในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-2 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2559–2566 และใช้วิธีการจำแนกแบบกำกับดูแล เพื่อจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน 5 ประเภท ได้แก่ พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ป่าไม้ พื้นที่แหล่งน้ำ และพื้นที่เบ็ดเตล็ด การประเมินความแม่นยำของการจำแนกให้ค่าความถูกต้องโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 83.42–86.80) และค่าดัชนีแคปปา เท่ากับ 0.85 ผลการศึกษาพบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2559-2566 พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นจาก 161.48 ตารางกิโลเมตร (ร้อยละ 26.53) เป็น 190.63 ตารางกิโลเมตร (ร้อยละ 31.11) ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ลดลงอย่างต่อเนื่อง รูปแบบการขยายตัวของเมืองมี 2 ลักษณะ คือ การตั้งถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคมหลัก ได้แก่ ถนนสุขุมวิท และทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และการตั้งถิ่นฐานแบบกระจุกในศูนย์กลางชุมชนหลัก 4 แห่ง คือ บริเวณเทศบาลเมืองศรีราชา บริเวณรอบกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (ไทยออยล์) บริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังและท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง และบริเวณรอบสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ผลการคาดการณ์ในปี พ.ศ. 2570 โดยใช้แบบจำลอง CA-Markov แสดงให้เห็นว่าพื้นที่เมืองจะเพิ่มขึ้นเป็น 248.78 ตารางกิโลเมตร (ร้อยละ 40.60) โดยขยายตัวต่อเนื่องจากพื้นที่พัฒนาเดิมและพื้นที่ใกล้โครงสร้างพื้นฐานหลัก โดยความแม่นยำของแบบจำลองได้รับการประเมินโดยใช้ตารางความคลาดเคลื่อน (Error Matrix) เปรียบเทียบกับข้อมูลจริงในปี พ.ศ. 2566 ให้ค่าความถูกต้องโดยรวมร้อยละ 97.25 และค่าดัชนีแคปปาเท่ากับ 0.93 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้สนับสนุนการวางแผนและการกำหนดนโยบายการพัฒนาเมืองในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเมือง และการอนุรักษ์พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้อย่างยั่งยืนและสามารถประยุกต์ใช้กับพื้นที่ที่มีลักษณะการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วในบริบทใกล้เคียง</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of SciTech-ASEAN https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266900 ประสิทธิภาพของสมุนไพรหมามุ่ยอินเดียต่อคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองไทย 2025-05-21T19:14:28+07:00 นพรัตน์ ผกาเชิด Tanpol.Nathawat@gmail.com ทิพย์สุดา บุญมาทัน Tanpol.Nathawat@gmail.com ณัฐวัตน์ ตันพล Tanpol.Nathawat@gmail.com ดวงจันทร์ โพธิสาร Tanpol.Nathawat@gmail.com <p>การศึกษาผลของการเสริมหมามุ่ยอินเดีย (<em>Mucuna pruriens</em>) ในอาหารต่อคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองไทย โดยใช้ไก่พ่อพันธุ์เหลืองหางขาว จำนวน 48 ตัว อายุ 7 เดือนขึ้นไป แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มทดลอง คือ เสริมหมามุ่ยอินเดียที่ระดับ ร้อยละ 0 (กลุ่มควบคุม) 0.1, 0.2 และ 0.3 ในอาหาร ให้กินวันละ 120 กรัมต่อตัว และมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา เป็นระยะเวลา 60 วัน จากการศึกษาพบว่าการเสริมหมามุ่ยอินเดียที่ระดับร้อยละ 0.1 ส่งผลให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าสูงที่สุด (<em>p</em>&lt;0.05) และการเสริมหมามุ่ยอินเดียที่ระดับร้อยละ 0.2 มีผลทำให้ความเข้มข้นของอสุจิสูงที่สุด (<em>p</em>&lt;0.05) แต่การเสริมหมามุ่ยอินเดียที่ระดับร้อยละ 0.3 มีผลทำให้คุณภาพน้ำเชื้อลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าการเสริมหมามุ่ยอินเดียทุกระดับที่ทำการศึกษาไม่มีผลต่ออัตราการผสมติดและอัตราการฟัก (<em>p</em>&gt;0.05) ดังนั้นการเสริมหมามุ่ยอินเดียสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองไทยได้ที่ระดับร้อยละ 0.2</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of SciTech-ASEAN