วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ (Science and Technology Journal of Sisaket Rajabhat University) เป็นวารสารทางวิชาการของคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ และเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา นักวิจัย และอาจารย์ ในด้านการศึกษาและวิจัย<strong> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่านที่มาจากหลากหลายสถาบัน</strong> การดำเนินการจัดทำวารสารดังกล่าว กำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม) โดยตีพิมพ์เผยแพร่บทความในรูปแบบตีพิมพ์ (Print) เลข ISSN <em><strong>2730-3977</strong></em> ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564 และเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เลข E-ISSN <span style="vertical-align: inherit;"><strong><em> 2773-9309 </em></strong></span> ซึ่งวารสารดำเนินการเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เป็นหลักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 </p> <div class="page" title="Page 2"> <div class="layoutArea"> <div class="column"> </div> </div> </div> <p> </p>
คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
2730-3977
<p><em><span lang="TH">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</span></em></p> <p><em><span lang="TH">บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ก่อนเท่านั้น</span></em></p> <p><br><br></p>
-
ศักยภาพและความท้าทายในการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/265539
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาและการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย เพื่อช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและนำไปสู่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การศึกษาในบทความนี้มุ่งเน้นไปที่พลังงานทดแทนที่มีศักยภาพสูง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล รวมถึงการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการเก็บพลังงาน โดยการใช้พลังงานทดแทนจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนที่สูง ข้อจำกัดทางเทคนิค และความหลากหลายของสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ การสนับสนุนจากภาครัฐ การบูรณาการพลังงานหลายรูปแบบ และการเพิ่มการรับรู้ในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายในการใช้พลังงานทดแทนอย่างยั่งยืนในอนาคต<span class="Apple-converted-space"> </span></p>
หอมหวน ตาสาโรจน์
ธานินทร์ รัชโพธิ์
สมสุข ไตรศุภกิตติ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-02
2025-03-02
5 1
1
11
-
การคัดแยกและประเมินศักยภาพของเชื้อรา Trichoderma sp. จากดินสวนทุเรียนในการควบคุมเชื้อราPhytophthora sp. สาเหตุโรครากเน่าและโคนเน่าของทุเรียน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266264
<p class="p1">โรครากเน่าและโคนเน่าของทุเรียนที่เกิดจากเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> sp. </span>เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของทุเรียน การใช้เชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> sp. </span>ซึ่งเป็นเชื้อปฏิปักษ์ทางชีวภาพ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมเชื้อราก่อโรค การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกเชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> sp. </span>ที่มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> sp. </span>โดยคัดแยกเชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> spp. </span>จากดินในสวนทุเรียนที่ไม่พบการระบาดของโรคในอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ตัวแทนสำหรับการทดสอบจำนวน<span class="s1"> 50 </span>ไอโซเลท และคัดแยกเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> sp. </span>จากต้นทุเรียนที่แสดงอาการของโรคได้<span class="s1"> 7 </span>ไอโซเลท<span class="s1"> (P01–P07) </span>ผลการทดสอบด้วยวิธี<span class="s1"> dual culture assay </span>พบว่าเชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> spp. </span>จำนวน<span class="s1"> 46 </span>ไอโซเลท<span class="s1"> (92%) </span>สามารถยับยั้งการเจริญของเส้นใยเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> spp. </span>ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (<em>p </em>< 0.05) </span>โดยใช้<span class="s1"> Dunnett’s test </span>เปรียบเทียบกับเชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> </span>สายพันธุ์ทางการค้า เชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma</em> sp. </span>ไอโซเลท<span class="s1"> NSTRU-T93 </span>แสดงประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถยับยั้งเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> sp. </span>ไอโซเลท<span class="s1"> P01 </span>และ<span class="s1"> P03 </span>ได้ในระดับ<span class="s1"> 66.41% </span>และ<span class="s1"> 80.53% </span>ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากสายพันธุ์ทางการค้า<span class="s1"> (<em>p</em> < 0.05) </span>การจำแนกโดยลักษณะทางสัณฐานวิทยาร่วมกับชีวโมเลกุลระบุว่าเป็นเชื้อรา<span class="s1"> <em>Trichoderma reesei </em></span>ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเชื้อรา<span class="s1"> <em>T. reesei</em> </span>ที่แยกได้จากดินในสวนทุเรียนมีศักยภาพสูงในการยับยั้งเชื้อรา<span class="s1"> <em>Phytophthora</em> sp. </span>สาเหตุโรครากเน่าและโคนเน่า และสามารถพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนในอนาคต</p>
โสภนา วงศ์ทอง
สุมาลี เลี่ยมทอง
ประวิทย์ เนื่องมัจฉา
อานันท์นิตย์ คุ่ยยกสุย
ปิยวรรณ เนื่องมัจฉา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-17
2025-05-17
5 1
12
28
-
สถานการณ์ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง จังหวัดศรีสะเกษ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266688
<p class="p1">การศึกษานี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง โดยการศึกษาเชิงวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างจำนวน<span class="s1"> 320 </span>คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยแบบ<span class="s1"> </span>ไคสแควร์ รวมถึงการศึกษาเชิงคุณภาพกลุ่มตัวอย่างจำนวน<span class="s1"> 12 </span>คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และดำเนินการวิเคราะห์เนื้อหา<span class="s1"> </span>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเคยได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน โดยประเภทของการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ ลื่นล้ม และถูกวัตถุหรือของมีคมบาดขณะปฏิบัติงาน ในส่วนสภาพแวดล้อมในการทำงานที่กลุ่มตัวอย่างต้องสัมผัสขณะปฏิบัติงานมากที่สุด ได้แก่ อุณหภูมิอากาศร้อนอบอ้าวขณะปฏิบัติงาน กระบวนการทำงานมีการใช้สารเคมีและสัมผัสฝุ่น รวมถึงการก้มและการบิดเอี้ยวตัวขณะปฏิบัติงาน ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น<span class="s1"> 95% </span>ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา อุณหภูมิอากาศร้อนอบอ้าวขณะปฏิบัติงาน และกระบวนการทำงานก้มบิดเอี้ยวตัวขณะปฏิบัติงาน<span class="s1"> (<em>p </em>= 0.04, 0.03, < 0.00 </span>และ<span class="s1"> < 0.00 </span>ตามลำดับ<span class="s1">) </span>สำหรับแนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดอบรมให้ความรู้ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานในทุกมิติ และการออกแบบเครื่องมืออุปกรณ์ที่ให้เหมาะกับสัดส่วนของร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการให้ความรู้เพิ่มเติมในการป้องกันตนเองของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงที่มีโอกาสสัมผัสกับสิ่งคุกคามสุขภาพ รวมทั้งจัดให้มีสวัสดิการด้านสุขภาพอันจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตของที่ดี</p>
วิพา ชุปวา
ธนะพัฒน์ ทักษิณทร์
กำพล เข็มทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-17
2025-05-17
5 1
29
40
-
การประยุกต์ใช้การออกแบบการทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการเลี้ยงปลานิล
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266764
<p class="p1">การเลี้ยงปลานิลเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของภาคเกษตรกรรมไทย แต่ยังคงเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงและความแปรปรวนของผลผลิต ดังนั้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพารามิเตอร์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการเลี้ยงปลานิล โดยใช้วิธีการออกแบบการทดลองทากูชิ<span class="s1"> (Taguchi Method) </span>เพื่อกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนโดยพิจารณา<span class="s1"> 4 </span>พารามิเตอร์ ได้แก่ ชนิดของอาหาร จำนวนปลาต่อบ่อ ความถี่ในการให้อาหาร และวิธีการเติมออกซิเจน การทดลองดำเนินการในบ่อดินขนาด<span class="s1"> 150 </span>ตารางเมตร เป็นเวลา<span class="s1"> 6 </span>เดือน และเก็บข้อมูลน้ำหนักปลาเฉลี่ย อัตราการรอดชีวิต และต้นทุนอาหารต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จากนั้นวิเคราะห์ด้วย<span class="s1"> One-way ANOVA </span>และ<span class="s1"> S/N Ratio </span>ผลการศึกษาพบว่า อาหารแบบผสมให้ผลการเจริญเติบโตดีที่สุด โดยให้น้ำหนักเฉลี่ย<span class="s1"> 765.66 </span>กรัมต่อตัว ขณะที่กลุ่มอาหารผลิตเองและอาหารสำเร็จรูปให้ผลลัพธ์ที่ต่ำกว่า อีกทั้งการควบคุมจำนวนปลาไม่เกิน<span class="s1"> 750 </span>ตัวต่อบ่อ และให้อาหารวันละ<span class="s1"> 3–4 </span>ครั้ง ร่วมกับการเติมออกซิเจนด้วย<span class="s1"> Venturi Aerator </span>ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตสูงสุดร้อยละ<span class="s1"> 99.21 </span>ขณะที่กลุ่มที่ใช้อาหารผลิตเองร่วมกับการเติมออกซิเจนด้วย<span class="s1"> Venturi Aerator </span>ให้ต้นทุนอาหารต่ำสุดที่<span class="s1"> 19.35 </span>บาทต่อกิโลกรัม ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า การจัดการพารามิเตอร์อย่างเหมาะสมเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลานิลในประเทศไทย</p>
วรพจน์ แซงบุญเรือง
สมควร สงวนแพง
อวยพร ต๊ะวัน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-17
2025-05-17
5 1
41
61
-
การสร้างแบบจำลองหัวข้อร่วมกับการจัดกลุ่มข้อความจากบทวิจารณ์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต่ออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ด้วยการเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266565
<p class="p1">งานวิจัยเรื่องการสร้างแบบจำลองหัวข้อร่วมกับการจัดกลุ่มข้อความจากบทวิจารณ์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่ออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ด้วยการเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอนนี้ รวบรวมบทวิจารณ์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่ออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ตั้งแต่<span class="s1"> 1 </span>มกราคม<span class="s1"> 2566 </span>ถึง<span class="s1"> 31 </span>ธันวาคม<span class="s1"> 2567 </span>รวมทั้งสิ้น<span class="s1"> 3,491 </span>รายการ นำมาผ่านกระบวนการทำความสะอาดข้อมูล ก่อนจะแทนความหมายของคำ เพื่อแปลงข้อความให้อยู่ในรูปแบบเวกเตอร์เชิงตัวเลขโดยใช้เทคนิค<span class="s1"> TF-IDF </span>เพื่อสร้างแบบจำลองหัวข้อด้วยการจัดสรรดีรีเคล พบว่าประกอบด้วย<span class="s1"> 5 </span>หัวข้อหลัก ได้แก่<span class="s1"> 1) </span>สถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม<span class="s1"> 2) </span>คุณภาพของบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก<span class="s1"> 3) </span>ค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า<span class="s1"> 4) </span>การเดินทางและการเข้าถึง และ<span class="s1"> 5) </span>ประสบการณ์ส่วนตัวและความสนุกสนาน สอดคล้องกับผลการจัดกลุ่มแบบเคมีนกับบทวิจารณ์เชิงลบ แบ่งออกเป็น<span class="s1"> 3 </span>กลุ่ม ได้แก่<span class="s1"> 1) </span>ด้านค่าธรรมเนียมการเข้าชมและโครงสร้างการกำหนดราคา<span class="s1"> 2) </span>ด้านการเข้าถึงและความพึงพอใจในการบริการ และ<span class="s1"> 3) </span>ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและกิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว<span class="s1"> </span>การแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้จะช่วยกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย นอกจากนั้น การประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนานโยบายอย่างเป็นระบบ ยังเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการที่ตอบสนองต่อปัญหา และสร้างความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวไทยในอนาคต<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span></span></p>
จักรินทร์ สันติรัตนภักดี
ศุภกฤษฏิ์ นิวัฒนากูล
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-18
2025-05-18
5 1
62
78
-
การศึกษาความเป็นไปได้ของการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบด้วยรถบรรทุกและรถไฟ (ศรีสะเกษ – ท่าเรือแหลมฉบัง)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266838
<p class="p1">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ในเส้นทางศรีสะเกษ<span class="s1">-</span>ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเน้นการเชื่อมโยงระหว่างระบบขนส่งทางถนนและทางราง เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคการขนส่งของประเทศไทย การวิจัยดำเนินการด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ส่งออก เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้แทนหอการค้าในจังหวัดศรีสะเกษ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสำรวจภาคสนาม สินค้าหลักที่ขนส่งในเส้นทางนี้ ได้แก่ มันสำปะหลังและอ้อย ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบมีศักยภาพสูงในการลดต้นทุนกิจกรรมการขนส่ง<span class="s1"> 4,910 </span>บาทต่อเที่ยวการขนส่ง คิดเป็นร้อยละ<span class="s1"> 40.92 </span>เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนเพียงรูปแบบเดียวตามแนวคิดระบบต้นทุนฐานกิจกรรม สอดคล้องกับผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ พบว่า การพัฒนาระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบมีอัตราผลตอบแทนภายใน เท่ากับร้อยละ<span class="s1"> 15-18 </span>โดยระยะเวลาคืนทุน เท่ากับ<span class="s1"> 7-8 </span>ปี อีกทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพสูงเหมาะที่จะพัฒนาเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการขนส่งทางรางและทางถนน รวมถึงการสร้างศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็ก ได้แก่ สถานีบ้านหนองแวง แม้ว่าการพัฒนาระบบนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการขนส่ง แต่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ความไม่เพียงพอของสถานีขนถ่ายสินค้าและความเชื่อมโยงระหว่างระบบรางกับถนนในพื้นที่ชนบท การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนานโยบายที่เหมาะสม ที่เป็นปัจจัยสำคัญเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานระบบขนส่งต่อเนื่องอย่างเต็มศักยภาพ</p>
โชติรส นพพลกรัง
ณัฐกร โต๊ะสิงห์
ปกรณ์ชัย สุพัฒน์
ทิพย์สุดา กุมผัน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
5 1
79
90
-
การเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดโอลิโกแซ็กคาไรด์จากหัวมันแกวโดยใช้การออกแบบ การทดลองแบบแพลกเกตต์-เบอร์แมน (Plackett-Burman Design)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266534
<p class="p1">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพการสกัดโอลิโกแซ็กคาไรด์จากหัวมันแกว<span class="s1"> (<em>Pachyrhizus erosus</em> (L.) Urban) </span>โดยใช้การออกแบบการทดลองแบบแพลกเกตต์<span class="s1">-</span>เบอร์แมน<span class="s1"> (Plackett-Burman Design: PBD) </span>การคัดเลือกปัจจัยที่สำคัญดำเนินการใน<span class="s1"> 5 </span>ตัวแปร ได้แก่ ขนาดตัวอย่าง<span class="s1"> (2 </span>มม<span class="s1">. </span>และ<span class="s1"> 10 </span>มม<span class="s1">.) </span>อุณหภูมิในการสกัด<span class="s1"> (30ºC </span>และ<span class="s1"> 60ºC) </span>ระยะเวลาในการสกัด<span class="s1"> (30 </span>และ<span class="s1"> 100 </span>นาที<span class="s1">) </span>ความเข้มข้นของเอทานอล<span class="s1"> (30% </span>และ<span class="s1"> 50% v/v) </span>และค่า<span class="s1"> pH (5.0 </span>และ<span class="s1"> 7.0) </span>ผลการทดลองพบว่า ความเข้มข้นของเอทานอล ค่า<span class="s1"> pH </span>และอุณหภูมิการสกัด มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อปริมาณโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่ได้ โดยสภาวะที่ให้ผลผลิตโอลิโกแซ็กคาไรด์สูงสุด<span class="s1"> (36.00% </span>โดยน้ำหนัก<span class="s1">) </span>คือ ขนาดตัวอย่าง<span class="s1"> 2 </span>มม<span class="s1">. </span>อุณหภูมิ<span class="s1"> 60ºC </span>เวลา<span class="s1"> 30 </span>นาที ความเข้มข้นของเอทานอล<span class="s1"> 50% </span>โดยปริมาตร และค่า<span class="s1"> pH 7.0 </span>การวิเคราะห์ทางสถิติด้วยโปรแกรม<span class="s1"> Design-Expert® 7.0.0 </span>ยืนยันว่าแบบจำลองมีความเหมาะสม<span class="s1"> (R² = 0.90) </span>และค่าคงเหลือมีการแจกแจงแบบปกติเป็นอิสระ และมีความแปรปรวนสม่ำเสมอ ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการสกัดโอลิโกแซ็กคาไรด์ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการขยายระดับการผลิตหรือศึกษาคุณสมบัติทางหน้าที่เพิ่มเติมในอนาคตได้</p>
ทรงวิทย์ หงสประภาส
ปิยะวดี สราภิรมย์
ผกามาศ จุลศรี
วีรนุช วอนเก่าน้อย
กนกอร คำผุย
มัลลิกา ธีระกุล
ปัญญา ชัยรัตนพานิช
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
5 1
91
104
-
การปรับปรุงอัตราการส่งคำขอเอพีไอของแพลตฟอร์มจัดการบทความ ด้วยหน่วยความจำแคชบนแพลตฟอร์ม CMS แบบไม่มีส่วนหัว
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266893
<p class="p1">การศึกษานี้ศึกษาผลกระทบของเทคนิคการแคชต่อปริมาณงานและเวลาตอบสนองของ<span class="s1"> RESTful API </span>ในสถาปัตยกรรม<span class="s1"> CMS </span>แบบไม่มีส่วนหัวที่สร้างด้วย<span class="s1"> PHP Laravel </span>ที่ทำงานร่วมกับ<span class="s1"> CMS </span>ภายนอก ผู้ใช้ปลายทางมักประสบปัญหาในการใช้งานระบบ เช่น ความล่าช้าในการโหลดหน้าเว็บ ข้อมูลที่ไม่อัปเดตแบบทันที และข้อผิดพลาดระหว่างการใช้งาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ประสบการณ์ผู้ใช้ลดลง และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของระบบในภาพรวม วัตถุประสงค์หลักคือการปรับปรุงเวลาตอบสนองของ<span class="s1"> API </span>ระหว่างเลเยอร์การนำเสนอและ<span class="s1"> CMS </span>และเพื่อประเมินเทคนิคการแคชที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ<span class="s1"> API </span>ของ<span class="s1"> Laravel </span>ไดรเวอร์การแคชต่าง ๆ รวมถึงแคชที่ใช้ไฟล์<span class="s1"> MySQL </span>และ<span class="s1"> Redis </span>ได้รับการทดสอบเพื่อวัดผลกระทบต่อปริมาณงาน<span class="s1"> API </span>แคชทั้งสามแบบมีข้อดีและเสียที่แตกต่างกันโดยว่าไฟล์ และ<span class="s1"> Redis </span>เป็นกลไกแคชในตัว ในขณะที่<span class="s1"> MySQL </span>เป็นฐานข้อมูลที่ดัดแปลงมาเพื่อจุดประสงค์ในการแคช<span class="s1"> WRK </span>ถูกใช้เพื่อจำลองการใช้งาน<span class="s1"> API </span>ในสถานการณ์สมจริง โดยสร้างคำขอผู้ใช้พร้อมกันไปยัง<span class="s1"> API </span>การทดสอบแต่ละครั้งเกี่ยวข้องกับการส่งคำขอไปยังแอปพลิเคชันโดยมีผู้ใช้พร้อมกันเพียงรายเดียวต่อเธรดเป็นเวลา<span class="s1"> 60 </span>วินาที โดยใช้ขนาดเพย์โหลดที่แตกต่างกันคือ<span class="s1"> 20KB, 200KB </span>และ<span class="s1"> 2000KB </span>ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการแคชช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของ<span class="s1"> API </span>ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการแคชที่ใช้ไฟล์มีปริมาณงาน<span class="s1"> 126.82 </span>การร้องขอต่อวินาที เมื่อเทียบกับ<span class="s1"> 5.55 </span>การร้องขอต่อวินาทีโดยไม่ใช้แคชที่ขนาดข้อมูล<span class="s1"> 20 </span>กิโลไบต์ในบรรดาไดรเวอร์แคชทั้งสามตัวที่ทดสอบ การแคชที่ใช้ไฟล์ให้การปรับปรุงประสิทธิภาพสูงสุด โดยเพิ่มขึ้น<span class="s1"> 20 </span>เท่าเมื่อเทียบกับการไม่แคช อย่างไรก็ตามการแคชที่ใช้ไฟล์แม้ว่าจะง่ายต่อการตั้งค่ามีข้อจำกัดในด้านการปรับขนาดและความยืดหยุ่นในการปรับใช้ทำให้เหมาะกับงานขนาดเล็ก ในขณะที่<span class="s1"> Redis </span>เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับแอปพลิเคชันประสิทธิภาพสูงเนื่องจากความสามารถในการปรับขนาดในแนวนอน ในทางกลับกันไม่แนะนำให้ใช้แคช<span class="s1"> MySQL </span>เนื่องจากมีประสิทธิภาพต่ำกว่า ยกเว้นในกรณีที่โหลดแคชต่ำซึ่งตัวเลือกแคชอื่น ๆ ไม่สามารถใช้งานได้จริง</p>
ชวลิต โควีระวงศ์
ณัฐรดี อนุพงค์
วสิศ ลิ้มประเสริฐ
ดาวรถา วีระพันธ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
5 1
105
122
-
การปรับปรุงท่าทางการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางระบบกระดูกโครงร่าง และกล้ามเนื้อในพนักงานขับรถบัสโดยสาร จังหวัดนครราชสีมา
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266746
<p class="p1">การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความชุกและประเมินความเสี่ยงท่าทางการทำงานรวมถึงแนวทางปรับปรุงท่าทางการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติทางระบบกระดูกโครงร่างและกล้ามเนื้อ ในพนักงานขับรถบัสโดยสาร จังหวัดนครราชสีมา จำนวนทั้งสิ้น<span class="s1"> 72 </span>คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม<span class="s1"> Standardized Nordic Questionnaire </span>และ แบบประเมินความเสี่ยงท่าทางการทำงานด้วยวิธี<span class="s1"> Rapid Upper Limb Assessment (RULA) </span>วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ความชุกการเกิดความผิดปกติทางระบบกระดูกโครงร่างและกล้ามเนื้อ ในช่วง<span class="s1"> 7 </span>วันและ<span class="s1"> 12 </span>เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ<span class="s1"> 88.89 </span>และ<span class="s1"> 94.67 </span>ตามลำดับ ส่วนของร่างกายที่พบมากที่สุด ได้แก่ บริเวณหลังส่วนล่าง บริเวณสะโพก<span class="s1">/</span>ต้นขา และบริเวณหลังส่วนบนตามลำดับ ในส่วนการประเมินความเสี่ยงท่าทางการทำงานด้วยวิธี<span class="s1"> RULA </span>พบว่า ส่วนใหญ่มีคะแนนเสี่ยงท่าทางการทำงานอยู่ที่ระดับ<span class="s1"> 2 </span>หมายถึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติม และติดตามวัดผลอย่างต่อเนื่อง อาจจะจำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบงานใหม่สำหรับผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการปรับปรุงท่าทางการทำงาน พบว่าก่อนการปรับปรุงท่าทางการทำงานที่คะแนนระดับเสี่ยงที่ระดับ<span class="s1"> 3 </span>จำนวน<span class="s1"> 3 </span>คน หมายถึงงานนั้นเริ่มเป็นปัญหา ควรทำการศึกษาเพิ่มเติมและควรรีบปรับปรุง และหลังการปรับปรุงท่าทางการทำงาน พบว่ามีคะแนนระดับเสี่ยงที่ระดับ<span class="s1"> 2 </span>ดังนั้นการศึกษาวิจัยเพื่อใช้ด้านสุขอนามัยการทำงานยังมีน้อย เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากการนั่งขับรถในระยะยาว จำเป็นต้องศึกษากำหนดเกณฑ์ท่าทางการนั่งหรือการปรับอุปกรณ์ในแต่ละรถให้เป็นมาตรฐาน<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span></span></p>
กนกพร ปลั่งกลาง
อัครพล ทองคำ
พัชมล กลิ่นเล็ก
ธนาคาร ศรีมะเริง
รชนีกร พลปัถพี
พรศิริ จงกล
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
5 1
123
136
-
รูปแบบการพัฒนาทักษะที่ไม่ใช่เทคนิคของวิสัญญีพยาบาลต่อความปลอดภัย ของผู้ป่วยในห้องผ่าตัด โรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266602
<p class="p1">การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ สร้างรูปแบบ และศึกษาผลของการพัฒนาทักษะที่ไม่ใช่เทคนิคของวิสัญญีพยาบาล ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาโดยมีกลุ่มตัวอย่าง<span class="s1"> 2 </span>กลุ่ม ได้แก่ บุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยในห้องผ่าตัดและผู้รับผิดชอบงานคุณภาพความปลอดภัย จำนวน<span class="s1"> 17 </span>คน เลือกแบบเจาะจง และวิสัญญีพยาบาล จำนวน<span class="s1"> 15 </span>คน เลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง รูปแบบการพัฒนาทักษะที่ไม่ใช่เทคนิค แบบประเมินทักษะ และแบบประเมินความพึงพอใจ ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ<span class="s1"> 5 </span>ท่าน มีค่าความเชื่อมั่น<span class="s1"> 0.86 </span>ผลการวิจัยพบว่า สภาพการณ์ของวิสัญญีพยาบาลมีข้อจำกัดใน<span class="s1"> 4 </span>ด้าน ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้สถานการณ์การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการสื่อสารข้อมูล รูปแบบการพัฒนาที่สร้างขึ้นเป็นการใช้สถานการณ์จำลอง<span class="s1"> 2 </span>สถานการณ์ คือ การประเมินและเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนระงับความรู้สึก และการป้องกันการเกิดอุบัติการณ์ใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังถอดท่อภายใน<span class="s1"> 2 </span>ชั่วโมงในห้องผ่าตัดหรือพักฟื้น หลังการใช้รูปแบบพบว่าอุบัติการณ์การเลื่อนผ่าตัดเนื่องจากการเตรียมผู้ป่วยไม่พร้อมและอุบัติการณ์การใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำหลังถอดท่อภายใน<span class="s1"> 2 </span>ชั่วโมงลดลง ทักษะที่ไม่ใช่เทคนิคทั้ง<span class="s1"> 4 </span>ด้านมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (<em>p</em> < .001) </span>และวิสัญญีพยาบาลมีความพึงพอใจต่อรูปแบบในระดับสูงสุดทุกด้าน โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยรวม ซึ่งรูปแบบดังกล่าวช่วยส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน พัฒนาการสื่อสารระหว่างทีมวิสัญญีและทีมผ่าตัด เพิ่มความตระหนักรู้ต่อสถานการณ์สำคัญระหว่างการให้ยาระงับความรู้สึก และเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมในห้องผ่าตัดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความปลอดภัยของผู้ป่วยในห้องผ่าตัดโดยรวมมีมาตรฐานสูงขึ้น</p>
ธันยมัย ปุรินัย
เรณุการ์ ทองคำรอด
สมปอง พะมุลิลา
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-28
2025-06-28
5 1
137
151