วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ (Science and Technology Journal of Sisaket Rajabhat University) เป็นวารสารทางวิชาการของคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ และเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา นักวิจัย และอาจารย์ ในด้านการศึกษาและวิจัย<strong> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่านที่มาจากหลากหลายสถาบัน</strong> การดำเนินการจัดทำวารสารดังกล่าว กำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม) โดยตีพิมพ์เผยแพร่บทความในรูปแบบตีพิมพ์ (Print) เลข ISSN <em><strong>2730-3977</strong></em> ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564 และเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เลข E-ISSN <span style="vertical-align: inherit;"><strong><em> 2773-9309 </em></strong></span> ซึ่งวารสารดำเนินการเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เป็นหลักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 </p> <div class="page" title="Page 2"> <div class="layoutArea"> <div class="column"> </div> </div> </div> <p> </p> คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 2730-3977 <p><em><span lang="TH">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</span></em></p> <p><em><span lang="TH">บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ก่อนเท่านั้น</span></em></p> <p><br><br></p> การเสริมประสิทธิภาพปุ๋ยหมักและปุ๋ยมูลไส้เดือนด้วยจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน เพื่อยกระดับศักยภาพการให้ธาตุอาหารพืช https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266370 <p class="p1">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณสมบัติของปุ๋ยหมักและเวอร์มิคอมโพสต์ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพที่มีคุณภาพสูง โดยประเมินปุ๋ย<span class="s1"> 4 </span>สูตร ได้แก่<span class="s1"> (1) </span>ปุ๋ยหมักจากเศษผักและผลไม้ผสมมูลสัตว์ หมักในถังหมุนเป็นเวลา<span class="s1"> 42 </span>วัน ก่อนทำให้แห้งและร่อน<span class="s1"> (2) </span>ปุ๋ยมูลไส้เดือนย่อยสลายโดยไส้เดือนสายพันธุ์<span class="s1"> <em>Eudrilus eugeniae</em> </span>เป็นเวลา<span class="s1"> 10 </span>วัน แล้วนำไปทำให้แห้งและร่อน<span class="s1"> (3) </span>ปุ๋ยหมักสูตรที่<span class="s1"> (1) </span>เสริมด้วยแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>Azotobacter vinelandii</em> </span>ซึ่งมีความสามารถในการ ตรึงไนโตรเจน และ<span class="s1"> (4) </span>ปุ๋ยมูลไส้เดือนสูตรที่<span class="s1"> (2) </span>เสริมด้วยแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>A. vinelandii</em> </span>ประสิทธิภาพของปุ๋ยทั้งหมดได้รับการประเมินโดยวิเคราะห์สมบัติทางกายภาพและเคมี เปรียบเทียบมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของประเทศไทย<span class="s1"> (</span>พ<span class="s1">.</span>ศ<span class="s1">. 2548) </span>พบว่าทุกสูตร มีคุณลักษณะตรงตามเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ ขนาดเม็ดปุ๋ยไม่เกิน<span class="s1"> 5×5 </span>มิลลิเมตร ความชื้นและสารระเหยต่ำกว่าร้อยละ<span class="s1"> 30 </span>ปริมาณอินทรียวัตถุสูงกว่าร้อยละ<span class="s1"> 3.5 </span>ปริมาณเศษหินต่ำกว่าร้อยละ<span class="s1"> 1 </span>และปลอดจากสิ่งปนเปื้อน เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ และวัสดุมีคม<span class="s1"> </span>ค่าความเป็นกรด<span class="s1">-</span>ด่าง<span class="s1"> (pH) </span>อยู่ระหว่าง<span class="s1"> 8.00–8.55 </span>และค่าการนำไฟฟ้า<span class="s1"> (EC) </span>อยู่ในช่วง<span class="s1"> 1.97–2.55 dS/m </span>ทั้งนี้วัสดุอินทรีย์ในทุกสูตรถูกย่อยสลายมากกว่าร้อยละ<span class="s1"> 90 </span>แสดงถึงความสมบูรณ์ของกระบวนการผลิต<span class="s1"> </span>ผลการเติมแบคทีเรีย<span class="s1"> <em>A. vinelandii</em> </span>ซึ่งเป็นแบคทีเรียตรึงไนโตรเจน แสดงให้เห็นถึงการยกระดับคุณภาพของปุ๋ยอย่างชัดเจน โดยในปุ๋ยหมักพบว่าอินทรียวัตถุเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 17.33 </span>เป็น<span class="s1"> 22.33 </span>ขณะที่ในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 27.61 </span>เป็น<span class="s1"> 28.66 </span>ปริมาณไนโตรเจนในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.87 </span>เป็น<span class="s1"> 1.12 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 1.38 </span>เป็น<span class="s1"> 1.43 </span>ฟอสฟอรัสในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.068 </span>เป็น<span class="s1"> 0.108 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.188 </span>เป็น<span class="s1"> 0.240 </span>ส่วนโพแทสเซียมในปุ๋ยหมักเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 0.16 </span>เป็น<span class="s1"> 0.21 </span>และในปุ๋ยมูลไส้เดือนเพิ่มจากร้อยละ<span class="s1"> 1.39 </span>เป็น<span class="s1"> 2.13 </span>โดยสรุปการศึกษานี้นำเสนอแนวทางที่มีศักยภาพในการยกระดับกระบวนการผลิตปุ๋ยหมัก ด้วยการใช้จุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทางชีวภาพอย่าง<span class="s1"> <em>A. vinelandii </em></span>เพื่อเปลี่ยนของเหลือทิ้งทางชีวภาพให้เป็นปุ๋ยชีวภาพคุณภาพสูงที่อุดมด้วยธาตุอาหาร ส่งเสริมความยั่งยืนในภาคการเกษตรได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> ปัญญา ชัยรัตนพานิช ปิยะวดี สราภิรมย์ พงศธร กองแก้ว ชรินรัตน์ พรรณะ ทิพย์ธัญญา ศรีโยพล ศิริน เรืองศิริ ทรงกลด พลพวก มัลลิกา ธีระกุล จักรกฤช ศรีละออ ทัย กาบบัว ทรงวิทย์ หงสประภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-03 2025-08-03 5 2 1 16 คุณสมบัติของผงโปรตีนจากรำข้าวที่สกัดด้วยเอนไซม์และการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์วุ้น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266500 <p class="p1">รำข้าวเป็นส่วนเหลือทิ้งจากการผลิตข้าวแต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสกัดโปรตีนจากรำข้าวด้วยเอนไซม์สำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์วุ้น รำข้าวจากข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ<span class="s1"> 105 </span>สกัดด้วยเอนไซม์เซลลูเลส<span class="s1"> (100 </span>กรัม ต่อ<span class="s1"> 1 </span>มิลลิลิตร<span class="s1">) </span>ใช้ระยะเวลาในการสกัดที่แตกต่างกัน คือ<span class="s1"> 8, 16 </span>และ<span class="s1"> 24 </span>ชั่วโมง อบแห้งที่อุณหภูมิ<span class="s1"> 60 </span>องศาเซลเซียส ประเมินคุณภาพทางกายภาพ เคมี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ผลการศึกษาพบว่ารำและรำข้าวสกัดมีปริมาณน้ำอิสระ<span class="s1"> (a<sub>w</sub>) </span>อยู่ในช่วง<span class="s1"> 0.560-0.715 </span>ความชื้นอยู่ในช่วงร้อยละ<span class="s1"> 8.19-10.83 </span>รำข้าวสดมีค่า<span class="s1"> L* </span>สูงที่สุด<span class="s1"> 56.13 </span>ขณะที่รำข้าวสกัด<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง มีค่า<span class="s1"> a* </span>และ<span class="s1"> b* </span>สูงสุดคือ<span class="s1"> 9.97 </span>และ<span class="s1"> 32.32 </span>ตามลำดับ นอกจากนี้การสกัดที่<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง ยังมีปริมาณโปรตีนและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูงสุด<span class="s1"> 18.02 </span>และ<span class="s1"> 236.45 mg GAE/g </span>ดังนั้น เลือกสภาวะเหมาะสมที่ระยะเวลาสกัด<span class="s1"> 8 </span>ชั่วโมง จากนั้นนำผงรำข้าวสกัดเสริมลงในวุ้นที่ปริมาณแตกต่างกัน<span class="s1"> 4 </span>ระดับ คือ<span class="s1"> 0, 10, 20 </span>และ<span class="s1"> 30 </span>กรัม ผลการศึกษาพบว่าปริมาณโปรตีนและสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูงสุดพบในวุ้นที่เติมผงรำข้าวสกัด<span class="s1"> 30 </span>กรัม<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 7.07 </span>และ<span class="s1"> 148.85 mg GAE/g) </span>รองลงมาคือสูตรที่เติม<span class="s1"> 20 </span>กรัม<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 5.67 </span>และ<span class="s1"> 106.32 mg GAE/g) </span>คะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสพบว่าค่าลักษณะปรากฏ สี กลิ่นรส เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมของวุ้นสูตรควบคุมที่ไม่มีการเติมผงโปรตีนมีคะแนนสูงสุด รองลงมาเป็นสูตรที่เติมผงโปรตีนจากรำข้าว<span class="s1"> 10 </span>กรัม และ<span class="s1"> 20 </span>กรัม ดังนั้นสูตรที่เหมาะสมคือวุ้นเสริมโปรตีนจากรำข้าว<span class="s1"> 20 </span>กรัม สามารถพิจารณาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้กับผู้บริโภคต่อไป</p> ขนิษฐา ฉิมพาลี จินดารัตน์ ใจตรง สุจิรา ศรีดาชาติ จิรนันต์ รัตสีวอ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-03 2025-08-03 5 2 17 28 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจบนมือถือสำหรับการปลูกข้าวในจังหวัดศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266945 <p class="p1">การปลูกข้าวยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจการเกษตรในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษซึ่งมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพึ่งพาน้ำฝนและระบบชลประทานที่ไม่เพียงพอ แม้ว่าเทคโนโลยีการเกษตรจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ยังขาดเครื่องมือดิจิทัลที่สามารถให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจที่เหมาะสมกับบริบทในท้องถิ่น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ<span class="s1"> (1) </span>ศึกษาวิธีการปลูกข้าวที่เหมาะสมในจังหวัดศรีสะเกษ<span class="s1"> (2) </span>พัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ<span class="s1"> Android </span>เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าว และ<span class="s1"> (3) </span>ประเมินความเหมาะสมของแอปพลิเคชันจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานจริง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้มีประสบการณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการปลูกข้าว พบรูปแบบการปลูกข้าวหลัก<span class="s1"> 2 </span>รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบการทำนาดำ จำนวน<span class="s1"> 18 </span>ขั้นตอน และรูปแบบการทำนาหว่าน จำนวน<span class="s1"> 17 </span>ขั้นตอน ซึ่งสะท้อนถึงลำดับขั้นตอนการเพาะปลูกที่สอดคล้องกับบริบทการใช้น้ำในพื้นที่ จากข้อมูลดังกล่าวได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ประกอบด้วย<span class="s1"> 5 </span>โมดูลหลัก ได้แก่<span class="s1"> (1) </span>ระบบนำเข้าข้อมูลพื้นที่<span class="s1"> (2) </span>ระบบบันทึกข้อมูลเพาะปลูก<span class="s1"> (3) </span>ระบบประมวลผลกิจกรรม<span class="s1"> (4) </span>ระบบแสดงข้อมูลรายบุคคล และ<span class="s1"> (5) </span>ระบบแจ้งเตือนกิจกรรม รวมถึงฟังก์ชันเสริม เช่น การสร้าง แก้ไข ลบแผนเพาะปลูก การแนะนำปุ๋ย แหล่งเมล็ดพันธุ์ การจัดการศัตรูพืช และการเรียกดูผลผลิตย้อนหลัง ผลการประเมินแอปพลิเคชันดำเนินการกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและเทคโนโลยีจำนวน<span class="s1"> 5 </span>คน และเกษตรกรผู้ใช้งานจริง<span class="s1"> 35 </span>คน โดยใช้แบบสอบถามมาตรฐาน วิเคราะห์ผลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่าแอปพลิเคชันมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย<span class="s1"> 4.09 </span>และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<span class="s1"> 0.81 </span>ผลการวิจัยชี้ว่า<span class="s1"> </span>แอปพลิเคชันสามารถผสานองค์ความรู้ท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีบนอุปกรณ์พกพาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในการตัดสินใจด้านการเพาะปลูก ซึ่งมีศักยภาพในการส่งเสริมผลผลิตและการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่</p> ภาภรณ์ เหล่าพิลัย กนิษฐา อินธิชิต วัฒนกฤษณ์ ปัตไต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-05 2025-08-05 5 2 29 41 การประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นในการประเมินความเสี่ยง ของขั้นตอนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/266949 <p class="p1">กระบวนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ซึ่งแต่ละกิจกรรมมีอันตรายแฝงและมีระดับความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงานแตกต่างกัน งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความเสี่ยงของกระบวนการดังกล่าวอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถวางแผนควบคุมและป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นเป็นกรอบในการตัดสินใจ เริ่มจากการศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติงานและเอกสารขออนุญาตทำงานของโครงการกรณีศึกษา<span class="s1"> </span>เพื่อนำมาวิเคราะห์และจำแนกขั้นตอนหลักของกระบวนการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำ พร้อมทั้งระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้น<span class="s1"> </span>การประเมินความเสี่ยงมีเป้าหมายเพื่อค้นหาขั้นตอนการทำงานที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยใช้เกณฑ์การตัดสิน<span class="s1"> 3 </span>ด้าน ได้แก่ ความน่าจะเป็นของการเกิดอันตราย ความรุนแรงของอันตราย และค่าใช้จ่ายในการป้องกัน จากนั้นจึงจัดทำแบบสอบถามการประเมินความเสี่ยงแบบเปรียบเทียบเป็นคู่ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำจำนวน<span class="s1"> 5 </span>ท่านทำการประเมินระดับความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์แต่ละด้านผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงให้เห็นว่างานยกประกอบท่อบนพื้นที่สูงเป็นขั้นตอนที่มีความเสี่ยงสูงสุด โดยมีค่าถ่วงน้ำหนักรวมเท่ากับ<span class="s1"> 0.259 </span>รองลงมาคือการทดสอบแนวเชื่อมด้วยรังสี<span class="s1"> (0.143) </span>การเชื่อมท่อ<span class="s1"> (0.129) </span>การหุ้มฉนวนกันความร้อน<span class="s1"> (0.101) </span>การบรรจุก๊าซไนโตรเจนเข้าท่อ<span class="s1"> (0.097) </span>การยกประกอบท่อบนพื้นที่ราบ<span class="s1"> (0.095) </span>การขนส่งท่อ<span class="s1"> (0.092) </span>และการทดสอบแรงดันและทำความสะอาดท่อ<span class="s1"> (0.085) </span>ผลจากการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการควบคุมความเสี่ยงเพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับโครงการติดตั้งระบบท่อส่งไอน้ำในอนาคต</p> ยลดา งาใหญ่ นันท์นภัสร อินยิ้ม เลิศเลขา ศรีรัตนะ เสรีย์ ตู้ประกาย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-06 2025-10-06 5 2 42 56 การประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรมเพื่อส่งเสริมการจัดการแมลงศัตรูพืชในแปลงนาข้าวอัลฮัม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/STJS/article/view/267260 <p class="p1">ระบบนิเวศวิศวกรรมในนาข้าว เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเกษตรเพื่อลดการใช้สารเคมี งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม กรณีศึกษาแปลงนาข้าวอัลฮัม โดยวางแผนการทดลองแบบ<span class="s1"> Randomized Complete Block Design (RCBD) </span>ประกอบด้วย<span class="s1"> 4 </span>ทรีตเมนต์ ๆ ละ<span class="s1"> 3 </span>ซ้ำ ได้แก่<span class="s1"> 1) </span>ไม่ปลูกพืชบนคันนา<span class="s1"> (</span>กลุ่มควบคุม<span class="s1">) 2) </span>ปลูกถั่วฝักยาวบนคันนา<span class="s1"> 3) </span>ปลูกดาวเรืองบนคันนา และ<span class="s1"> 4) </span>ปลูกถั่วฝักยาวร่วมกับดาวเรืองบนคันนา ดำเนินการสำรวจประชากรแมลงในแปลงนาข้าวอัลฮัม ก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม จำแนกชนิดแมลง วิเคราะห์ค่าระดับความถี่ของการปรากฏ และค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการศึกษาพบว่าแมลงในอันดับ<span class="s1"> Orthoptera </span>เป็นกลุ่มที่มีความชุกชุมสูงสุด คิดเป็นร้อยละ<span class="s1"> 22 </span>ของประชากรทั้งหมด แมลงที่มีค่าระดับความถี่ของการปรากฏในกลุ่มที่พบบ่อย<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 71.00–79.06) </span>พบปานกลาง<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 45.50–57.10) </span>และพบน้อย<span class="s1"> (</span>ร้อยละ<span class="s1"> 10.50–11.20) </span>ซึ่งตลอดระยะการเจริญเติบโตของข้าวพบการปรากฏของแมลงในทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะในช่วงระยะออกรวงถึงระยะสุกแก่ ซึ่งเป็นช่วงที่พบความหลากชนิดและปริมาณของแมลงสูงที่สุด ผลการประเมินดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพของแมลงหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม พบว่า ทรีตเมนต์ที่<span class="s1"> 2–4 </span>มีค่าแตกต่างจากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (<em>p</em>&lt;0.05) </span>โดยค่าเฉลี่ยของดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพหลังการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรมเท่ากับ<span class="s1"> 1.0175 </span>ซึ่งเป็นค่าที่สูงกว่าก่อนการประยุกต์ใช้ระบบนิเวศวิศวกรรม<span class="s1"> (0.4425) </span>ถึง<span class="s1"> 2.3 </span>เท่า ทั้งนี้แมลงที่พบทั้งหมด<span class="s1"> 21 </span>ชนิด<span class="s1"> 20 </span>วงศ์ และ<span class="s1"> 9 </span>อันดับ นอกจากนี้ ระบบนิเวศวิศวกรรมยังช่วยลดปริมาณแมลงสิงศัตรูข้าวลงได้โดยเฉลี่ย<span class="s1"> 1.7 </span>เท่า</p> วนิดา เพ็ชร์ลมุล ไสว บัวแก้ว กันตภณ มะหาหมัด พงษ์ศักดิ์ มานสุริวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-13 2025-10-13 5 2 57 68