https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/issue/feed วารสารเกษตรนเรศวร 2025-09-16T16:50:13+07:00 Associate Professor Thanatsan Poonpaiboonpipat, Ph.D. aginujournal@gmail.com Open Journal Systems <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น&quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}">วารสารเกษตรนเรศวร</span></p> <p> ISSN 3088-1994 (Online)</p> <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น&quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}">กำหนดเผยแพร่ : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 <span style="font-weight: 400;">มกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </span></span></p> <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น&quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}">นโยบายและขอบเขตการตีพิพม์ : บทความที่รับตีพิมพ์บทความวิชาการ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Articles) และบทความปริทัศน์ (Review articles) <span style="font-weight: 400;">โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</span> </span><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น&quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}"><br /><br />หมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น</span></p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/269092 การตอบสนองทางกายวิภาคของรากและสรีรวิทยาในอ้อยลูกผสมข้ามต่อสภาวะที่จำลองความเครียดแล้งในระบบการผลิตอ้อยช่วงต้นฤดูฝน 2025-09-16T16:50:13+07:00 สุทธิดา พรมเอี่ยม suttida_ph@kkumail.com พัชริน ส่งศรี patcharinso@kku.ac.th ณกรณ์ จงรั้งกลาง nuntjo@kku.ac.th <p>อ้อยลูกผสมข้ามช่วยเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมและความสามารถในการทนแล้ง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินลักษณะทางกายวิภาคของราก และลักษณะทางสรีรวิทยาของอ้อยลูกผสมกลับชั่วรุ่นที่ 1 (backcross 1; BC1) ที่ทนทานต่อความแห้งแล้งแตกต่างกัน ดำเนินการทดลองในสภาพกระถางแบบ 2 × 4 Factorial in RCBD โดยปัจจัย A คือ การจัดการให้น้ำ 2 ระดับ ได้แก่ 1) ให้น้ำและควบคุมความชื้นดินที่ระดับความจุความชื้นระดับสนาม และ 2) ขาดน้ำช่วงต้นการเจริญเติบโตยาวนาน 18 วัน (ช่วง 30-48 วันหลังย้ายปลูก) และปัจจัย B คือ อ้อยลูกผสมกลับชั่วรุ่นที่ 1 จำนวน 4 โคลนพันธุ์ ได้แก่ BC1-21 BC1-44 BC1-50 และ BC1-63 พบว่า BC1-44 มีความสามารถในการรักษาการเจริญเติบโตและสรีรวิทยาได้ดีกว่าโคลนพันธุ์อื่น โดยแสดงค่าดัชนีความทนแล้งสูง (DTI) ทั้งในลักษณะจำนวนหน่อ อัตราการสังเคราะห์แสง ค่าความเขียวเข้มของสีใบ และการคายน้ำ พบว่า BC1-44 มีความยาวราก พื้นที่ผิวสัมผัส ปริมาตรของรากสูงกว่าพันธุ์อื่นๆ และลักษณะกายวิภาคของรากที่เอื้อต่อการลำเลียงน้ำ เช่น มีจำนวนท่อไซเล็มมาก ขนาดของมัดท่อลำเลียงในบริเวณโคนรากและปลายรากที่มีขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยลูกผสมข้ามชนิดให้ทนทานต่อความแห้งแล้งในช่วยต้นของการเจริญเติบโตในระบบการผลิตอ้อยช่วงต้นฤดูฝนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/268475 แนวทางการจัดการธาตุอาหารหลักเฉพาะพื้นที่สำหรับอ้อยในชุดดินกำแพงเพชรภาคเหนือของประเทศไทย 2025-09-02T05:17:26+07:00 สุชาดา กรุณา suchada.k@ku.th วิภาวรรณ ท้ายเมือง aginujournal@gmail.com ศิริพร รัตนศักดิ์ภักดี aginujournal@gmail.com พิวัตร เกตุยิ้ม aginujournal@gmail.com ปรมาภรณ์ คงหลำ aginujournal@gmail.com ชุติมณฑน์ เกตุยิ้ม aginujournal@gmail.com อำนาจ กลัดปรี aginujournal@gmail.com สุกัญญา จีนเฮ็ง aginujournal@gmail.com สุภารัตน์ รัชวรวงศ์ aginujournal@gmail.com รังสิมันต์ มีสุวรรณ aginujournal@gmail.com <p class="a"><span lang="TH">ภาคเหนือเป็นพื้นที่ปลูกอ้อยที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตอ้อยจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ในส่วนการจัดการปุ๋ยที่เฉพาะเจาะจงกับลักษณะดินยังมีการศึกษาค่อนข้างน้อย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการหาแนวทางการจัดการปุ๋ยอ้อยที่เฉพาะเจาะจงพื้นที่หรือชนิดของดิน ทดสอบกับชุดดินกำแพงเพชร ทำการเปรียบเทียบวิธีการจัดการปุ๋ย 4 ตำรับ ได้แก่ </span>T<span lang="TH">1=การใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำปุ๋ยอ้อยเฉพาะพื้นที่สำหรับชุดดินกำแพงเพชร </span>T<span lang="TH">2=การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินสำหรับอ้อยของกรมวิชาการเกษตร </span>T<span lang="TH">3=การใช้ปุ๋ยตามวิธีปฏิบัติของเกษตรกร และ </span>T<span lang="TH">4=การใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานตามวิธี </span>T<span lang="TH">1+</span>T<span lang="TH">2 ในอ้อยพันธุขอนแก่น 3 ทั้งอ้อยปลูก และอ้อยตอ เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต คือ ความสูง และจำนวนต้น ที่ระยะ 4 6 8 และ 10 เดือน ข้อมูลผลผลิตที่ 12 เดือน ได้แก่ ผลผลิตต่อไร่ ผลผลิตน้ำตาลต่อไร่ ค่า </span>C.C.S. <span lang="TH">และประเมินผลตอบแทนทางเศรษศาสตร์จากราคาอ้อยปี 67/68 (1</span>,<span lang="TH">160 บาท/ตัน) ผลการวิจัยพบว่า การเจริญเติบโตทุกตำรับไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (</span><em>P</em>&gt;<span lang="TH">.05) ในทุกระยะ ทั้งอ้อยปลูกและอ้อยตอ ส่วนผลผลิตอ้อยปลูก </span>T<span lang="TH">1 มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (23.33 ตันต่อไร่) มากกว่าตำรับ </span>T<span lang="TH">2</span>, T<span lang="TH">3 และ </span>T<span lang="TH">4 (20.16-20.20 ตันต่อไร่) ผลผลิตน้ำตาลต่อไร่และค่า </span>C.C.S. <span lang="TH">สูงที่สุดในตำรับ </span>T<span lang="TH">3 (2.74 ตัน </span>C.C.S.<span lang="TH">ต่อไร่ และ13.25 </span>C.C.S.) <span lang="TH">สำหรับอ้อยตอ </span>T<span lang="TH">4 ให้ค่าเฉลี่ยผลผลิต (16.31 ตันต่อไร่) และน้ำตาลสูงที่สุด (2.72 ตัน </span>C.C.S./<span lang="TH">ไร่) มากกว่าตำรับ </span>T<span lang="TH">1</span>, T<span lang="TH">2 และ </span>T<span lang="TH">3 (14.06-14.72 ตันต่อไร่) ส่วนค่า </span>C.C.S. <span lang="TH">ของอ้อยตอทุกตำรับทดลองไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ผลตอบแทนทางเศรษศาสตร์ </span>T<span lang="TH">1 ให้ผลตอบแทนและกำไรต่อพื้นที่สูงที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนปุ๋ยต่อไร่ต่ำที่สุด (501.79 บาทต่อไร่) เมื่อเปรียบเทียบกับตำรับ </span>T<span lang="TH">3 (วิธีเดิมของเกษตรกร 1</span>,<span lang="TH">512 บาทต่อไร่) สรุปว่าการใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำปุ๋ยที่เฉพาะเจาะจงสำหรับชุดดินสามารถลดต้นทุนปัจจัยการผลิต (ปุ๋ย) ได้และให้ผลตอบแทนสุทธิสูงกว่า</span></p> 2025-11-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/268754 การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากทะลายปาล์มน้ำมันร่วมกับปุ๋ยคอกของจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-08-16T12:05:38+07:00 นรานันท์ ขำมณี naranun.kma@sru.ac.th เกียรติยศ ธูปสวัสดิ์ 6504309001013@student.sru.ac.th อินธิรา อาวุธ 6504309001007@student.sru.ac.th <p>ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้มีพื้นที่ปลูกปาล์มกว่า 1.16 ล้านไร่ การจัดการเผาวัสดุเหลือทิ้งส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศและสภาวะโลกร้อน การผลิตปุ๋ยอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการจัดการเศษวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม นอกจากนี้ยังมีเศษเหลือทิ้งจากก้อนเห็ดเก่า และมูลสัตว์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ วางแผนการทดสอบโดยใช้การทดลองที่มีแผนแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD) โดยแบ่งเป็น 4 ทรีตเมนต์ ๆ ละ 3 ซ้ำ ทรีตเมนต์ที่ 1 อัตราส่วนก้อนเห็ดเก่าต่อมูลเป็ด สัดส่วน 1:1 (T1) ทรีตเมนต์ที่ 2 อัตราส่วนก้อนเห็ดเก่าต่อมูลไก่ สัดส่วน 1:1 (T2) ทรีตเมนต์ที่ 3 อัตราส่วนก้อนเห็ดเก่าต่อทะลายปาล์มต่อมูลเป็ด สัดส่วน 1:1:1 (T3) และทรีตเมนต์ที่ 4 อัตราส่วนก้อนเห็ดเก่าต่อทะลายปาล์มต่อมูลไก่ สัดส่วน 1:1:1 (T4) วัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อผลิตและวิเคราะห์คุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์จากวัสดุเหลือทิ้งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลการศึกษาพบว่า อุณหภูมิการหมักในทุกทรีตเมนต์ (T1 – T4) อยู่ในช่วง 30 - 31 °C ค่า pH อยู่ในช่วง 6.6 - 7.13 ส่วนค่า EC อยู่ในช่วง 0.11 – 2.13 dS/m ตลอดการหมัก 90 วัน ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม และปริมาณคาร์บอนอินทรีย์ทั้งหมด มีค่าสูงสุดพบในปุ๋ยอินทรีย์ทรีตเมนต์ T3 เท่ากับร้อยละ 0.29 ± 0.01 ร้อยละ 0.59 ± 0.08 และ ร้อยละ 4.80 ± 0.04 ตามลำดับ ปุ๋ยอินทรีย์ทุกทรีตเมนต์มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ (เกรด2) ของพรบ.ปุ๋ย (2550) (แก้ไขเพิ่มเติม พรบ.ปุ๋ยอินทรีย์ พ.ศ. 2518) พิจารณาจากค่าเฉลี่ยของ pH, EC, N, K และ Ca ทรีตเมนต์ T4 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.53 ± 0.15, 2.63 ± 0.06 dS/m, ร้อยละ 5.66 ± 0.12, ร้อยละ 0.59 ± 0.08 และ ร้อยละ 1.22 ± 0.02 ตามลำดับ ให้การเจริญเติบโตของผักกวางตุ้งฮ่องเต้ดีที่สุด โดยมีค่าความสูง ความกว้างทรงพุ่ม ความยาวใบ ความกว้างใบและจำนวนใบเท่ากับ 9.25 ± 1.06, 18.50 ± 2.14, 12.25 ± 1.00, 4.75 ± 0.35 ซม. และ 8.50 ± 0.75 ใบ ตามลำดับ ปริมาณฟอสฟอรัส และอินทรียวัตถุในดิน แสดงถึงประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em>&gt;.05)</p> 2025-10-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/268746 การผลิตและทดสอบทางกายภาพของถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-08-16T12:05:03+07:00 นรานันท์ ขำมณี naranun.kma@sru.ac.th อินธิรา อาวุธ 6504309001007@student.sru.ac.th เกียรติยศ ธูปสวัสดิ์ 6504309001013@student.sru.ac.th <p>ถ่านชีวภาพ (Biochar) เป็นวัสดุคาร์บอนที่ได้จากกระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) ซึ่งเป็นการให้ความร้อนกับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในสภาวะที่มีออกซิเจนจำกัดหรือไม่มีออกซิเจน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพจนได้วัสดุที่มีรูพรุนและค่าคาร์บอนคงตัวสูง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของถ่านชีวภาพจากวัสดุชีวมวล ได้แก่ ต้นกัญชา เปลือกโกโก้ ซังข้าวโพด เปลือกทุเรียน เปลือกมังคุดและเปลือกสับปะรด ซึ่งถึงแม้ว่าผ่านกระบวนการไพโรไลซิสภายใต้อุณหภูมิระหว่าง 215–300 องศาเซลเซียสที่ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิยังสามารถผลิตถ่านชีวภาพมีคุณสมบัติของรูพรุนที่ดี ผลการศึกษาทางกายภาพของถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนมีค่าดีที่สุด พบค่าความร้อนสูง ค่าคาร์บอนคงตัว ความชื้น ค่าเถ้าและค่าสารระเหยเท่ากับ 7107.63 Cal/g , 73.17%, 2.84%, 23.18% และ 1.38% ตามลำดับ รองลงมาคือถ่านชีวภาพจากซังข้าวโพดมีค่าความร้อน ค่าคาร์บอนคงตัว ความชื้น ค่าเถ้าและ ค่าสารระเหย เท่ากับ 6011.18 ± 16.91 Cal/g 76.95%, 2.64%, 19.07%, และ 1.51% ตามลำดับ การวิเคราะห์โครงสร้างรูพรุนพบว่าถ่านซังข้าวโพดมีค่าปริมาตรรูพรุนและพื้นที่ผิวมากที่สุดเท่ากับ 0.1028 cm<sup>3</sup>/g และ 147.00 m<sup>2</sup>/g ตามลำดับ โครงสร้างอสัณฐานวิทยาของถ่านชีวภาพมีลักษณะเป็นท่อคล้ายคาปิลลารีจากการตรวจวัดด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนไมโครสโคบแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscopy) กำลังขยาย 200 เท่าและ 500 เท่า แสดงให้เห็นว่า ซังข้าวโพด มีลักษณะรูพรุนชัดเจนที่สุด รองลงมาคือถ่านกัญชา ทุเรียน โกโก้ มังคุดและสับปะรด ตามลำดับ</p> 2025-10-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/268505 การคัดเลือกและประเมินพันธุ์อ้อยคั้นน้ำ ชุดปี 2565 ในเขตชลประทานและน้ำเสริม 2025-08-16T12:28:38+07:00 ปิยธิดา อินทร์สุข piyatida.6312@gmail.com วาสนา วันดี aginujournal@gmail.com ณรงค์ ย้อนใจทัน aginujournal@gmail.com ศรัณย์รัตน์ สุวรรณพงษ์ aginujournal@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพันธุ์อ้อยคั้นน้ำที่มีศักยภาพสูงในด้านผลผลิตและคุณภาพน้ำอ้อยจากชุดพันธุ์ปี 2565 ที่ปลูกในเขตชลประทานและน้ำเสริม โดยเริ่มต้นจากการการผสมข้ามพันธุ์ 15 คู่ (12 คู่ผสม และ 3 คู่ผสมเปิด) จากนั้นทำการคัดเลือกในแปลงทดลองโดยใช้แผนการทดลองแบบ Augmented Randomized Complete Block Design ทำการคัดเลือกอ้อยคั้นน้ำ โดยคัดจากลักษณะทางการเกษตร ได้แก่ ความสูง ลักษณะทรงกอ จำนวนลำ เส้นผ่านศูนย์กลางลำ ค่าบริกซ์ และสีน้ำอ้อย เป็นต้น ได้โคลนอ้อยที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น 54 โคลน และคัดเลือกรอบสุดท้ายได้ 17 โคลน ซึ่งทั้ง 17 โคลนดีเด่นมีน้ำหนักเฉลี่ย 118 กิโลกรัมต่อแถว ความสูงเฉลี่ย 293 เซนติเมตร จำนวนลำเฉลี่ย 107 ลำต่อแถว เส้นผ่านศูนย์กลางลำเฉลี่ย 3.00 เซนติเมตร และมีค่าบริกซ์เฉลี่ย 18.0 องศาบริกซ์ ขณะที่พันธุ์มาตรฐานทั้ง 3 พันธุ์ มีน้ำหนักเฉลี่ย 113 กิโลกรัมต่อแถว ความสูงเฉลี่ย 291 เซนติเมตร จำนวนลำเฉลี่ย 102 ลำต่อแถว เส้นผ่านศูนย์กลางลำเฉลี่ย 3.15 เซนติเมตร และมีค่าบริกซ์เฉลี่ย 19.0 องศาบริกซ์ และได้นำโคลนดีเด่นทั้ง 17 โคลน ไปปลูกในแปลงเปรียบเทียบเบื้องต้นต่อไป</p> 2025-10-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/261849 ความสัมพันธ์ของยีน Neuropeptide Y (NPY) ต่อลักษณะการให้ผลผลิตไข่ในไก่พื้นเมืองไทย 2025-07-09T16:39:17+07:00 ดวงนภา พรมเกตุ napakran@hotmail.com ขนิษฐา เพ็งมีศรี Khanittha.p@msu.ac.th เจนรงค์ คํามงคุณ jennarongk@yahoo.com ทัศน์วรรณ สมจันทร์ Thassawan.s@msu.ac.th <p>วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อตรวจหาความสัมพันธ์ของยีน Neuropeptide Y (<em>NPY</em>) ต่อลักษณะการให้ผลผลิตไข่ในไก่พื้นเมืองไทย (ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่สายพันธุ์ไข่ดก) จำนวน 150 ตัว วิธีการศึกษาใช้ primer จำเพาะและเอนไซม์ตัดจำเพาะ(<em>Dra</em> I) เพื่อตรวจสอบรูปแบบจีโนไทป์ของยีน <em>NPY</em> โดยเทคนิค polymerase chain reaction-restriction fragment length polymorphism (PCR-RFLP) ผลการศึกษาพบว่า เครื่องหมายทางพันธุกรรม <em>NPY</em> มีขนาด 240 bp รูปแบบจีโนไทป์ของยีน <em>NPY</em> พบ 3 รูปแบบ คือ จีโนไทป์ BB (240 bp) จีโนไทป์ Bb (240, 161 and 79 bp) และจีโนไทป์ bb (161 and 79 bp) ความถี่จีโนไทป์ BB จีโนไทป์ Bb และจีโนไทป์ bb คือ 0.10, 035, 0.55 ตามลำดับ ค่าความถี่อัลลีล B (0.27) มีค่าต่ำกว่าอัลลีล b (0.73) นอกจากนั้น รูปแบบจีโนไทป์ที่แตกต่างกันทั้ง 3 รูปแบบ มีความสัมพันธ์ต่อลักษณะจำนวนไข่ 360 วัน ลักษณะผลผลิตไข่เฉลี่ยต่อเดือน และลักษณะผลผลิตมวลไข่ต่อตัว (P&lt;0.05) ไก่พื้นเมืองไทยที่มีรูปแบบจีโนไทป์ BB มีความสัมพันธ์กับลักษณะจำนวนไข่ 360 วัน ลักษณะผลผลิตไข่เฉลี่ยต่อเดือน และลักษณะผลผลิตมวลไข่ต่อตัว สูงที่สุด (201.86 ฟอง, 16.82 ฟอง และ 45.04 กรัม/แม่/วัน) ส่วนไก่ที่มีรูปแบบจีโนไทป์ bb มีความสัมพันธ์กับลักษณะจำนวนไข่ 360 วัน ลักษณะผลผลิตไข่เฉลี่ยต่อเดือน และลักษณะผลผลิตมวลไข่ต่อตัว ต่ำที่สุด (181.72 ฟอง, 15.14 ฟอง และ 40.04 กรัม/แม่/วัน) จากผลการทดลองมีความเป็นไปได้ที่พบความสัมพันธ์ของยีน <em>NPY</em> ต่อลักษณะการให้ผลผลิตไข่ และอาจนำไปใช้เป็นเครื่องหมายทางพันธุกรรมสำหรับคัดเลือกและปรับปรุงให้ไก่พื้นเมืองไทยให้มีจำนวนไข่ 360 วัน ลักษณะผลผลิตไข่เฉลี่ยต่อเดือน และลักษณะผลผลิตมวลไข่ ให้ดีขึ้นได้</p> 2025-09-09T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/265968 ทดสอบเทคโนโลยีการจัดการโรคเหี่ยวของกระชายเพื่อเพิ่มผลผลิตแบบเกษตรกรมีส่วนร่วมในจังหวัดพิจิตร 2025-05-30T08:34:46+07:00 เกษร แช่มชื่น kesorn.cha@hotmail.com อนุรักษ์ สุขขารมย์ kesorn.cha@hotmail.com ดาวรรณ สนคง kesorn.cha@hotmail.com บูรณี พั่ววงษ์แพทย์ kesorn.cha@hotmail.com <p>การทดสอบเทคโนโลยีการจัดการโรคเหี่ยวของกระชายเพื่อเพิ่มผลผลิตแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในจังหวัดพิจิตร มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดโรคเหี่ยวของกระชายที่เหมาะสม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในจังหวัดพิจิตร ดำเนินการในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกระชาย อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2564 - กันยายน 2567 เกษตรกรร่วมดำเนินงานทดสอบ 10 ราย ประกอบด้วยกรรมวิธี คือ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิธีทดสอบ จัดการดินก่อนปลูกด้วยการใช้ยูเรียและปูนขาว ร่วมกับการแช่หัวพันธุ์กระชายด้วยชีวภัณฑ์ <em>Bacillus subtilis </em>สายพันธ์ BS-DOA 24 &nbsp;หลังจากปลูกกระชายพ่น BS-DOA 24 เปรียบเทียบกับวิธีเกษตรกร ไม่มีการจัดการดินก่อนปลูกและแช่หัวพันธุ์ด้วยเมทาแลกซิล พบว่า วิธีทดสอบให้ผลผลิตกระชายเฉลี่ย 2,599 กิโลกรัมต่อไร่ มากกว่าวิธีเกษตรกร ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,975 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้วิธีทดสอบมีรายได้และผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากว่าวิธีเกษตรกร ดังนั้น ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นคำแนะนำให้กับเกษตรกร&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ปลูกกระชายที่มีสภาพแวดล้อมพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ทดสอบเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/267747 ความต้องการใช้นวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถว ในการปลูกหอมแดงของเกษตรกร ตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี 2025-06-09T11:16:25+07:00 อัศราช นาคบุญนนท์ atsarat.official@gmail.com ชลาธร จูเจริญ fagrchch@ku.ac.th เมตตา เร่งขวนขวาย agrmec@ku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจและสังคม 2) ความคิดเห็นของเกษตรกรต่อคุณลักษณะที่สำคัญของนวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถว 3) ความต้องการใช้นวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถวในการปลูกหอมแดงของเกษตรกร ในตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรจำนวน 147 ราย สุ่มโดยการจับฉลาก ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในเก็บข้อมูล สถิติที่ได้คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 57.65 ปี การศึกษาระดับประถมศึกษา ขนาดพื้นที่ทำการเกษตรเฉลี่ย 26.46 ไร่ จำนวนแรงงานเฉลี่ย 2.78 คน และมีรายได้จากการทำการเกษตรเฉลี่ย 216,918.37 บาทต่อปี คุณลักษณะที่สำคัญของนวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถวที่เกษตรกรเห็นด้วยด้วยมากที่สุด คือ 1) รถปลูกผักช่วยให้รากพืชได้รับความเสียหายน้อยลง 2) รถปลูกผักทำงานได้รวดเร็วเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานคน และ 3) รถปลูกผักมีความแม่นยำในการปลูก เกษตรกรมีความต้องการใช้นวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถว ในระดับปานกลาง เกษตรกรมีความต้องการใช้งานนวัตกรรมจากด้านการรับรู้ประโยชน์ในระดับมาก และจากด้านการรับรู้ความง่ายในการใช้งานในระดับปานกลาง ผลทดสอบสมมติฐานพบว่า อายุ ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร จำนวนแรงงาน และรายได้จากการทำการเกษตร มีความสัมพันธ์กับความต้องการใช้นวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถว ในการปลูกหอมแดงของเกษตรกรที่ระดับนัยสำคัญ (<em>P</em>&lt;.01) และเพศที่ระดับนัยสำคัญ (<em>P</em>&lt;.05) ผลการศึกษาสามารถนำไปใช้วางแผนและส่งเสริมการใช้งานนวัตกรรมรถปลูกผัก 4 แถว และนวัตกรรมอื่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหอมแดงอันเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรนเรศวร