วารสารเกษตรนเรศวร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal
<p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น"}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}">วารสารเกษตรนเรศวร</span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น"}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}">ISSN : 0859-3027 Online ISSN : 2730-356X</span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น"}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}">กำหนดเผยแพร่ : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 <span style="font-weight: 400;">มกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </span></span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น"}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}">นโยบายและขอบเขตการตีพิพม์ : บทความที่รับตีพิมพ์บทความวิชาการ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Articles) และบทความปริทัศน์ (Review articles) <span style="font-weight: 400;">โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</span> </span><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"บทความที่รับตีพิมพ์\n1 สาขาวิชาที่เปิดรับการตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tสาขาเกษตรศาสตร์ (พืชศาสตร์ (พืชไร่ พืชสวน ปฐพี กีฏะ โรคพืช วัชพืช ฯลฯ))/ สัตวศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การประมง)\n•\tสาขาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร \n•\tสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร \n•\tสาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม\n•\tสาขาภูมิศาสตร์ \n•\tสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง\n2 บทความที่รับตีพิมพ์ ได้แก่ \n•\tบทความวิชาการ \n•\tบทความวิจัย \nหมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น"}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}"><br /><br />หมายเหตุ ต้องเป็นผลงานใหม่ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในสื่อใด ๆ มาก่อนหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาของวารสารอื่น</span></p>
Faculty of Agriculture, Natural Resources and Environment, Naresuan University.
th-TH
วารสารเกษตรนเรศวร
0859-3027
<p><em><span style="font-weight: 400;">Journal of TCI is licensed under a Creative Commons </span></em><a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><em><span style="font-weight: 400;">Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</span></em></a><em><span style="font-weight: 400;"> licence, unless otherwise stated. Please read our Policies page for more information...</span></em></p>
-
การผลิตถ่านกัมมันต์จากไม้ทานาคาที่ผ่านการคาร์บอไนเซชัน ด้วยวิธีการกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริก
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/265054
<p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของถ่านกัมมันต์จากไม้ทานาคาที่ผ่านการคาร์บอไนเซชันด้วยวิธีการกระตุ้นด้วยกรดฟอสฟอริก ผลการศึกษาพบว่า เมื่อกระตุ้นถ่านคาร์บอไนซ์ด้วยกรดฟอสฟอริกที่อัตราส่วนระหว่างถ่านคาร์บอไนซ์ต่อกรดฟอสฟอริก (g:mL) เท่ากับ 1:3 และเผากระตุ้นที่อุณหภูมิ 700 ˚C เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ถ่านกัมมันต์ที่ผลิตได้จะมีค่าการดูดซับไอโอดีนและเมทิลีนบลูสูงสุดเท่ากับ 650.14 ± 47.21 และ 71.63 ± 1.17 mg/g ตามลำดับ ผลการศึกษาลักษณะทางกายภาพและทางเคมีพบว่าถ่านคาร์บอไนซ์จากไม้ทานาคามีปริมาณธาตุองค์ประกอบของธาตุแคลเซียม (54.05%wt.) โพแทสเซียม (21.22%wt.) ฟอสฟอรัส (9.49%wt.) และแมกนีเซียม (6.38%wt.) มีประจุบนพื้นผิวเป็นประจุลบ (-34.17) ที่สารละลาย pH เท่ากับ 7 ลักษณะของหมู่ฟังก์ชันของถ่านคาร์บอไนซ์และถ่านกัมมันต์จากไม้ทานาคาที่พบ ประกอบด้วยหมู่ฟังก์ชัน O-H, C-H, C=C และ C=C (Aromatic) ซึ่งเป็นหมู่ฟังก์ชันที่คล้ายคลึงกับหมู่ฟังก์ชันของถ่านกัมมันต์เกรดการค้า นอกจากนั้นพบว่าถ่านกัมมันต์จากไม้ทานาคาและถ่านกัมมันต์เกรดการค้า มีประสิทธิภาพในการดูดซับเมทิลีนบลูไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ดังนั้น ไม้ทานาคามีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดเป็นถ่านกัมมันต์ที่มีคุณภาพสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และลดการนำเข้าถ่านกัมมันต์ จากต่างประเทศ</p>
รัชฎาภรณ์ ชมสวนสวรรค์
ชาญยุทธ กฤตสุนันท์กุล
อัมพิรา เจริญแสง
นวลกมล อาภรณ์พงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
21 2
e0210208
e0210208
-
ผลของอาหารเสริมใบกัญชง (Cannabis sativa) ใต้ช่อดอกต่อการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร ดัชนีร่างกาย และคุณภาพซากของปลานิล (Oreochromis niloticus)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/262741
<p>ใบกัญชงใต้ช่อดอก (Hemp sugar leaf) เป็นผลพลอยได้ที่เกษตรกรได้ตัดแต่งช่อดอกก่อนการจำหน่ายที่มีปริมาณมาก แต่อย่างไรก็ตามใบกัญชงใต้ช่อดอก<br />ที่ถูกตัดแต่งยังคงมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต และการนำไปใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด จึงเป็นที่มาของการศึกษาในครั้งนี้ คือ เพื่อศึกษาผลของการเสริมใบกัญชงใต้ช่อดอกในอาหาร ต่อการเจริญเติบโตของปลานิล การใช้อาหาร ดัชนีร่างกาย และคุณภาพซากของปลานิล โดยเตรียมอาหารทดลอง<br />ที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และเสริมผงใบกัญชงใต้ช่อดอกที่ระดับต่าง ๆ จำนวน 4 ระดับ ได้แก่ 0, 10, 20 และ 40 กรัมต่อกิโลกรัมอาหาร ให้ปลากินอาหารวันละ 2 ครั้งจนอิ่ม เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ โดยทดลองเลี้ยงปลาในถังขนาด 250 ลิตร ที่มีความจุน้ำ 200 ลิตร โดยปล่อยปลาลงเลี้ยง 15 ตัวต่อถัง <br />และมีน้ำหนักเฉลี่ยเริ่มต้น 6.67 ± 0.03 กรัมต่อตัว ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการเสริมใบกัญชงใต้ช่อดอกในอาหารทุกระดับไม่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของปลานิลตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์ รวมถึงน้ำหนักเฉลี่ยสุดท้ายน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มเฉลี่ยต่อวัน อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ ค่าปัจจัยของน้ำหนักต่อความยาวของปลาทดลอง ดัชนีนํ้าหนักตับ ต่อนํ้าหนักปลา และดัชนีนํ้าหนักอวัยวะภายในต่อนํ้าหนักปลา อัตราการกินอาหาร อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ และประสิทธิภาพการใช้อาหารเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) อัตราการรอดตายของปลาที่เลี้ยงด้วยอาหารเสริมใบกัญชงใต้ช่อดอกที่ระดับ 20 กรัมต่อกิโลกรัมอาหารมีแนวโน้มมีค่าสูงที่สุด คือ 95.00±6.38 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ (p>0.05) การวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของซากปลา พบว่า โปรตีนซากปลาหลังการทดลองไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) โดยพบว่า ค่าไขมันมีค่าลดลงตั้งแต่การเสริมที่ระดับ 20 กรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่ค่าความชื้นและเถ้าในซากปลา พบว่า มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเสริมใบกัญชงใต้ช่อดอกที่ระดับ 10, 20 และ 40 กรัมต่อกิโลกรัม<br />ในอาหารไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต การใช้อาหารของปลา ดัชนีร่างกาย และอัตราการรอดตายของปลานิล</p>
อภิชญา เกตุอ้น
อนุรักษ์ เขียวขจรเขต
กัลย์กนิต พิสมยรมย์
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-30
2024-12-30
21 2
e0210207
e0210207
-
การศึกษาความเข้มข้น ลักษณะสัณฐาน และองค์ประกอบธาตุของอนุภาคแขวนลอยขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน บริเวณพื้นที่ริมถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/264294
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเข้มข้นและลักษณะสัณฐานของอนุภาคฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (24 ชั่วโมง) บริเวณริมถนนที่มีประชากรและการจราจรหนาแน่นในเขตเทศบาลนครจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 9 พื้นที่ โดยเก็บตัวอย่างใช้วิธีกราวิเมตริกและคำนวณค่าเฉลี่ยในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ต่อเนื่อง 3 เดือน ในช่วงฤดูแล้ง โดยดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม – พฤษภาคม พ.ศ. 2567 รวมทั้งวิเคราะห์ชนิดของธาตุจากตัวอย่างโดยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดที่มีสมรรถนะสูง ชนิดฟิลด์อีมิสชั่น (FESEM) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ระดับความเข้มข้น PM2.5 มีระดับเกินค่ามาตรฐาน (ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 37.5 µg/m<sup>3</sup>) 5 พื้นที่ ได้แก่ ถนนวังจันทร์ ถนนไชยานุภาพ ถนนสามแยกบึงพระจันท์ ถนนพุทธบูชา และถนนศรีสุริโยทัย จากการวิเคราะห์ค่าสถิติของจุดเก็บตัวอย่างทั้ง 9 จุด พบว่า ถนนไชยานุภาพมีระดับ PM2.5 สูงสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ที่ระดับ 78.76±12.15 µg/m<sup>3 </sup>และมีค่าระดับ AQI สูงสุดเท่ากับ 201 (สีแดง) สำหรับพื้นที่ริมถนนซึ่งมีค่าระดับ PM2.5 ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน พบใน 4 พื้นที่ริมถนน ได้แก่ ถนนพญาเสือบริเวณวัดอรัญญิก ถนนพระองค์ดำบริเวณตลาดราชพฤกษ์ ถนนพระองค์ดำบริเวณสี่แยกบ้านแขก และถนนบรมไตรโลกนารถบริเวณตลาดกิตติกร นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ลักษณะสัณฐานจาก FESEM แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของอนุภาคสูงสุด <br />8 อันดับแรก ใน 9 พื้นที่ศึกษา ได้แก่ คาร์บอน (C) ออกซิเจน (O) ซิลิกอน (Si) โพแทสเซียม (K) ซัลเฟอร์ (S) อลูมิเนียม (Al) เหล็ก (Fe) และแคลเซียม (Ca) โดยอนุภาคในการศึกษานี้ประกอบด้วยอนุภาคที่มีรูปร่างโดดเด่น 4 ประเภท ได้แก่ อนุภาครูปร่างที่ไม่แน่นอน อนุภาครูปร่างทรงกลม อนุภาครูปร่างแท่งยาว และอนุภาครูปร่างเป็นก้อน เมื่อพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ร่วมกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ศึกษาสามารถสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดหลัก PM2.5 ที่สำคัญเกิดจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (การขนส่ง) การเผาไหม้ชีวมวลและฝุ่นดินที่ฟุ้งกระจาย ผลงานวิจัยสามารถนำไปจัดการปัญหาจากแหล่งกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขหรือบรรเทาปัญหา PM2.5 ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก</p>
เบญจพร โกญจนาท
กฤษฎา ภาณุมนต์วาที
กณิตา ธนเจริญชณภาส
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-22
2024-12-22
21 2
e0210206
e0210206
-
ผลของไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแทสเซียม ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของกระชายในจังหวัดพิจิตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/263157
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> ผลของปุ๋ยไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของกระชายในจังหวัดพิจิตร การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของปุ๋ยไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของกระชายในแปลงเกษตรกรจังหวัดพิจิตร วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย 5 กรรมวิธีได้แก่ วิธีควบคุม (Control) คือ ไม่ใส่ปุ๋ย และใส่ปุ๋ยไนโตรเจน อัตรา คือ 4, 8, 15 และ 30 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัส 1 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยโพแทสเซียม 18 กิโลกรัมต่อไร่ พบว่า การเจริญเติบโตทางด้านความสูงต้น ความกว้างต้น ความยาวต้น และจำนวนหน่อ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกันทางสถิติ แต่อย่างไรก็ตามการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน อัตรา 4 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ผลผลิตรวมสูงสุด 4,189 กิโลกรัมต่อไร่ ให้รายได้สุทธิสูงสุด 126,932 บาท มากกว่าชุดควบคุมและกรรมวิธีอื่น</p>
เกษร แช่มชื่น
อนุรักษ์ สุขขารมย์
บังอร แสนคาน
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-10
2024-12-10
21 2
e0210205
e0210205
-
ผลของการเสริมสารประกอบไฟโตจีนิกต่อสมรรถภาพผลผลิตไข่ คุณภาพไข่และดัชนีความเครียดในไก่ไข่ภายใต้การเลี้ยงแบบปล่อยพื้น
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/259095
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถภาพผลผลิตไข่ คุณภาพไข่ และดัชนีวัดความเครียดของไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยพื้นที่ได้รับสารเสริมไฟโตจินิกในรูปแบบของน้ำดื่ม การทดลองใช้ไก่ไข่พันธุ์อีซ่าบราวน์ (Isa Brown) อายุ 40 สัปดาห์ จำนวน 256 ตัว แบ่งไก่ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ซ้ำๆ ละ 32 ตัว การทดลองแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุม และกลุ่มที่ได้รับน้ำที่มีการเสริมสารประกอบไฟโตจีนิค (Sangrovit® WS) ที่ระดับ 1 กรัมต่อน้ำ 5 ลิตร ผลการทดลองพบว่าไก่ไข่ที่ได้รับน้ำที่มีการเสริมสารประกอบไฟโตจีนิคมีเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตไข่ น้ำหนักไข่ มวลไข่และการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักไข่มากกว่ากลุ่มควบคุม (<em>P</em><0.05) ไก่ไข่ที่ได้รับน้ำที่มีการเสริมสารประกอบไฟโตจีนิคมีค่าของน้ำหนักไข่แดง ไข่ขาว เปลือกไข่และความสูงของไข่ขาวดีกว่ากลุ่มควบคุม (<em>P</em><0.05) นอกจากนี้พบว่าค่าอัตราส่วนเฮทเทอโรฟิลต่อลิมโฟไซต์ (heterophil/lymphocyte) ของไก่ไข่กลุ่มควบคุมมีค่ามากกว่าไก่ไข่ที่ได้รับน้ำที่มีการเสริมสารประกอบไฟโตจีนิค (<em>P</em><0.05) การทดลองแสดงให้เห็นว่าสารประกอบไฟโตจินิกส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการผลิตไข่ คุณภาพไข่และดัชนีความเครียดของไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อย</p>
สุภารักษ์ คำพุฒ
ยุทธนา สุนันตา
ครรชิต ชมภูพันธ์
กฤดา ชูเกียรติศิริ
อาทิตย์ ปัญญาศักดิ์
วิภาวี ฮวบสกุล
ภาสกร ปิยารัมย์
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-28
2024-10-28
21 2
e0210204
e0210204
-
ประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืชต่อพฤติกรรมการถอยห่างของด้วงงวงข้าวโพด (Sitophilus zeamais Motschulsky)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/263806
<p class="a"><span lang="TH">ด้วงงวงข้าวโพดเป็นแมลงศัตรูโรงเก็บที่สำคัญของเมล็ดข้าวและธัญพืช โดยมักสร้างความเสียหาย</span><br /><span lang="TH">โดยการกัดกินภายนอกเมล็ด ทำให้เกิดความเสียหายต่อปริมาณและคุณภาพเมล็ดได้ โดยการทดลองนี้</span><br /><span lang="TH">มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของด้วงงวงข้าวโพดที่ตอบสนองต่อสารสกัดแต่ละชนิดด้วยวิธีการถอยห่าง</span><br /><span lang="TH">ออกจากบริเวณที่มีสารสกัดจากพืช โดยสารสกัดจากพืชที่ใช้ทดสอบ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยส้ม น้ำมันหอมระเหย</span><br /><span lang="TH">ยูคาลิปตัส และสารสกัดต้นกล้าฟักทอง ความเข้มข้น </span>5%<span lang="TH"> ต่อพฤติกรรมและระยะการถอยห่างจากสารสกัด</span><br /><span lang="TH">ของด้วงงวงข้าวโพดในอุโมงค์ทดสอบ ผลการทดลองพบว่า ด้วงงวงข้าวโพดตัวที่ตอบสนองไวที่สุด </span>(n=5) <br /><span lang="TH">ถอยห่างจากบริเวณวางสารสกัดแตกต่างกันในแต่ละกรรมวิธี โดยที่เวลา 1</span>, 2, 3, 4 <span lang="TH">และ 5 นาที พบด้วงงวงข้าวโพดมีระยะถอยห่างจากจุดวางสารในชุดควบคุม เท่ากับ 19.00±9.02</span>, 24.40±8.05, <span lang="TH">30.20±7.25</span>, 28.20±8.04 <br /><span lang="TH">และ 27.40</span>±<span lang="TH">10.59 ซม. ตามลำดับ ในขณะที่การใช้สารสกัดน้ำมันหอมระเหยส้มส่งผลให้ระยะการถอยห่าง</span><br /><span lang="TH">ของด้วงงวงข้าวโพด เท่ากับ 34.40±3.36</span>, 53.80±6.26, <span lang="TH">56.80±2.68</span>, 58.00±0.00 <span lang="TH">และ 58</span>±0<span lang="TH">0.</span>0<span lang="TH">0 ซม. ตามลำดับ สารสกัดน้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัสส่งผล</span>ใ<span lang="TH">ห้ระยะการถอยห่างของด้วงงวงข้าวโพด เท่ากับ 31.00±10.46</span>, 40.00±11.15, <span lang="TH">50.20±12.43</span>, 51.80±10.82 <span lang="TH">และ 53.80</span>±<span lang="TH">9.39 ซม. ตามลำดับ และสารสกัดต้นกล้าฟักทอง</span><br /><span lang="TH">ส่งผลให้ระยะการถอยห่างของด้วงงวงข้าวโพด เท่ากับ 24.20±10.42</span>, 33.40±16.16, <span lang="TH">32.20±9.70</span>, 35.40±9.23 <span lang="TH">และ 40.60</span>±<span lang="TH">11.84 ซม. ตามลำดับ นอกจากนี้ พบว่าสารสกัดน้ำมันหอมระเหยส้มมีด้วงงวงข้าวโพดถอยห่าง</span><br /><span lang="TH">ไปถึงปลายอุโมงค์ทดสอบมากที่สุด </span>(n=22)</p>
นฤมล สุทธิธรรม
ปอรรัชม์ แสงรัตน์
รมิดา กร่ำศรี
ปิยะณัฏฐ์ ผกามาศ
ธีรนัย โพธิ
สุนิตรา อุปนันท์
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-20
2024-10-20
21 2
e0210203
e0210203
-
ผลของไคโตซานต่อคุณภาพการเก็บรักษาหน่อไม้ฝรั่งสด
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/262797
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของหน่อไม้ฝรั่งสดภายหลังการใช้ไคโตซานผลิตภัณฑ์ทางการค้าอีเด็น (Eden<sup>®</sup>) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ประกอบด้วย 2 ทรีทเมนต์ ได้แก่ ไม่เคลือบ <br />(ชุดควบคุม) และเคลือบด้วยผลิตภัณฑ์ Eden<sup>®</sup> จำนวน 3 ซ้ำ ๆ ละ 10 หน่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอายุ<br />การเก็บรักษาและคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของหน่อไม้ฝรั่ง โดยการแช่ตัวอย่างนาน 2 นาที ผึ่งให้แห้ง ห่อหุ้มด้วยพลาสติกใส และเก็บรักษาที่อุณหภูมิตู้แช่ 5 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 80-85 เป็นเวลา 14 วัน บันทึกข้อมูลคุณภาพทุก 2 วัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก ความแน่นเนื้อ การเปลี่ยนแปลงของสีเนื้อ คุณภาพทางด้านประสาทสัมผัส และคุณภาพทางด้านจุลินทรีย์ รวมทั้งอายุการเก็บรักษา พบว่า ผลิตภัณฑ์ Eden<sup>®</sup> มีประสิทธิภาพ<br />ในการรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาหน่อไม้ฝรั่งนานถึง 14 วัน ที่อุณหภูมิเก็บรักษาที่ 5 องศาเซลเซียส <br />เมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุมมีอายุการเก็บรักษาเพียง 11 วัน โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีผลช่วยชะลอการสูญเสียน้ำหนัก ความแน่นเนื้อ การเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของสีเนื้อ รักษาคุณภาพด้านประสาทสัมผัส (สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และการยอมรับ) อยู่ในเกณฑ์ที่ผู้บริโภคพอใจ ซึ่งดีกว่าชุดควบคุม นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์ Eden<sup>®</sup> <br />ยังมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตลอดการเก็บรักษา</p>
ทรายขวัญ บุญช่วยสุข
กัลย์กนิต พิสมยรมย์
ธนสรณ์ รักดนตรี
มยุรี กระจายกลาง
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-16
2024-09-16
21 2
e0210202
e0210202
-
การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศเกษตรจากการพัฒนาระบบชลประทาน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/aginujournal/article/view/264039
<p> การศึกษาเพื่อเตรียมการขับเคลื่อน การตั้งรับและปรับตัวของเกษตรกรต่อการพัฒนาระบบเกษตรกรรมด้วยการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม ดำเนินการในพื้นที่โครงการอ่างเก็บน้ำแม่พวก อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 479 ราย มีความรู้ต่ำกว่าปริญญาตรี 94.36% มีอายุเกิน 40 ปี คิดเป็น 86.64% มีเพียง 16.29% ที่มีอาชีพเกษตรกรรม มีหนี้สิน 64.42% ผู้ให้ข้อมูลต้องการให้เกิดการรวมกลุ่มผู้ใช้น้ำ <br />16 กลุ่ม ขอให้ยกระดับเป็นกลุ่มบริหารจัดการผลิตทางการเกษตร มีตัวแทนเกษตรกร 28 ราย จาก 3 ตำบล ร่วมกันหารือและสัมภาษณ์เชิงลึก มีการวิเคราะห์เพื่อวางแผนการตั้งรับและปรับตัวในอนาคต โดยเกษตรกรต้องการแนวทางในการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในรูปแบบระบบนิเวศการเกษตรใหม่ อาทิ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร โดยอาศัยจุดแข็งของภูมิสังคม รวมทั้งต้องการแก้ไขปัญหาระบบการเกษตรเดิมที่มีรายได้ต่ำ แก้ไขปัญหาหนี้สินจากวิกฤตหรือภัยคุกคามเดิมคือ น้ำท่วม น้ำหลากและขาดแคลนน้ำ ต้องการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการการผลิต การแปรรูปและการตลาด มีความพร้อมในการเปิดรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงระบบทั้ง 12 ประเด็น ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลุ่มเกษตรกรตัดสินใจเลือกระบบการผลิตใหม่ทั้ง 18 ระบบ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงถึงความพร้อมในการปรับตัวต่อการใช้ระบบชลประทานใหม่แบบท่อส่งน้ำและเกษตรกรให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีบทบาทต่อการสร้างความสำเร็จ ทั้ง 5 กลุ่ม (ผู้นำท้องถิ่น เกษตรกร ผู้นำเกษตรกร พ่อค้า นักวิชาการภาครัฐหรือข้าราชการ) (<em>P</em> < 0.05) โดยภาพรวมเกษตรกรในพื้นที่พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการยกระดับอาชีพเกษตรกรรมและสร้างเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม</p>
เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ
วันดี วัฒนชัยยิ่งเจริญ
กวีชา แซ่หว้า
กมลภรณ์ บุญถาวร
พรนภา สุตะวงค์
พรมงคล ชิดชอบ
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรนเรศวร
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-09-16
2024-09-16
21 2
e0210201
e0210201