https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/issue/feedวารสารแก่นเกษตร2024-09-24T16:32:19+07:00บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตรagkasetkaj@gmail.comOpen Journal Systems<p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p>https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263006ประสิทธิผลการใช้ระบบ Isan e-Extension ในงานส่งเสริมการเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย2024-04-19T15:27:27+07:00บันดิษฐ ใสโศกbandish.s@kkumail.comสุกัลยา เชิญขวัญsukanl@kku.ac.th<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการใช้ระบบส่งเสริมการเกษตร Isan e-Extension ในพื้นที่นำร่อง 27 อำเภอ ครอบคลุม 20 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดำเนินการศึกษาจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 81 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำเสนอในลักษณะการบรรยาย ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมากกว่าร้อยละ 80 ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรในทุกด้าน กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อระบบ Isan e-Extension ในระดับมาก ระบบ Isan e-Extension ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้บางประเด็น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการประชุมและเบี้ยเลี้ยงในการอบรม เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น เช่น สามารถเยี่ยมเยียนเกษตรกรและองค์กรการเกษตรเพิ่มขึ้น 728 คน และจำนวนครั้งในการเยี่ยมเยียนเพิ่มขึ้น 141 ครั้งต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็นว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เกิดประสิทธิผลระดับมากและมีความทันสมัย ปัญหาอุปสรรคการใช้ระบบ Isan e-Extension ได้แก่ เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำงานมีความจำกัด ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่มีความเสถียร ขาดทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และขาดความเข้าใจในระบบส่งเสริมการเกษตร Isan e-Extension</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262923การใช้ประโยชน์จากแบคทีเรียสังเคราะห์แสงในการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทย2024-04-29T12:21:56+07:00ธนบดี ปิ่นทศิริthanabodee.pi@nsru.ac.thพีระพล คำหอมThanabodee.pi@nsru.ac.thสุรภี ประชุมพลThanabodee.pi@nsru.ac.thจอมสุดา ดวงวงษาThanabodee.pi@nsru.ac.thจามรี เครือหงษ์jamree.k@nsru.ac.th<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ประโยชน์จากแบคทีเรียสังเคราะห์แสงในการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทย ประกอบด้วย 2 การทดลอง วัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาการเจริญเติบโตของแบคทีเรียสังเคราะห์แสง (PSB) 2) ศึกษาการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทยด้วย PSB 3) ศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทยด้วย PSB การทดลองที่ 1 การเจริญเติบโตของ PSB โดยการใช้ไข่ไก่ความเข้มข้น 5, 10, 15, 20, 25, 30, 35, 40, 45 และ 50 มิลลิลิตรต่อลิตร เมื่อเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทยเป็นระยะเวลา 14 วัน พบว่าการใช้ไข่ไก่ 5 ความเข้มข้นที่เจริญเติบโตดีที่สุด ได้แก่ 45, 50, 25, 10 และ 5 มิลลิลิตรต่อลิตร ตามลำดับ จึงนำผลดังกล่าวไปทำการทดลองที่ 2 เปรียบเทียบการเจริญเติบโตของไรน้ำนางฟ้าไทยด้วยแบคทีเรียสังเคราะห์แสงกับสาหร่ายคลอเรลลา (ชุดควบคุม) พบว่าการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทยด้วยสาหร่ายคลอเรลลาให้การเจริญเติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) เทียบกับไรน้ำนางฟ้าไทยที่เลี้ยงด้วย PSB แต่อัตราการรอดตายและผลผลิตของไรนางฟ้าไทยที่เลี้ยงด้วย PSB ความเข้มข้น 25 มิลลิลิตรต่อลิตรสูงที่สุดแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) กับชุดการทดลองอื่น เมื่อคำนวณต้นทุนและผลตอบแทน พบว่า PSB ได้กำไรสุทธิสูงกว่าการเลี้ยงด้วยสาหร่ายคลอเรลลา การใช้ PSB ความเข้มข้นของไข่ไก่ 10 มิลลิลิตรต่อลิตร ทำให้กำไรและผลตอบแทนสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไทยสามารถใช้แบคทีเรียสังเคราะห์แสงเป็นอาหารทดแทนสาหร่ายคลอเรลลาได้</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263141ผลของการจำกัดเบต้า-แคโรทีนในอาหารต่อลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ และการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างไขมันในโคลูกผสมวากิว2024-06-10T14:38:52+07:00สุภาวิณี มหาสำราญsuphawinee.ma@ku.thวิราวรรณ นุชนารถwirawan.nu@ku.thศิริรัตน์ บัวผันsirirat.b@ku.th<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจำกัดปริมาณเบต้า-แคโรทีนในอาหารโคเนื้อระยะขุนต่อลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ และการแสดงออกของยีนโดยใช้โคลูกผสมวากิว เพศผู้ตอน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โควากิว x กำแพงแสน (WK) โควากิว x ลูกผสมบราห์มัน (WB) และ โควากิว x โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน (WH) สายพันธุ์ละ 6 ตัว จำนวนรวม 18 ตัว อายุเริ่มต้น 21 เดือน น้ำหนักตัว 466.22±38.21 กก. โคแต่ละสายพันธุ์ได้รับอาหารแตกต่างกัน 2 แบบ ได้แก่ อาหารที่จำกัดปริมาณเบต้า-แคโรทีน (D1) และอาหารที่มีเบต้า-แคโรทีนในระดับปกติ (D2) จัดกลุ่มทดลองแบบ 3×2 แฟลคทอเรียลในแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ เมื่อโคอายุ 26 เดือน ถูกนำเข้าแปรสภาพ ทำการเก็บตัวอย่างเนื้อ และเนื้อเยื่อตับ พบว่าสายพันธุ์โคและอาหารไม่มีอิทธิพลร่วมกันต่อลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ และการแสดงออกของยีน LPL, ADH1C และ RALDH1 (P>0.05) อย่างไรก็ตาม พบอิทธิพลร่วมของสายพันธุ์โคและอาหารต่อการแสดงออกของยีน PPARγ (P<0.05) โดยโคกลุ่ม WK ที่ได้รับอาหารแบบ D1 มีการแสดงออกของยีน PPARγ สูงที่สุด เมื่อพิจารณาปัจจัยสายพันธุ์โค พบว่าโคกลุ่ม WH มีค่าแรงตัดผ่านเนื้อต่ำสุด (28.4N) และมีการแสดงออกของยีน RALDH1 สูงที่สุด (P<0.05) ซึ่งการแสดงออกของยีน RALDH1 มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับเปอร์เซ็นต์ไขมันในกล้ามเนื้อสันนอก (r=0.602, P<0.01) ส่วนโคกลุ่มที่ได้รับอาหารแบบ D1 มีการแสดงออกของยีน LPL และ ADH1C (P<0.05) ลดลง แสดงให้เห็นว่าอาหารระยะขุนที่จำกัดปริมาณเบต้า-แคโรทีน ส่งผลต่อการแสดงออกของยีน และการสะสมไขมันในกล้ามเนื้อของโคลูกผสมวากิว</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263179ผลของการใช้ซังและเปลือกข้าวโพดหมักยีสต์ทดแทนรำละเอียดในอาหารโคเนื้อ ต่อจลนศาสตร์การผลิตแก๊ส และการย่อยสลายในหลอดทดลอง2024-05-23T01:13:27+07:00ขาวพอน สะพังทองkhaophone.spt2015@gmail.comจุฬากร ปานะถึกbungung@hotmail.comอนุสรณ์ เชิดทองanusornc@kku.ac.thสุบรรณ ฝอยกลางbungung@hotmail.com<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ซังและเปลือกข้าวโพดหมักยีสต์ <em>Saccharomyces cerevisiae</em> (<em>S. cerevisiae</em>) ทดแทนรำละเอียดในอาหารโคเนื้อ ต่อจลนศาสตร์การผลิตแก๊ส และการย่อยได้ในหลอดทดลอง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (complete randomized design, CRD) โดยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 11 กลุ่มการทดลอง แต่ละกลุ่มการทดลองใช้สัดส่วนของรำละเอียดต่อซังและเปลือกข้าวโพดหมักยีสต์ที่แตกต่างกันคือ 100:0 (กลุ่มควบคุม), 90:10, 80:20, 70:30, 60:40, 50:50, 40:60, 30:70, 20:80, 10:90 และ 0:100% (วัตถุแห้ง) กลุ่มการทดลองละ 3 ซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า คุณค่าทางโภชนะของซังและเปลือกข้าวโพดหมักยีสต์ <em>S. cerevisiae </em>เพิ่มสูงขึ้น เช่น โปรตีน (crude protein, CP) และไชมัน (ether extract, EE) นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เยื่อใยลดลงเช่น เยื่อใยที่ไม่ละลายในสารละลายที่เป็นกลาง (neutral detergent fiber, NDF) และเยื่อใยที่ไม่ละลายในสารละลายที่เป็นกรด (acid detergent fiber, NDF) เมื่อทำการทดสอบจลนศาสตร์การผลิตแก๊ส พบว่าค่าของส่วนที่ละลายได้ทันที (soluble fraction, a) ค่าของส่วนที่ละลายได้ช้า (insoluble fraction, b) ค่าอัตราส่วนของการผลิตแก๊ส (gas production rate, c) และและค่าศักยภาพในการผลิตแก๊ส (potential extent of gas production, a+ b) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.01) โดยกลุ่มที่มีค่า a สูงสุดคือกลุ่ม T6 (-0.95) และต่ำสุดคือกลุ่ม T10 (-6.06) ค่า b มีค่าสูงสุดคือกลุ่ม T10 (138.03) และมีค่าต่ำทีสุดคือกลุ่ม T6 (110.37) และค่า c มีค่าสูงสุดใกลุ่ม T7 (0.023) และมีค่าต่ำที่สุดคือกลุ่ม T6 (0.014) และค่า a+ b มีค่าสูงสุดในกลุ่ม T8 (132.11) และกลุ่มที่มีค่าที่ต่ำที่สุดคือ T6 (109.42) สำหรับการย่อยสลายของวัตถุแห้ง (<em>in vitro</em> dry matter degradability, IVDMD) และการย่อยสลายของอินทรียวัตถุในหลอดทดลอง (<em>in vitro</em> organic matter degradability, IVOMD) ทั้งในชั่วโมงที่ 12 และ 24 ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P > 0.05) จากข้อมูลการศึกษานี้สามารถสรุปได้ว่า การใช้ซังและเปลือกข้าวโพดหมักยีสต์ทดแทนรำละเอียดในสูตรอาหารในสามารถใช้ได้ถึง 100 % โดยมีผลต่อจลนศาสตร์การผลิตแก๊สแต่ไม่มีผลต่อการย่อยสลายได้ในหลอดทดลอง</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260750ผลของส่วนของท่อนพันธุ์ที่ต่างกันต่อการงอก การเจริญเติบโต พัฒนาการ และผลผลิตของมันสำปะหลัง 2 พันธุ์ภายใต้การปลูกด้วยท่อนพันธุ์ขนาดเล็ก2024-04-30T08:33:45+07:00อนนท์ จันทร์เกตุanon.j@ubu.ac.thทักษิณ ทักษิณกานนท์ kimandcom2001@gmail.comภาษิตา ทุ่นศิริ phasita.t@ubu.ac.thรัตนจิรา รัตนประเสริฐ ruttanachira@gmail.comนทีทิพย์ สวัสดิ์รักษา s.nateetip@rmutl.ac.th<p>องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการขยายพันธุ์มันสำปะหลังแบบเร่งรัดนับเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มการผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคใบด่างมันสำปะหลัง ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรค งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของส่วนของท่อนพันธุ์ขนาดเล็กต่อเปอร์เซ็นต์การงอก ความแข็งแรงของต้นกล้า การเจริญเติบโต พัฒนาการ และผลผลิตของมันสำปะหลัง 2 พันธุ์ที่มีรูปแบบการแตกกิ่งที่ต่างกัน ใช้แผนการศึกษา 2 x 2 Factorial in completely randomized design จำนวน 4 ซ้ำ โดยกำหนดให้ปัจจัย A เป็นมันสำปะหลัง 2 พันธุ์ (พันธุ์ระยอง 9 และสายพันธุ์ CMR38-125-77) และปัจจัย B เป็นตำแหน่งท่อนพันธุ์ที่ต่างกัน (ตัดจากส่วนบน และส่วนกลางของต้นพันธุ์มันสำปะหลัง) ทำการปลูกทดสอบในถาดหลุมภายใต้สภาพเรือน และในกระถางดินภายใต้สภาพธรรมชาติ ผลการศึกษาพบว่ามันสำปะหลังสายพันธุ์ CMR38-125-77 มีเปอร์เซ็นต์การงอก ความเร็วในการงอก ดัชนีความแข็งแรง ความสูงต้นกล้า น้ำหนักแห้งต้นกล้า พัฒนาการความสูงต้น จำนวนใบ และความสูงทรงพุ่มช่วง 1-4 เดือนหลังย้ายปลูกที่สูงกว่ามันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 ขณะที่ท่อนพันธุ์ส่วนกลางของทั้ง 2 พันธุ์มีเปอร์เซ็นต์การงอก ดัชนีความแข็งแรง ความเร็วในการงอก ความยาวราก พื้นที่ใบ น้ำหนักแห้งส่วนเหนือดิน น้ำหนักแห้งหัว และมวลชีวภาพที่อายุ 6 เดือน สูงกว่าท่อนพันธุ์ที่ปลูกจากส่วนบนของลำต้น อย่างไรก็ตามมันสำปะหลังพันธุ์ที่ต่างกันไม่ส่งผลต่อความแตกต่างทางสถิติของน้ำหนักแห้งหัวที่อายุ 6 เดือน นอกจากนี้ยังพบว่ามันสำปะหลังสายพันธุ์ CMR38-125-77 ที่ปลูกจากส่วนกลางของลำต้นมีดัชนีเก็บเกี่ยวสูงที่สุด</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260816การชักนำแคลลัสของดีบัวในสภาพปลอดเชื้อ2024-04-01T11:11:07+07:00ศุภณัฏฐ์ กาญจนวัฒนาวงศ์supanath@kku.ac.thวรรณกร ศรีทนwannakorn.sr@kkumail.comราฮีมา วาแมดีซาraheema.w@pnu.ac.th<p>บัวหลวงเป็นไม้ดอกเขตร้อนที่ใช้ประโยชน์ทั้งเป็นไม้ดอกและพืชสมุนไพร โดยเอ็มบริโอ (ดีบัว) มีสรรพคุณทางการแพทย์ช่วยลดความดันโลหิต แต่ด้วยปัจจัยของฤดูกาลและสภาพแวดล้อมทำให้พืชมีการพักตัวปริมาณการออกดอกและการได้มาซึ่งดีบัวมีจำกัดและไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาการชักนำการเกิดแคลลัสของดีบัวในสภาพปลอดเชื้อ เพื่อเป็นทางเลือกในการผลิตสารสำคัญต่อไป โดยพบว่า การฟอกฆ่าเชื้อด้วยการจุ่มเอทิลแอลกอฮอล์ 95% แล้วผ่านเปลวไฟ และการแช่ในสารละลายไฮเตอร์® ที่ความเข้มข้นและเวลาต่างกันให้ผลไม่ต่างกันคือ มีชิ้นส่วนที่ไม่ปนเปื้อนและรอดชีวิต 100% ผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตพืชต่อการเกิดแคลลัสบนอาหารสูตร Murashige และ Skoog (MS) พบว่า ทุกกรรมวิธีมีชิ้นส่วนที่รอดชีวิตไม่ต่างกัน (ร้อยละ 92.50 – 100) แต่มีเพียงการเลี้ยงบนอาหารที่เติม 2,4-D ความเข้มข้น 2.20 มก./ล. ร่วมกับ BAP ความเข้มข้น 0.11 มก./ล. ที่สามารถชักนำการเกิดแคลลัสของดีบัวได้ (ร้อยละ 66.67) แคลลัสมีขนาดเฉลี่ย 0.48 ซม. และยังมีผลให้ชิ้นส่วนที่พัฒนาเป็นยอดมีความยาวยอด (1.12±0.26 ซม.) และความยาวก้านใบเฉลี่ย (0.99±0.23 ซม.) สูงกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) จากนั้นศึกษาการกระตุ้นการสร้างแคลลัสภายใต้แสงสี LEDs ที่ต่างกัน พบว่า การเลี้ยงภายใต้แสงสีแดง น้ำเงิน ม่วง และที่มืด ไม่มีผลต่อการเกิดและพัฒนาของแคลลัส (p<0.05) โดยมีอัตราชิ้นส่วนที่รอดชีวิตร้อยละ 72.50 – 90.00 ชิ้นส่วนที่เกิดแคลลัสร้อยละ 27.50 - 49.16 และน้ำหนักสดแคลลัสต่อชิ้นส่วนอยู่ระหว่าง 0.04 - 0.07 ก.</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261498ผลของสารกระตุ้นต่อปริมาณสารสำคัญในพญายอที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ2024-01-12T11:30:16+07:00สุลักษณ์ แจ่มจำรัสrdisrj@ku.ac.thมณฑา วงศ์มณีโรจน์rdimow@ku.ac.thรัตนา เอการัมย์rdirat@ku.ac.thสมนึก พรมแดงrdisop@ku.ac.thศิริพรรณ สุขขังfagrsps@ku.ac.thพรทิพย์ แสงศิลป์porntip.sangs@ku.thรงรอง หอมหวลrdirov@ku.ac.th<p>พญายอ (<em>Clinacanthus nutans</em> (Burm.f.) Lindau.) เป็นพืชสมุนไพรที่น่าสนใจ และมีความสำคัญทางการแพทย์ การผลิตยาที่ใช้สมุนไพรจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ปราศจากการปนเปื้อน สารสำคัญมีปริมาณคงที่ และสม่ำเสมอ การศึกษานี้จึงได้มีการประยุกต์ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อกระตุ้นสารสำคัญในเนื้อเยื่อพญายอพันธุ์ดงบังโดยเลี้ยงชิ้นส่วนข้อบนสูตรอาหาร MS ที่เติม TDZ ความเข้มข้น 0.5 มก./ล. และ NAA 0.1 มก./ล. ร่วมกับสารสกัดยีสต์ (YE) ความเข้มข้น 0.5, 1, 1.5 และ 2 ก./ล. เปรียบเทียบกับสารเมทิลจัสโมเนท (MeJA) ความเข้มข้น 10, 20, 30 และ 40 ไมโครโมลาร์พบว่า ชิ้นส่วนข้อของพญายอพันธุ์ดงบังที่เลี้ยงในสูตรอาหาร MS ที่เติม NAA ความเข้มข้น 0.1 มก./ล. และ TDZ ความเข้มข้น 0.5 มก./ล. ร่วมกับสารเมทิลจัสโมเนทความเข้มข้น 40 ไมโครโมลาร์ สามารถเพิ่มปริมาณสารฟีนอลิครวม และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ได้ดีที่สุด โดยมีปริมาณสาร 22.69 mg GAE/g DW (4.08 เท่าของตัวอย่างใบที่ได้จากกระถาง) และ 32.29 mg TroloxE/g DW (6.90 เท่าของตัวอย่างใบที่ได้จากกระถาง) ตามลำดับ สำหรับสารไฟโตสเตอรอลพบว่า สารกระตุ้นทั้ง 2 ชนิดไม่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณสารไฟโตสเตอรอล โดยพบปริมาณสารลูพิออลสูงสุด 1.46 mg/g DW ในสูตรอาหารที่เติมสารเมทิลจัสโมเนทความเข้มข้น 10 ไมโครโมลาร์</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260928การตอบสนองของต้นอ่อนวงศ์กะหล่ำต่อสเปกตรัมแสงแอลอีดี2023-10-19T15:48:23+07:00ธรรมศักดิ์ ทองเกตุthammasakt@nu.ac.thอารีรัตน์ ประทุมสูตรthammasakt@nu.ac.thศิลย์ศุภา อินต๊ะแสนthammasakt@nu.ac.thสุภาวิณี สีมูลละthammasakt@nu.ac.thนงลักษณ์ บดีรัฐthammasakt@nu.ac.thเฟิร์น อัครวงศ์akrawong.fern@gmail.com<p>ผักต้นอ่อนมีคุณค่าอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้วจึงเป็นที่นิยมบริโภคของผู้รักสุขภาพและเริ่มมีการผลิตในระบบปิดโดยใช้แสงจากหลอดแอลอีดี ซึ่งสเปกตรัมแสงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิตที่ปลูกภายใต้แสงเทียม ดังนั้น การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของสเปกตรัมแสงต่อการเจริญเติบโตและการสร้างสารสำคัญที่มีคุณค่าทางโภชนาการของต้นอ่อนบร็อคโคลี อะรูกูล่า และกะหล่ำปมม่วง แยกเป็น 3 การทดลองสำหรับต้นอ่อนแต่ละชนิด แต่ละการทดลองใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ มีกรรมวิธีเป็นแสงแอลอีดีที่มีความยาวคลื่นแสงต่างกัน 6 สเปกตรัม ได้แก่ สีขาว สีแดง สีน้ำเงิน และสีแดงต่อน้ำเงินสัดส่วน 2:1, 1:1 และ 1:2 ตามลำดับ ทุกสเปกตรัมแสงควบคุมให้มีความเข้มแสงช่วง PPFD เท่ากับ 150 µmol·m<sup>–2</sup>·s<sup>–1</sup> นาน 12 ชั่วโมงต่อวัน ควบคุมอุณหภูมิอากาศในห้องปลูกที่ 25 °C ความชื้นสัมพัทธ์และความเข้มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องปลูกมีค่าอยู่ในช่วง 65–80% และ 350±50 ppm ตามลำดับ เก็บเกี่ยวต้นอ่อนที่อายุ 12 วันหลังเพาะเมล็ด พบว่า สำหรับต้นอ่อนทุกชนิด แสงสีแดงให้ความสูง น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งต่อต้นสูงกว่าสเปกตรัมแสงอื่น แสงสีขาวส่งเสริมการสร้างคลอโรฟิลล์ สเปกตรัมแสงที่สีน้ำเงินในสัดส่วนที่สูงส่งเสริมการสร้างวิตามิน ซี และปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระดีดีพีเอช และสเปกตรัมแสงที่ส่งเสริมการสร้างแคโรทีนอยด์และสารฟีนอลิกสำหรับต้นอ่อนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันออกไป</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260806ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคาร์โบไฮเดรตในใบและดอกต่อการหลุดร่วงของดอกและผลผลิตทุเรียนพันธุ์หมอนทอง2024-04-29T14:07:06+07:00วีรศิลป์ สอนจรูญweerasin.s@ku.thจุติภรณ์ ทัสสกุลพนิชweerasin.s@ku.thเจนจิรา ชุมภูคำfagrjrc@ku.ac.thคณพล จุฑามณีkanapol.j@ku.thเกษวรา เมทเมรุรัตน์weerasin.s@ku.thปัทมา ทองกอกaappat@ku.ac.thวราพร เลาห์กิติกูลweerasin.s@ku.thธีรพัฒน์ เทพแก้วteerapat.tepk@gmail.com<p>ปริมาณคาร์โบไฮเดรตในใบและดอกเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อความสมบูรณ์ของดอกซึ่งนำไปสู่การติดผลและปริมาณผลผลิต ปัจจุบันทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีมูลค่าและมีต้นทุนการจัดการสูง การศึกษานี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคาร์โบไฮเดรตในใบและดอก ต่อการหลุดร่วงของดอกและการติดผลของทุเรียน เพื่อเป็นข้อมูลส่งเสริมในการดูแลต้น ตั้งแต่ระยะการออกดอก ลดการหลุดร่วงของดอก และเพิ่มปริมาณผลผลิต โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรต (กลูโคส ซูโครส ฟรุกโตส และแป้ง) ในใบและดอกทุเรียนถูกศึกษา 3 ระยะการพัฒนา คือ ระยะมะเขือพวง ระยะหัวกำไล และระยะหางแย้ สุ่มเลือกต้นทุเรียนหมอนทองจำนวน 10 ต้น อายุ 9-10 ปี ที่ต้นสม่ำเสมอกัน เก็บตัวอย่างดอกและใบ มาวิเคราะห์ปริมาณคาร์โบไฮเดรต และติดตามการหลุดร่วงของดอก เมื่อวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าสามารถแบ่งต้นทุเรียนได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มต้นดอกร่วงน้อย (60%-70%) ปานกลาง (70%-87%) และมาก (87%-93%) จากนั้นเมื่อนำต้นทุเรียนในแต่ละกลุ่มมาศึกษาปริมาณคาร์โบไฮเดรต พบว่า กลุ่มต้นดอกร่วงน้อยมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดในดอกสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะระยะหางแย้ และมีเปอร์เซ็นต์การติดผลสูงที่สุด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของปริมาณคาร์โบไฮเดรตในดอกและใบต่อการติดผล พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติต่อกัน ในส่วนของคุณภาพผลผลิต พบว่า ทุเรียนทั้ง 3 กลุ่มมีน้ำหนักและขนาดผลใกล้เคียงกัน แต่กลุ่มต้นดอกร่วงน้อยมีแนวโน้มให้ค่าน้ำหนักเนื้อผลสูงที่สุด จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตในดอกและใบสูง สัมพันธ์กับการพัฒนาการของดอกที่ดีขึ้น หลุดร่วงน้อยลง และมีแนวโน้มทำให้น้ำหนักเนื้อของผลผลิตสูงขึ้น</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261511ลักษณะทางกายภาพของผลทุเรียนพันธุ์หลงลับแลที่ผลิตในพื้นที่แตกต่างกัน2024-03-18T10:13:55+07:00วิมลฉัตร สมนิยามdmoonrot@yahoo.comพิมพ์ใจ สีหะนามdmoonrot@yahoo.comดรุณี นาคเสวีdarunee.nak@uru.ac.th<p>การศึกษาลักษณะทางกายภาพของผลทุเรียนพันธุ์หลงลับแลที่ผลิตในพื้นที่แตกต่างกัน คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ (อ. ลับแล และ อ. เมือง) ภาคเหนือตอนล่าง (อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย และ อ. เนินมะปราง จ. พิษณุโลก) และภาคตะวันออก (อ. ขลุง อ. เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี และ อ. เมือง จ. ระยอง) โดยเก็บเกี่ยวผลทุเรียนพันธุ์หลงลับแลจากสวนของเกษตรกรจากแต่ละพื้นที่ปลูก ที่มีอายุ 105 วันหลังดอกบาน พบว่า ขนาดของผล สีเปลือก และน้ำหนักแห้งของเปลือกทุเรียนจากทุกพื้นที่มีค่าไม่แตกต่างกัน ขณะที่น้ำหนักสดของผล เส้นผ่านศูนย์กลางขั้วผล ความยาวก้านผล น้ำหนักสดของเปลือก ความหนาของเปลือก และขนาดแกนกลางผลของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกภาคตะวันออกมีค่ามากกว่าทุเรียนจากพื้นที่ปลูกจังหวัดอุตรดิตถ์และภาคเหนือตอนล่าง เมื่อพิจารณาลักษณะเนื้อของทุเรียน พบว่า เนื้อของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกจังหวัดอุตรดิตถ์มีสีเหลืองทองเข้มกว่าสีเนื้อของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกภาคตะวันออกและภาคเหนือตอนล่าง นอกจากนี้ทุเรียนจากพื้นที่ปลูกจังหวัดอุตรดิตถ์ยังมีเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งมากกว่าอีกด้วย สำหรับจำนวนพูต่อผล ขนาดของพู ความหนาเนื้อ ความแน่นเนื้อ และน้ำหนักสดของเนื้อต่อผลของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกแตกต่างกันมีค่าใกล้เคียงกัน ลักษณะเมล็ดของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกจังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก มีค่าสี จำนวนเมล็ดต่อผล ความกว้างของเมล็ด น้ำหนักสดของเมล็ดต่อผล และเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งของเมล็ดมีค่าไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเมล็ดของทุเรียนจากพื้นที่ปลูกในจังหวัดอุตรดิตถ์มีความยาวและความหนาของเมล็ด และน้ำหนักสดต่อเมล็ดมากกว่าเมล็ดของทุเรียนจากพื้นที่อื่น ทั้งนี้ผลการวิจัยนี้สามารถบ่งบอกลักษณะของทุเรียนพันธุ์หลงลับแลในแต่ละพื้นที่ปลูกและเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพทุเรียน</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260412วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรสำหรับการขยายพันธุ์ไส้เดือนดินและการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน 2024-03-04T22:11:33+07:00เสาวนิตย์ ชอบบุญsaowanit.ch@skru.ac.thศักดิ์ชาย คงนครsakchai.kh@skru.ac.thปริญญา ทับเที่ยงsakchai.kh@skru.ac.th<p>วัสดุเหลือใช้ทางเกษตรจำพวกมูลสัตว์เคี้ยวเอื้อง ได้แก่ มูลวัวนม นิยมนำมาใช้เป็นอาหารของไส้เดือนดินสำหรับการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนอย่างแพร่หลายเนื่องจากมีสารอาหารมากกว่ามูลของวัวไล่ทุ่งและโคขุน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายพันธุ์ไส้เดือนดิน สายพันธุ์ AF (African Night Crawler, <em>Eudrilus eugeniae</em>) และผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยนำผลไม้สุกงอมจากร้านค้าและส่วนของต้นไม้จากแปลงเกษตร ได้แก่ กล้วยสุก มะม่วงสุก ฝรั่งกิมจูสุก โสน และหยวกกล้วย ผสมกับมูลวัวนมใช้สำหรับเลี้ยงไส้เดือนสายพันธุ์ AF โดยการวางแผนการทดลองแบบ completely randomized design (CRD) จากผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าฝรั่งกิมจูสุกเหมาะสำหรับเป็นอาหารของไส้เดือน รองลงมาคือ หยวกกล้วย ในขณะที่กล้วยสุกและมะม่วงสุกไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นอาหารของไส้เดือน จากการศึกษาปริมาณผลผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน ถุงไข่ จำนวนตัว และน้ำหนักของไส้เดือนโดยวิธีสุ่มสมบูรณ์ และเพาะเลี้ยงนาน 30 วัน พบว่าสัดส่วนของหยวกกล้วยต่อมูลวัวนม เท่ากับ 500 ต่อ 2,500 กรัม และ 1,000 ต่อ 2,000 กรัม ให้ผลผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนสูงสุด เท่ากับ 2,313.33 ± 37.24 และ 1,896.67 ± 149.76 กรัม ตามลำดับ จำนวนถุงไข่ไส้เดือนสูงสุด เท่ากับ 738.50 ± 56.00 ถุง รองลงมา คือ 426.00 ± 43.88 ถุง ได้จากอาหารที่มีส่วนผสมของฝรั่งสุกต่อมูลวัวกิมจูสุกต่อมูลวัวนมในสัดส่วน 500 ต่อ 2,500 กรัม และสัดส่วนของหยวกกล้วยต่อมูลวัวนม เท่ากับ 500 ต่อ 2,500 กรัม ตามลำดับ และพบว่าอาหารผสมฝรั่งกิมจูสุกต่อมูลวัวนม เท่ากับ 1,000 ต่อ 2,000 กรัม ให้จำนวนไส้เดือนมากที่สุด เท่ากับ 898.00 ตัว ± 60.04 ตัว ตามด้วยสัดส่วนของหยวกกล้วยต่อฝรั่งกิมจูสุกต่อมูลวัวนม เท่ากับ 500 ต่อ 500 ต่อ 2,000 และ 333 ต่อ 333 ต่อ 2,333 กรัม มีจำนวนไส้เดือน เท่ากับ 584.33 ± 86.83 และ 533.00 ± 17.32 ตัว ตามลำดับ และน้ำหนักตัวสูงสุดของไส้เดือน เท่ากับ 211.13 ± 5.99 และ 135.42 ± 4.60 กรัม จากการเลี้ยงด้วยส่วนผสมของหยวกกล้วยต่อมูลวัวนมในสัดส่วน 500 ต่อ 2,500 กรัม และผลฝรั่งกิมจูสุกต่อมูลวัวนมในสัดส่วน 500 ต่อ 2,500 กรัม ตามลำดับ ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสำหรับเกษตรกรที่ต้องการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนและผลผลิตไส้เดือนควรเลือกใช้สูตรอาหารที่มีสัดส่วนของหยวกกล้วยต่อมูลวัวนม เท่ากับ 500 ต่อ 2,500 กรัม และปุ๋ยมูลไส้เดือนมีปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัสทั้งหมด และโพแทสเซียมทั้งหมดเป็นไปตามเกณฑ์ของประกาศกรมวิชาการเกษตร กรณีที่ต้องการขยายพันธุ์ไส้เดือนดินสายพันธุ์ AF ควรเลือกใช้สูตรอาหารที่มีสัดส่วนของฝรั่งกิมจูสุกต่อมูลวัวนม เท่ากับ 1,000 ต่อ 2,000 กรัม</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261246Ethylene and 1-MCP treatments involved in differential expression of signal transduction and ethylene biosynthesis genes in Dendrobium cut flowers during senescence2023-11-24T16:57:15+07:00Kanokwan Thanomchitagrkwt@ku.ac.thPoonpipope Kasemsapagrppk@ku.ac.thWachiraya Imsabaiwachiraya.i@ku.ac.thParichart Burnsbu.parichart@gmail.comAnchaya Mongkolchaiyaphruekagrctt@ku.ac.th<p><em>Dendrobium</em> orchids represent a significant portion of Thailand’s cut flower exports, with their longevity being influenced by ethylene sensitivity. This research aimed to elucidate the regulatory mechanisms of ethylene and its inhibitor, 1-methylcyclopropene (1-MCP), on the premature senescence of <em>Dendrobium</em> 'Khao Chaimongkol' cut flowers at different developmental stages. Using a combination of treatments, the inflorescences were treated with 500 nL.L<sup>-1 </sup>1-MCP, 0.4 µL.L<sup>-1</sup> ethylene, and a combination of 500 nL.L<sup>-1</sup> 1-MCP followed by 0.4 µL.L<sup>-1</sup> ethylene. Senescence symptoms and gene expression profiles related to ethylene signaling pathways and ethylene biosynthesis were assessed in both floral buds and open florets, for five days. The results indicated that ethylene-treated inflorescences rapidly displayed senescence symptoms, with the first visible signs being venation followed by drooping within a day. Exogenous ethylene triggered the upregulation of ethylene receptors <em>ERS1</em>, signal transduction genes<em> CTR1</em>, <em>EIL1</em>, and <em>ERF1</em>, and stimulated the expression of <em>ACS1</em> and <em>ACO1</em> genes responsible for ethylene production in floral buds. In contrast, in open florets, exogenous ethylene upregulated <em>ERS1</em>, <em>CTR1</em>, and <em>ACO1</em> expression but did not induce <em>EIL1</em>, <em>ERF1</em>, and <em>ACS1</em>. Consequently, floral buds exhibited more pronounced premature senescence compared to open florets. This differential response indicated distinct effects of exogenous ethylene on ethylene signaling transduction between floral buds and open florets. Conversely, the application of 1-MCP led to competitive binding of ethylene receptors, resulting in the suppression of <em>ERS1</em>, <em>CTR1</em>, <em>EIL1</em>, <em>ERF1</em>, and <em>ACO1</em> expression in floral buds. In open florets, however, 1-MCP did not suppress the expression of <em>EIL1</em>, <em>ERF1</em>, and <em>ACS1</em>. Consequently, premature senescence was inhibited in both floral buds and open florets. This differential response indicated distinct mechanism effects of ethylene and 1-MCP on ethylene signaling pathway across the differential sensitivity of floral tissues and developmental stages to ethylene.</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263067Identification of potential phosphate-solubilizing bacteria across different levels of humic acid application under sweet corn cultivation2024-06-14T07:49:30+07:00Mona Ayu Santimonaayu.s@kkumail.comSaowalak Somboonphrula@kku.ac.thTanabhat-Sakorn Sukitprapanonphrula@kku.ac.thPhrueksa Lawongsaphrula@kku.ac.th<p>Phosphate-solubilizing bacteria (PSB) plays a crucial role in enhancing phosphorus availability to plants, thereby promoting plant growth and productivity in agricultural ecosystems. Given the inherent challenges of low soil fertility, organic matter deficiency, and phosphorus fixation in northeastern Thailand's soil, organic fertilizers such as humic acid (HA) offer a promising avenue for enhancing soil health and productivity. Therefore, further investigation into the direct effects of humic acid on PSB is considered crucial, particularly to determine the optimal application rates that can stimulate PSB efficiency in soil. This study aims to assess the influence of different concentrations of humic acid on the population of PSB and identify the potential PSB isolates from distinct HA application rates. The pot experiment was conducted using a completely randomized design with six treatments: T1 (control), T2 (chemical fertilizer), T3 (HA 0.5%), T4 (HA 1%), T5 (HA 1.5%), and T6 (HA 2%). The initial soil (O1) was also assessed. We uncovered that the highest PSB population was observed with a 1.5% HA treatment, presenting a 40% increase compared to the control. This suggests that a 1.5% HA concentration is the most favorable for increasing the PSB populations, while higher concentrations may not provide additional benefits and might potentially lead to adverse effects on the bacterial population. Soluble P content in broth culture medium was analyzed during a 9-day period with 3-day interval measurements. The five potential PSB isolates were chosen and identified as <em>Priestia megaterium, Bacillus subtilis, Priestia aryabhattai, Bacillus </em>sp<em>.,</em> and <em>Mycolicibacterium </em>sp. The strongest solubilizing ability was observed from <em>Priestia megaterium</em> and <em>Bacillus </em>sp., with soluble P concentrations of approximately ± 607 mg L<sup>−1</sup> and ± 601 mg L<sup>−1</sup>, respectively, on day 6. This study provides comprehensive knowledge regarding the potential PSB community isolated from various HA treatments and suggests their potential for </p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261950Responses of glutinous rice to water-saving production by alternate wetting and drying technique on physiological and agronomical characteristics in the Northeast of Thailand2024-04-05T09:23:38+07:00Bounsuan Phomvongsaraywat.c@ubu.ac.thSupawadee Kaewrahunraywat.c@ubu.ac.thRaywat Chairatraywat.c@ubu.ac.th<p>The effect of water supply under alternate wetting and drying practice (AWD) on physiological and agronomical characteristics of glutinous rice was investigated in this study. The experiment was conducted at the Faculty of Agriculture, Ubon Ratchathani University during 2021-2022. The experimental design was a 4 x 2 Factorial in completely randomized design (CRD) with 2 factors. Factor A consisted of 4 regimes of water: Continuously flooding (CF) (control), alternate wetting and drying of AWD15, AWD25 and AWD35 where re-flooding was performed when the below-ground water level at 15, 25 and 35 cm, respectively. Factor B comprised of 2 varieties of glutinous rice, Leenok (a local variety) and RD22 (a modern variety). Results showed that the height of the rice plants grown under AWD15 and AWD25 was higher than that of AWD35 at 60 DAT, whereas the highest tiller number per hill of the rice plants grown under AWD25 was found compared with the CF. The rice plants under AWD35 showed longer root length and root to shoot ratio than CF. While, the root dry weight was the lowest. The photosynthetic rate (A) was highest in the rice plants under CF and lowest under AWD35 condition. No significant difference among the treatments was observed for the maximum quantum efficiency of PSII (Fv/Fm), transpiration rate (E), sub-stomatal CO2 concentration (Ci) and the stomatal conductance (Gs). Lower leaf chlorophyll contents were observed for the rice plants under AWD25 and AWD35 compared to CF and AWD15, while the carotenoid content was highest under AWD35. Also, Leeknok had a lower plant height, but a greater number of tillers than RD22. However, there was no significant difference in the physiological responses of both varieties. Results suggested that the water regime at AWD25 seemed to accommodate growth and physiological responses of the glutinous rice better than CF</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263877Guidelines for implementing the Sufficiency Economy Philosophy (SEP) to enhance the quality of life perception among farmers in Djakotomey District, Republic of Benin2024-07-04T07:52:23+07:00Georges Godjogeorgeskodjo48@gmail.comManat Suwanmanatsuwan@gmail.comWatcharapong Wattanakulw.wattanakul@rocketmail.comThanat Boonchaithanat@cmru.ac.thChoosit Choochatchoosit.cmru@gmail.comChutiwalanch Semmahasakchutiwalanch_sem@cmru.ac.th<p>This mixed-methods research investigated the guidelines for implementing the Sufficiency Economy Philosophy (SEP) to enhance the perception of quality of life (QoL) among farmers in Djakotomey District, Republic of Benin. Research instruments, including questionnaires, interviews, focus group discussions, and lessons learned, were utilized to collect data. Participants consisted of two groups: (1) 17 experienced farmers from the Huay Tong community, Mae Wang District, Thailand, and (2) 24 farmers from Djakotomey District, Republic of Benin, who engaged in SEP-integrated vocational and agricultural training programs facilitated by experts from the Thailand International Cooperation Agency (TICA) between 2019 and 2022. The results revealed significant (<em>P</em><0.05) improvements in farmers' quality of life perceptions in both contexts. In Thailand, scores increased from 1.74±0.104 to 4.67±0.063 (out of 5), while in Republic of Benin, they increased from 1.91±0.239 to 3.97±0.300. A significant (<em>P</em><0.05) correlation between QoL perception and SEP understanding was observed in both groups, as represented by the equation QoL = 1.320 + 0.663 SEP, with an r² value of 0.624. These findings indicated that participation in SEP training significantly enhanced QoL perception. The study identified key guidelines for SEP implementation, including understanding SEP principles, integrating SEP into vocational and agricultural training, promoting knowledge sharing and community empowerment, fostering financial management skills, and fostering partnerships between government and community entities.</p>2024-09-24T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น