https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/issue/feed วารสารแก่นเกษตร 2025-10-15T10:22:10+07:00 บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตร agkasetkaj@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/267817 การใช้หนอนแมลงวันลายทดแทนกากถั่วเหลืองต่อปริมาณการกินได้ สมรรถภาพการเจริญเติบโต การย่อยได้ของโภชนะและเมแทบอไลต์ในเลือดของแพะลูกผสมพื้นเมืองแองโกลนูเบียนเพศผู้ 2025-07-02T12:33:13+07:00 อานีซ๊ะ อุเซ็งมาเกะ 6720320906@psu.ac.th พจนารถ แก่นจันทร์ thaintip.k@psu.ac.th แขม ล่องนภา thaintip.k@psu.ac.th เทียนทิพย์ ไกรพรม thaintip.k@psu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้หนอนแมลงวันลาย (Black Soldier Fly Larvae; BSFL) ทดแทนกากถั่วเหลือง (Soybean meal; SBM) ร่วมกับต้นข้าวโพดหมักในแพะลูกผสมพื้นเมืองแองโกลนู-เบียนเพศผู้ อายุ 6 เดือน น้ำหนักตัวเฉลี่ย 20±2.67 กิโลกรัมจำนวน 12 ตัว แบ่งการทดลองออกเป็น 3 ทรีตเมนต์ ๆ ละ 4 ซ้ำ คือ อาหารข้นที่ใช้ BSFL ทดแทน SBM ในระดับ 0, 10 และ 20% ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design, CRD) ผลการทดลองพบว่าแพะที่ได้รับ BSFL ทดแทน SBM ที่ระดับ 10 และ 20% มีปริมาณการกินได้สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ BSFL แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) มีค่าอยู่ที่ 1.67 และ 1.60 %BW นอกจากนี้ แพะที่ได้รับ BSFL ทดแทน SBM ที่ระดับ 10 และ 20% มีน้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลง (7.00 และ 6.50 kg) และอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน (90.20 และ 80.40 g/d) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่รับ BSFL อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ส่วนสัมประสิทธิ์การย่อยได้ของโปรตีนลดลงในกลุ่มที่ใช้ BSFL 10 และ 20% ในขณะเดียวกันสัมประสิทธิ์การย่อยได้ของไขมัน และ ลิกโนเซลลูโลสในกลุ่มนี้กลับมีค่าสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) และไม่พบความแตกต่างของค่าสัมประสิทธิ์การย่อยได้ของเยื่อใยหยาบ และผนังเซลล์ ส่วนค่าเมแทบอไลต์ในเลือด พบว่าเม็ดเลือดขาวในกลุ่มควบคุมสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ BSFL แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ส่วนค่าฮีโมโกลบิน ฮีมาโทคริต กลูโคส และยูเรีย-ไนโตรเจนในเลือดไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ดังนั้นจึงสามารถใช้ BSFL เป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกในการทดแทน SBM ได้ในระดับ 20% โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการย่อยได้ของอัตราเจริญเติบโตและสุขภาพของแพะ </p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264939 การใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพด และข้าวที่ปลูกในดินผสมยิปซัมสังเคราะห์เป็นอาหารไก่เนื้อ 2025-05-20T23:58:40+07:00 ทองเลียน บัวจูม buaream@mju.ac.th บัวเรียม มณีวรรณ์ buaream@mju.ac.th จุฬากร ปานะถึก buaream@mju.ac.th ปฎิภาณ สุทธิกุลบุตร p12033@gmail.com <p>การศึกษาผลของการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพดและข้าวที่ปลูกในดินผสมยิปซัมสังเคราะห์เป็นอาหารไก่เนื้อ ใช้ลูกไก่เนื้อเพศผู้แรกเกิดจำนวน 144 ตัว ตรวจสอบสมมติฐานด้วย Group T-test แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มการทดลอง กลุ่มละ 6 ซ้ำ ซ้ำละ 12 ตัว กลุ่มที่ 1 ให้อาหารควบคุมที่มีวัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพดและข้าวที่ปลูกในดินที่ไม่ผสมยิปซัมสังเคราะห์ (Control) กลุ่มที่ 2 ให้อาหารที่มีวัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพด และข้าวที่ปลูกในดินผสมยิปซัมสังเคราะห์ (Gypsum) เป็นเวลา 5 สัปดาห์ ทำการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนะของข้าวโพด ปลายข้าว และรำละเอียด และศึกษาสมรรถภาพการเจริญเติบโต คุณภาพซาก คุณภาพเนื้อ ปริมาณโลหะหนักในเนื้อหน้าอก และค่าทางโลหิตวิทยา ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณโปรตีนในข้าวโพดและปลายข้าวที่ปลูกด้วยดินผสมยิปซัมสังเคราะห์มีค่าน้อยกว่าปริมาณโปรตีนในข้าวโพดและปลายข้าวทั่วไป ส่วนปริมาณโปรตีนในรำละเอียดไม่มีความแตกต่างจากรำละเอียดทั่วไป สมรรถภาพการเจริญเติบโตคุณภาพซาก คุณภาพเนื้อโดยรวม และค่าทางโลหิตวิทยาไม่พบความแตกต่างทางสถิติ (P&gt;0.05) และไม่พบการตกค้างของโลหะหนักในเนื้อหน้าอกทั้งสองกลุ่ม ดังนั้นข้าวโพดและข้าวที่ปลูกในดินผสมยิปซัมสังเคราะห์มีศักยภาพในการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างปลอดภัย </p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265712 ประสิทธิภาพของเซรั่มน้ำยางธรรมชาติที่บ่มร่วมกับ Bacillus aryabhattai (CKNJh11) เพื่อใช้เป็นน้ำหมักชีวภาพในผักบุ้ง (Ipomoea aquatica Forssk.) 2025-01-20T21:08:39+07:00 อรทัย แดงสวัสดิ์ ottdsw27@gmail.com ณัชชา จิรัฐิติโชติ nutcha1548@gmail.com ณัฐชพร แซ่จิว natchaporn.sae@gmail.com วราภรณ์ สีหาโมก atomatom1456@gmail.com พัทธพล พรหมภักดี pattapol.p@psu.ac.th อภินันท์ นุ้ยศิริ apinannuisiri@gmail.com ธีร ศรีสวัสดิ์ theera.s@psu.ac.th ปฏิมา เพิ่มพูนพัฒนา patima.pe@psu.ac.th <p>งานวิจัยนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลของการบ่มเซรั่มน้ำยางธรรมชาติด้วยแบคทีเรีย และใช้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยนำเซรั่มน้ำยางธรรมชาติมาบ่มร่วมกับ <em>Bacillus aryabhattai</em> (CKNJh11) ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส จากนั้นนำไปทดสอบประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของผักบุ้ง ซึ่งมีชุดการทดลองที่ให้เซรั่มน้ำยางที่ไม่ผ่านการบ่มด้วยแบคทีเรีย ชุดการทดลองที่ให้เซรั่มน้ำยางที่ผ่านการบ่มด้วยแบคทีเรียที่ 7, 14, 21 และ 30 วัน ชุดควบคุมเชิงบวกที่ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 และชุดควบคุมเชิงลบที่ไม่มีการให้ปุ๋ย ผลจากการบ่มพบว่า <em>B. aryabhattai</em> (CKNJh11) สามารถเจริญและเพิ่มจำนวนได้ในเซรั่มน้ำยาง โดยในวันที่ 7 และ 14 มีปริมาณเชื้ออยู่ที่ 2.5 x 10<sup>6</sup> และ 5.0 x 10<sup>7</sup> CFU ต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ แต่เริ่มลดลงหลังจากบ่มในวันที่ 21 และ 30 โดยมีปริมาณเชื้ออยู่ที่ 1.0 x 10<sup>6</sup> และ 4.0 x 10<sup>3</sup> CFU ต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ เมื่อนำเซรั่มน้ำยางที่บ่มกับแบคทีเรียไปเสริมในผักบุ้ง พบว่าชุดการทดลองที่ให้เซรั่มน้ำยางบ่มกับแบคทีเรียเป็นเวลา 14 วัน มีอัตราการเจริญเติบโตของผักบุ้งดีที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยความสูงของลำต้น เส้นรอบวงลำต้น ความยาวรากอยู่ที่ 36.38, 2.80 และ 32.02 เซนติเมตร ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยของจำนวนใบอยู่ที่ 11.11 ใบ และชุดการทดลองที่ใช้เซรั่มน้ำยางที่ไม่ผ่านการบ่มด้วยแบคทีเรีย มีอัตราการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนน้อยที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยความสูงของลำต้น และความยาวรากอยู่ที่ 21.98 และ 18.46 เซนติเมตร ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยของจำนวนใบอยู่ที่ 6.44 ใบ ดังนั้นจากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเซรั่มน้ำยางธรรมชาติที่บ่มด้วย <em>B. aryabhattai</em> (CKNJh11) เป็นระยะเวลา 14 วัน สามารถใช้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของผักบุ้ง และเป็นแนวทางในการพัฒนาน้ำหมักชีวภาพสำหรับใช้ทางการเกษตรได้ต่อไปในอนาคต</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265599 คุณภาพของปุ๋ยมูลไส้เดือนดินจากมูลแกะและปุ๋ยหมักมูลแกะ และผลการใช้ในการปลูกพืชผัก 2025-04-25T12:58:31+07:00 อิสริยาภรณ์ ดำรงรักษ์ issariyaporn.d@yru.ac.th สมทบ เวทโอสถ somthob.w@yru.ac.th <p>ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินได้นำมาใช้เพื่อการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย แต่ต้นทุนค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับใช้ปุ๋ยหมักทั่วไป ปัจจุบันนิยมนำมูลสัตว์เคี้ยวเอื้องมาผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนดิน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบคุณภาพปุ๋ยมูลไส้เดือนดินจากมูลแกะ และปุ๋ยหมักมูลแกะ และศึกษาผลจากการใช้ปุ๋ยทั้งสองชนิดในการปลูกมะเขือเทศและคะน้าในกระถาง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 6 กรรมวิธี ดังนี้ T1 = ใส่มูลไส้เดือนดินจากมูลแกะ T2 = ใส่มูลไส้เดือนดินจากมูลแกะในปริมาณที่มีไนโตรเจนเท่ากับใส่ปุ๋ยเคมี T3 = T1 + ปุ๋ยเคมี T4 = ใส่ปุ๋ยหมักมูลแกะ T5 = T4 + ปุ๋ยเคมี และ T6 = ใส่ปุ๋ยเคมี ปริมาณปุ๋ยทั้งสองที่ใส่คำนวณจากอัตรา 4,000 กก./ไร่ ส่วนปุ๋ยเคมีใช้ สูตร 46-0-0 และ 15-15-15 อัตรา 100 กก./ไร่ พบว่า มูลไส้เดือนดินจากมูลแกะ มีธาตุอาหารมหภาคในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชสูงกว่าในปุ๋ยหมักมูลแกะ ในขณะที่จุลธาตุต่ำกว่ายกเว้นธาตุเหล็ก การนำปุ๋ยมูลไส้เดือนดินมาใช้ปลูกมะเขือเทศโดยใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีให้การเจริญเติบโตและผลผลิตสูงกว่ากรรมวิธีอื่น กรณีใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวให้การเจริญเติบโตและผลผลิตต่ำมาก การปลูกคะน้าซึ่งเป็นพืชผักรับประทานใบที่มีอายุสั้น การใส่ปุ๋ยมูลไส้เดือนดิน หรือปุ๋ยหมักมูลแกะเพียงอย่างเดียว ให้ผลผลิตต่ำกว่า ใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมี หรือใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงควรใส่ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินร่วมกับปุ๋ยเคมี หากต้องการปลูกพืชเชิงอินทรีย์ต้องใช้ปริมาณมากกว่า 4,000 กก./ไร่ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265733 การประเมินการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตผักกาดหอมห่อระหว่างฤดูกาลผลิตที่แตกต่าง: กรณีศึกษาใน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ 2025-03-07T14:44:48+07:00 ณัฐฌลาภัทร์ ต่ายจันทร์ natchalaphatt@gmail.com อำนาจ ชิดไธสง pimjai193@gmail.com ปาริชาติ เทียนจุมพล pimjai193@gmail.com ณัฏฐวัฒณ์ หมื่นมาณี pimjai193@gmail.com ศิริชัย แซ่เจียม pimjai193@gmail.com พิมพ์ใจ สีหะนาม pimjai193@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการสูญเสียในการผลิตผักกาดหอมห่อระหว่างฤดูกาลที่แตกต่างกัน กรณีศึกษาในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยเก็บข้อมูลจากแปลงปลูกของเกษตรกรที่อยู่ภายใต้ความดูแลของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ แบ่งการเก็บข้อมูลออกเป็น 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แต่ละฤดูเก็บข้อมูลจากเกษตรกร 10 ราย รวมทั้งหมด 30 ราย วิเคราะห์ข้อมูลแบบ CRD (completely randomized design) ผลการศึกษา พบว่า ฤดูหนาวมีน้ำหนักผักกาดหอมห่อเฉลี่ยก่อนและหลังตัดแต่งต่อต้น ปริมาณผลผลิตก่อนการตัดแต่งทั้งหมดต่อไร่ และปริมาณผลผลิตหลังการตัดแต่งทั้งหมดต่อไร่มากที่สุด รองลงมาคือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าฤดูหนาวมีปริมาณผลผลิตทางชีวภาพที่คาดหวังไม่แตกต่างจากฤดูร้อน ในขณะที่ฤดูฝนมีปริมาณผลผลิตทางชีวภาพที่คาดหวังน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามทั้งสามฤดูมีปริมาณผลผลิตที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ไม่แตกต่างกัน สำหรับส่วนที่ตัดแต่งทิ้ง ได้แก่ ส่วนของราก ลำต้น และใบที่เสียหาย พบว่า ฤดูร้อนและฤดูหนาวมีปริมาณการตัดแต่งทิ้งไม่แตกต่างกัน ซึ่งมีปริมาณมากกว่าการตัดแต่งทิ้งในฤดูฝน และเมื่อจำแนกสาเหตุความเสียหายของใบที่ถูกตัดแต่งทิ้ง พบว่า สาเหตุที่พบมากที่สุดในแต่ละฤดู คือ ใบแก่ นอกจากนี้ยังพบว่าฤดูฝนมีปริมาณใบที่ถูกตัดแต่งทิ้งเนื่องจากอาการใบจุดมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับฤดูกาลอื่น สำหรับการประเมินร้อยละการสูญเสีย พบว่า ฤดูร้อนมีแนวโน้มการสูญเสียในระหว่างการผลิตมากที่สุดเท่ากับ 12.28±2.40% ในขณะที่ฤดูฝนมีแนวโน้มการสูญเสียจากการตัดแต่งในระหว่างการเก็บเกี่ยวมากที่สุดเท่ากับ 38.79±1.19% อย่างไรก็ตามเปอร์เซ็นต์การสูญเสียในขั้นตอนการผลิตและการเก็บเกี่ยวของแต่ละฤดูกาลไม่มีความแตกต่างกัน</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265744 ผลของการจัดการทรงพุ่มและการให้ปุ๋ยต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้า 2025-01-14T07:40:48+07:00 สุดนัย เครือหลี sudanai.k@rmutsv.ac.th เสาวนีย์ ชัยเพชร sudanai.k@rmutsv.ac.th นภัสวรรณ เลี่ยมนิมิตร Napassawan.l@rmutsv.ac.th รัตนา อุ่นจันทร์ rattana.u@rmutsv.ac.th สาธิต บัวขาว sudanai.k@rmutsv.ac.th จารีพร เพชรชิต sudanai.k@rmutsv.ac.th พิมพ์ชนา วงศ์พิศาล nuch.pimchana@gmail.com <p> กาแฟโรบัสต้าเป็นพืชเศรษฐกิจเนื่องจากเกษตรกรขาดความรู้ด้านการจัดการปุ๋ยและการตัดแต่งทรงพุ่มที่เหมาะสม จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีปริมาณและคุณภาพผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการทรงพุ่มและอัตราการให้ปุ๋ยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของกาแฟโรบัสต้าโดยดำเนินการการทดลองในแปลงเกษตรกรพื้นที่ตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช วางแผนการทดลองแบบ Factorial in Completely Randomized Design ประกอบด้วยสองปัจจัย ปัจจัยที่หนึ่งคือการจัดการทรงพุ่ม ได้แก่ (1) ไม่จัดการทรงพุ่ม (2) การตัดแต่งทรงพุ่ม และ (3) การดัดทรงพุ่ม ปัจจัยที่สองคือการจัดการธาตุอาหาร ได้แก่ (1) N:P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>:K<sub>2</sub>O อัตรา 0.5: 0.06 :0.5 กก./ต้น (2) N:P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>:K<sub>2</sub>O อัตรา 0.5: 0.06 :1.0 กก./ต้น และ (3) N:P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>:K<sub>2</sub>O อัตรา 0.5: 0.06: 1.5 กก./ต้น โดยทำการทดลองในต้นกาแฟอายุ 4 ปี โดยแบ่งการทดลอง 2 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 จำนวน 3 รูปแบบๆ ละ 5 ซ้ำ ปัจจัยที่ 2 จำนวน 3 ระดับๆ ละ 5 ซ้ำ ระยะเวลาในการศึกษา 1 ปี พบว่า การจัดการทรงพุ่มโดยการดัดทรงพุ่มร่วมกับการจัดการปุ๋ย โดยการใส่ N:P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>:K<sub>2</sub>O อัตรา 0.5: 0.06 :0.5 กก./ต้น ส่งผลให้ต้นกาแฟสร้างกิ่งใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีแนวโน้มให้ผลกาแฟมีขนาดใหญ่ขึ้น ผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การดัดทรงพุ่มร่วมกับการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มผลผลิตกาแฟ โดยปรับโครงสร้างต้นให้รับแสงและสารอาหารได้ดี ส่งผลให้เติบโต แข็งแรง และติดผลมากขึ้น เมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้มากขึ้น ตอบสนองความต้องการตลาดและเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266875 ระบบการผลิต การตลาด และกลยุทธ์การส่งเสริมเสริมลิ้นจี่ ของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ลิ้นจี่ นพ.1 สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์จังหวัดนครพนม 2025-03-26T09:44:40+07:00 ชรภาส ทองกลั่น charapas.t@kkumail.com สุกัลยา เชิญขวัญ sukanl@kku.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายระบบการผลิตและการตลาดลิ้นจี่ ของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ลิ้นจี่ ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม สำรวจปัญหาและเสนอแนวทางการส่งเสริมลิ้นจี่ของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ลิ้นจี่ เก็บรวบรวมข้อมูลการผลิตลิ้นจี่ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงตุลาคม 2566 โดยการใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จากเกษตรกรผู้ปลูกลิ้นจี่กลุ่มแปลงใหญ่ลิ้นจี่ จำนวนผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 51 ราย และ ผู้รวบรวมผลผลิตลิ้นจี่ จำนวน 1 ราย ผู้ประกอบการผลิตน้ำผึ้ง จำนวน 1 รายและพ่อค้าคนกลาง จำนวน 1 ราย และ การจัดเวทีชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 20 ราย ผลการศึกษาพบว่า ระบบการผลิตลิ้นจี่นครพนมสามารถจำแนกออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ (1) การผลิตลิ้นจี่สด (2) การผลิตกิ่งพันธุ์ลิ้นจี่ และ (3) การผลิตน้ำผึ้งเกสรดอกลิ้นจี่ ในด้านระบบการตลาดสามารถจำแนกออกเป็น 3 ระบบหลัก ได้แก่ (1) ระบบการจำหน่ายโดยตรงจากเกษตรกรไปยังผู้บริโภค (2) ระบบการจำหน่ายผ่านกลุ่มแปลงใหญ่ และ (3) ระบบการจำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลาง สำหรับระบบการตลาดของกิ่งพันธุ์ลิ้นจี่ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบ ได้แก่ (1) การจำหน่ายผ่านผู้รวบรวม และ (2) การจำหน่ายโดยตรงจากสวนหรือร้านค้ากิ่งพันธุ์ ในขณะที่ระบบการตลาดของน้ำผึ้งเกสรดอกลิ้นจี่มีช่องทางจำหน่ายหลัก ได้แก่ (1) การจำหน่ายให้เจ้าของสวนหรือหน่วยงานภาครัฐ และ (2) การจำหน่ายให้โรงงานแปรรูปและบรรจุน้ำผึ้ง กลยุทธ์การส่งเสริมการผลิตลิ้นจี่นครพนมที่สำคัญ ได้แก่ (1) การสร้างแบรนด์ลิ้นจี่พรีเมียมเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความสามารถในการแข่งขัน (2) การใช้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนของรัฐเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกร (3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากลิ้นจี่เพื่อเพิ่มทางเลือกทางการตลาด (4) การสร้างความแตกต่างและความน่าเชื่อถือของลิ้นจี่เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด (5) การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มช่องทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และ (6) การพัฒนาความรู้และทักษะในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเพื่อรักษาคุณภาพของผลผลิต</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265830 ผลของน้ำหมักชีวภาพใบกระถิน มูลไก่แกลบ และปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดหวาน 2025-02-10T12:37:40+07:00 ไพบูลย์ หมุ่ยมาศ pmuymas@yahoo.com กัมพล ปาละอุด pmuymas@yahoo.com ศรัณยู โปโซโร pmuymas@yahoo.com วราพร มะเพ็ชร pmuymas@yahoo.com วรัญญา วันพรมมิน pmuymas@yahoo.com เยาวเรศ ชูศิริ pmuymas@yahoo.com ณรงค์ คชภักดี pmuymas@yahoo.com <p>ใบกระถินและมูลไก่แกลบมีปริมาณธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืชสูง หากนำมาใช้ในการเกษตร โดยใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีอาจช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโพดลงได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพใบกระถิน (LB) มูลไก่แกลบ และปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโต ปริมาณผลผลิต และคุณภาพผลผลิตของข้าวโพดหวาน ดำเนินการทดลองโดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด (CRD) ภายใต้สภาพเรือนทดลอง ดังนี้ กรรมวิธี 1 ไม่ใส่ปุ๋ย (T1: ควบคุม) กรรมวิธี 2 ใส่ปุ๋ยเคมี 50 กก./ไร่ (T2: สูตร 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่ ตามด้วยสูตร 8-24-24 อัตรา 50 กก./ไร่) กรรมวิธี 3 ใส่ปุ๋ยเคมีตามกรรมวิธี 2 ร่วมกับการพ่น LB (สัดส่วนเจือจาง 60 มล./น้ำ 1 ล.) ปริมาตร 1 ล./ต้น (T3) กรรมวิธี 4 พ่น LB 60 มล./น้ำ 1 ล. ปริมาตร 1 ล./ต้น เพียงอย่างเดียว ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน หลังปลูก จำนวน 12 ครั้ง (T4) และกรรมวิธี 5 ใส่มูลไก่แกลบ 500 กก./ไร่ เพียงอย่างเดียว (T5) ผลการทดลองพบว่า T3 ส่งผลให้ข้าวโพดมีจำนวนใบ ความกว้างใบ ความยาวใบ จำนวนฝักต่อต้น น้ำหนักสดฝักแบบไม่ปอกเปลือก น้ำหนักสดฝักแบบปอกเปลือก และน้ำหนักสดเมล็ดต่อฝักสูงที่สุด ระดับความหวานของเมล็ดข้าวโพดมีค่าสูงที่สุดใน T3 และ T5 ในขณะที่ความสูงของลำต้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของฝัก และจำนวนเมล็ดต่อฝักของ T3 และ T5 มีค่าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากของ T2 ดังนั้น การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้มูลไก่แกลบทดแทนปุ๋ยเคมีทำให้ได้ผลผลิตในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน แต่ได้ข้าวโพดที่มีระดับความหวานสูงขึ้น การใช้ LB ร่วมกับปุ๋ยเคมีทำให้ได้ข้าวโพดที่มีระดับความหวานใกล้เคียงกับข้าวโพดที่ปลูกโดยใช้มูลไก่แกลบ แต่การพ่น LB ทำให้จำนวนฝักต่อต้นและน้ำหนักฝักสดมีค่าสูงขึ้นด้วย</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265720 การส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการทำสวนไม้ผลของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครนายก 2024-12-21T11:08:57+07:00 ธัญญาภรณ์ สายกระสุน fine.5n912@gmail.com สุนันท์ สีสังข์ sunan.see@stou.ac.th ธำรงเจต พัฒมุข thamrongjet.put@stou.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกร 2) สภาพและการจัดการสวนไม้ผลของเกษตรกร 3) ความรู้และการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของเกษตรกร 4) การได้รับการส่งเสริมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของเกษตรกร 5) ความต้องการของเกษตรกรในการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ และ 6) แนวทางการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการทำสวนไม้ผลแก่เกษตรกร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ไม้ผล จังหวัดนครนายก จำนวน 140 ราย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกโดยใช้ SWOT Analysis และ TOWS Matrix ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรมีอายุเฉลี่ย 58.99 ปีจบการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวนสมาชิกครัวเรือนเฉลี่ย 3.52 คน จำนวนแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 2.09 คน ขนาดพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมดเฉลี่ย 13.33 ไร่ ประสบการณ์การทำสวนไม้ผลเฉลี่ย 18.22 ปี 2) เกษตรกรมีพื้นที่ทำสวนไม้ผลทั้งหมดเฉลี่ย 4.85 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิตแล้วเฉลี่ย 3.96 ไร่ การทำสวนแบบผสมผสาน ส่วนใหญ่ปลูกมะยงชิด การใส่ปุ๋ยทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี การให้น้ำโดยวิธีติดตั้งระบบสปริงเกอร์ และมีการตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยว ในปี พ.ศ. 2566 พบว่า เกษตรกรมีรายได้จากการขายผลผลิตผลไม้ทั้งหมดเฉลี่ย 94,577.14 บาท มีรายจ่ายจากการผลิตไม้ผลทั้งหมดเฉลี่ย 25,338.18 บาท 3) เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 50.71) และมีการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ (ค่าเฉลี่ย 1.65) 4) เกษตรกรได้รับการส่งเสริมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.10) 5) เกษตรกรมีความต้องการการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.71) และ 6) แนวทางการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการทำสวนไม้ผลแก่เกษตรกร ได้แก่ การลดต้นทุนการผลิตโดยสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพควบคู่กับการลดปริมาณปุ๋ยเคมี การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดินให้กับเกษตรกร การส่งเสริมการใช้สื่อประชาสัมพันธ์และช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลที่เหมาะสมกับเกษตรกร การพัฒนาเกษตรกรต้นแบบและจัดทำแปลงสาธิตสำหรับเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินในการทำสวนไม้ผล</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265906 การประเมินสมบัติดินบางประการของพื้นที่ที่มีชั้นความเหมาะสมต่างกันต่อศักยภาพการให้ผลผลิตข้าวในพื้นที่ภาคเหนือ 2025-02-10T12:36:46+07:00 พิชญ์นันท์ กังแฮ pitchanan.k@rice.mail.go.th สุทธกานต์ ใจกาวิล nednapa@mju.ac.th วาสนา วิรุณรัตน์ nednapa@mju.ac.th สุธีระ เหิมฮึก nednapa@mju.ac.th เนตรนภา อินสลุด nednapa@mju.ac.th <p>ภาคเหนือมีผลผลิตข้าวอยู่ในระดับต่ำ แม้จะได้รับการส่งเสริมภายใต้นโยบายบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมให้ใช้ประโยชน์ตามศักยภาพของพื้นที่ก็ตาม การปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องโดยขาดการบำรุงดินอาจก่อให้เกิดข้อจำกัดด้านสมบัติดินที่มีผลต่อศักยภาพในการผลิตข้าว การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพการผลิตข้าวในพื้นที่ชั้นความเหมาะสมสูง (S1) และปานกลาง (S2) ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ โดยวิเคราะห์สมบัติดินบางประการเปรียบเทียบผลผลิตข้าวตามพันธุ์และเนื้อดิน และศึกษาความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างสมบัติดินกับผลผลิตข้าว การเก็บข้อมูลดำเนินการในฤดูนาปี 2564 ในพื้นที่ 8 จังหวัด จำนวน 318 แปลง ผลการศึกษาพบว่าเนื้อดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายซึ่งเป็นดินเนื้อหยาบที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์อยู่ในระดับต่ำถึงต่ำปานกลาง โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้อยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ และค่า pH อยู่ในช่วงกรดจัดถึงกรดปานกลาง ผลการศึกษาสมบัติดิน และผลผลิตข้าวมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามชั้นความเหมาะสม โดยพื้นที่ S1 มีศักยภาพให้ผลผลิตข้าวในระดับสูงมาก แต่ยังพบบางแปลงที่ให้ผลผลิตต่ำ ส่วนพื้นที่ S2 ให้ผลผลิตเฉลี่ยในระดับปานกลางแต่มีแปลงที่ให้ผลผลิตต่ำและต่ำมากในสัดส่วนสูงกว่า พันธุ์ข้าวสันป่าตอง 1 ให้ผลผลิตสูงสุดในพื้นที่ S1 พันธุ์ กข6 และขาวดอกมะลิ 105 ให้ผลผลิตสูงในพื้นที่ S2 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดการเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวควรมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างดินเพื่อทำการวิเคราะห์สมบัติดินทางเคมีและความอุดมสมบูรณ์รายแปลงเพื่อจัดการปุ๋ยได้อย่างแม่นยำและให้ผลผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้การใช้ข้อมูลแผนที่เชิงภาพรวมร่วมกับข้อมูลภาคสนามจริงจะช่วยให้สามารถกำหนดแนวทางการจัดการพื้นที่เพื่อการผลิตข้าวได้อย่างแม่นยำและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266689 ประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินภายใต้การจัดการแบบอินทรีย์การปลูกถั่วเขียวหลังนาต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินนา ผลผลิตข้าว และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ : กรณีศึกษา อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 2025-03-21T09:07:33+07:00 ภุชงค์ สุภัควรางกูร ajcharawadee.kr@rmuti.ac.th สำเนาว์ เสาวกูล ajcharawadee.kr@rmuti.ac.th นิอร งามฮุย ajcharawadee.kr@rmuti.ac.th อุดมศักดิ์ นพพิบูลย์ ajcharawadee.kr@rmuti.ac.th อัจฉราวดี เครือภักดี ajcharawadee.kr@rmuti.ac.th <p>เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ประสบปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตตกต่ำ และต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้น วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาผลของการปลูกถั่วเขียวหลังนาภายใต้ระบบเกษตรอินทรีย์ต่อการปรับปรุงดินผลผลิตข้าว ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพการใช้ที่ดินในฤดูปลูกปี พ.ศ. 2566-2567 โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น 65.45% ขณะที่เพศชายคิดเป็น 34.55% โดยมีอายุเฉลี่ยของเกษตรกรอยู่ที่ 57 ปี คิดเป็น 54.55% ระดับการศึกษาจบการศึกษาระดับประถมศึกษาคิดเป็น 81.82% และมีประสบการณ์ในการทำเกษตรอินทรีย์มากกว่า 10 ปี คิดเป็น 81.82% ผลการศึกษาประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบการปลูกถั่วเขียวหลังนาช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (SOC = 2.50%) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) และส่งผลให้สมบัติทางเคมีของดิน เช่น ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดในดิน ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินเพิ่มสูงขึ้น ผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ภายใต้การจัดการแบบอินทรีย์อยู่ระหว่าง 339.33-397.11 กก./ไร่ การปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 ตามด้วยการปลูกถั่วเขียวหลังนา (397.11 กก./ไร่) ผลผลิตสูงกว่าการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 เพียงอย่างเดียว (339.33 กก./ไร่) ค่า Land Equivalent Ratio (LER) ของการปลูกข้าวอินทรีย์ตามด้วยการปลูกถั่วเขียวหลังนาเท่ากับ 2.68 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างคุ้มค่า การปลูกข้าวอินทรีย์ตามด้วยการปลูกถั่วเขียวหลังนาไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต (1,916 บาท/ไร่) และเพิ่มผลกำไร (2,758 บาท/ไร่) เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวอินทรีย์เพียงอย่างเดียว (ต้นทุนการผลิต 2,145 บาท/ไร่ และผลกำไร 1,327 บาท/ไร่)</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266004 การติดตามการเจริญเติบโตของข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ด้วยอากาศยานไร้คนขับและดัชนีพืชพรรณ 2025-04-25T09:59:31+07:00 วาสนา ภานุรักษ์ Anake.s@nrru.ac.th เอนก ศรีสุวรรณ anake.s@nrru.ac.th สโรชินี แก้วธานี Anake.s@nrru.ac.th <p>การผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัดนครราชสีมา ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านผลผลิตและประสิทธิภาพในการจัดการแปลง การติดตามระยะการเจริญเติบโตของข้าวอย่างแม่นยำและทันเวลาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสนับสนุนเกษตรแม่นยำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของข้าวในระยะต่าง ๆ ได้แก่ ระยะแตกกอ ระยะตั้งท้อง และระยะออกรวง โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศจากอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ร่วมกับการวิเคราะห์ดัชนีพืชพรรณ ได้แก่ ดัชนีสีเขียว-แดง (GRVI), ดัชนีผลต่างพืชพรรณจากแถบที่มองเห็นได้ (VDVI) และดัชนีสีเขียวส่วนเกิน (ExG) ควบคู่กับข้อมูลความสูงของกอข้าวในแปลงทดลอง UAV รุ่น DJI Phantom 3 Professional ถูกนำมาใช้ในการเก็บภาพถ่ายความละเอียดสูง และประมวลผลด้วยโปรแกรม Agisoft Metashape เพื่อสร้างแผนที่ออร์โธโมเสกและคำนวณดัชนีพืชพรรณ จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (PCA) เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีพืชพรรณและความสูงของต้นข้าวในแต่ละระยะการเจริญเติบโต ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ค่าดัชนี GRVI, VDVI และ ExG มีค่าสูงสุดในระยะแตกกอ ซึ่งสอดคล้องกับการสังเคราะห์แสงที่มีประสิทธิภาพและสุขภาพพืชที่ดี และลดลงในระยะตั้งท้องและออกรวงตามลำดับ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของต้นข้าว ผลการวิเคราะห์ PCA พบว่า องค์ประกอบหลักสองลำดับแรกสามารถอธิบายความแปรปรวนของข้อมูลได้ 90.21% โดยที่ PC1 มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับค่าดัชนีพืชพรรณ และ PC2 มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความสูงของต้นข้าว งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การประยุกต์ใช้ UAV ร่วมกับดัชนีพืชพรรณจากภาพ RGB เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการประเมินสุขภาพพืชและติดตามการเจริญเติบโตของข้าว ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาระบบการจัดการแปลงและการเพิ่มผลผลิตอย่างแม่นยำและยั่งยืนในอนาคต</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266803 การพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นในประชากร F2 ของข้าวพันธุ์ กข41 กับสายพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 ไม่ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ย (KDML 105-PISD) 2025-03-29T10:03:29+07:00 อนุชิดา วงศ์ชื่น anuchidawongchuen@gmail.com แสงทอง พงษ์เจริญกิต anuchidawongchuen@gmail.com ช่อทิพา สกูลสิงหาโรจน์ anuchidawongchuen@gmail.com ยุพเยาว์ คบพิมาย anuchidawongchuen@gmail.com กฤษณะ ลาน้ำเที่ยง anuchidawongchuen@gmail.com วราภรณ์ แสงทอง varapornsangtong@yahoo.com <p>อายุวันออกดอกของข้าวเป็นลักษณะที่สำคัญทางการเกษตร เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการปรับตัวของข้าวต่อสภาพแวดล้อมและฤดูกาลเพาะปลูก ลักษณะนี้ถูกควบคุมโดยยีนหลายตำแหน่ง และได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะความยาวของช่วงแสง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นในประชากร F<sub>2</sub> ของคู่ผสมระหว่างข้าวพันธุ์แม่ กข41 กับข้าวสายพันธุ์พ่อ ขาวดอกมะลิ 105 ไม่ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ย (KDML 105-PISD) โดยอ่านลำดับเบสทั้งจีโนม (whole genome sequencing; WGS) ของข้าวพันธุ์แม่ กข41 และข้าวสายพันธุ์พ่อ KDML 105-PISD เพื่อวิเคราะห์หาตำแหน่งสนิปส์ (SNPs) และอินเดล (InDel) ที่แตกต่างกันภายในเอ็กซอน (exon) ของยีนในวิถีการควบคุมอายุวันออกดอกจำนวน <br />56 ตำแหน่ง จากนั้นค้นหาและพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน 20 ตำแหน่ง ที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง homozygous ของแอลลีลข้าวพันธุ์แม่ หรือแอลลีลข้าวสายพันธุ์พ่อ และ heterozygous ระหว่างแอลลีลข้าวพันธุ์แม่และแอลลีลข้าวสายพันธุ์พ่อได้ชัดเจน แล้วนำเครื่องหมายดีเอ็นเอไปหาความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นของประชากร F<sub>2</sub> ภายใต้สภาพวันยาวและสภาพวันสั้น ผลจากการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเดี่ยว จีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน <em>RFT1</em> มีความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นมากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 36.52% ภายใต้สภาพวันยาว และ 17.88% ภายใต้สภาพวันสั้น และจากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณระหว่างเครื่องหมายดีเอ็นเอกับอายุวันออกดอก พบว่า จีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน <em>RFT1</em> ร่วมกับ <em>Hd2, OsDof12 </em>และ <em>OsCOL9 </em>มีความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นมากที่สุดมีค่า R<sup>2</sup> เท่ากับ 61.06% ภายใต้สภาพวันยาว ขณะที่จีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน<em> RFT1 </em>ร่วมกับ <em>Hd6, OsCOL9 </em>และ <em>OsDof12 <strong> </strong></em>มีความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นมากที่สุดมีค่า R<sup>2</sup> เท่ากับ 44.54% ภายใต้สภาพวันสั้น ซึ่งสามารถใช้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวร่วมกับวิธีมาตรฐานในประชากรนี้ให้มีอายุวันออกดอกสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266760 ความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีต่อการผลิตข้าวอินทรีย์ในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา 2025-03-24T07:57:17+07:00 สุตาภัทร นุ้ยนุ่น 6310620022@email.psu.ac.th อภิญญา รัตนไชย apinya.r@psu.ac.th เอกพล ทองแก้ว ekkaphon.th@kmitl.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระดับความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อการผลิตข้าวอินทรีย์ในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราจำนวน 383 ครัวเรือน คำนวณโดยใช้สูตร Taro Yamane ความคลาดเคลื่อนที่ระดับ 0.05 เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 58.46 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์การปลูกข้าวเฉลี่ย 29.60 ปี พื้นที่ปลูกข้าวเฉลี่ย 25.06 ไร่ ในปีการผลิต 2566/67 เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยจากการปลูกข้าว 195,236.29 บาท/ครัวเรือน รายจ่ายเฉลี่ย 103,779.37 บาท/ครัวเรือน เป็นสมาชิกกลุ่มหรือองค์กรทางการเกษตร ส่วนใหญ่ไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการผลิตข้าวอินทรีย์และไม่ได้รับการฝึกอบรมการผลิตข้าวอินทรีย์ ระดับความคิดเห็นต่อการผลิตข้าวอินทรีย์ในภาพรวมของเกษตรกรอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.95) และผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ระดับการศึกษา การเปิดรับข่าวสารผ่านสื่อบุคคลและสื่อออนไลน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อระดับความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อการผลิตข้าวอินทรีย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ 1) ควรมีการส่งเสริมการสร้างความเข้าใจในการผลิตข้าวอินทรีย์แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและการจัดทำแปลงสาธิต 2) ถ่ายทอดและเผยแพร่ความรู้หรือตัวอย่างของการผลิตข้าวอินทรีย์ ผ่านสื่อบุคคลและสื่อออนไลน์ให้มากขึ้น 3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์วิจัยข้าว สำนักงานเกษตรอำเภอ ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตและการตลาดของผลผลิตข้าวอินทรีย์เพื่อใช้ในการตัดสินใจผลิตข้าวอินทรีย์แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/266123 สมบัติของแป้งต้านทานการย่อยจากแป้งฟลาวมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 ที่ผ่านการไฮโดรไลซิสด้วยกรด 2025-01-31T13:50:56+07:00 เฉลิมวุธ สมปาก chalermwoots@gmail.com จารุรัตน์ พุ่มประเสริฐ jarujoy@hotmail.com กฤษฎาพร ผลวงษ์ anongnut@hotmail.com นฤเทพ เวชภิบาล maccmu@gmail.com ภัทระ ลูกรักษ์ loogruk2018@gmail.com <p>การดัดแปรแป้งเพื่อเพิ่มปริมาณแป้งต้านทานการย่อย (Resistant starch; RS) เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ กระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยกรดเป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และสามารถขยายขนาดการผลิตได้ตั้งแต่ระดับกลุ่มเกษตรกรไปจนถึงระดับอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของกระบวนการนี้ในการเพิ่มปริมาณ RS ในแป้งฟลาวมันสำปะหลังยังไม่เป็นที่แน่ชัด งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของกระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยกรดอินทรีย์ในการผลิตแป้ง ฟลาวมันสำปะหลังที่มีปริมาณ RS สูง และประเมินสมบัติทางกายภาพและเคมีเพื่อการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ แป้งฟลาวมันสำปะหลังจากพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร 3 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ระยอง 9 ระยอง 11 และระยอง 15 ถูกวิเคราะห์ค่าผลผลิต องค์ประกอบทางเคมี และปริมาณ RS พบว่า พันธุ์ระยอง 9 ให้ผลผลิตแป้งฟลาวสูงสุด (28.60%) มีปริมาณอะมิโลส 26.27% และปริมาณ RS 3.84% การเพิ่มปริมาณ RS โดยกระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยกรดอินทรีย์ 2 ชนิด ได้แก่ กรดซิตริกและกรดอะซิติก ที่ความเข้มข้น 1.5 2.0 และ 2.5 โมลาร์ นาน 24 ชั่วโมง เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (ใช้น้ำกลั่น) พบว่า ความเข้มข้น 1.5–2.0 โมลาร์ ทำให้ปริมาณ RS เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยโดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากกลุ่มควบคุม แป้งที่ผ่านการดัดแปรมีลักษณะเงางามและสว่างขึ้น และมีค่าความหนืดสูงสุดลดลง การตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) พบว่าเม็ดแป้งมีพื้นผิวขรุขระมากกว่ากลุ่มควบคุม ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยกรดอินทรีย์ไม่เหมาะสมสำหรับการเพิ่มปริมาณแป้งต้านทานการย่อยในแป้งฟลาวมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 และควรมีการศึกษาด้วยวิธีดัดแปรอื่น เช่น การใช้เอนไซม์หรือการปรับสภาพด้วยความร้อนชื้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง RS ต่อไป</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น