https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/issue/feed วารสารแก่นเกษตร 2024-07-12T15:02:15+07:00 บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตร agkasetkaj@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259192 ผลของการใช้น้ำหมักใบเตยต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่นกกระทาญี่ปุ่น 2023-07-02T23:54:36+07:00 บุคอรี มะตูแก bukhoree.m@yru.ac.th จารุณี หนูละออง bukhoree.m@yru.ac.th ไมซาเราะห์ สะมะแอ bukhoree.m@yru.ac.th อารยา เจียรมาศ bukhoree.m@yru.ac.th ทักษิณ ทองบุญเรือง bukhoree.m@yru.ac.th ดาณียา ดอเลาะ bukhoree.m@yru.ac.th ฟุรกอน สีดัง bukhoree.m@yru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมน้ำหมักใบเตย (<em>Pandanus amaryllifolius</em>) ในน้ำดื่มต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ของนกกระทาญี่ปุ่น ใช้ใบเตยพร้อมลำต้นสับให้มีขนาด 5-8 ซม. และหมักโดยใช้น้ำเปล่าและกากน้ำตาลในอัตราส่วน 20:30:3 กก. ตามลำดับ โดยหมักนานเป็นเวลา 20 วัน จากนั้นจึงนำไปเลี้ยงนกกระทาเป็นเวลานาน 4 สัปดาห์ ใช้นกกระทาไข่อายุ 4 เดือน จำนวน 156 ตัว สุ่มเข้าศึกษาตามแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) แบ่งนกกระทาออกเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 3 ซ้ำ ๆ 13 ตัว กลุ่มที่ 1 นกกระทาได้รับน้ำที่ไม่เสริมน้ำหมักใบเตย (กลุ่มควบคุม) กลุ่มที่ 2, 3 และ 4 นกกระทาได้รับน้ำที่เสริมน้ำหมักใบเตยที่ระดับ 50, 100 และ 150 มล./น้ำ 1 ล. ตามลำดับ บันทึกปริมาณอาหารและน้ำที่กิน จำนวนและน้ำหนักไข่ และสุ่มไข่จำนวน 15 ฟอง/กลุ่ม เพื่อนำไปวิเคราะห์คุณภาพไข่ ผลการทดลองพบว่าน้ำหมักใบเตยมีผลทำให้น้ำหนักไข่ทั้งฟอง ความสูงไข่แดง ความกว้างไข่แดง น้ำหนักไข่ขาว น้ำหนักและความหนาเปลือกไข่ของนกกระทาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) กล่าวได้ว่าการเสริมน้ำหมักใบเตยในน้ำนกกระทาช่วยเพิ่มสมรรถภาพการผลิตและปรับปรุงคุณภาพไข่ของนกกระทา อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาคุณสมบัติทางเคมี ฟิสิกส์ และชีวภาพของน้ำหมักใบเตยเพิ่มเติม</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261713 ผลของการใช้ถั่วลูปินในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ช่วงอายุ 22–41 สัปดาห์ 2024-03-14T14:06:02+07:00 น้ำทิพย์ จิรัฐิติกาลพันธุ์ namtip_min@hotmail.com โฆษิต ขวาของ kosit25@hotmail.com กังสดาล สมวงษ์อินทร์ namtip_min@hotmail.com <p>การศึกษาระดับการใช้ถั่วลูปินในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ใช้ไก่ไข่พันธุ์ไฮไลน์บราวน์ (Hy-Line Brown) อายุ 22 สัปดาห์จนถึงอายุ 41 สัปดาห์ จำนวน 160 ตัว โดยเลี้ยงบนกรงตับ และมีแผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์ โดยให้แต่ละแถวเป็นบล็อก แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ซ้ำ ซ้ำละ 10 ตัว ซึ่งในแต่ละกลุ่มได้รับอาหารที่มีโภชนะต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน ดังนี้ 1) กลุ่มที่ไม่ใช้ถั่วลูปิน (กลุ่มควบคุม) 2) กลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 2% 3) กลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 4% และ 4) กลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 6% ผลการทดลองพบว่าการใช้ถั่วลูปิน 4 และ 6% ทำให้ผลผลิตไข่ (% HD) แตกต่างกับกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 2% (P &lt; 0.05) และประสิทธิภาพการใช้อาหารดีกว่ากลุ่มควบคุม (P &lt; 0.05) สำหรับคุณภาพไข่ พบว่าน้ำหนักไข่ในกลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 4% ดีกว่าทุกกลุ่มทดลองแต่ไม่แตกต่างกับกลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 6% ส่วนการใช้ถั่วลูปินต่อลักษณะของมวลไข่ในกลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 4 และ 6% ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ (P &lt; 0.01) และกลุ่มที่ใช้ถั่วลูปิน 2, 4 และ 6% ทำให้คะแนนสีของไข่แดงสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ถั่วลูปิน (P &lt; 0.05) ดังนั้นการใช้ถั่วลูปินในอาหารไก่ไข่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ที่ระดับ 4% ถึง 6% ในสูตรอาหาร โดยไม่ส่งผลเสียต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ไก่</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261965 ผลของการใช้ใบกระถินป่น หญ้าหวานป่น และแหนแดงป่น ทดแทนอาหารสำเร็จรูปต่อสมรรถนะการผลิต ลักษณะซากและระดับโคเลสเตอรอลในเลือดของไก่เนื้อ 2024-02-27T08:30:01+07:00 สินีนาฎ พลแสง pongteppolsang@gmail.com โฉม บุญจันทร์ pongteppolsang@gmail.com อริสา บุญลิลา pongteppolsang@gmail.com จารุวรรณ โพธิ์ศรี pongteppolsang@gmail.com พีรดนย์ พลโคกก่อง pongteppolsang@gmail.com พอใจ ฤกษ์ใหญ่ pongteppolsang@gmail.com พงศ์เทพ พลแสง pongteppolsang@gmail.com <p>ไก่เนื้อสายพันธุ์ทางการค้า มีสมรรถนะการผลิตสูงเมื่อได้รับอาหารสำเร็จรูปที่มีสารอาหารครบถ้วน เนื่องจากอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูง จึงจำเป็นต้องหาแหล่งอาหารสัตว์ทางเลือก งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ใบกระถินป่น หญ้าหวานป่น และแหนแดงป่นผสมอาหารสำเร็จรูปต่อสมรรถนะการผลิต ลักษณะซาก และระดับโคเลสเตอรอลในเลือด โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์มี 4 ทรีทเมนท์ ประกอบด้วยทรีทเมนท์ที่ 1 เป็นอาหารผสมสำเร็จรูป (กลุ่มควบคุม) ทรีทเมนท์ที่ 2, 3 และ 4 เป็นอาหารผสมใบกระถินป่น, หญ้าหวานป่น และแหนแดงป่น ร้อยละ 5 ตามลำดับ ทำการเลี้ยงไก่เนื้อพันธุ์คอบบ์ 500 คละเพศ อายุ 14 วัน แต่ละทรีทเมนท์แบ่งเป็น 6 ซ้ำ ๆ ละ 11 ตัว รวมใช้ไก่ 264 ตัว ให้อาหารและน้ำกินเต็มที่ ทำการบันทึกข้อมูลน้ำหนักตัวและอาหารที่กินทุกสัปดาห์ จนถึงอายุ 35 วัน สุ่มเจาะเลือดและชำแหละซ้ำละ 1 ตัว รวม 24 ตัว วัดลักษณะซาก และระดับโคเลสเตอรอลในเลือด นำข้อมูลมาวิเคราะห์หาความแปรปรวน พบว่าอาหารผสมหญ้าหวานป่นทำให้ไก่มีสมรรถนะการผลิตดีที่สุด (<em>P</em>&lt;0.01) อาหารผสมใบกระถินป่นทำให้ไขมันหน้าท้องมีค่าต่ำที่สุด (<em>P</em>&lt;0.05) อาหารผสมแหนแดงป่นทำให้ค่าสีแดงของเนื้อไก่ น้ำหนักตับ กระเพาะบด และม้าม มีค่ามากที่สุด (<em>P</em>&lt;0.01) และทำให้น้ำหนักของเท้ารวมแข้งไก่มากที่สุด (<em>P</em>&lt;0.05) ส่วนลักษณะซากอื่น ๆ และระดับโคเลสเตอรอลไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (<em>P</em>&gt;0.05) ดังนั้น การเลี้ยงไก่เนื้อในช่วงอายุ 14-35 วัน ควรส่งเสริมการใช้พืชอาหารเพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนการเลี้ยงไก่ในระบบอุตสาหกรรม</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263143 ผลของการเสริมสารสกัดจากพืชต่อการกินได้ สารเมแทบอไลต์ในเลือด ปริมาณและองค์ประกอบน้ำนมของโคระยะแรกของการให้นม 2024-05-08T13:39:28+07:00 เฉลิมพันธ์ ตันทะรา chalermpan.ta@ku.th วิราวรรณ นุชนารถ wirawan.nu@ku.th ศุภวิทย์ ไตรวุฒานนท์ fvetswtr@ku.ac.th ศิริรัตน์ บัวผัน sirirat.b@ku.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมสารสกัดจากพืชต่อการกินได้ สารเมแทบอไลต์ในเลือด ปริมาณและองค์ประกอบของน้ำนม ใช้โคนมลูกผสมที่มีสายเลือดโฮลสไตน์ฟรีเซี่ยน (&gt;87.5%) จำนวนวันให้นมเฉลี่ย 30.4±4.2 วัน จำนวน 15 ตัว วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ในบล็อก (RCBD) โดยมีชุดโคเข้ารีดเป็นบล็อก แบ่งโคเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ T1 (กลุ่มควบคุม), T2 (กลุ่มที่ได้รับการเสริมสารสกัดสมุนไพร (FAN+<sup>®</sup>) ระดับ 20 ก./ตัว/วัน และ T3 (กลุ่มที่ได้รับการเสริมสารสกัด FAN+<sup>®</sup> ระดับ 18 ก./ตัว/วัน ร่วมกับสารสกัดสับปะรด (PINEX<sup>®</sup>) ระดับ 12 ก./ตัว/วัน โดยวางบนอาหาร โคทุกกลุ่มได้รับอาหารผสมสำเร็จ ที่มีโปรตีนระดับ 15% มีข้าวโพดหมัก และฟางข้าวเป็นอาหารหยาบ พบว่าการกินได้ในรูปวัตถุแห้งและโภชนะของโคกลุ่ม T3 มีค่าสูงสุด (P&lt;0.01) อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัว ความเข้มข้นของ BHBA NEFA และ TAC ในซีรั่มของโคทุกกลุ่มไม่แตกต่างกัน (P&gt;0.05) โคในกลุ่ม T3 มีระดับเซโรโทนินในซีรั่มสูงที่สุด (12.34 ng/ml; P&lt;0.01) การเสริมสารสกัดจากพืชไม่ส่งผลต่อปริมาณน้ำนม แต่โคที่ได้รับการเสริมสารสกัดสมุนไพร (FAN+<sup>®</sup>; T2) มีเปอร์เซ็นต์ไขมันนมสูงกว่ากลุ่มควบคุม (P&lt;0.05) ส่วนระดับโปรตีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (P=0.09) แต่กรดไขมันชนิด C15 ในน้ำนมมีแนวโน้มลดลง (P=0.07) ในโคกลุ่มที่ได้รับสารเสริมเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (T2, T3 VS T1) แสดงให้เห็นว่าการเสริมสารสกัด FAN+<sup>®</sup> และ PINEX<sup>®</sup> ในอาหารช่วยเพิ่มการกินได้ เซโรโทนิน รวมถึงองค์ประกอบของน้ำนมโค</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261905 ชีววิทยาบางประการและประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจการประมงปูทะเล (Scylla spp.) บริเวณปากแม่น้ำเวฬุ จังหวัดตราด 2024-03-08T08:32:16+07:00 ชลี ไพบูลย์กิจกุล benjamas@buu.ac.th รัฐพงษ์ พรมสามี benjamas@buu.ac.th ศศิฬา ฉิมพลี benjamas@buu.ac.th เบ็ญจมาศ ไพบูลย์กิจกุล benjamas@buu.ac.th <p>ศึกษาชีววิทยาบางประการและประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจการประมงปูทะเล (<em>Scylla</em> spp.) บริเวณปากแม่น้ำเวฬุ จังหวัดตราด เก็บข้อมูลด้วยอวนจมปูทะเลจากเรือประมงพื้นบ้าน รวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ถึง มกราคม 2566 ตลอดการศึกษาพบปูทะเลทั้งหมด 269 ตัว เป็นปูทะเลเพศผู้ 117 ตัว ปูทะเลเพศเมีย 152 ตัว ความกว้างกระดองของปูทะเลที่พบส่วนมากจะอยู่ในช่วง 9.01-10.00 ซม. มีน้ำหนักอยู่ในช่วง 90.01-100.00 กรัม โดยพบปูทะเลมากที่สุดในช่วงเดือนเมษายน พบปูทะเลน้อยที่สุดในช่วงเดือนกันยายน อัตราส่วนระหว่างเพศผู้ต่อเพศเมียเฉลี่ยตลอดทั้งปี เท่ากับ 1:1.29 ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนัก (Wt) และความกว้างกระดอง (CW) และ ของปูทะเลเพศเมีย Wt=0.1326CW<sup>2.8916</sup> (R<sup>2</sup> = 0.4650) และปูทะเลเพศผู้ Wt=0.2148CW<sup>2.7964</sup> (R<sup>2</sup> = 0.6855) ค่าสัมประสิทธิ์ความสมบูรณ์ของปูทะเลมากที่สุดในเดือนมีนาคม การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการประมงปูทะเลด้วยอวนจมปูทะเลบริเวณแม่น้ำเวฬุ จังหวัดตราด ตลอดปีสามารถทำการประมงปูทะเลได้ 1,122.90 กิโลกรัม คิดเป็นรายได้จากการประมงปูทะเลประมาณ 224,580.00 บาทต่อปีต่อครัวเรือน รายได้ดังกล่าวจะส่งเสริมให้ชาวประมงให้ความสำคัญกับการประมงแบบยั่งยืน ร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนเพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปูทะเล และสัตว์น้ำชนิดอื่น</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261779 ผลของน้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกต่ออัตราส่วนเพศและอัตราการรอดตายในปลากัด 2024-02-19T09:44:44+07:00 วิจิตรตา อรรถสาร tsareeporn@hotmail.com ศตพร โนนคู่เขตโขง sataphon882@gmail.com จุฬาลักษณ์ จันทบาล annjulaluk@hotmail.com อดิเทพชัยย์การณ์ ภาชนะวรรณ kaipachanawan@gmail.com จิราวรรณ คำธร jirawan.khamthorn@gmail.com <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกต่อการเจริญเติบโต อัตราส่วนเพศ และอัตราการรอดตายของปลากัด วางแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด (completely randomized design; CRD) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 6 ชุดการทดลอง คือ ใช้น้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกที่อัตราส่วนต่างกัน คือ 0 (ชุดควบคุม), 0.25, 0.50, 0.75, 1.00 และ 2.00 g/l ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำ เลี้ยงเป็นเวลา 60 วัน พบว่า น้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของปลากัด (P&gt;0.05) สัดส่วนเพศปลากัด มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (P&lt;0.01) คือ ที่อัตราส่วน 0.25 g/l สัดส่วนเพศผู้สูงที่สุด (68.95±8.67 %) ซึ่งมีค่ามากกว่าชุดควบคุม (62.01±8.67 %) แต่เมื่อความเข้มข้นมากขึ้นที่อัตราส่วน 0.50 และ 0.75 g/l มีแนวโน้มเหนี่ยวนำให้เป็นเพศเมียมากกว่าเพศผู้ เท่ากับ 57.07±7.87, 81.95±8.62 % ตามลำดับในขณะที่อัตราส่วน 1.00 และ 2.00 g/l มีสัดส่วนเพศเมีย 100 % ส่วนอัตราการรอดตายของทุกกลุ่มทดลอง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P&gt;0.05) โดยพบว่า ที่อัตราส่วน 0.50, 0.75 และ 1.00 g/l มีอัตรารอดตายสูงถึง 99.33±0.58 % ที่อัตราส่วน 0.25 และ 2.00 g/l พบว่าอัตราการรอดตาย เท่ากับ 98.67±0.58 และ 98.67±1.15 % ตามลำดับ ซึ่งมีค่าสูงกว่าปลากัดที่เลี้ยงในอัตรา 0 (ชุดควบคุม) เท่ากับ 98.00±1.00 % จากการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพน้ำ พบว่าน้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกที่อัตราความเข้มเพิ่มมากขึ้น มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ต่ำลง โดยมีค่าระหว่าง 6.25-7.05 ซึ่ง 0 (ชุดควบคุม) มีค่า เท่ากับ 7.63 และค่าความเป็นด่าง (alkalinity) ของน้ำมีค่าต่ำมาก เท่ากับ 85 mg/l as CaCO<sub>3</sub> แต่ในอัตรา 0 (ชุดควบคุม) เท่ากับ 200 mg/l as CaCO<sub>3</sub> สรุปได้ว่า น้ำหมักเปลือกของสีเสียดเปลือกไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต และอัตราการการรอดตายในปลากัด แต่มีผลต่อการเหนี่ยวนำเพศปลากัดโดยที่อัตราส่วนเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มเป็นเพศเมียสูง แต่ทั้งนี้ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261850 ผลของการเสริมอาหารเกสรเทียมต่อการผลิตผึ้งพันธุ์และโภชนาการของตัวอ่อนผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera L.) 2024-03-08T15:33:56+07:00 ขรรค์ชัย ดั้นเมฆ Khanchai.da@up.ac.th ศุภคม คล้ายโตนด Supakhom.lunla@gmail.com ชัยณรงค์ วงศ์สรรศรี chinarong@hotmail.com พิเชษฐ์ ประภาวิลัย pichet.p@cmu.ac.th กนกวรรณ ไกลถิ่น kh@cmu.ac.th บาจรีย์ ฉัตรทอง bajaree.c@cmu.ac.th <p>การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้อาหารเกสรเทียมต่อประสิทธิภาพการผลิตตัวอ่อนผึ้งพันธุ์ (<em>Apis mellifera</em> L.) เพื่อใช้บริโภคเป็นอาหารโปรตีนทางเลือก อาหารเกสรเทียมมีส่วนประกอบของวัตถุดิบโปรตีนหลัก 4 ชนิด ได้แก่ หางนม ยีสต์ แป้งถั่วเหลือง และ ไข่ เพื่อผสมกับน้ำตาล 30.0% แร่ธาตุ และ วิตามินเพื่อให้มีค่าโภชนาการของโปรตีน 16.0% อาหารดังกล่าวนี้ (T2) ใช้เสริมเลี้ยงให้แก่ผึ้งพันธุ์อย่างต่อเนื่องในรังผึ้งมาตรฐานขนาด 8 คอน ที่มีจำนวนผึ้งพันธุ์ตัวเต็มวัยเฉลี่ย 4,000 ตัว เป็นระยะเวลา 30 วัน เปรียบเทียบกับรังผึ้งพันธุ์ควบคุมที่ไม่ได้รับอาหารเสริม (T1) และ รังผึ้งพันธุ์ที่ได้รับอาหารเชิงทางการค้า (T3) ผลการทดลองพบว่าผึ้งพันธุ์ที่ได้รับอาหารเกสรเทียม (T2) มีค่าเฉลี่ยของจำนวนประชากรผึ้งงานเพิ่มขึ้น 7.89±1.52% ในขณะที่ชุดควบคุมที่ไม่ได้ให้อาหารเสริม (T1) และ ผึ้งพันธุ์ที่ได้รับอาหารเสริมสูตรทางการค้า (T3) มีค่าเฉลี่ยของประชากรผึ้งงานลดลงเป็น 15.77±3.89 และ 22.45±6.41% ตามลำดับ การวิเคราะห์โภชนาการตัวอ่อนผึ้งพันธุ์พบว่ามีสัดส่วนที่บริโภคได้มากกว่า 90% โปรตีนเฉลี่ย 40% โดยมีกรดอะมิโนจำเป็นชนิดทรีโอนีน (1.27±0.01%) วารีน (1.67±0.01%) ฟีนิลอะลานีน (1.05±0.01%) และ Arginine (0.31±0.01%) ค่อนข้างสูง ในขณะที่กรดแอสปาร์ติก (0.58±0.01%) ไอโซลูซีน (0.85±0.01%) และ อาร์จินีน (0.31±0.01%) ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ตัวอ่อนผึ้งมีไขมันค่อนข้างสูงเฉลี่ย 29.83% ดังนั้นการเลี้ยงผึ้งโดยการให้อาหารเสริมที่เหมาะสมจึงสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงตัวอ่อนผึ้งได้ โดยเฉพาะในพื้นที่หรือฤดูกาลที่ขาดแคลนอาหารผึ้งได้</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262030 การประเมินผลผลิตของสายพันธุ์มันเทศด้วย SPAD Chlorophyll Meter Reading 2024-03-05T14:21:01+07:00 นพดล สุราช noppadolsurach@gmail.com อนนท์ จันทร์เกตุ anon.j@ubu.ac.th รัตติกาล เสนน้อย rattikarn_se@rmutto.ac.th รัชนี พุทธา ratchanee_pt@mju.ac.th รัตนจิรา รัตนประเสริฐ ruttanachira@gmail.com <p>ค่า SPAD Chlorophyll meter reading (SCMR) คือเครื่องมือวัดปริมาณคลอโรฟิลล์ทางอ้อมซึ่งเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการให้ผลผลิต ค่า SCMR ที่ได้อาจนำมาใช้เพื่อประเมินผลผลิตของมันเทศ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ประเมินอิทธิพลของสภาพแวดล้อม และสายพันธุ์ ต่อความยาวเถา ค่า SCMR และผลผลิตของมันเทศ และ 2) หาความสัมพันธ์ระหว่างค่า SCMR และความยาวเถา กับผลผลิตหัวแห้งของมันเทศ ปลูกทดสอบมันเทศในสภาพแปลงในพื้นที่ปลูกของจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ (L1-RMUTI) อำเภอจอมพระ (L2-Chomphra) และ อำเภอสนม (L3-Sanom) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อค (randomized complete block design; RCBD) สิ่งทดลอง คือ สายพันธุ์มันเทศจำนวน 10 สายพันธุ์ จำนวน 3 ซ้ำ ข้อมูลที่ตรวจวัด ได้แก่ ความยาวเถา และค่า SCMR ที่อายุ 30 และ 60 วันหลังปลูก (DAP) และน้ำหนักหัวแห้งที่อายุเก็บเกี่ยว ผลการศึกษาพบว่า สภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อความยาวเถาที่อายุ 30 และ 60 DAP ค่า SCMR ที่อายุ 30 DAP และน้ำหนักหัวแห้ง อย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ สายพันธุ์มันเทศมีความแปรปรวนเกือบทุกลักษณะ ยกเว้นค่า SCMR ที่อายุ 60 DAP และพบปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกับสายพันธุ์ของทุกลักษณะที่ตรวจวัด พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างค่า SCMR ที่อายุ 30 DAP กับความยาวเถาที่อายุ 60 DAP ในพื้นที่ L3 (r = 0.37*) พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างค่า SCMR ที่อายุ 30 DAP กับน้ำหนักหัวแห้งทั้ง 3 พื้นที่ปลูก (L1; r = 0.56**, L2; r = 0.44* และ L3; r = 0.47** ตามลำดับ) พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความยาวเถาที่อายุ 30 DAP กับน้ำหนักหัวแห้งใน L1 (r = 0.55**) และพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความยาวเถาที่อายุ 60 DAP กับน้ำหนักหัวแห้งใน L2 (r = 0.36*) และ L3 (r = 0.37*) การพบความสัมพันธ์ระหว่างค่า SCMR กับลักษณะความยาวเถา และผลผลิตในระดับปานกลางในบางพื้นที่ปลูก ชี้ให้เห็นว่าลักษณะ SCMR และความยาวเถา อาจจะเป็นลักษณะทางอ้อมในการคัดเลือกสายพันธุ์มันเทศ เพื่อให้มีผลผลิตสูงในโครงการปรับปรุงพันธุ์มันเทศได้ในอนาคต หากมีการศึกษาเพิ่มเติมในมันเทศหลากหลายสายพันธุ์ และหลายสภาพแวดล้อม จะทำให้เข้าใจและยืนยันผลเกี่ยวกับการใช้ค่า SCMR และความยาวเถา ในการประเมินผลผลิตในมันเทศต่อไป</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260766 การกำจัดเชื้อ Cymbidium mosaic virus จากโปรโตคอร์มไลค์บอดี้ของกล้วยไม้หวายชาวินไวท์พันธุ์ขาว 5N ด้วยความเย็นยิ่งยวด 2024-03-28T13:20:09+07:00 วงศกร เสือสืบพันธ์ wongssp8@gmail.com ดวงพร บุญชัย bitoey26@yahoo.com เฌอมาลย์ วงศ์ชาวจันท์ agrsmw@ku.ac.th พัชรียา บุญกอแก้ว agrpyb@ku.ac.th <p style="font-weight: 400;">ปัญหาการขยายพันธุ์กล้วยไม้สกุลหวายในสภาพปลอดเชื้อ คือ ต้นแม่พันธุ์เกือบทั้งหมดติดเชื้อ <em>Cymbidium mosaic virus</em> (CymMV) การผลิตต้นพันธุ์ให้ปลอดไวรัส โดยใช้เนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายยอด พบปัญหา คือชิ้นส่วนเติบโตได้ช้า มีอัตราการตายสูง การใช้ protocorm–likes bodies (PLBs) ที่ได้จากหน่ออ่อนของต้นที่ติดเชื้อไวรัสน่าจะเป็นแนวทางในการผลิตต้นกล้วยไม้ให้ปลอดจากเชื้อไวรัสได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดเชื้อ CymMV จาก PLBs ของกล้วยไม้หวายชาวินไวท์พันธุ์ขาว 5N โดยนำ PLBs ขนาด 3 มม. ได้จากหน่ออ่อนของต้นที่ติดเชื้อ CymMV ปรับสภาพในอาหารเหลวสูตร Vacin and Went (VW) ดัดแปลง เติมน้ำมะพร้าว 15% ร่วมกับน้ำตาลทรายเข้มข้น 0.15 0.175 และ 0.2 โมลาร์ แต่ละความเข้มข้นใช้เวลา 1 วัน เมื่อครบ 3 วัน ทำให้เป็นเมล็ดเทียมด้วยสารละลายโซเดียมอัลจิเนตและหยดลงในสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ ก่อนวางในตู้ laminar flow นาน 5 ชั่วโมง แล้วแช่ในไนโตรเจนเหลว (LN) ที่เวลาต่างกัน 20 ระดับ คือ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 20 30 วินาที 1 3 5 10 30 60 หรือ 90 นาที เทียบกับเมล็ดเทียมที่ไม่ผ่านการแช่ใน LN วางแผนแบบการทดลองสุ่มสมบูรณ์ หลังแช่ใน LN นำมาละลายน้ำแข็ง โดยแช่ในน้ำอุณหภูมิ 40°C นาน 5 นาที จากนั้นนำไปเลี้ยงบนอาหารกึ่งแข็งสูตร VW ดัดแปลง เติมน้ำมะพร้าว 15% และน้ำตาลทราย 2% หลังเลี้ยงนาน 6 สัปดาห์ พบว่า เมล็ดเทียมที่ผ่านการแช่ใน LN ทุกระยะเวลา มีเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตลดลง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึง 4 (P&lt;0.01) ส่วนที่แช่นานมากกว่า 10 วินาที เกิดการตายทั้งหมด ในขณะที่แช่นาน 8–10 วินาที รอดชีวิตเพียง 20% และที่แช่นาน 1–5 วินาที รอดชีวิต 55–70% เมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การกลับมาเติบโต พบว่า ที่เวลา 1–7 วินาที มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 62.50–88.89% (P&lt;0.01) PLBs ที่รอดชีวิตสามารถเติบโตเป็นต้นได้ แต่ทุกทรีตเมนต์ไม่สามารถกำจัดเชื้อ CymMV ได้</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259112 การประยุกต์ใช้แถบอินดิเคเตอร์บ่งชี้ความสดเพื่อติดตามการเสื่อมสภาพของผักกาดหอม ตัดแต่งพร้อมบริโภค 2023-06-29T11:04:00+07:00 ปุณยาพร กาศทิพย์ punyaphorn.k@gmail.com ดนัย บุณยเกียรติ punyaphorn.k@gmail.com สุฐพัศ คำไทย punyaphorn.k@gmail.com พิชญา พูลลาภ punyaphorn.k@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้อินดิเคเตอร์บ่งชี้ความสดเพื่อติดตามการเสื่อมสภาพของผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดตัดแต่งพร้อมบริโภค โดยทดสอบอินดิเคเตอร์กับบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดตัดแต่งพร้อมบริโภค และเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4±1<sup>o</sup>C พบว่า แถบอินดิเคเตอร์มีสีเริ่มต้นคือสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดเกิดการเสื่อมสภาพในวันที่ 7 ของการเก็บรักษา โดยสอดคล้องกับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาการเก็บรักษา โดยในวันที่ 7 มีความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับ 1.34±0.11% ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด (Total aerobic bacteria) ของผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดตัดแต่งพร้อมบริโภคมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการเก็บรักษา โดยตลอดระยะเวลาการเก็บรักษาผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดมีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ Total aerobic bacteria ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และยังสอดคล้องกับเกณฑ์คุณภาพโดยรวมที่ผู้บริโภคไม่ยอมรับซึ่งมีค่าต่ำกว่า 5 ในวันที่ 7 ของการเก็บรักษา การใช้แถบอินดิเคเตอร์บ่งชี้ความสดจะช่วยบ่งบอกคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภคผักกาดหอมบัตเตอร์เฮดตัดแต่งพร้อมบริโภค</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262338 การพัฒนาซองปลดปล่อยไอระเหยเอทานอลแบบควบคุมเพื่อยืดอายุการวางจำหน่ายผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภค 2024-04-03T22:23:53+07:00 แพรพลอย ขัดมะโน preaploy_ka@cmu.ac.th ดนัย บุณยเกียรติ pichaya.p@cmu.ac.th วีรเวทย์ อุทโธ pichaya.p@cmu.ac.th พิชญา พูลลาภ pichaya.p@cmu.ac.th <p>ผักสลัดเบบี้คอสเป็นผักสลัดที่ผู้บริโภคนิยมรับประทานเนื่องจากมีรสชาตที่หวาน กรอบ แต่ในขณะเดียวกันผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภคมีอายุการเก็บรักษาที่สั้นโดยปกติจะมีอายุการเก็บรักษามากที่สุด 3 วันที่อุณหภูมิ 4±1 องศาเซลเซียส ผักสลัดเบบี้คอสมักเกิดการเน่าเสียได้ง่ายเนื่องจากมีองค์ประกอบของน้ำภายในเซลล์เป็นจำนวนมาก และบาดแผลที่เกิดจากการตัดแต่งส่งผลให้จุลินทรีย์เข้าทำลายได้ง่าย หากเป็นจุลินทรีย์ก่อโรคก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของซองปล่อยไอระเหยเอทานอลต่ออายุการเก็บรักษาผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภค โดยศึกษาการใช้ซองปล่อยไอระเหยเอทานอลจากวัสดุต่างๆ ได้แก่ ฟิล์ม low density polyethylene (LDPE), Fresh&amp;Fresh และ aluminium/PE เจาะรูขนาดเล็ก ประกบอีกด้านด้วย aluminium/PE ขนาด 3×3 -เซนติเมตร บรรจุซิลิกาเจลที่อิ่มตัวไปด้วยไอระเหยเอทานอลปริมาณ 1 กรัม จากนั้นนำซองปล่อยไอระเหยเอทานอลไปใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภค ประเมินการเปลี่ยนแปลงคุณภาพทางเคมี กายภาพ จุลินทรีย์และคุณภาพทางประสาทสัมผัส รวมถึงอายุการเก็บรักษาของผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภค พบว่าซองปล่อยไอระเหยชนิด aluminium/PE เจาะรูขนาดเล็ก ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เมื่อเทียบกับตัวอย่างที่ไม่ได้ใช้ซองปล่อยอระเหยเอทานอล(ชุดควบคุม) (p≤0.05) สำหรับผลการศึกษาด้านคุณภาพทางประสาทสัมผัสพบว่า การใช้ซองปล่อยไอระเหยเอทานอลชนิด aluminium/PE เจาะรูขนาดเล็กทำให้ผู้บริโภคให้การยอมรับผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งมากที่สุด (p≤0.05) ทั้งด้านความสด, สี, กลิ่น, การเกิดสีน้ำตาลบริเวณรอยตัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซองปล่อยไอระเหยเอทานอลมีประสิทธิภาพในการยืดอายุผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภคที่เกิดการเสื่อมเสียอันเนื่องมาจากเชื้อจุลินทรีย์ โดยไม่มีผลต่อคุณภาพด้านประสาทสัมผัส โดยซองปล่อยไอระเหยเอทานอลจะทำให้ผักสลัดเบบี้คอสตัดแต่งพร้อมบริโภคมีอายุการเก็บรักษานานที่สุด 6 วัน ในขณะที่ชุดควบคุมมีอายุการเก็บรักษาเพียง 3 วันที่อุณหภูมิ 4±1 องศาเซลเซียส</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261249 ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคติของเกษตรกรต่อการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาในอำเภอ นายายอาม จังหวัดจันทบุรี 2023-11-26T17:46:20+07:00 กวินภพ ประเสริฐ kawinphop056@gmail.com ณฐิตากานต์ พยัคฆา Nathitakarn.p@gmail.com จุฑาทิพย์ เฉลิมผล Nathitakarn.p@gmail.com ฟ้าไพลิน ไชยวรรณ Nathitakarn.p@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟสายพันธุ์ อะราบิกา 2) ประเมินความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาของเกษตรกร 3) วิเคราะห์ทัศนคติของเกษตรกรต่อการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกา และ 4) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาของเกษตรกร ในพื้นที่ อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกา ในพื้นที่อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี จำนวน 156 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 51 ปีขึ้นไป จบการศึกษาระดับประถมศึกษา เกษตรกรได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาจากเพื่อนบ้าน และตัดสินใจเลือกปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาเนื่องจากเพื่อนบ้านชักชวน และเกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟ สายพันธุ์อะราบิกาในระดับปานกลาง ทัศนคติของเกษตรกรในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกา ทั้งหมด 8 ด้าน มีทัศนคติในภาพรวมระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.05 โดยมีทัศนคติในการตัดสินใจปลูกกาแฟใประเด็นการปลูกร่วมกับพืชอื่น ๆ มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.38 ส่วนประเด็นที่มีทัศนคติ ในระดับน้อยที่สุดคือเครื่องมือและเครื่องจักรกลการเกษตรมีเพียงพอหาได้ง่าย ค่าเฉลี่ย 0.22 ปัจจัยที่ส่งผลต่อทัศนคติของเกษตรกร ในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกา มี 3 ด้าน ได้แก่ (1) รายได้ต่อปีของครัวเรือน มีความสัมพันธ์เชิงบวก แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรที่มีต้นทุนการผลิตกาแฟที่สูงกว่าจะมีโอกาสการปลูกกาแฟอะราบิกา สูงกว่าเกษตรกรที่มีต้นทุนการผลิตที่น้อยกว่า (2) ประสบการณ์ในการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกา มีความสัมพันธ์เชิงบวก แสดงให้เห็นถึงโอกาสของการปลูกกาแฟอาราบิกาของเกษตรกรที่มีประสบการณ์สูงกว่าก็จะมีการปลูกกาแฟอาราบิกามากกว่าเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ (3) ระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์เชิง มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรที่มีการศึกษาน้อยจะมีการปลูกกาแฟพันธุ์อะราบิกาที่สูงกว่าเกษตรกรที่มีระดับการศึกษาสูง ข้อเสนอแนะของเกษตรกร คือหน่วยงานรัฐหรือภาคเอกชนควรมีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการประกอบอาชีพต่อไป</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262310 ผลของการจัดการปุ๋ยโบรอนที่ระยะการเจริญเติบโตแตกต่างกันต่อการดูดใช้และการสร้างผลผลิตของข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ที่ปลูกแบบไม่ขังน้ำและขังน้ำ 2024-04-04T17:01:01+07:00 สิทธิกร บดีรัฐ si-siwakorn@hotmail.com ชนากานต์ เทโบลต์ พรมอุทัย chanakan.p@cmu.ac.th <p>โบรอนเป็นจุลธาตุอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิตในพืช การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการตอบสนองของการดูดใช้โบรอนที่ใส่ทางดินในระยะการเจริญเติบโตต่าง ๆ ในการสร้างผลผลิตเปรียบเทียบการปลูกในสภาพไม่ขังน้ำและขังน้ำในข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 โดยจัดชุดการทดลองแบบ 2×4 factorial ในแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ในสภาพกระถาง ประกอบด้วยกรรมวิธีการจัดการน้ำ 2 แบบ คือ การปลูกข้าวแบบไม่น้ำขังและขังน้ำ ร่วมกับกรรมวิธีการจัดการปุ๋ยโบรอนทางดิน (อัตรา 0.48 กก. โบรอน/ไร่) 4 รูปแบบ คือ 1) ไม่ใส่โบรอน (กรรมวิธีควบคุม) 2) ใส่ในระยะแตกกอ 3) ใส่ในระยะออกดอก และ 4) ใส่ 2 ครั้งในระยะแตกกอและออกดอก ผลการทดลองพบว่า การใส่ปุ๋ยโบรอนทุกกรรมวิธีไม่มีผลต่อผลผลิต แต่พบว่าการปลูกแบบขังน้ำทำให้ผลผลิตมากกว่าการปลูกในการปลูกแบบไม่ขังน้ำ 15% ในขณะที่การใส่ปุ๋ยโบรอนในระยะออกดอกและ 2 ครั้งที่ระยะแตกกอและระยะออกดอกภายใต้การปลูกแบบไม่ขังน้ำ และการใส่ปุ๋ยโบรอนที่ระยะออกดอกในการปลูกแบบขังน้ำ ทำให้จำนวนดอกย่อยต่อรวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนเมล็ดลีบที่ได้รับการผสมเพิ่มขึ้นจากการไม่ใส่ปุ๋ยโบรอน แม้ว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่มีผลต่อผลผลิต การเพิ่มขึ้นของจำนวนดอกย่อยต่อรวงและจำนวนเมล็ดลีบที่ได้รับการผสมแล้วเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นโบรอนในส่วนต่าง ๆ ของต้นข้าวและการดูดใช้โบรอนทั้งหมดจากการใส่ปุ๋ยโบรอนที่ระยะออกดอกและ 2 ครั้งในระยะแตกกอและออกดอก ภายใต้การปลูกทั้งสองแบบ บ่งชี้ได้จากความสัมพันธ์เชิงบวกของความเข้มข้นโบรอนในส่วนต่าง ๆ ต่อจำนวนดอกย่อยและจำนวนเมล็ดลีบที่มีการผสม ซึ่งต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในการการจัดการสภาพการปลูกที่เหมาะสมกับพันธุ์ข้าวด้วยการจัดการปุ๋ยโบรอนร่วมกับธาตุอาหารอื่น ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิตข้าวให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรต่อไป</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261484 ผลร่วมของซิลิคอน ปุ๋ยเคมีและมูลวัวต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ที่ปลูกในดินทราย 2023-12-28T07:51:06+07:00 พรพิมล คำโมง pornpimol.kh@kkumail.com อนงนาฏ ศรีประโชติ anonsr@kku.ac.th <p>ศึกษาผลร่วมของซิลิคอน ปุ๋ยเคมีและมูลวัวต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ที่ปลูกในดินทราย ทำการทดลองในกระถาง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 2 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 คือ ชนิดของปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยเคมี มูลวัว และปุ๋ยเคมีร่วมกับมูลวัว และปัจจัยที่ 2 คือ อัตราของซิลิคอนที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย 0, 100, 200 และ300 มก./กก. ทำการทดลองทั้งหมด 4 ซ้ำ ผลการทดลองพบว่า การใส่ปุ๋ยเคมีและมูลวัวร่วมกับซิลิคอนในอัตรา 200 หรือ 300 มก./กก. เพิ่มการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพผลผลิตของข้าว นอกจากนี้การใส่ซิลิคอนในอัตราที่สูงขึ้นทำให้ปริมาณซิลิคอนทั้งหมดในพืชสูงขึ้นตามไปด้วย ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่าการจัดการธาตุอาหารที่เหมาะสมสามารถเพิ่มผลผลิตของข้าวที่ปลูกในดินทรายได้</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261914 การตรวจติดตามคุณภาพน้ำและชุมชนแมลงน้ำเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำหมันของพื้นที่การเกษตรที่สูง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย 2024-02-05T08:47:59+07:00 ณัฐสิมา โทขันธ์ natsima@vru.ac.th ณัฐกานต์ ทองพันธุ์พาน natsima@vru.ac.th อัจฉราพร สมภาร natsima@vru.ac.th ชุลีมาศ บุญไทย อิวาย chuleemas1@gmail.com <p>แมลงน้ำได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการตรวจติดตามและใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพน้ำผิวดิน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามคุณภาพน้ำและชุมชนแมลงน้ำสำหรับประยุกต์ใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำหมันของพื้นที่การเกษตรที่สูงของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย โดยสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำแบบจ้วงและเก็บตัวอย่างแมลงน้ำเชิงคุณภาพในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวจำนวน 6 สถานี ตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยเริ่มจากสถานีต้นแม่น้ำหมันไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเหือง บริเวณปากน้ำหมัน ซึ่งผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำพบว่าอุณหภูมิ และ pH อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินประเภทที่ 2 ยกเว้นบริเวณปากหมันพบ NO<sub>3</sub><sup>-</sup>, pH, Cu และ Mn สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานกำหนด ซึ่งคุณภาพน้ำจะขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบ และความเข้มข้นของมลสาร (TS, TDS, Cu, Mn, Zn) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางการไหลของน้ำ ส่วนผลการสำรวจจำนวนแมลงน้ำพบ 426 ตัว จาก 3 อันดับ 6 วงศ์ และ 9 ชนิด โดยอันดับ Hemiptera (93.43%) พบมากที่สุด รองลงมาคือ Coleoptera (4.93%) และ Ephemeroptera (1.64%) ตามลำดับ ซึ่งมีดัชนีความหลากหลายพันธุ์ 1.644–1.655 ดัชนีความความสม่ำเสมอ 0.748–0.758 และดัชนีความมากชนิด 1.376–1.552 รวมทั้งผลประเมินความชุกชุมสัมพันธ์พบ วงศ์เด่นคือ Notoctidae ที่มีชนิดมวนวนและมวนจิ้งโจ้น้ำมากที่สุด โดยความหลากหลายและจำนวนแมลงน้ำจะมีความแตกต่างกันตามฤดูกาลและสถานีแต่ในฤดูหนาวมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้การใช้แมลงน้ำบ่งบอกคุณภาพน้ำ (BMWP) และให้ค่า ASPT 7.000–7.833 ทำให้ทราบว่าคุณภาพน้ำในแม่น้ำหมันจัดอยู่ในระดับ 2 น้ำคุณภาพค่อนข้างดี และมีคุณสมบัติเหมาะต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ</p> 2024-07-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น