https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/issue/feed วารสารแก่นเกษตร 2024-10-07T08:20:28+07:00 บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตร agkasetkaj@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263195 ผลของการใช้เปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์ทดแทนรำข้าวต่อจลนศาสตร์การผลิตแก๊สและการย่อยสลายได้ในหลอดทดลอง 2024-06-24T08:42:00+07:00 ดวงจัน สมบัดเทบพาลี chanchaomoon889@gmail.com ณัฐพงศ์ คงสว่าง bungung@hotmail.com ชุติกาญจน์ ศรทองแดง bungung@hotmail.com ขาวพอน สะพังทอง bungung@hotmail.com อนุสรณ์ เชิดทอง anusornc@kku.ac.th ณรกมล เลาห์รอดพันธ์ bungung@hotmail.com สุบรรณ ฝอยกลาง bungung@hotmail.com <p>เปลือกล้างมันสำปะหลังเป็นเศษเหลือจากกระบวนการปอกเปลือกมันสำปะหลังก่อนที่จะนำไปสกัดแป้งในโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่มีปริมาณมาก เป็นการนำเศษเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์และลดต้นทุนการผลิตสัตว์โดยการหมักด้วยยีสต์ เพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีนของเปลือกล้างมันสำปะหลัง การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้เปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์ทดแทนรำข้าวต่อจลนศาสตร์การผลิตแก๊สและความสามารถในการย่อยสลายได้ในหลอดทดลอง ทำการวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 4 กลุ่มการทดลอง กลุ่มการทดลองละ 3 ซ้ำ ได้แก่ สัดส่วนรำข้าวต่อเปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์ (Yeast fermented cassava peel, YFCP: Rice bran, RB) คือ 100:0, 90:10, 80:20 และ 70:30 ตามลำดับ ผลการทดลองการใช้เปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์ทดแทนรำข้าว พบว่าค่า a (ส่วนที่ละลายได้ทันที) ค่า b (ส่วนที่ไม่ละลาย) ค่า c (อัตราการผลิตแก๊ส) และค่า (a+b) (ศักยภาพการผลิตแก๊ส) ของทุกกลุ่มทดลองไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p &gt; 0.05) การย่อยสลายของวัตถุแห้งและการย่อยสลายของอินทรียวัตถุในหลอดทดลองในชั่วโมงที่ 12 และ 24 หลังการบ่ม พบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p &gt; 0.05) จากผลการทดลองสรุปได้ว่า สามารถใช้เปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์ทดแทนรำข้าวได้ถึง 30% ในสูตรอาหาร แสดงให้เห็นว่าเปลือกล้างมันสำปะหลังหมักยีสต์มีศักยภาพเพียงพอสำหรับการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263176 ผลของสารสกัดสมุนไพรฝางและซิลเวอร์ไอออน ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเต้านมอักเสบในโคนม 2024-07-10T09:38:34+07:00 ผกาสินี ขาวแดง pakasinee.pk@gmail.com วิวัฒน์ พัฒนาวงศ์ Wpattanawong@gmail.com ปราณรวีร์ สุขันธ์ tamaekong.nittaya@gmail.com กฤดา ชูเกียรติศิริ Kridda003@hotmail.com อภิชาติ​ หมั่นวิชา Apichart.m@hotmail.c​om พชรพร ตาดี Phacharaporn.boonkoot@gmail.com <p>ปัญหาเต้านมอักเสบในโคนมส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา ก่อให้เกิดการตกค้างของยาปฏิชีวนะ และการเพิ่มอุบัติการณ์ดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียได้ การใช้สมุนไพรหรือสารอื่นๆ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ สมุนไพรฝางเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และซิลเวอร์ไอออนสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราได้ ารศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของสารสกัดสมุนไพรฝางและซิลเวอร์ไอออน ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเต้านมอักเสบในโคนม ด้วยวิธีการตรวจวัดความเข้มข้นของสมุนไพรฝางและซิลเวอร์ไอออนที่น้อยที่สุด (Minimum Inhibitory Concentratin : MIC) ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเต้านมอักเสบในโคนม โดยมีความเข้มข้นของสมุนไพรฝางเท่ากับ 20, 10, 5, 2.5, 1.25, 0.62, 0.31, 0.07, 0.04 และ 0.02 มก./มล. ตามลำดับ และระดับความเข้มข้นของซิลเวอร์ไอออนเท่ากับ 2, 1 และ 0.5 มลม./มล. ตามลำดับ พบว่าสมุนไพรฝางมีค่า MIC อยู่ในช่วงระหว่าง 0.04 – 2.5 มก./มล. โดยเชื้อ <em>Enterococcus faecalis</em> มีค่า MIC น้อยที่สุดคือ 0.04 มก./มล. และ <em>Streptococcus uberis</em> ที่ 2.5 มก./มล. รวมไปถึงซิลเวอร์ไอออนพบว่าทุกเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเต้านมอักเสบที่นำมาทดสอบ มีค่า MIC อยู่ที่ 0.5 มลม./มล. จากผลการทดลองสรุปได้พืชสมุนไพรฝางและซิลเวอร์ไอออนสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเต้านมอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้เชิงพาณิชย์ต่อไปได้</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263282 ผลของการลดระดับโปรตีนในอาหาร ต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต ลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ องค์ประกอบทางเคมีของเนื้อ และกรดยูริกในเลือดของไก่โคราช 2024-06-24T08:30:01+07:00 อรพิน จันตะแสง orapin.oj@hotmail.com สุทิศา เข็มผะกา khampaka@sut.ac.th <p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาผลของการลดระดับโปรตีนร่วมกับการเสริมกรดอะมิโนสังเคราะห์ในอาหารต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต ลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ องค์ประกอบทางเคมีของเนื้อ และกรดยูริกในเลือดของไก่โคราช ใช้ไก่โคราชอายุ 1 วัน คละเพศ จำนวน 288 ตัว แบ่งไก่ออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 6 ซ้ำ (16 ตัว/ซ้ำ) ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบุรณ์ อาหารทดลองมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1) กลุ่มควบคุม (อาหารพื้นฐาน) กลุ่มที่ 2) และ 3) ลดระดับโปรตีนต่ำกว่ากลุ่มควบคุมที่ 1.5 และ 3.0% ตามลำดับอาหารทดลองแต่ละสูตรทำการเสริมกรดอะมิโนสังเคราะห์ ได้แก่ เมทไทโอนีน ไลซีน ทรีโอนีน อาร์จีนีน วาลีน ทริปโตเฟน และไอโซลิวซีน ตรงกับความต้องการของไก่โคราชในแต่ละช่วงอายุ ทำการเลี้ยงไก่ทดลองในโรงเรือนเปิด ให้อาหารและน้ำเต็มที่เป็นเวลา 63 วัน แบ่งระยะเลี้ยงออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเล็ก (อายุ 1-21 วัน) ระยะรุ่น (อายุ 22-42 วัน) และระยะขุน (อายุ 43-63 วัน) ผลการศึกษาพบว่าการลดโปรตีนในอาหารที่ระดับ 1.5% ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะการเติบโต (P&gt;0.05) อย่างไรก็ตามการลดระดับโปรตีนที่ 3.0% ส่งผลให้ไก่มีน้ำหนักตัว อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน และประสิทธิภาพการใช้อาหารลดลง (P&lt;0.05) ในไก่โคราชระยะเล็ก ระยะรุ่น และตลอดระยะเวลาการเลี้ยง นอกจากนี้ยังพบว่าการลดโปรตีนในอาหารที่ระดับ 3.0% มีผลทำให้ค่าความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือดลดลง ค่าสีของเนื้อ (ค่าสีแดงและสีเหลือง) และการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น (P&lt;0.05) แต่ไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงลักษณะซาก การทดลองนี้สรุปได้ว่าการลดระดับโปรตีนในอาหารไก่โคราชที่ระดับ 1.5% ร่วมกับการเสริมกรดอะมิโนสังเคราะห์ ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต ลักษณะซาก คุณภาพเนื้อ และองค์ประกอบทางเคมีของเนื้อ</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263054 การศึกษาลักษณะซากและคุณภาพเนื้อของไก่กระดูกดำฟ้าหลวง 2024-05-23T01:25:28+07:00 กรรณิกา ฮามประคร kannikar_h@mju.ac.th ประภากร ธาราฉาย kannikar_h@mju.ac.th เถลิงศักดิ์ อังกุรศรณี kannikar_h@mju.ac.th กฤดา ชูเกียรติศิริ kannikar_h@mju.ac.th จุฬากร ปานะถึก kannikar_h@mju.ac.th ภาคภูมิ เสาวภาคย์ kannikar_h@mju.ac.th สุภารักษ์ คำพุฒ kannikar_h@mju.ac.th ครรชิต ชมภูพันธ์ kannikar_h@mju.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของลักษณะซากของไก่กระดูกดำฟ้าหลวง ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างลูกไก่กระดูกดำที่ได้จากการจับคู่ผสมพ่อแม่พันธุ์ของไก่กระดูกดำฟ้าหลวง 1 (MA) และไก่กระดูกดำฟ้าหลวง 2 (MJ) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design) จากการแบ่งกลุ่มคู่ผสมเป็น 4 คู่ผสม กลุ่มที่ 1 (MA x MJ) กลุ่มที่ 2 (MA x MA) กลุ่มที่ 3 (MJ x MA) และกลุ่มที่ 4 (MJ x MJ) โดยศึกษาในลูกไก่เพศผู้และเพศเมียที่มีอายุ 16 สัปดาห์ที่ได้จากแต่ละกลุ่มทดลองจำนวน 48 ตัว ผลการศึกษาพบว่าในส่วนของเปอร์เซ็นต์ซาก และองค์ประกอบของซากในไก่กระดูกดำสายพันธุ์ฟ้าหลวงเพศผู้และเพศเมียที่อายุ 16 สัปดาห์ที่ได้จากคู่ผสมที่ต่างกันไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&gt;0.05) ในทุกกลุ่มทดลอง แต่อย่างไรก็ตามในด้านคุณภาพเนื้อพบว่าค่า pH ที่ 24 ชั่วโมงของเนื้อสะโพกในไก่กระดูกดำฟ้าหลวงกลุ่มที่มีพ่อพันธุ์ MJ มีค่าสูงกว่ากลุ่มคู่ผสมอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) อีกทั้งไก่กระดูกดำฟ้าหลวงกลุ่มคู่ผสม MA x MA พบว่าการสูญเสียน้ำจากการทำให้สุกของเนื้ออกที่น้อยกว่าในกลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) จากการศึกษาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าลูกไก่กระดูกดำฟ้าหลวงจากการจับคู่ผสมพ่อแม่พันธุ์ของไก่กระดูกดำฟ้าหลวงระหว่างพ่อแม่พันธุ์สาย MA และสาย MJ ไม่มีความแตกต่างกันทางด้านลักษณะซาก ในขณะที่การใช้พ่อแม่พันธุ์สาย MA ส่งผลดีในด้านของคุณภาพเนื้อ ซึ่งจะเป็นทางเลือกในจับคู่ผสมที่หลากหลายขึ้นเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงไก่กระดูกดำฟ้าหลวงแก่เกษตรกรที่สนใจได้</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263205 การประเมินศักยภาพของสารสกัดจากกากกาแฟเพื่อเป็นทางเลือกทดแทนยาปฏิชีวนะกระตุ้นการเจริญเติบโตในไก่เนื้อ 2024-06-24T08:31:57+07:00 ภัชรีย์ ศรีนวล phatchari_sri@cmu.ac.th ชนิดาภา แก่นมณี chanidapha.k@cmu.ac.th พิมพร คำทวี pimporn.k@cmu.ac.th อรณี ศรีนวล orranee.s@cmu.ac.th นเรศ ปินตาเลิศ naret.p@cmu.ac.th มงคล ยะไชย mongkol_yc@mju.ac.th วรรณพร ทะพิงค์แก wanaporn.t@cmu.ac.th <p>สารสกัดจากกากกาแฟ (Spent coffee ground extracts; SCGE) อุดมไปด้วยกรดคลอโรจีนิก และเมลาโนดินเหมาะสำหรับเสริมในอาหารสัตว์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริม SCGE ในอาหารต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโต ค่าโลหิตวิทยา ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ในไส้ตัน และสัณฐานวิทยาของลำไส้เล็กในไก่เนื้อ โดยทำการสุ่มลูกไก่เนื้อพันธุ์ Ross 308 อายุ 1 วัน จำนวน 500 ตัว แบ่งเป็น 5 กลุ่มอาหารทดลอง แต่ละกลุ่มมี 10 ซ้ำ ซ้ำละ 10 ตัว ประกอบด้วย อาหารที่ไม่มียาปฏิชีวนะเป็นกลุ่มควบคุมเชิงลบ (Negative control; NC) อาหารพื้นฐานเสริมด้วยยาปฏิชีวนะกระตุ้นการเจริญเติบโตเป็นกลุ่มควบคุมเชิงบวก (Positive control; PC) และ อาหาร NC ที่เสริมด้วย SCGE ที่ระดับ 0.5, 1.0 และ 2.0 ก./กก. อาหาร ตามลำดับ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า กลุ่ม SCGE และ PC มีน้ำหนักตัวสุดท้ายและอัตราการเจริญเติบโต (Average Daily Gain; ADG) สูงกว่ากลุ่ม NC (P&lt;0.05) ทั้งนี้กลุ่ม SCGE ทุกกลุ่มมีประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัว (Feed Conversion Ratio; FCR) ดีกว่ากลุ่ม PC และ NC (P&lt;0.05) ปริมาณเชื้อ <em>Lactobacillus</em> spp. ในไส้ตันของกลุ่ม SCGE1.0 และ SCGE2.0 มากกว่า (P&lt;0.05) กลุ่ม PC โดยกลุ่ม NC และ SCGE0.5 มีค่าน้อยที่สุด (P&lt;0.05) กิจกรรมของเอนไซม์ Alanine aminotransferase (ALT) ของกลุ่ม SCGE0.5 SCGE1.0 และ SCGE2.0 มีค่าต่ำกว่ากลุ่ม NC (P&lt;0.05) ส่วนของ Aspartate transaminase (AST) ของ SCGE2.0 มีค่าน้อยที่สุด (P&lt;0.05) ค่าความสูงของวิลไลและความลึกของคริปท์ของลำไส้เล็กส่วนกลางของกลุ่ม SCGE มากกว่า กลุ่ม NC และ PC ดังนั้น การเสริม SCGE ที่ระดับ 2.0 ก./กก. ช่วยปรับปรุงน้ำหนักสุดท้าย ADG FCR และสมดุลของเชื้อในไส้ตันได้ จึงถือว่ามีศักยภาพในการใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะในอาหารไก่เนื้อได้</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263184 การเปรียบเทียบสมรรถภาพการผลิตและลักษณะซากระหว่างไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วและช้า 2024-05-24T11:15:21+07:00 สุรเสกข์ ตั้นเส้ง surasek.02@gmail.com พนัดดา บึงศรีสวัสดิ์ fagrptb@ku.ac.th ชัยภูมิ บัญชาศักดิ์ agrchb@ku.ac.th เชาว์วิทย์ ระฆังทอง fagrcwr@ku.ac.th <p>อุตสาหกรรมไก่เนื้อในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสายพันธุ์ไก่ให้มี<strong>สมรรถภาพการผลิตสูงและใช้เวลาเลี้ยงสั้นลง</strong> แต่มักมี<strong>ปัญหา</strong>เกี่ยวกับ<strong>สวัสดิภาพสัตว์</strong> ผู้ผลิตจึงมีการพัฒนาไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้าเพื่อใช้เป็นทางเลือก อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน วัตถุประสงค์ของการทดลองนี้เพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพการผลิตและลักษณะซากระหว่างไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็ว (Cobb 500) และช้า (Hubbard Redbro) ไก่เนื้อจำนวน 182 ตัว แยกกลุ่มตามพันธุ์ 2 กลุ่ม กลุ่มละ 7 ซ้ำ ซ้ำละ 13 ตัว ทำการทดสอบสมรรถภาพการผลิตและลักษณะซากโดยใช้ t-test ผลการทดลองพบว่า ไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วและช้าใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงจนถึงน้ำหนักที่ 2.5 กก. ที่ 33 และ 40 วัน ตามลำดับ ค่าอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวันของไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วและช้า เท่ากับ 77.20 และ 64.29 ก./ตัว/วัน ตามลำดับ ค่าอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย ปริมาณการกินได้เฉลี่ย อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัว และลักษณะซากของไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วมีค่าดีกว่าไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้า เปอร์เซ็นต์เนื้อหน้าอกของไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วมีค่ามากกว่าไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้า แต่เปอร์เซ็นต์ของสะโพก น่อง ปีก และไขมันช่องท้องของไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้าจะมีมากกว่าไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็ว โดยสรุปไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็วมีสมรรถภาพการผลิตและสัดส่วนของเนื้อหน้าอกมากกว่าไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้า ขณะที่ไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตช้าจะมีสัดส่วนของสัดส่วนของกระดูกรยางค์มากกว่าไก่เนื้อสายพันธุ์เจริญเติบโตเร็ว</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262665 ผลของการเสริมสารฟลาวาโนนต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต สภาวะความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และภาวะการอักเสบในลูกสุกรหย่านม 2024-05-31T08:25:15+07:00 ญาณิกา แสนท้าว yanika.sae@ku.th อรประพันธ์ ส่งเสริม agropp@ku.ac.th ยุวเรศ เรืองพานิช agryos@ku.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมฟลาวาโนน (FVA) ในอาหารลูกสุกรหย่านมต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และภาวะการอักเสบ โดยใช้ลูกสุกรหย่านม (ลาร์จไวท์ × แลนด์เรซ × ดูร็อค) ที่อายุ 4 สัปดาห์ น้ำหนัก 6-7±0.6 กก. จำนวน 180 ตัว ทำการสุ่มแบ่งลูกสุกรออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 6 ซ้ำ ๆ ละ 10 ตัว (เพศผู้ตอน 5 ตัวและเพศเมีย 5 ตัว) ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ทำการสุ่มลูกสุกรหย่านมแต่ละกลุ่มให้ได้รับอาหารทดลองที่แตกต่างกัน 3 สูตร ได้แก่ สูตรที่ 1 อาหารพื้นฐาน (กลุ่มควบคุม) สูตรที่ 2 และสูตรที่ 3 อาหารพื้นฐานเสริม FVA 0.25 และ 0.50 ก./กก. ตามลำดับ ลูกสุกรได้รับอาหารและน้ำอย่างเต็มที่ตลอดการทดลอง จากการศึกษาพบว่าอาหารที่เสริม FVA 0.25 และ 0.50 ก./กก. ช่วยปรับปรุง BW, ADG และ FCR (P&lt;0.05) ของลูกสุกรหย่านมที่อายุ 4-6 สัปดาห์ แต่ไม่ส่งผลที่อายุ 7-9 สัปดาห์ (P&gt;0.05) อย่างไรก็ตามตลอดช่วงการทดลอง (อายุ 4-9 สัปดาห์) พบว่าการเสริม FVA ในอาหารลูกสุกรหย่านม ช่วยปรับปรุง BW, ADG และ FCR (P&lt;0.05) ให้ดีขึ้น ในส่วนของดัชนีบ่งชี้ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันในซีรั่มของลูกสุกรหย่านมที่อายุ 6 และ 9 สัปดาห์ พบว่าการเสริม FVA ส่งผลให้ระดับ MDA และ IL-6 ในซีรั่มลดลง (P&lt;0.05) แต่ไม่ส่งผลต่อระดับ SOD, GPx, TNF-α และ IL-10 (P&gt;0.05) ดังนั้นการเสริม FVA ที่ระดับ 0.25 และ 0.50 ก./กก. ในอาหาร จึงเป็นแนวทางหน้าที่ที่สามารถช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและภาวะการอักเสบในลูกสุกรหย่านม ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหารและสมรรถภาพการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นตามไปด้วย</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262925 การศึกษาการดำเนินงานโครงการแปลงใหญ่ข้าว: กรณี ตำบลกู่สวนแตง อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ 2024-06-04T09:09:59+07:00 กันยารัตน์ บุญปก kanyarat.boon@kkumail.com อรุณี พรมคำบุตร arunee@kku.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารจัดการกลุ่ม 2) การดำเนินโครงการ และ 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะของการดำเนินงานกลุ่มแปลงใหญ่ข้าว ตำบลกู่สวนแตง อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยใช้วิธีวิจัยแบบผสม ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มกับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ประธานและคณะกรรมการกลุ่ม เจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบโครงการ และคนในชุมชนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยการใช้แบบสัมภาษณ์เพื่อประเมินความรู้กับกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระ และสถิติเชิงบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มแปลงใหญ่ข้าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ความรู้ เครื่องจักรกลการเกษตร และปัจจัยการผลิตจากหลายหน่วยงานรัฐ เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารกลุ่มเกษตรกร ส่งผลให้บรรลุ 3 เป้าหมายของโครงการตามเป้าหมาย 5 ด้าน คือ การลดต้นทุน (33.30%) การเพิ่มผลผลิต (25.93%) กลุ่มมีเมล็ดพันธุ์ดี กลุ่มมีการบริหารจัดการโดยมีโครงสร้างและกำหนดบทบาทหน้าที่ของกรรมการอย่างชัดเจน มีการปรับเปลี่ยนกติกากลุ่มตามสถานการณ์ และสามารถบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อสร้างรายได้ และบริหารการเงินทำให้มีเงินปันผลให้สมาชิก แต่การพัฒนาคุณภาพการผลิตยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดยสมาชิกได้รับรองมาตรฐานอินทรีย์ 32% จากเป้าหมาย 50% และการมีตลาดรองรับผลผลิตที่ให้ราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปที่มีเพียง 24% ของสมาชิกที่ไปจำหน่าย นอกจากนี้ ยังเกิดเครือข่ายสังคมระหว่างสมาชิก และองค์กรในชุมชน เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีความรู้หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 5.44) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลดใช้สารเคมี การไถกลบตอซัง และการลดการเผาตอซัง ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มประสบปัญหาแหล่งรับซื้อที่ทำข้อตกลงอยู่ห่างไกล และการมีสมาชิกสูงอายุซึ่งส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมและเป้าหมายการพัฒนาของกลุ่ม กลุ่มควรจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้เพียงพอต่อความต้องการของสมาชิกเพื่อเพิ่มโอกาสในการหารายได้เข้ากลุ่ม มีการรวมกลุ่มในการจำหน่ายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับแหล่งรับซื้อ เชื่อมโยงตลาดรับซื้อสินค้าตามมาตรฐาน และสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าโดยการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว นอกจากนี้ กลุ่มควรมีการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้สามารถบริหารงานของกลุ่มได้อย่างต่อเนื่อง</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262811 ระบบการผลิตหอมแดงและความต้องการการส่งเสริมการผลิตหอมแดงของเกษตรกร ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2024-04-05T08:32:50+07:00 พรพิมล หมั่นจิตร nanmanchit0896@gmail.com สุกัลยา เชิญขวัญ sukanl@kku.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาระบบการผลิตหอมแดงของเกษตรกร ตำบลบ้านกอก และ 3) ศึกษาความต้องการการส่งเสริมการผลิตหอมแดงของเกษตรกร ตำบลบ้านกอก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์เชิงลึกจากเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงในฤดูกาลผลิตปี 2565/2566 จำนวน 129 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 58.58 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประกอบอาชีพหลักคือเกษตรกรรม จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 3.94 คน เป็นแรงงานในภาคการเกษตรเฉลี่ย 2.28 คน มีประสบการณ์ปลูกหอมแดงเฉลี่ย 14.5 ปี เกษตรกรมีรายได้ทั้งปี 360,881.40 บาท เป็นรายได้จากการปลูกหอมแดงเฉลี่ย 94,658.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.23 ของรายได้ทั้งหมด ในการผลิตหอมแดง แบ่งเป็น 2 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน มีผลผลิตเฉลี่ย 1,700 กิโลกรัมต่อไร่ และฤดูหนาว มีผลผลิตเฉลี่ย 2,289 กิโลกรัมต่อไร่ มีรูปแบบการจำหน่าย 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) แบบมัดตากแห้ง ราคา 15-50 บาทต่อกิโลกรัม ผลตอบแทนสุทธิ 34,787.34-39,118.68 บาทต่อไร่ และ 2) แบบตากแห้งมัดจุกตัดแต่ง ราคา 18-80 บาทต่อกิโลกรัม ผลตอบแทนสุทธิ 42,455.49-78,747.68 บาทต่อไร่ ปัญหาในการผลิต ได้แก่ ปุ๋ย สารเคมี และสารชีวภัณฑ์ มีราคาสูง ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น เกษตรกรต้องการการสนับสนุนปัจจัยการผลิตหรือแหล่งซื้อปัจจัยการผลิตในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด รวมทั้งองค์ความรู้ในการใช้ปุ๋ย สารเคมี และสารชีวภัณฑ์ แนวทางการส่งเสริมได้แก่ การวางแผนการผลิต การอบรมให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี และสารชีวภัณฑ์ การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ และมีเดีย สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่ม</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263723 ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงของเกษตรกร อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-07-07T11:20:44+07:00 เจตนิพัทธ์ ถาวร chetniphat_t@cmu.ac.th ณฐิตากานต์ พยัคฆา Nathitakarn.p@gmail.com ภาณุพันธุ์ ประภาติกุล panuphan69@gmail.com แสงทิวา สุริยงค์ Nathitakarn.p@gmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงของเกษตรกร อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ เกษตรกรที่เข้ารับการอบรมการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วง จำนวน 180 ราย ในพื้นที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เก็บรวมรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุเฉลี่ย 56.11 ปี สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ประสบการณ์ผลิตมะม่วงเฉลี่ย 21.54 ปี จำนวนสมาชิกในครัวเรือนในการผลิตมะม่วงเฉลี่ย 3.42 คน พื้นที่การผลิตมะม่วงเฉลี่ย 23.17 ไร่ และส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของตนเอง ในปี พ.ศ. 2565 เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายมะม่วงเฉลี่ย 199,458.30 บาท ใช้แหล่งเงินทุนของตนเองเป็นหลัก และมีต้นทุนการผลิตมะม่วงเฉลี่ย 120,482.77 บาท ทั้งนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่มีตลาดจำหน่ายของผลผลิตมะม่วงที่แน่นอน และมีการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงมาก่อน ในปี พ.ศ. 2565 มีการติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เฉลี่ย 3.70 ครั้ง ส่วนใหญ่เคยได้รับการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการผลิตมะม่วง ทั้งนี้ ภาพรวมเกษตรกรมีความรู้และการปฏิบัติในการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ระดับการศึกษา การรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงจากสื่อต่าง ๆ และการติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร มีผลต่อการยอมรับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับมะม่วงของเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262598 ประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ Bacillus spp. ต่อการควบคุมโรครากและโคนเน่าของทุเรียนที่เกิดจากเชื้อ Phytophthora palmivora (Butler) 2024-03-31T15:17:21+07:00 พรศิลป์ สีเผือก pornsil.s@rmutsv.ac.th สกุลรัตน์ หาญศึก sakulrat.h@rmutsv.ac.th พัชราภรณ์ วาณิชย์ปกรณ์ patcharaporn.p@rmutsv.ac.th <p><em>Phytophthora palmivora</em> เป็นเชื้อสาเหตุโรคในดิน ก่อให้เกิดโรครากและโคนเน่าของทุเรียน สร้างความเสียหายระดับเศรษฐกิจ แบคทีเรียเอนโดไฟท์เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อพืชสามารถใช้ควบคุมเชื้อก่อโรคพืชได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์แบคทีเรียเอนโดไฟท์ต่อการควบคุมโรครากและโคนเน่าของทุเรียน นำชีวภัณฑ์ 4 สูตร ได้แก่ <em>Bacillus subtilis</em> BS003, <em>Bacillus subtilis</em> BS006, <em>Bacillus velezensis</em> BS011 และ <em>Bacillus siamensis</em> BS013 ทดสอบการควบคุมโรครากและโคนเน่าทุเรียนในโรงเรือนทดลอง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design; CRD) จำนวน 8 กรรมวิธี ๆ ละ 4 ซ้ำ เปรียบเทียบกับการใช้สารเคมีแมนโคเซป ชีวภัณฑ์ <em>Bacillus subtilis</em> ที่จำหน่ายเชิงการค้า ชุดควบคุม (น้ำกลั่นฆ่าเชื้อ) และชุดตรวจสอบ (พืชปกติ) ผลการศึกษาพบว่า การราดด้วยชีวภัณฑ์ <em>B. velezensis</em> BS011 อัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ปริมาตร 50 มิลลิลิตร/ต้น สามารถควบคุมโรครากและโคนเน่าของต้นกล้าทุเรียนดีที่สุด การเกิดโรค ดัชนีความรุนแรงของโรค และการควบคุมโรค เท่ากับ 1.67, 0.33 และ 97.12% ตามลำดับ รองลงมาคือ การราดด้วยชีวภัณฑ์ <em>B. subtilis</em> BS006, <em>B. siamensis</em> BS013 และ <em>B. subtilis</em> BS003 พบการเกิดโรค เท่ากับ 8.13, 9.49 และ 16.76% ดัชนีความรุนแรงของโรค เท่ากับ 1.63, 1.90 และ 6.35% และการควบคุมโรค เท่ากับ 85.79, 83.44 และ 44.64% ตามลำดับ ส่วนการใช้แมนโคเซป และชีวภัณฑ์ <em>B. subtilis</em> ที่จำหน่ายทางการค้า การเกิดโรค เท่ากับ 13.10 และ 13.89% ดัชนีความรุนแรงของโรค เท่ากับ 2.62 และ 2.78% และการควบคุมโรค เท่ากับ 77.16 และ 75.76% ตามลำดับ ในขณะที่การใช้ชีวภัณฑ์ <em>B.</em> <em>subtilis</em> BS006 พบจำนวนประชากรเชื้อแบคทีเรียรวมหลังทดสอบ 30 วัน สูงสุดเท่ากับ 1.01 x 10<sup>7</sup> cfu/g soil</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262821 การปรากฏของเพลี้ยไฟในองุ่นและการควบคุมด้วยสารเคมี และสารกำจัดศัตรูพืชจากวัสดุธรรมชาติ 2024-05-02T10:16:24+07:00 จักรพงษ์ สุภาวรรณ์ kongerrrr@hotmail.com พิสิษฐ์ พูลประเสริฐ kongerrrr@hotmail.com ปิยะวรรณ สุทธิประพันธ์ kongerrrr@hotmail.com เจนจิรา หม่องอ้น kongerrrr@hotmail.com กุลชา ชยรพ kongerrrr@hotmail.com ฉัตรสุดา เผือกใจแผ้ว kongerrrr@hotmail.com ณัฐดนัย ลิขิตตระการ kongerrrr@hotmail.com <p>การศึกษาการปรากฏของเพลี้ยไฟในองุ่น พันธุ์บิวตี้ซีดเลส และพันธุ์เฟลมซีดเลส และการควบคุมด้วยสารเคมี และสารกำจัดศัตรูพืชจากวัสดุธรรมชาติ ณ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 พบว่า ตัวอย่างเพลี้ยไฟที่พบทั้งหมดจำแนกได้เป็น เพลี้ยไฟพริก <em>Scirtothrips dorsalis</em> Hood, 1919 โดยสามารถพบได้ตั้งแต่ระยะแตกตาและการเจริญของยอด (ก่อนการบานของดอก) โดยประชากรเพลี้ยไฟจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น และมีปริมาณมากที่สุดในระยะองุ่นเริ่มเปลี่ยนสี การทดสอบประสิทธิภาพของป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟในห้องปฏิบัติการประกอบด้วย 11 กรรมวิธี โดยมีกลุ่มสารเคมีกำจัดแมลง 4 ชนิด ได้แก่ fipronil, carbaryl, imidacloprid และ carbosulfan กลุ่มสารกำจัดศัตรูพืชจากวัสดุธรรมชาติ 6 ชนิด ได้แก่ น้ำหมักสมุนไพรสูตร PP1-PP4, สบู่อ่อนและ เชื้อราสาเหตุโรคแมลง <em>Beauveria bassiana</em> และชุดควบคุม 1 กรรมวิธี ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่า สารเคมีกำจัดแมลงทั้ง 4 ชนิด (fipronil, carbaryl, imidacloprid และ carbosulfan) มีประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยไฟพริกได้สูงสุดและไม่มีความแตกต่างระหว่างกัน (p&gt;0.05) พบเพลี้ยไฟมีอัตราการตาย หลังจากพ่นสาร 1, 3 และ 5 วัน คิดเป็น 73.33±21.68, 90.00±5.77 และ 100.00±0.00% ตามลำดับ นอกจากนั้น สบู่โพแทสเซียมหรือสบู่อ่อนก็สามารถกำจัดเพลี้ยไฟได้ถึง 83.67±6.67% หลังจากพ่นสาร 5 วัน น้ำหมักสมุนไพรสูตร PP1, PP2, PP4 และเชื้อราสาเหตุโรคแมลง <em>B. bassiana</em> สามารถกำจัดเพลี้ยไฟได้ถึง 70.00±0.00% หลังจากพ่นสารวันที่ 6 แต่น้ำหมักสมุนไพรสูตร PP3 โดยมีประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยไฟพริกต่ำสุด สามารถทำให้เพลี้ยไฟตายได้เพียง 36.67±8.82% หลังจากการพ่นสาร 7 วัน นอกจากนี้อัตราการตายหลังจากฉีดพ่นด้วย <em>B. bassiana</em> วันที่ 7 คิดเป็น 63.33±3.33% โดยทุก ๆ กรรมวิธีมีอัตราการตายของเพลี้ยไฟค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหลังจากการฉีดพ่น</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260777 การประเมินความต้านทานต่อโรคเหี่ยวเขียวที่เกิดจากเชื้อ Ralstonia solanacearumร่วมกับลักษณะผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของเชื้อพันธุกรรมมะเขือเทศ 2023-11-24T17:20:12+07:00 ณัฐริกา บดีรัฐ nattarika_bodee@cmu.ac.th จันทร์สุดา โหมดนอก junsuda_m@cmu.ac.th ต่อนภา ผุสดี tonapha.p@cmu.ac.th อังสนา อัครพิศาล angsana.aka@gmail.com พัชราภรณ์ สุวอ Patcharaporn.su@kmitl.ac.th ธัญญารัตน์ ตาอินต๊ะ tanyata@kku.ac.th สุชีลา เตชะวงค์เสถียร suctec.kku@gmail.com นครินทร์ จี้อาทิตย์ nakarin.j@cmu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินลักษณะความต้านทานโรคเหี่ยวเขียวซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อ <em>Ralstonia solanacearum</em> ร่วมกับลักษณะผลผลิตและคุณภาพผลในเชื้อพันธุกรรมมะเขือเทศ งานทดลองนี้สามารถแบ่งเป็น 2 งานทดลอง <em>โดยงานทดลองที่ 1</em> ทำการประเมินสายพันธุ์และปริมาตรของเชื้อสาเหตุที่เหมาะสมสำหรับการนำไปประเมินเชื้อพันธุกรรมมะเขือเทศ โดยวางแผนการทดลองแบบ 3×2x2 factorial experiment in a completely randomized design (CRD) กำหนดให้ปัจจัยที่ 1 คือ เชื้อสาเหตุ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ To1 (biovar 4, phylotype I, sequevar 47), To3 (biovar 2T, phylotype I, sequevar 13) และ Ch1 (biovar 2T, phylotype I, sequevar 17) ปัจจัยที่ 2 เป็นปริมาตรเชื้อ 2 ปริมาตร คือ 5 และ 10 มล. และปัจจัยที่ 3 เป็นพันธุ์มะเขือเทศ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ต้านทาน (Hawaii7996) และพันธุ์อ่อนแอ (VF134-1-2) ซึ่งจากการศึกษาพบว่า พันธุ์ Hawaii7996 ไม่มีการเกิดโรค ซึ่งมีค่าดัชนีการเกิดโรค (Disease Index: DI) = 0% ขณะที่พันธุ์ VF134-1-2 มีการเกิดโรคสูงสุด (DI=100%) เมื่อได้รับเชื้อสาเหตุ To1 ปริมาตร 10 มล. โดยสายพันธุ์และปริมาตรเชื้อดังกล่าวสามารถแยกความแตกต่างระหว่างพันธุ์ต้านทานและอ่อนแอออกจากกันได้ จึงมีความเหมาะสมสำหรับการนำมาใช้ในการประเมินเชื้อพันธุกรรมมะเขือเทศ<em>ในงานทดลองที่ 2</em> โดยทำการประเมินเชื้อพันธุกรรมมะเขือเทศจำนวน 26 สายพันธุ์ ร่วมกับพันธุ์การค้า 6 พันธุ์ พันธุ์ Hawaii7996 และพันธุ์ VF134-1-2 ทำการประเมินลักษณะความต้านทานโรคเหี่ยวเขียวในสภาพโรงเรือน โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ ๆ ละ 15 ต้น ขณะที่การประเมินผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของมะเขือเทศ ทำการปลูกทดสอบในสภาพแปลงเปิด วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อค กรรมวิธีละ 3 ซ้ำ ๆ ละ 10 ต้น จากการศึกษาพบว่า การประเมินการเกิดโรคในวันที่ 8 หลังการปลูกเชื้อ พันธุ์ Hawaii7996 มีค่า DI = 11.13% ในขณะที่ VF134-1-2 มีค่า DI = 91.99% และพันธุ์ที่มีลักษณะความต้านทานเช่นเดียวกับ Hawaii7996 คือ KKU-T73025, KKU-T24020, KKU-T73021, KKU-T73020, CK6, CK4 และ VFT เมื่อพิจารณาลักษณะความต้านทานโรคร่วมกับการให้ผลผลิต พบว่า มะเขือเทศพันธุ์ KKU-T73021 และ KKU-T24020 มีระดับความต้านทาน และลักษณะผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี (1631.08 และ 2083.60 กรัมต่อต้น ตามลำดับ) และมีองค์ประกอบผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์การค้า (CK4 และ CK6) ดังนั้น พันธุ์ KKU-T73021 และ KKU-T24020 จึงเหมาะสมที่จะนำไปเป็นแหล่งพันธุกรรมต้านทานต่อโรคเหี่ยวเขียว ในช่วง 2-14 วันหลังการปลูกและให้ผลผลิตสูง</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263633 การเพิ่มมูลค่าวัสดุอินทรีย์ในท้องถิ่นโดยพัฒนาเป็นวัสดุปลูกกัญชาภายใต้สภาพโรงเรือน ในภาคใต้ของประเทศไทย 2024-06-24T17:07:06+07:00 จักรกฤษณ์ พูนภักดี chakkrit.p@psu.ac.th พงศ์มนัส กิจประสงค์ chakkrit.p@psu.ac.th จำเป็น อ่อนทอง chakkrit.p@psu.ac.th จรัสศรี นวลศรี chakkrit.p@psu.ac.th <p>กัญชา (<em>Cannabis sativa</em>) เป็นพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการปลูกกัญชาในโรงเรือนที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้กัญชาคุณภาพดี สิ่งสำคัญในการปลูกกัญชาในระบบโรงเรือน คือ วัสดุปลูกซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้พีทมอส อย่างไรก็ตาม พีทมอสเป็นวัสดุที่ต้องนำเข้าและมีราคาแพง ดังนั้น จึงส่งผลให้มีต้นทุนในการผลิตสูง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบวัสดุปลูกที่ผสมจากวัสดุอินทรีย์ที่หาได้ในท้องถิ่นภาคใต้ ได้แก่ ทะลายเปล่าปาล์มน้ำมัน ขุยมะพร้าว กาบมะพร้าวสับ กากตะกอนมูลไก่ และมูลวัว วัสดุดังกล่าวถูกนำมาผสมในสัดส่วนที่แตกต่างกันเพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตและการดูดใช้ธาตุอาหารของกัญชาที่ระยะเวลา 8 สัปดาห์ภายใต้สภาพโรงเรือนในภาคใต้ รวมทั้งประเมินต้นทุนของวัสดุปลูก ผลการทดลอง พบว่า วัสดุปลูกที่ผสมโดยใช้วัสดุอินทรีย์ข้างต้นมีสมบัติทางเคมีที่แตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดและสัดส่วนที่ใช้ผสม วัสดุปลูกส่งเสริมให้กัญชาเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะวัสดุปลูกที่ผสมจากขุยมะพร้าว กาบมะพร้าวสับ และมูลไก่ (GM6) วัสดุปลูกชนิด GM6 ส่งผลให้กัญชามีการเจริญเติบโตดีที่สุด รวมทั้งมีธาตุอาหารหลัก รอง และจุลธาตุในใบใกล้เคียงกับการใช้วัสดุปลูกชนิดอื่น ๆ นอกจากนั้น การใช้วัสดุปลูกซึ่งพัฒนาจากวัสดุเหลือใช้อินทรีย์ในท้องถิ่นก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้การใช้วัสดุปลูกชนิด GM6 มีต้นทุนต่ำกว่าการใช้พีทมอสถึง 5 เท่า</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262137 การประยุกต์ใช้ข้อมูลความชื้นจากดาวเทียม SMAP เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงความเค็มของดินในพื้นที่ที่มีผลกระทบจากเกลือ 2024-06-26T13:51:39+07:00 เกรียงไกร จุเฉย Kriangkrai.j@ku.th เกียรติศักดิ์ สนศรี kiattisak.sons@ku.th ยุทธนา พันธุ์กมลศิลป์ yutthana.pha@mahidol.ac.th ธวัชชัย อินทร์บุญช่วย tawatchai.inb@ku.th สิรินภา ช่วงโอภาส agrsrnp@ku.ac.th นภาพร พันธุ์กมลศิลป์ agrnpp@ku.ac.th <p>ความชื้นดินมักมีความสัมพันธ์กับระดับความเค็มของดินในพื้นที่ดินที่มีผลกระทบจากเกลือ ในปัจจุบันมีการนำข้อมูลความชื้นในดินที่ได้จากดาวเทียมมาใช้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาความสัมพันธ์ของค่าความชื้นดินที่ตรวจวัดทางตรงและที่ได้จากดาวเทียม SMAP 2) หาความสัมพันธ์ของความชื้นดินที่ตรวจวัดทางตรงและที่ได้จากดาวเทียมกับความแปรปรวนของค่าความเค็มของดิน และ 3) ประยุกต์ใช้ค่าความชื้นดินจากดาวเทียม SMAP ในการประเมินความเค็มของดิน ทำการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยกำหนดจุดศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากเกลืออย่างชัดเจนจำนวน 4 จุด เก็บข้อมูลจุดละ 3 ซ้ำ ที่ระดับความลึก 0–10 เซนติเมตร ทุกๆ 7 วัน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 จำนวน 16 ครั้ง ผลการศึกษาพบว่า ความชื้นในดินที่ได้โดยตรงมีค่าอยู่ในช่วง 6.04 ถึง 27.94 % และความชื้นในดินที่ได้จากดาวเทียม SMAP มีค่าอยู่ในช่วง 19.95 ถึง 32.31 % โดยค่าความชื้นจะมีความผันแปรตามปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ ค่าสภาพการนำไฟฟ้ามีค่าอยู่ในช่วง 30.3 ถึง 125.7 dS/m ชี้ให้เห็นว่าในช่วงที่ทำการศึกษาพื้นที่ศึกษาทั้ง 4 จุดศึกษามีค่าความเค็มเกินข้อกำหนดจัดเป็นดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือ เมื่อค่าความชื้นดินเพิ่มขึ้นดินมีค่าสภาพการนำไฟฟ้าลดลงจึงมีความสัมพันธ์เชิงลบในสมการเส้นตรงระหว่างค่าความชื้นในดินที่ได้โดยตรงกับค่าสภาพการนำไฟฟ้ามีค่า R² (<em>P</em> &lt; 0.01) ดังนี้ จุดที่ 1 0.4773, จุดที่ 2 0.7345, จุดที่ 3 0.6821, จุดที่ 4 0.8564 และระหว่างค่าความชื้นในดินที่ได้จากดาวเทียม SMAP กับค่าสภาพการนำไฟฟ้ามีค่า R² (<em>P</em> &lt; 0.01) ดังนี้ จุดที่ 1 0.8779, จุดที่ 2 0.8222, จุดที่ 3 0.6204, จุดที่ 4 0.7471 จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มในการใช้ข้อมูลความชื้นจากดาวเทียม SMAP แทนข้อมูลความชื้นที่ได้โดยตรงจากการเก็บตัวอย่างดินในภาคสนาม ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงความเค็มของดินได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้สมการ X-11.12 = Y (X=ความชื้นดินที่ตรวจวัดได้จากดาวเทียม และ Y=ความชื้นดินที่ตรวจวัดทางตรง)</p> 2024-10-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น