วารสารแก่นเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj <p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p> th-TH [email protected] (บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตร) [email protected] (เจ้าหน้าที่วารสารแก่นเกษตร) Fri, 19 Apr 2024 11:43:22 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การเพาะเลี้ยงมดแดงในครัวเรือน กรณีศึกษาพื้นที่แปลงปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในจังหวัดสุรินทร์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261141 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดพันธุ์ไม้ ปริมาณผลผลิต ต้นทุน และรายได้จากการเลี้ยงมดแดงในพื้นที่แปลงปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรักษ์ป่าพัฒนาชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดสุรินทร์ ทำการคัดเลือกแปลงปลูกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวนทั้งหมด 7 แปลง ผลการศึกษา พบว่าพันธุ์ไม้ที่มดแดงมักใช้สร้างรังมีจำนวนทั้งสิ้น 16 ชนิด ประกอบด้วยไม้ยืนต้น ไม้เลื้อยเนื้อแข็ง และไม้พุ่มเตี้ย และพบว่ามะม่วงเป็นพันธุ์ไม้ที่มดแดงเลือกใช้ในการสร้างรังมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 17.42 รองลงมาเป็นต้นยางนา มะฮอกกานี หว้า แดง และสะเดา คิดเป็นร้อยละ 14.39, 10.61, 9.09, 8.33 และ 8.33 ตามลำดับ พบการสร้างรังมดแดงตั้งแต่ 1 รัง/ต้น ถึง 12 รัง/ต้น ขนาดของรังมดแดงมีตั้งแต่ 9.4 x 12.2 เซนติเมตร ซึ่งพบบนต้นน้ำใจใคร่ ถึงขนาด 24.8 x 31.5 เซนติเมตร บนต้นกระถินเทพา หลังจากเลี้ยงมดแดงเป็นระยะเวลา 6 เดือน ได้ปริมาณผลผลิตตั้งแต่ 18.5 - 285.5 กรัม/รัง เมื่อวิเคราะห์ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์เป็นระยะเวลา 6 เดือน (กันยายน 2565 - กุมภาพันธ์ 2566) พบว่าต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยเท่ากับ 4,576.77 บาทต่อแปลงต่อรอบการเลี้ยง เกษตรกรเก็บผลผลิตมดแดงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนพฤษภาคม ปริมาณผลผลิตเท่ากับ 5.0 - 10.0 กิโลกรัม รายได้เท่ากับ 3,500 - 7,000 บาทต่อแปลงต่อรอบการเลี้ยง ราคาจำหน่ายกิโลกรัมละ 700 บาท</p> นันทิญา มณีโชติ, ชวนพิศ จารัตน์, วัจนารัตน์ ควรดี, นิชาภา เฉตระการ, ฐิตาภรณ์ นิลวรรณ, ยุพเยาว์ โตคีรี Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261141 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของการเสริมสมุนไพรต่อประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพไข่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260822 <p>การใช้สมุนไพรเพื่อทดแทนสารปฏิชีวนะในอุตสาหกรรมการผลิตไก่ไข่ สามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร การป้องกัน และรักษาโรค รวมถึงส่งเสริมให้องค์ประกอบภายในฟองไข่ และคุณภาพไข่ไก่ดีขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมสมุนไพรต่อประสิทธิภาพผลิตของไก่ไข่ และองค์ประกอบภายในฟองไข่ ทำการทดลองในไก่ไข่เพศเมีย สายพันธุ์ Hy-line brown อายุ 60 สัปดาห์ โดยวางแผนการทดลองแบบ randomized complete block design (RCBD) โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุมได้รับอาหารพื้นฐาน (C) กลุ่มที่ 2 กลุ่มทดลองได้รับอาหารพื้นฐานเสริมสมุนไพร (T) แบ่งเป็นกลุ่มละ 4 ซ้ำ ซ้ำละ 5 ตัว รวม 20 ตัว โดยในแต่ละซ้ำจะแบ่งตามประสิทธิภาพการให้ไข่ก่อนการทดลอง 14 วัน นำมาคำนวณหาประสิทธิภาพการผลิตการให้ไข่รายตัวแบ่งตามระดับได้เป็น 4 ควอไทด์ดังนี้ คือ ระดับไม่ดี (Q1) ต่ำกว่า 25% ระดับพอใช้ (Q2) 25-50% ระดับดี (Q3) 50-75% และระดับดีมาก (Q4) 75-100% ให้อาหารไก่ไข่ 120 กรัม/ตัว/วัน ให้น้ำอย่างเต็มที่ (ad libitum) ผลการทดลองพบว่ากลุ่มไก่ไข่ Q1 ที่ได้รับอาหารพื้นฐานเสริมสมุนไพร มีน้ำหนักไข่แดงเพิ่มขึ้น (P&lt;0.05) กลุ่มไก่ไข่ Q2 ที่ได้รับอาหารพื้นฐานเสริมสมุนไพรมา 21 วันมีน้ำหนักไข่ ความหนาของเปลือกไข่ และน้ำหนักไข่ขาวเพิ่มสูงขึ้น (P&lt;0.05) กลุ่มไก่ไข่ Q3 มีปริมาณการกินได้ และความแข็งของเปลือกไข่เพิ่มสูงขึ้น (P&lt;0.05) ดังนั้นสมุนไพรเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟู การทำงานระบบต่าง ๆ ของร่างกายไก่ไข่ให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ไก่ไข่มีประสิทธิภาพการผลิต และทำให้องค์ประกอบภายในฟองไข่ให้มีคุณภาพดีมากขึ้น</p> ธัญพิชชา ปิติลุ, ดวงกมล แต้มช่วย Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260822 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของการใช้สารเสริมในการช่วยหมักที่แตกต่างกันต่อคุณภาพและองค์ประกอบทางเคมีของหญ้ากินนีสีม่วงหมัก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261856 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพทางโภชนะเเละกายภาพของหญ้ากินนีสีม่วงหมัก ที่หมักด้วยสารเสริม 5 ชนิด คือ เกลือ, กากน้ำตาล, กรดฟอร์มิก, เชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสแพลนทารัม (<em>Lactobacillus plantarum</em>) และเอนไซม์เซลลูเลส (cellulase) ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized design, CRD) โดยหมักหญ้าด้วยถุงสุญญากาศและ เปิดถุงหญ้าหมักเพื่อประเมินค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ลักษณะทางกายภาพของหญ้าหมักในวันที่ 3, 7, 14 และ 21 วันของการหมัก ปริมาณกรดแลคติก กรดไขมันระเหยง่ายและปริมาณแอมโมเนีย-ไนโตรเจน ในวันที่ 21 ของการหมัก โดยทำการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีก่อนและหลังการหมัก จากการศึกษาพบว่าหญ้ากินนีสีม่วงหมักทุกกลุ่มมีคุณภาพทางกายภาพอยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยค่าความเป็นกรด-ด่างเริ่มลดลงที่ระยะเวลา 3 วันของการหมัก และลดลงอย่างต่อเนื่องที่ระยะเวลา 7 วันของการหมัก เริ่มคงที่ในระยะเวลาการหมัก 14 วันและมีความเสถียรภาพที่ระยะเวลาการหมัก 21 วัน มีปริมาณกรดแลคติก กรดอะซิติก และแอมโมเนีย-ไนโตรเจน อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่พบกรดโพรพิโอนิกและบิวทิริก นอกจากนี้ผลขององค์ประกอบทางเคมีของหญ้าหมัก ประกอบด้วยปริมาณวัตถุแห้ง (DM), อินทรียวัตถุ (OM), โปรตีนหยาบ (CP), ไขมัน (EE), เยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกลาง (NDF) เยื่อใยที่ไม่สามารถละลายได้ในสารฟอกที่เป็นกรด (ADF) และลิกนิน (ADL) มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P&lt;0.05) โดยกลุ่มที่ใช้สารเสริมการหมักด้วยกากน้ำตาลมีปริมาณโปรตีนหยาบเพิ่มสูงขึ้น และมีปริมาณเยื่อใย NDF, ADF และ ADL ลดต่ำลงกว่าการใช้สารเสริมการหมักกลุ่มอื่น และมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะทางกายภาพดีกว่าสารเสริมกลุ่มอื่นตลอดระยะเวลาการหมัก จากการศึกษาในครั้งนี้จึงสรุปได้ว่ากากน้ำตาลส่งผลให้คุณภาพของหญ้ากินนีสีม่วงหมักมีองค์ประกอบทางเคมีและคุณภาพทางกายภาพดีกว่าการหมักด้วยสารเสริมชนิดอื่น</p> ศิวพร พิบูลกุลสัมฤทธิ์, ธีรชัย หายทุกข์ Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261856 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 การคัดเลือกและปรับปรุงประชากรแบบ S1RS โดยไม่ทดสอบรุ่นลูกในข้าวโพดพื้นเมืองกะเหรี่ยงอุทัย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260977 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประชากรข้าวโพดพื้นเมืองให้มีความสม่ำเสมอ ฝักดก ผลผลิตสูง คุณภาพดี คัดเลือกและปรับปรุงประชากรปี 2561-2565 ด้วยวิธี S1 non-progeny recurrent selection 3 รอบการคัดเลือก แต่ละรอบการคัดเลือกประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ผสมตัวเองภายในประชากร 2) ผสมแบบ bulk-full sib ในประชากร 3) ผสมแบบสุ่มในประชากร ได้จำนวน 4 ประชากร เพื่อประเมินความก้าวหน้าทางการคัดเลือก วางแผนการทดลองแบบ randomized completely block design (RCBD) มี 3 ซ้ำ โดยเปรียบเทียบประชากรพื้นฐาน (C0) ประชากรที่ผ่านการคัดเลือก C1, C2 และ C3 ร่วมกับพันธุ์การค้า ได้แก่ เทียนน้ำผึ้ง เทียนขาว เทียนลาย-52 และเทียนเหลืองขอนแก่น ระยะปลูก 0.75 x 0.25 เมตร แปลงย่อยละ 6 แถว แถวยาว 5 เมตร มีจำนวน 120 ต้น/แปลงย่อย ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุทัยธานี ในฤดูฝน ปี 2565 พบว่า ประชากร C3 ลักษณะผลผลิตก่อนปอกเปลือกและหลังปอกเปลือกตอบสนองต่อการคัดเลือก โดยมีค่าเพิ่มขึ้นจาก C0 เท่ากับ 691 และ 397 กก./ไร่ ตามลำดับ คิดเป็น 74.9% และ 55.4% ตามลำดับ ประชากร C3 มีจำนวนฝักทั้งหมด จำนวนฝักที่ 1 และจำนวนฝักที่ 2 เพิ่มขึ้นจาก C0 เท่ากับ 5,417 4,233 และ 1,185 ฝัก/ไร่ ตามลำดับ คิดเป็น 59.6% 113.6% และ 22.1% ตามลำดับ และยังพบว่าประชากร C3 มีจำนวนฝักทั้งหมดสูงกว่าพันธุ์การค้าทุกพันธุ์ คือเทียนน้ำผึ้ง เทียนขาว เทียนลาย-52 และเทียนเหลืองขอนแก่น จำนวน 338 112 3,386 และ 451 ฝัก/ไร่ ตามลำดับ นอกจากนี้จำนวนฝักทั้ง 3 ลักษณะ มีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ 0.99 0.98 และ 0.77 ตามลำดับ ดังนั้น ประชากร C3 สามารถเผยแพร่เป็นข้าวโพดเทียนพันธุ์ใหม่ ที่ชื่อว่า กะเหรี่ยงอุทัย เป็นพันธุ์ผสมเปิด มีเมล็ดสีขาวอมเหลือง และสามารถใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมในการสกัดสายพันธุ์แท้ และสร้างพันธุ์ลูกผสมข้าวโพดเทียนต่อไปได้</p> สุภาพร สุขโต, สมบัติ บวรพรเมธี, อรนี อินทร์ทอง, ฉลอง เกิดศรี, สงัด ดวงแก้ว, ดาวรุ่ง คงเทียน, เครือวัลย์ บุญเงิน Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260977 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพและคุณสมบัติของแบคทีเรีย Bacillus velezensis ไอโซเลท BB35 ในการควบคุมเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia gladioli สาเหตุโรคใบขีดและลำต้นเน่าของข้าวโพดหวาน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259547 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและตรวจสอบยีนที่กำหนดการสร้างสารต้านจุลินทรีย์ของแบคทีเรีย <em>Bacillus </em>sp. ไอโซเลท BB35 ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมเชื้อ <em>Burkholderia gladioli</em> สาเหตุโรคใบขีดและลำต้นเน่าของ ข้าวโพดหวาน จากการทดสอบประสิทธิภาพของ <em>Bacillus</em> sp. ด้วยวิธี dual culture พบว่า <em>Bacillus </em>sp. ไอโซเลท BB35 สามารถควบคุมเชื้อ <em>B. gladioli</em> ได้ โดยมีรัศมีบริเวณการยับยั้งเท่ากับ 7.50 มิลลิเมตร เมื่อนำมาจัดจำแนกโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระดับยีนของไอโซเลท BB35 จำนวน 3 ยีน ได้แก่ DNA gyrase subunit A<em> (gyrA), </em>DNA ribosomal RNA<em> (16S rRNA), </em>และ DNA-directed RNA polymerase subunit beta<em> (rpoB) </em>พบว่า แบคทีเรียไอโซเลท BB35 คือ <em>Bacillus velezensis</em> นอกจากนี้ยังพบว่า แบคทีเรียสามารถสร้างสารส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ เช่น การสร้างสารละลายฟอสเฟต การละลายโพแทสเซียม และการสร้าง siderophore ได้ อีกทั้งเมื่อตรวจสอบหายีนที่กำหนดการการสร้างสารปฏิชีวนะ พบว่า แบคทีเรีย <em>B. velezensis </em>ไอโซเลท BB35 สามารถตรวจพบยีนจำนวน 4 ยีน ได้แก่ <em>srfAA</em>, <em>fenD</em>, <em>bamA</em> และ <em>ituA</em> ซึ่งกำหนดการสร้างสาร surfactin, fengycin D, bacillomycin A และ iturin A ตามลำดับ ซึ่งจากผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นศักยภาพที่สามารถนำแบคทีเรียปฏิปักษ์ไปใช้ในการควบคุมเชื้อสาเหตุโรคใบขีดและลำต้นเน่าของข้าวโพดหวานในสภาพแปลงปลูกต่อไปได้</p> อรณภา เชียงแขก, อังสนา อัครพิศาล Copyright (c) 2023 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259547 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับขนาดเมล็ด ในประชากรเมล็ด F5 ของคู่ผสมระหว่าง สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ไม่ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ย (KDML 105-9351(57D)) กับ Basmati https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260283 <p>ขนาดเมล็ดข้าวเป็นลักษณะสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าว ซึ่งพิจารณาจากความยาว ความกว้าง และความหนา ขนาดเมล็ดถูกควบคุมโดยยีนหลายตำแหน่ง งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอที่สัมพันธ์กับขนาดเมล็ดในประชากรเมล็ด F5 ของคู่ผสมระหว่างสายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ไม่ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ย (KDML 105-9351(57D)) กับ Basmati ในงานวิจัยนี้ได้อ่านลำดับเบสทั้งจีโนมของข้าวพันธุ์แม่ KDML 105-9351(57D) และพันธุ์พ่อ Basmati และนำลำดับเบสของพันธุ์พ่อแม่ที่ได้มาเปรียบเทียบหาความแตกต่างของยีนในวิถีการควบคุมขนาดของเมล็ดข้าวจำนวน 83 ตำแหน่ง ได้ค้นหาและพัฒนาเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน 29 ตำแหน่งที่สามารถแยกระหว่าง homozygous ของอัลลีลพันธุ์แม่หรืออัลลีลพันธุ์พ่อ และ heterozygous ระหว่างอัลลีลพันธุ์แม่และอัลลีลพันธุ์พ่อได้ เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจีโนไทป์และฟีโนไทป์ด้วยวิธี Simple regression พบจีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน 7 ตำแหน่ง ได้แก่ GL7 qGL7-2 GS7 SMG1 TGW6 GS5 และ GW6a กับความยาวเมล็ดมีความสัมพันธ์กันทางสถิติ มีค่า R2 เท่ากับ 55.51 54.50 52.61 13.59 4.37 3.79 และ 2.93% ตามลำดับ ขณะที่พบจีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน 5 ตำแหน่ง ได้แก่ qGL7-2 GL7 GS7 GW10 และ TGW6 กับความกว้างเมล็ดมีความสัมพันธ์กันทางสถิติ มีค่า R2 เท่ากับ 50.62 50.54 46.31 4.16 และ 3.26% ตามลำดับ และจีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน 8 ตำแหน่ง ได้แก่ GL7 qGL7-2 GS7 TGW6 GW6a GW10 GL4 และ qGL10 กับความหนาเมล็ดมีความสัมพันธ์กันทางสถิติ มีค่า R2 เท่ากับ 17.13 16.27 14.52 13.17 7.44 6.06 3.73 และ 2.92% ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี Multiple regression พบว่า จีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน GL7 SMG1 และ TGW6 ร่วมกัน มีความสัมพันธ์กับความยาวเมล็ด มีค่า R2 เท่ากับ 64.15% ขณะที่จีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน qGL7-2 GW10 และ TGW6 ร่วมกัน มีความสัมพันธ์กับความกว้างเมล็ด (R2 เท่ากับ 55.39%) และจีโนไทป์ของเครื่องหมายดีเอ็นเอของยีน GL7, TGW6, qGL10 และ GW10 ร่วมกัน มีความสัมพันธ์กับความหนาเมล็ด (R2 เท่ากับ 36.60%) เครื่องหมายดีเอ็นเอของยีนที่สัมพันธ์กับขนาดเมล็ดที่ได้นี้จะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่เกิดจากคู่ผสมระหว่าง KDML 105-9351(57D) และ Basmati ให้มีขนาดเมล็ดยาว กว้าง และหนาขึ้นได้ โดยเป็นการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือกร่วมกับการปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม</p> พินิดา ภูผา, แสงทอง พงษ์เจริญกิต, ยุพเยาว์ คบพิมาย, กฤษณะ ลาน้ำเที่ยง, วราภรณ์ แสงทอง Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260283 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นในประชากร F2 ของพันธุ์ข้าว กข79 กับสายพันธุ์ กข43 ข้าวเหนียวหอม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260286 <p>อายุวันออกดอกของข้าวเป็นลักษณะทางการเกษตรที่สำคัญสำหรับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตข้าว อายุวันออกดอกเป็นลักษณะเชิงปริมาณที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่และสภาพแวดล้อมมีอิทธิพล โดยเฉพาะความยาวของช่วงแสง ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นในประชากร F<sub>2</sub> คู่ผสมระหว่างข้าวพันธุ์ กข79 (พันธุ์แม่) กับสายพันธุ์ กข43 ข้าวเหนียวหอม ที่มีอายุวันออกดอกสั้น (พันธุ์พ่อ) ศึกษาทั้งในสภาพวันยาวและสภาพวันสั้น โดยนำข้าวพันธุ์แม่และพันธุ์พ่อไปอ่านลำดับดีเอ็นเอทั้งจีโนม (whole genome sequencing; WGS) เพื่อมาวิเคราะห์หาตำแหน่งสนิปส์ (SNPs) และ อินเดล (InDel) ที่แตกต่างกันภายในเอ็กซอนของยีนที่ควบคุมอายุวันออกดอกสั้น และพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่เป็นส่วนหนึ่งของยีนและสามารถแยกความแตกต่างระหว่างข้าวพันธุ์แม่กับข้าวพันธุ์พ่อได้ชัดเจน แล้วนำเครื่องหมายโมเลกุลไปหาความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นของประชากร F<sub>2</sub> ในสภาพวันยาวและสภาพวันสั้น ผลจากการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเดียว จีโนไทป์ของเครื่องหมายโมเลกุลที่เป็นส่วนหนึ่งของยีน <em>Hd5</em> มีความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นมากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 50.94% ในสภาพวันยาว และ 54.81% ในสภาพวันสั้น และจากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณระหว่างเครื่องหมายโมเลกุลกับอายุวันออกดอกสั้น พบว่า การใช้เครื่องหมายโมเลกุลที่เป็นส่วนหนึ่งของยีน <em>Hd5</em> ร่วมกับ <em>RFT1</em> มีความสัมพันธ์กับอายุวันออกดอกสั้นมากที่สุด โดยมีค่า R<sup>2</sup> เท่ากับ 76.51% ในสภาพวันยาว และ 68.25% ในสภาพวันสั้นซึ่งสามารถใช้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวในประชากรนี้ให้มีอายุวันออกดอกสั้นต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ปฐมพร อินชนบท, ยุพเยาว์ คบพิมาย, กฤษณะ ลาน้ำเที่ยง, วราภรณ์ แสงทอง Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260286 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในการปรับปรุงดินเค็ม เพื่อปลูกโสนอัฟริกันในสภาพเรือนทดลอง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261605 <p>ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่การเกษตรมากที่สุดในประเทศไทย แต่ผลผลิตทางการเกษตรต่ำเพราะปัญหาคุณภาพดินไม่ดีและเป็นดินเค็ม ดังนั้น จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในการปรับปรุงดินเค็มต่อการเจริญเติบโตของโสนอัฟริกันและการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีของดินภายใต้สภาพเรือนทดลอง โดยวางแผนการทดลองสุ่มแบบสมบูรณ์ completely randomized design (CRD) ประกอบด้วย 5 กรรมวิธีทดลอง คือ กรรมวิธีทดลองที่ 1 ดินเค็มจัด กรรมวิธีทดลองที่ 2 ดินเค็มจัดร่วมกับปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินอัตราส่วน 25 : 75 กรรมวิธีทดลองที่ 3 ดินเค็มจัดร่วมกับขุยมะพร้าวอัตราส่วน 25 : 75 กรรมวิธีทดลองที่ 4 ดินเค็มจัดร่วมกับแกลบเผาอัตราส่วน 25 : 75 และกรรมวิธีทดลองที่ 5 ดินเค็มจัดร่วมกับปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน แกลบเผา ขุยมะพร้าวอัตราส่วน 25 : 25 : 25 : 25 เมื่อสิ้นสุดการทดลองที่ 10 สัปดาห์ พบว่า กรรมวิธีที่ 2 และ กรรมวิธีที่ 5 มีผลต่อความสูงของต้นโสนอัฟริกันสูงสุดแตกต่างจากรรมวิธีอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรรมวิธีที่ 5 มีผลต่อราก (ความยาวราก พื้นที่ราก เส้นผ่าศูนย์กลางพื้นผิวเฉลี่ย และปริมาณราก) และมวลชีวภาพ (น้ำหนักสดและแห้ง) มีค่าสูงสุด การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ส่งผลให้ค่า Na, Ca และ Mg ที่แลกเปลี่ยนได้ในดินลดลงเมื่อเทียบกับชุดควบคุม ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่ม OM, N และ P ให้กับดิน โดยเฉพาะกรรมวิธีที่ 2 มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีของดินเค็มได้ดีกว่ากรรมวิธีอื่นๆ เมื่อพิจารณาค่า pH, EC, Na, Ca และ Mg ลดลงสูงสุด และ OM, N และ P เพิ่มขึ้นสูงสุดเช่นกัน โดยผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า เกษตรกรสามารถใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในท้องถิ่นในการปรับปรุงดินเค็มจัดและสามารถเพาะปลูกพืชได้ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการดินเค็มที่ไม่ซับซ้อนและลงทุนต่ำ</p> ณัฐกิตติ์ เพชรหมื่นไว, ชุลีมาศ บุญไทย อิวาย, ปราณี สีหบัณฑ์, Takashi Kume Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261605 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพ่นทางใบด้วยไคโตซานกระตุ้นการเจริญ การแตกยอด และสารเมแทบอไลท์ทุติยภูมิที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในพรมมิที่ปลูกด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/258467 <p>พรมมิ (<em>Bacopa monnieri</em> (L.) Wettst.) เป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และบำรุงสมอง มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญต่อระบบประสาท คือ สารบาโคไซด์เอ (bacoside A<sub>3</sub>, bacopaside X, bacopaside II และ bacopasaponin C) การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของตัวกระตุ้นไคโตซานต่อการเจริญและการสร้างสารบาโคไซด์เอ ในพรมมิที่ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำลึก โดยการพ่นทางใบด้วยไคโตซานที่ความเข้มข้น 0, 100, 200 และ 500 mg/l ในสัปดาห์ที่ 2-6 หลังจากการปรับสภาพ ผลการทดลองพบว่า ไคโตซานส่งเสริมการเจริญของพรมมิ เพิ่มน้ำหนักสด น้ำหนักแห้งและจำนวนยอด ไคโตซานทุกความเข้มข้นสามารถกระตุ้นการสะสมสารบาโคไซด์รวมเพิ่มมากขึ้นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับชุดควบคุม การศึกษาครั้งนี้ชี้ชัดว่าไคโตซาน (200 mg/l) จัดเป็นตัวกระตุ้นที่มีความปลอดภัย มีความคุ้มทุนทางเศรษฐกิจและมีประสิทธิภาพสำหรับส่งเสริมการเจริญ เพิ่มผลผลิต รวมทั้งกระตุ้นการสร้างสารเมแทบอไลท์ทุติยภูมิหรือสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรได้ และสามารถประยุกต์ใช้สำหรับการปลูกพรมมิเพื่อประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพรมมิ</p> อุรศรี สูยะศุนานนท์, พัทธนันท์ เขียวเขิน, เนริสา คุณประทุม Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/258467 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของปุ๋ยผสมสังกะสีต่อผลผลิต ปริมาณจุลินทรีย์ และการหายใจของดินปลูกในการผลิตคะน้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259842 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยผสมสังกะสี 2 รูปแบบ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์เคมีที่ผสมสังกะสี 3 ระดับความเข้มข้นคือ 0, 0.5 และ 1% ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และปริมาณสังกะสีของคะน้าพันธุ์บางบัวทอง 35 และผลของปุ๋ยเสริมสังกะสีต่อปริมาณเชื้อจุลินทรีย์และการหายใจของดิน ทำการทดลองในสภาพแปลงเกษตรใน ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2566 วางแผนการทดลองแบบ 2x3 factorial in CRD ดยให้ปุ๋ยแตกต่างกันในครั้งที่ 3 เมื่อคะน้ามีอายุ 30 วัน หลังหว่านเมล็ด บข้อมูลการเจริญเติบโต ผลผลิตผักเมื่อครบอายุเก็บเกี่ยว 44 วัน นำผักมาหาปริมาณสังกะสีด้วยเครื่อง AAS ผลการทดลองพบว่า ปุ๋ยผสมสังกะสีส่งผลเชิงลบต่อความสูงและปริมาณผลผลิตของผักคะน้าประมาณ 28% แต่ผักคะน้ามีการสะสมสังกะสีในปริมาณที่สูงขึ้นประมาณ 22% โดยผลผลิตผักสดสูงสุดได้จากการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ สัดส่วน 1:1 อัตรา 40 กรัม/ตารางเมตร ได้รับผลผลิต 9.2 กิโลกรัม/ตารางเมตร ส่วนคะน้าที่มีปริมาณสังกะสีสูงได้จากการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ผสมสังกะสี 1% และปุ๋ยอินทรีย์เคมีผสมสังกะสี 0.5-1% ที่มีปริมาณสังกะสี 89.8 และ 91.8-98.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังพบว่าปุ๋ยผสมสังกะสีไม่มีผลกระทบต่อปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมดในดิน แต่ส่งผลต่อปริมาณจุลินทรีย์ละลายสังกะสีที่ลดลงในช่วงแรก (หลังใส่ปุ๋ย 3 วัน) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเป็นหลังใส่ปุ๋ย 7 วัน พบว่าดินมีปริมาณจุลินทรีย์ละลายสังกะสีไม่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับอัตราการหายใจของจุลินทรีย์ดินที่พบว่าไม่แตกต่างกัน สำหรับผลของปุ๋ยผสมสังกะสีต่อคุณสมบัติทางเคมีของดินพบว่าปุ๋ยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก</p> กนกอร อัมพรายน์, รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์, ปวริศ ตั้งบวรธรรมา, ศิริพร เปรมฤทธิ์, ศิริญยา คาชิมา, ประวีณา ตั้งบวรธรรมา Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/259842 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 สัณฐานวิทยาและการประเมินพันธุ์หอมแดงเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260848 <p>หอมแดงเป็นพืชผักที่มีความสำคัญ นำมาบริโภคในครัวเรือนและอุตสาหกรรม ปลูกมากในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หอมแดงที่ปลูกในประเทศไทยไม่ทราบที่มาและสายพันธุ์ที่ชัดเจน การศึกษานี้จึงได้รวบรวมพันธุ์หอมแดงจากจังหวัดเชียงใหม่ (CMI) ชัยภูมิ (CPM) เชียงราย (CRI) ขอนแก่น (KKN) ลำพูน (LPN) แม่ฮ่องสอน (MSN) นครราชสีมา (NMA) เพชรบูรณ์ (PNB) พะเยา (PYO) ศรีสะเกษ (SSK) อุตรดิตถ์ (UTT) อินโดนีเซีย (IDO) และหอมแขกจากอินเดีย (IND) เพื่อประเมินความหลากหลายทางสัณฐานวิทยา โดยปลูกประเมินในฤดูหนาวปี 2565 จำนวน 27 เบอร์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ในบล็อก ผลการทดลอง จำแนกสีของหัวได้ 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลืองส้ม และสีขาว ลักษณะของใบจำแนกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ใบตั้งตรง และใบโค้งงอ หอมแขก IND01 มีความกว้างใบ จำนวนช่อดอก และความกว้างช่อดอกมากที่สุดเท่ากับ 9.68 มิลลิเมตร 4.5 ดอกต่อกอ และ 79.16 มิลลิเมตร ตามลำดับ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ระหว่างน้ำหนักหลังตากแห้งกับจำนวนใบ ความยาวใบ ความกว้างใบ จำนวนหัว และเส้นรอบวงของหัว เท่ากับ 0.30, 0.22, 0.14, 0.49 และ 0.04 ตามลำดับ โดยสายพันธุ์ NMA08 และ NMA09 มีน้ำหนักผลผลิตหลังตากผึ่งลมสูง เท่ากับ 3,225.49 และ 3,356.23 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ NMA07 มีขนาดเส้นรอบวงของหัวเท่ากับ 12.14 เซนติเมตร ซึ่งมีค่าสูงกว่าและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ NMA08 และ NMA09 โดยมีค่าอยู่ในช่วง 9.88 ถึง 9.93 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม NMA07, NMA08 และ NMA09 มีค่าต่ำกว่าหอมแขก IND01 ดังนั้นหอมแดง NMA07, NMA08 และ NMA09 มีการเจริญเติบโตที่ดีและให้น้ำหนักผลผลิตสูง จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรไทยเพาะปลูกต่อไปในอนาคต</p> ปภัสสร กุมภาพันธ์, กมล ทิพโชติ, ศิวาพร ธรรมดี, จุฑามาส คุ้มชัย Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260848 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของพันธุ์และสารแพกโคลบิวทราซอลต่อการเจริญเติบโต การออกดอก และการติดผลของเสาวรสเพื่อพัฒนาเป็นไม้ประดับกระถางรับประทานผลสด https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260797 <p>เสาวรส (Passion fruit) เป็นผลไม้เศรษฐกิจของไทย นอกจากประโยชน์ในการบริโภคแล้วยังสามารถเป็นไม้ประดับได้ด้วย การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเจริญเติบโตในเสาวรสแต่ละพันธุ์กับระดับความเข้มข้นของสารแพกโคลบิวทราซอล เพื่อใช้ผลิตเสาวรสไม้ประดับกระถางรับประทานได้ โดยจัดการทดลองแบบ 4×3 แฟคทอเรียลในแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัย A คือ เสาวรส 4 พันธุ์ ได้แก่ 1) จินซิน (Jinxin), 2) ไทนุงเบอร์ 1 (Tainong No.1), 3) เชี่ยวซานเจี่ยว (Xiaosanjiao) และ 4) พันธุ์พื้นเมือง ปัจจัย B คือ ระดับความเข้มข้นของสารแพกโคลบิวทราซอล ได้แก่ 0 (ควบคุม), 150 และ 300 mg L<sup>-1</sup> ผลการทดลองหลังการให้สาร 1, 3 และ 5 เดือน พบว่า ความยาวเถาและปล้อง และจำนวนปล้องใหม่ของเสาวรสทั้ง 4 พันธุ์ที่ได้รับสารมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่การให้สารแพกโคลบิวทราซอลไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความเข้มของสีใบ ส่วนเปอร์เซ็นต์การออกดอก พบว่า เสาวรสแต่ละพันธุ์มีการตอบสนองต่อการได้รับสารแพกโคลบิวทราซอลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยไม่พบการออกดอกในพันธุ์พื้นเมืองตลอดการทดลอง อย่างไรก็ตาม มีเพียงเสาวรสพันธุ์จินซินที่ให้ผลผลิต นอกจากนี้พบว่าต้นที่รดสารที่ความเข้มข้น 300 mg L<sup>-1</sup> แสดงลักษณะยอดเป็นกระจุกแน่น สรุปได้ว่า เสาวรสพันธุ์จินซินที่ได้รับสารแพกโคลบิวทราซอลที่ความเข้มข้น 150 mg L<sup>-1</sup> เหมาะสมต่อการผลิตเป็นไม้ประดับกระถางรับประทานได้</p> นิตยา ชูเกาะ, ทัตสรวง วรรณสถิตย์, นิจวรรณ แสนดี Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260797 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความคาดหวังในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมัน จังหวัดนราธิวาส https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261169 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพเศรษฐกิจ และข้อมูลการผลิตปาล์มน้ำมัน 2) ความคาดหวังก่อนตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อความคาดหวังในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในจังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ปาล์มน้ำมันในจังหวัดนราธิวาส จำนวน 263 ราย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรมีประสบการณ์ในการทำสวนปาล์มน้ำมัน เฉลี่ย 10.29 ปี มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเฉลี่ย 12.20 ไร่ต่อครัวเรือน ส่วนใหญ่ใช้แรงงานในครัวเรือน ปัญหาที่พบในการผลิตปาล์มน้ำมันก่อนเข้าร่วมโครงการฯ คือ มีต้นทุนการผลิตสูง เกษตรกร ร้อยละ 98.9 รับรู้ข่าวสารโครงการเกษตรแปลงใหญ่ผ่านสื่อบุคคล คือ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร การลดต้นทุนเป็นความคาดหวังที่เกษตรกรใช้ในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ฯ อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.42) หลังจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ พบว่ารายได้จากการขายผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น 1,856.84 บาทต่อไร่ต่อปี ต้นทุนการผลิตลดลง 443.52 บาทต่อไร่ต่อปี ผลผลิตเพิ่มขึ้น 271.67 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี และเกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.4 และพบว่าปัจจัยด้านประสบการณ์ปลูกปาล์มน้ำมันกับการพัฒนาคุณภาพ ขนาดพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันกับการลดต้นทุน และขนาดพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ กับการลดต้นทุน มีความสัมพันธ์กันทางบวก ส่วนรายจ่ายทั้งหมดของครัวเรือนกับการพัฒนาคุณภาพ มีความสัมพันธ์กันทางลบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P&lt;0.05</p> ศุภวรรณ บุญรอด, พิไลวรรณ ประพฤติ Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261169 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของการฉายรังสี UV-C ต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและควบคุมโรคของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองในระหว่างการเก็บรักษา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/258359 <p>มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย การส่งออกของมะม่วงมักพบปัญหาด้านการสูญเสียคุณภาพ การเข้าทำลายของโรคและแมลง โดยการฉายรังสี UV-C สามารถชะลอการเสื่อมสภาพและควบคุมการเกิดโรคในผลไม้หลายชนิด รวมไปถึงมะม่วง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฉายรังสี UV-C ต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและควบคุมโรคของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองในระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (25±2 °C) โดยวางแผนงานทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ประกอบด้วย 4 กรรมวิธี ได้แก่ การฉายรังสี UV-C ที่ปริมาณ 0 (control), 2.47, 4.93 และ 7.37 KJ/m<sup>2</sup> โดยดำเนินการปลูกเชื้อราสาเหตุโรคแอนแทรคโนส (<em>Colletotrichum gloeosporioides</em>) ในผลมะม่วง จากนั้นเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (25±2 °C) บันทึกผลการทดลองโดยเก็บข้อมูลทุก 3 วัน พบว่า รังสี UV-C ไม่มีผลต่อเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนัก ความแน่นเนื้อ ค่าสีเขียว (a*) ค่าสีเหลือง (b*) ของเปลือก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ และปริมาณวิตามินซีของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองระหว่างการเก็บรักษานาน 12 วัน ในขณะที่ค่าความสว่าง (L*) ของเปลือกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองลดลง โดยกรรมวิธีที่ไม่ได้รับการฉายรังสี มีค่า L* สูงกว่ากรรมวิธีที่ได้รับการฉายรังสีทุกระดับภายหลังการเก็บรักษาที่ 3, 9 และ 12 วัน เท่ากับ 73.99, 68.33 และ 67.63 ตามลำดับ นอกจากนี้กรรมวิธีที่ไม่ได้รับการฉายรังสีมีการเข้าทำลายและการเจริญเติบโตของเชื้อรา <em>C. gloeosporioides</em> ซึ่งเป็นสาเหตุโรคแอนแทรคโนส อยู่ในระดับมากที่สุดเท่ากับ 3.2 ในขณะที่การฉายรังสี UV-C ทั้ง 3 ระดับ สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคแอนแทรคโนสในมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองภายหลังการเก็บรักษาที่ 12 วัน</p> ณัฐกานต์ พรรณขาม, สุวิตา แสไพศาล, ศุภัชญา นามพิลา Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/258359 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700 Marketing efficiency of organic garlic and potatoes in Gasa district of Bhutan https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260910 <p>This study was carried out with the objective of looking at the marketing efficiency of organic garlic and potatoes in Gasa district. Applying a simple random sampling method, 60 farmers from Goenkhamed and 30 farmers from Goenkhatoed villages under Gasa district were involved in the study. The findings of the study were based on production and marketing data for 2020-2021 season of garlic and potato. The study employed Shepherds and Acharya-Agarwal’s modified method to find the marketing efficiency of garlic and potatoes. Of the three popular channels of marketing prevalent in the study area viz 1) Farmers to consumers, 2) Farmers to retailers to consumers, and 3) Farmers to wholesalers to retailers to consumers, garlic farmers preferred channel 3 while potato channels preferred channel 1. From efficiency analysis, channel 1 was found to be the most efficient channel for garlic and potatoes. To reduce losses resulting from post-harvest handling of garlic and potato, farmers should be provided technical support and training on storing and post-harvest technology. Additionally, farmers are recommended to work in groups to reduce marketing or any other related costs while marketing organic vegetables. The government should invest in improving road connectivity and putting in place an efficient and reliable transport system to make the marketing channels more efficient and convenient for both farmers and consumers.</p> Tandin Gyeltshen, Supaporn Poungchompu Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/260910 Thu, 18 Apr 2024 00:00:00 +0700