วารสารแก่นเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj
<p>วารสารแก่นเกษตรได้รับทุนสนับสนุนเป็นวารสารที่มีคุณภาพตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จาก สกอ. ประจำปี 2551, เป็นวารสารที่ยอมรับในการใช้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องที่ 2 ของนักศึกษาทุน คปก. (ตั้งแต่รุ่นที่ 11 เป็นต้นไป) , มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Citation Index, TCI), และเผยแพร่บทคัดย่อภาษาอังกฤษในฐานข้อมูล AGRIS-FAO (http://agris.fao.org/agris-search/index.do)</p>th-THagkasetkaj@gmail.com (บรรณาธิการวารสารแก่นเกษตร)agkasetkaj@gmail.com (เจ้าหน้าที่วารสารแก่นเกษตร)Wed, 02 Apr 2025 14:33:04 +0700OJS 3.3.0.8http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss60อิทธิพลของดัชนีอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ในแต่ละฤดูกาลต่อคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็งของไก่พันธุ์แดงดอกคูณและประดู่หางดำ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264377
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของดัชนีอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ในแต่ละฤดูกาลต่อคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็ง ในไก่พันธุ์แดงดอกคูณและไก่พันธุ์ประดู่หางดำเพื่อเก็บเป็นข้อมูลประจำพันธุ์ของเพศผู้ สำหรับการปรับปรุงคุณภาพน้ำเชื้อและการอนุรักษ์พันธุกรรมที่มีคุณค่าของไก่พันธุ์แดงดอกคูณและไก่พันธุ์ประดู่หางดำ โดยใช้ข้อมูลน้ำเชื้อของไก่พันธุ์ประดู่หางดำเป็นมาตรฐานคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองไทยเพื่อใช้ในการพิจารณาปรับปรุงคุณภาพน้ำเชื้อต่อไป ในการทดลองนี้วางแผนการทดลองแบบ 3x2 Factorial Experiment in CRD ปัจจัยที่ศึกษาประกอบด้วย ปัจจัยจากฤดูกาลได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝนและฤดูหนาว และปัจจัยจากพันธุ์ได้แก่ พันธุ์แดงดอกคูณและประดู่หางดำ ทำการศึกษาโดยใช้พ่อพันธุ์ไก่พันธุ์แดงดอกคูณและพ่อพันธุ์ไก่พันธุ์ประดู่หางดำ อายุ 1 ปี พันธุ์ละ 12 ตัว เลี้ยงในโรงเรือนเปิดภายใต้สภาพแวดล้อมธรรมชาติและรีดเก็บน้ำเชื้อ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง 24 สัปดาห์ รวมรีดน้ำเชื้อทั้งสิ้น 48 ครั้ง ทำการรวมน้ำเชื้อในแต่ละพันธุ์และแช่แข็ง ภายหลังการละลายน้ำเชื้อจะประเมินคุณภาพน้ำเชื้อจากการเคลื่อนที่โดยรวม การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและร้อยละของอสุจิที่มีชีวิต จากการศึกษาพบว่า ในการทดลองไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของอิทธิพลร่วมกันระหว่างฤดูกาลและพันธุ์ (p>0.05) แต่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของฤดูกาลต่อคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็ง (p<0.05) โดยการเคลื่อนที่โดยรวมในฤดูฝน (41.03%) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับฤดูร้อน (39.84%) และฤดูหนาว (44.17%) แต่การเคลื่อนที่โดยรวมของฤดูร้อนพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับฤดูหนาว การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ฤดูหนาว (33.79%) มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด แต่การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในฤดูร้อน (27.28%) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับฤดูฝน (26.02%) ร้อยละอสุจิมีชีวิต ฤดูหนาว (67.34%) มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด แต่ร้อยละอสุจิมีชีวิตในฤดูร้อน (55.61%) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับฤดูฝน (54.83%) และไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของพันธุ์ต่อคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็ง (p>0.05) จากผลการทดลองสรุปผลได้ดังนี้ อิทธิพลของฤดูกาลส่งผลต่อคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็งโดย น้ำเชื้อแช่แข็งในฤดูหนาวจะให้น้ำเชื้อที่มีคุณภาพสูงกว่าฤดูร้อนและฤดูฝน การเก็บน้ำเชื้อในฤดูหนาวจึงเหมาะสำหรับการทำน้ำเชื้อแช่แข็งเพื่อเป็นการรักษาพันธุกรรมมากที่สุด และคุณภาพน้ำเชื้อแช่แข็งของไก่พันธุ์ประดู่หางดำและแดงดอกคูณไม่มีความแตกต่างกัน</p>ณัฐนรี กันทะสอน, สจี กัณหาเรียง, เทวินทร์ วงษ์พระลับ, ยุพิน ผาสุข
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264377Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ความหลากชนิด และความชุกชุมของผีเสื้อกลางคืน ในพื้นที่เกษตรแบบผสมผสาน ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261235
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิด และความชุกชุมของผีเสื้อกลางคืนในพื้นที่เกษตรแบบผสมผสาน ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย สำรวจตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ตั้งแต่เวลา 19.00 ถึง 24.00 น. โดยใช้กับดักแสงไฟ พบผีเสื้อกลางคืนทั้งหมด 299 ตัว 12 วงศ์ 75 สกุล 89 ชนิด ได้แก่ วงศ์ Arctiidae พบ 13 ชนิด วงศ์ Crambidae พบ 1 ชนิด วงศ์ Erebidae พบ 12 ชนิด วงศ์ Eupterotidae พบ 2 ชนิด วงศ์ Geometridae พบ 13 ชนิด วงศ์ Lasiocambidae พบ 3 ชนิด วงศ์ Lymantriidae พบ 3 ชนิด วงศ์ Noctuidae พบ 20 ชนิด วงศ์ Notodontidae พบ 4 ชนิด วงศ์ Pyralidae พบ 3 ชนิด วงศ์ Sphingidae พบ 14 ชนิด และวงศ์ Uraniidae พบ 1 ชนิด ค่าดัชนีความหลากหลาย (<em>H´</em>) เท่ากับ 3.63 <em>H</em><sub>max</sub> เท่ากับ 4.48 ค่าดัชนีความสม่ำเสมอการกระจายจำนวน (<em>J´</em>) เท่ากับ 0.81 ค่าดัชนีจำนวนของชนิดพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ (exp<sup>H</sup><em>´</em>) เท่ากับ 37.89 ค่าดัชนีความเด่น (D) เท่ากับ 0.05 ค่าความชุกชุมสัมพัทธ์พบว่าผีเสื้อกลางคืนชนิดชนิด <em>Amata sperbius</em> และ <em>Erebus hieroglyphica</em> มีความชุกชุมสัมพัทธ์สูงสุด ผีเสื้อกลางคืนชนิด <em>Creatonotos transiens</em> มีค่าการปรากฏสูงที่สุด และค่าสัมประสิทธิ์ความคล้ายคลึง (<em>Ss</em>) พบว่าในเดือนมิถุนายน 2565 และเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีค่าสัมประสิทธิ์ความคล้ายคลึงสูงสุด เท่ากับ 0.40 และพบผีเสื้อกลางคืนที่เป็นแมลงศัตรูพืชทั้งหมด 9 ชนิด</p>พัชอร แก้วเกษศรี, กิตติ ตันเมืองปัก
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261235Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ความหลากหลาย ความชุกชุมสัมพัทธ์ และการกระจายของหอยทากบก บริเวณพื้นที่แปลงเกษตร ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261687
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลาย ความชุกชุมสัมพัทธ์ และการกระจายของหอยทากบกในพื้นที่แปลงเกษตร ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ในฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 – กุมภาพันธ์ 2566 และฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน 2566 ด้วยแปลงสุ่มตัวอย่างขนาด 20 x 20 เมตร ทั้งหมด 4 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 6 แปลง ได้แก่ บ้านนาน้ำมัน (NM) บ้านวังแคน (WK) บ้านซำพุ (SP) และบ้านเพีย (BP) รวมฤดูกาลละ 24 แปลง สองฤดูรวมทั้งหมด 48 แปลง ผลการศึกษาพบหอยทากบกทั้งหมด 5,839 ตัวอย่าง ฤดูแล้งพบทั้งหมด 2,680 ตัวอย่าง (45.89%) ฤดูฝนพบทั้งหมด 3,159 ตัวอย่าง (51.10%) จัดจำแนกและระบุชนิดได้ทั้งหมด 3 ชั้นย่อย 16 สกุล 17 ชนิด ได้แก่ <em>Cyclophorus</em> sp., <em>Cyclotus</em> sp.1, <em>Cyclotus</em> sp.2, <em>Dicharax</em> sp., <em>Diplommatina</em> sp., <em>Georissa</em> sp., <em>Pupina bilabiata</em>, <em>Rhiostoma ebenozostera</em>, <em>Achatina fulica</em>, <em>Sarika siamensis</em>, <em>Gulella</em> sp., <em>Gyliotrachela</em> <em>cultura</em>, <em>Hemiplecta distincta</em>, <em>Macrochlamys</em> sp., <em>Prosopeas</em> sp., <em>Sitala</em> sp. และ <em>Semperula siamensis</em> ค่าดัชนีความหลากหลาย (<em>H'</em>) มีค่าเท่ากับ 1.54 ค่า H<sub>max</sub> มีค่าเท่ากับ 2.83 ค่าดัชนีความสม่ำเสมอการกระจายจำนวน (<em>J'</em>) มีค่าเท่ากับ 0.54 ค่าดัชนีจำนวนของชนิดพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ (exp<sup>H'</sup>) มีค่าเท่ากับ 4.67 ค่าดัชนีความเด่น (D) มีค่าเท่ากับ 0.37 หอยทากสยาม (<em>Sarika siamensis</em>) และหอยปากแตร (<em>Gyliotrachela cultura</em>) มีค่าความชุกชุมสัมพัทธ์สูงที่สุดเท่ากับ 58.67% และ 11.59% ตามลำดับ การกระจายตัวของหอยทากบกในรูปแบบค่าความถี่ที่ปรากฏนั้นพบว่า หอยทากสยาม (<em>Sarika siamensis</em>) หอยขัดเปลือก (<em>Macrochlamys</em> sp.) หอยเม็ดข้าวสาร (<em>Prosopeas</em> sp.) และหอยจิ๋วพีระมิด (<em>Sitala</em> sp.) มีค่าความถี่ที่ปรากฏสูงสุด เท่ากับ 100% ค่าสัมประสิทธิ์ความคล้ายคลึง พบว่า Dry-NM และ Wet-NM มีค่าสัมประสิทธิ์ความคล้ายคลึงสูงสุด เท่ากับ 0.92</p>กิตติ ตันเมืองปัก
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/261687Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ปรสิตกลุ่มโมโนจีเนียในปลาบริเวณบึงขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263438
<p>การติดปรสิตกลุ่มโมโนจีเนียในปลา ซึ่งเป็นปรสิตภายนอกที่สามารถก่อโรคบริเวณผิวลำตัวและเหงือกของปลา ปรสิตกลุ่มนี้มีการแพร่กระจายทั่วไปทั้งในปลาน้ำจืด ปลาน้ำกร่อยและปลาน้ำเค็ม ทำการศึกษาบริเวณบึงขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยบึงขุนทะเลเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำตาปี เป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างบึงน้ำจืดกับน้ำทะเลบริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยที่มีอัตลักษณ์และมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ปลา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบความชุกการติดปรสิตกลุ่มโมโนจีเนียในปลาบริเวณบึงขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างปลาจากชาวประมงพื้นบ้าน ตรวจสอบการติดปรสิต 2 ฤดูกาลในรอบปี 2563 คือฤดูร้อน (กุมภาพันธ์-เมษายน) และฤดูฝน (กันยายน-พฤศจิกายน) การตรวจสอบปรสิตในปลาทั้งหมด 1,074 ตัว จัดจำแนกได้ 16 วงศ์ 27 สกุล 33 ชนิด มีค่าความชุกการติดเชื้อในฤดูร้อนเป็น 29.01% (150/517) ฤดูฝนเป็น 28.36% (158/557) โดยพบปลาที่ติดปรสิตกลุ่มโมโนจีเนีย 16 ชนิด โมโนจีเนียจัดจำแนกอยู่ใน Order Monopisthocotylea จำนวน 9 ชนิด ได้แก่ <em>Ciclidogyrus halli</em>, <em>Dactylogyrus</em> sp.I, <em>Dactylogyrus</em> sp.II, <em>Dactylogyrus</em> sp.III, <em>Dactylogyrus</em> sp.IV, <em>Laticola paralatesi</em>, <em>Metahaliotrema ypsilocleithrum</em>, <em>Thaparocleidus siamensis</em> และ <em>Trianchoratus ophicephali</em> โดยปรสิตกลุ่มโมโนจีเนียกินเมือก เลือดของปลา ส่งผลให้ปลาเกิดการตกเลือด เหงือกถูกทำลาย มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ผิดปกติ แผ่นหงือกเชื่อมรวมกัน หากมีการติดเชื้อโมโนจีเนียรุนแรงอาจส่งผลให้ปลาตายได้</p>กานดา ค้ำชู, สายฝน ทิศกองราช, ดวงรัตน์ ชูเกิด
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263438Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ผลของการเสริมแอสต้าแซนธินในอาหารต่อสี สมรรถนะการเจริญเติบโต และค่าโลหิตวิทยาในปลานิลแดง (Oreochromis sp.) ที่เลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262998
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระดับการเสริมแอสต้าแซนธินในอาหารปลานิลแดงระยะวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 7.53±0.56 g โดยผสมแอสต้าแซนธินในอาหาร ที่ระดับความเข้มข้นที่ 0 (ชุดควบคุม), 150, 300 และ 450 mg/kg ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำ ในถังเลี้ยงขนาดความจุ 100 L ความหนาแน่น 15 ตัว/บ่อ ในระบบน้ำหมุนเวียนที่มีการติดตั้งเครื่องให้อาหารอัตโนมัติและระบบเติมน้ำตลอดระยะเวลาการเพาะเลี้ยง เก็บผลการศึกษาที่ระยะเวลา 30 วัน (Sampling-I) และ 45 วัน (Sampling-II) ผลการศึกษาที่ระยะเวลา 30 วัน พบว่าอาหารผสมแอสต้าแซนธินที่ระดับความเข้มข้น 150-450 mg/kg ส่งผลต่อการเพิ่มสมรรถนะการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร การเปลี่ยนแปลงค่าโลหิตวิทยา (Hematocrit) ค่าเคมีในเลือด (Total protein) ค่าสีเนื้อ (L*-Lightness และ a*-Redness) และค่าสีเกล็ดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (a*-Redness และ b*-Yellowness) (P<0.05) โดยไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรจุลินทรีย์ในลำไส้ (P>0.05) ของปลานิลแดง ผลการศึกษาที่ระยะเวลา 45 วัน พบว่าอาหารผสมแอสต้าแซนธินที่ระดับความเข้มข้น 150–450 mg/kg ส่งผลต่อการเพิ่มสมรรถนะการเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร การเปลี่ยนแปลงค่าโลหิตวิทยา (Hemoglobin และ Hematocrit) ค่าเคมีในเลือด (Total protein) ค่าสีเนื้อและค่าสีเกล็ด (L*; a* และ b*) (P<0.05) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรจุลินทรีย์ในลำไส้ (Total bacteria; <em>Bifidobacteria</em> spp. และ <em>Vibrio</em> spp.) ของปลานิลแดง (P<0.05) โดยสรุปเมื่อสิ้นสุดการทดลองการเสริมแอสต้าแซนธินที่ระดับความเข้มข้นระดับ 300 mg/kg เป็นระดับที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเลี้ยงปลานิลแดงระยะวัยรุ่นแบบระบบน้ำหมุนเวียน</p>สุขสันต์ ขำคง, นิชนันท์ ชูเกิด, ณัฐนันท์ ศรีสกุลเตียว, พุทธพร พุ่มโรจน์
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262998Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ความรู้และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรระดับตำบลในจังหวัดขอนแก่น
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263077
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงานของนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรระดับตำบล และ 2) เปรียบเทียบความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลของนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรระดับตำบลที่มีลักษณะพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมบางประการที่แตกต่างกัน เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ออนไลน์ จากนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรระดับตำบลในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 125 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ t-test และ F-test ผลการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 69.6) อายุเฉลี่ย 38.7 (±6.477) ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 62.4) รายได้ต่อเดือน 20,001-23,000 บาท (ร้อยละ 39.2) มีประสบการณ์ทำงานอยู่ในช่วง 4-9 ปี (ร้อยละ 36.8) และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 66.4) ยังไม่เคยรับการฝึกอบรม/สัมมนาทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ภาครัฐฯ มีการสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้สำหรับการปฏิบัติงานเพียงบางส่วน ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานผ่านโทรศัพท์มือถือ ระดับความรู้เทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า มีความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับปานกลาง (ร้อยละ 68.0) และมีความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับมาก (ร้อยละ 26.4) การเปรียบเทียบระดับความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน ประสบการณ์ทำงาน และประสบการณ์การฝึกอบรม/สัมมนาทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ลักษณะพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกัน มีระดับความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลไม่แตกต่างกัน</p>มารุต โจมแก้ว, สุกัลยา เชิญขวัญ
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263077Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700การศึกษาและคัดแยกเชื้อแบคทีเรียส่งเสริมการเจริญเติบโตจากรากพืชในระบบวนเกษตรเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของหอมแบ่ง (Allium fistulosum L.) และพริกขี้หนูสวน (Capsicum frutescens L.)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262192
<p>แบคทีเรียส่งเสริมการเจริญเติบโต (Plant growth-promoting bacteria, PGPB) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชด้วยกลไกที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ในการศึกษาครั้งนี้ทำการคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์ส่งเสริมการเจริญเติบโตที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดจำนวน 6 ไอโซเลท (L9-05, L45-05, L10-04, L2-03, L2-04 และ L41-01) จากรากพืชในระบบวนเกษตร เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของหอมแบ่ง (<em>Allium fistulosum</em> L.) และพริกขี้หนูสวน (<em>Capsicum frutescens </em>L.) โดยทำการคัดเลือกจากความสามารถในการตรึงไนโตรเจนอิสระ การผลิตฮอร์โมน indole-3-acetic acid (IAA) และการละลายฟอสเฟต จากนั้นทำการศึกษาชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ทั้ง 6 สายพันธ์ุ์ ด้วยวิธีการศึกษาลำดับเบส 16S rRNA sequence analysis จากการศึกษาพบว่าเชื้อแบคทีเรียไอโซเลท L10-04 คือเชื้อสายพันธุ์<em> Enterobacter hormaechei</em> สามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของพริกขี้หนูสวนและเพิ่มผลผลิตได้ได้ดีเหมาะกับการนำมาประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ และลดการใช้สารเคมีในอนาคต</p>อชิรญา ศิริภาพ, วันวิสาข์ พิระภาค, ปริญญา ไกรวุฒินันท์
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262192Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700การผลิตผักภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสมาชิกสหกรณ์กสิกรรมอินทรีย์ทุ่งมั่ง อำเภอไชยธานี นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263500
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ และสังคมของสมาชิกสหกรณ์กสิกรรมอินทรีย์ทุ่งมั่ง 2) ระดับความรู้ ทัศนคติ และการผลิตผักภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสมาชิกสหกรณ์กสิกรรมอินทรีย์ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตผักภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสมาชิกสหกรณ์กสิกรรมอินทรีย์ 4) ปัญหาและข้อเสนอแนะในการผลิตผักภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในอำเภอไชยธานี นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยทำการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างจำนวน 114 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ร้อยละ 60.5 ของเกษตรกรเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 46.6 ปี และร้อยละ 32.5 มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา เกษตรกรมีพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์เฉลี่ย 2.56 ไร่ โดยร้อยละ 85.1 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีรายได้เฉลี่ยในครัวเรือน 114,035.09 บาทต่อปี มีประสบการณ์ในการปลูกผักอินทรีย์เฉลี่ย 4.80 ปี นอกจากนี้ยังได้รับข่าวสารด้านการเกษตรเฉลี่ย 2.44 ครั้งต่อเดือน มีการอบรมเฉลี่ย 3.41 ครั้งต่อปี และติดต่อเจ้าหน้าที่เฉลี่ย 3.96 ครั้งต่อปี ระดับความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่ในระดับปานกลาง ( = 13.77) ขณะที่ทัศนคติต่อมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่ในระดับดี ( = 4.02) และการผลิตผักอยู่ในระดับดี ( = 4.12) ปัจจัยที่สัมพันธ์เชิงบวกกับการผลิตผักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้แก่ การติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรอินทรีย์และทัศนคติต่อมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และปัญหาที่เกษตรกรมักพบคือการป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช รวมถึงการขาดแคลนปัจจัยการผลิตและการตลาด เกษตรกรเสนอแนะให้มีการอบรมความรู้เกี่ยวกับการควบคุมโรคแมลง การสนับสนุนทุน เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ พร้อมทั้งการจัดสรรตลาดที่มั่นคง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิตผักภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์</p>Khomsacksith Phoukhong, นคเรศ รังควัต, จักรพงษ์ พวงงามชื่น, ปิยะ พละปัญญา
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263500Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700การใช้ซองควบคุมการปล่อยไอระเหยเอทานอลเพื่อยืดอายุสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน 80 ตัดแต่งพร้อมบริโภค
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263824
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาซองควบคุมการปล่อยไอระเหยเอทานอลต้นแบบเพื่อใช้ชะลอการเสื่อมสภาพสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน 80 ตัดแต่งพร้อมบริโภค โดยซองควบคุมบรรจุซิลิกาเจลที่อิ่มตัวด้วยเอทานอลเหลว ด้านหน้าซองควบคุมทำจากฟิล์ม low density polyethylene (LDPE) และด้านหลังประกบกับ AL/PE ขนาด 3 x 3 ซม. และ 6 x 6 ซม. โดยบรรจุซิลิกาเจลที่อิ่มตัวด้วยเอทานอลจำนวน 1 และ 2 กรัมตามลำดับ จากนั้นซองปลดปล่อยไอระเหยเอทานอลจะถูกบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์สตรอว์เบอร์รีตัดแต่งพร้อมบริโภค จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการปลดปล่อยไอระเหยเอทานอล และระดับความเข้มข้นไอระเหยเอทานอลในบรรยากาศบรรจุภัณฑ์ที่อุณหภูมิ 5 °C พบว่าระดับความเข้มข้นไอระเหยเอทานอลเพิ่มขึ้น จากนั้นเข้าสู่สภาวะคงที่ในชั่วโมงที่ 48 และมีค่าสูงสุดในชั่วโมงที่ 72 โดยซองขนาด 3 x 3 ซม. มีค่าเท่ากับ 107.95 ± 9.38 ppm และซองขนาด 6 x 6 ซม. มีค่าเท่ากับ 182.50 ± 21.10 ppm จากการศึกษาพบว่าเมื่อใช้ซองควบคุมปล่อยไอระเหยเอทานอลร่วมกับบรรจุสตรอว์เบอร์รีตัดแต่งพร้อมบริโภค (200 กรัม) ในกล่องบรรจุภัณฑ์เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 °C เป็นเวลา 7 วัน ไอระเหยเอทานอลช่วยชะลอการสูญเสียน้ำหนักสด ปริมาณแอนโทไซยานินและปริมาณวิตามินซียังไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญภายหลังการเก็บรักษา 1 วัน ปริมาณสารประกอบฟีนอล และ antioxidant activity (DPPH) เพิ่มขึ้นในช่วง 1-3 วันของการเก็บรักษา และหลังจากนั้นมีแนวโน้มที่ลดลงตลอดอายุการเก็บรักษา ทั้งนี้จำนวนจุลินทรีย์เจริญในอัตราที่ช้ากว่าตัวอย่างควบคุม โดยซองควบคุม 1gS3 มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมเพียงพอต่อการนำไปบรรจุร่วมกับผลสตรอว์เบอร์รีตัดแต่งพร้อมบริโภค ซึ่งซองควบคุมฯแสดงให้เห็นว่าสามารถชะลอการเสื่อมสภาพ และการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ของสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน 80 ตัดแต่งพร้อมบริโภคได้</p>ไปรณัฏฐา สุขเจริญจิตต์, ดนัย บุณยเกียรติ, วีรเวทย์ อุทโธ, พิชญา พูลลาภ
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/263824Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700ผลของปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของข้าวโพดหวาน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262800
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของข้าวโพดหวาน วางแผนการทดลองแบบ randomized complete block design ประกอบด้วย 7 กรรมวิธี จำนวน 3 ซ้ำ ได้แก่ 1) ไม่ใส่ปุ๋ย (T1) 2) ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร (T2) 3) ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน (T3) 4) ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร+ปุ๋ยหมัก 1 ตัน/ไร่ (T4) 5) ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร+ปุ๋ยหมัก 2 ตัน/ไร่ (T5) 6) ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน+ปุ๋ยหมัก 1 ตัน/ไร่ (T6) และ 7) ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน+ปุ๋ยหมัก 2 ตัน/ไร่ (T7) ดำเนินการปลูกข้าวโพดในแปลงทดลองที่เป็นดินทรายปนร่วน (loamy sand) ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 – มกราคม 2567 ผลการศึกษา พบว่า ข้าวโพดหวานที่ให้ปุ๋ยด้วยกรรมวิธีใส่ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมัก (T2-T7) ส่งผลให้ลักษณะด้านการเจริญเติบโตและผลผลิตสูงกว่ากรรมวิธีไม่ใส่ปุ๋ย (T1) แต่เมื่อพิจารณาต้นทุนการผลิต กรรมวิธีใส่ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำของกรมส่งเสริมการเกษตร (T2) ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจหลังหักค่าปุ๋ยสูงที่สุด (38,343 บาท/ไร่)</p>มัสยา เพาะพืช, เบ็ญจพร กุลนิตย์, ธนภร สิริตระกูลศักดิ์
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262800Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700Effect of diatomite on yield and nutrient uptake of cassava planted in Yasothon soil series
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264074
<p>Cassava in northeast Thailand is commonly planted in low fertility, coarse-textured soils, resulting in unsatisfactory yields. Soil amendments can be used to enhance chemical fertilizer efficiency and subsequently increase the yield of cassava. This study was conducted on the Yasothon soil series in a farmer field, Nakhon Ratchasima province with the aim at investigating the impact of diatomite on cassava yield, primary plant nutrient uptake and some soil properties. The experiment was arranged in a randomized complete block design with four replications. Five treatments comprised: 0, 1.25, 2.5, 3.75 and 5 t/ha of diatomite addition. The cassava, Huay Bong 80 variety was a tested plant and harvested at 10-month-old. The application of 2.5 t/ha diatomite significantly promoted the highest fresh tuber yield (36.26 t/ha) and starch yield (10.35 t/ha) which were 35.5% and 41.6% greater than that obtained from the control treatment. Overall, cassava took up K in the highest amount, followed closely by N while P was taken up in far lower quantity. Over the control, all rates of diatomite applied significantly escalated the uptake of N, P and K in almost all plant parts of cassava and the whole plant. Furthermore, the addition of diatomite at all rates decreased soil bulk density, and increased pH, available P and K of the topsoil in a significant manner. Therefore, diatomite has the potential for use as a soil amendment to improve cassava yield and soil properties; however, longer-term field trials should be undertaken further to investigate its cumulative effects.</p>Andaman Ujjin, Somchai Anusontpornperm, Suphicha Thanachit, Mutchima Phun-iam
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264074Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700Effects of potassium thiosulfate foliar application on yield, nutrient uptake and potassium use efficiency of cassava planted in Satuk soil series
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264103
<p>Potassium fertilization is less effective in sandy soils, resulting in higher costs with unsatisfactory cassava fresh tuber yield return. This study was carried out to comparatively investigate the efficiency of potassium chloride (KCl) and potassium thiosulfate (KTS) foliar application, and KCl soil application and their impact on cassava yields. A single-year field experiment was conducted in a farmer field in Nakhon Ratchasima province with Satuk soil series as a representative soil of the experimental area. The experiment was arranged in a randomized complete block design with four replications. Seven treatments comprised no K fertilization, 50 and 100 kg K<sub>2</sub>O/ha KCl soil application, 50 and 100 kg K<sub>2</sub>O/ha KCl and KTS foliar application. The cassava, Huat Bong 80 variety was a tested plant and harvested at 10-month-old. The KCl and KTS foliar application at the rate of 50 kg K<sub>2</sub>O/ha significantly increased fresh tuber yield by 73.0% and 68.8%, respectively, over the control (22.05 t/ha) but the higher rate (100 kg K<sub>2</sub>O/ha) did not boost the yield over the lower rate. It was also the case for starch yield. Both rates of KCl soil application gave much inferior yields to the highest ones. The KCl and KTS foliar application at the rate of 50 kg K<sub>2</sub>O/ha also significantly promoted the highest N and P uptake whilst the KTS foliar application at the rate of 100 kg K<sub>2</sub>O/ha significantly induced the highest K and S uptake in cassava. The KCl and KTS foliar application at the rate of 50 kg K<sub>2</sub>O/ha had the significantly highest agronomic efficiency and partial factor productivity with the latter significantly having the highest apparent recovery efficiency. The KCl and KTS foliar application at the rate of 50 kg K<sub>2</sub>O/ha can be a better alternative K fertilization for increasing cassava yield in this soil due to their </p>Nattapong Worapoje, Somchai Anusontpornperm, Suphicha Thanachit, Mutchima Phun-iam
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/264103Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700Effect of bio-extracts on soil properties and tea-oil camellia (Camellia oleifera) yield grown in a mountainous area of northern Thailand
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262213
<p>Mountainous soils are prone to a gradual decline in soil health and crop productivity, affected by unsuitable agricultural measures. To sustain hilly natural resources, simple and practical measures to improve soil physical and chemical quality, plant production, and hill tribe revenues are prerequisites. Herein, we examined three measures: 1) banana shoot bio-extract, 2) chili bio-extract, and 3) mixed banana shoot-chili bio-extracts compared to water use as a control treatment for changes in soil health, plant yield, and economic return in a remote mountainous area of northern Thailand. A 0.6 L of the bio-extracts or water was supplied weekly to the surface soil underneath each tea-oil camellia plant, a perennial plant grown for soil conservation, for two consecutive years. The results revealed that the bio-extracts were rich in N, K, and Ca, with different micronutrients (Fe, Cu, Mn, and Zn). The chili bio-extract significantly (<em>P</em> <0.05) enhanced the formation of mesoaggregate fraction (0.25-2 mm, 54% of the total mass fraction) compared to the control (46% of the total mass fraction). The mixed bio-extract increased the soil pH, available P, and exchangeable Ca and Mg. The mixed bio-extract significantly promoted a higher tea-oil fresh fruit yield (3,594 kg/ha) than the control (2,662 kg/ha). The average annual revenue of the hill tribe from the mixed bio-extract application after two years was 2,478 USD/ha that is higher than the control of 1,262 USD/ha. The estimated revenue from using mixed bio-extract across the total area of the tea-oil production (589 ha) in Thailand was 1.46 million USD/year, gaining a higher profit margin of about 0.72 million USD/year than the control. This study highlights the simple and practical use of mixed plant-based extracts to improve soil physical and chemical properties and enhance tea-oil yield in the hill area.</p>Kulapat Yimpak , Nattaporn Prakongkep , Worachart Wisawapipat
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/262213Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700Adaptation approaches in cashew nut cooperative management in Benin: Lessons from agricultural cooperative applying sufficiency economy philosophy in Thailand
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265146
<p>This study explored adaptation strategies for cashew nut cooperatives in Djougou, Benin, using Thailand’s Sufficiency Economy Philosophy (SEP) as a model, drawing insights from the cooperative in Tha Pla, Uttaradit, Thailand. Data from each cooperative were collected from five groups, with a total of 30 farmers in each cooperative. Questionnaires, surveys, and interviews focused on socio-demographic factors, cooperative structures, resource management, and the impact of SEP principles. Quantitative analysis revealed significant differences: the cooperative in Tha Pla, Uttaradit, comprising 90.00% women over the age of 50, demonstrated higher levels of education (100.00%) and income sufficiency (63.33%), alongside higher productivity (>400 kg/ha). In contrast, the Beninese cooperative, primarily male-led (86.70%) with a younger membership (70.00% between 31-50 years), showed lower education levels (66.67% illiteracy), income sufficiency (6.67%), and lower productivity (<400 kg/ha). The Thai cooperative demonstrated stronger management practices, achieving maximum scores of 16.00 in both material and financial management (16.00 vs. 12.00) and member services (16.00 vs. 11.00), highlighting more effective organizational functioning in Thailand. The overall satisfaction score of the cooperative services in Thailand was significantly higher than in Benin (3.71 ± 0.50 vs. 3.10 ± 0.30; t-test 16.18, P < 0.01). Addressing gaps in gender inclusivity, service provision, resource management, community development, and governance through SEP-driven strategies could significantly enhance the effectiveness and sustainability of Beninese cooperatives, following Thailand’s model. Given SEP’s success in Thailand, this study suggested that Benin consider adapting SEP principles or developing a similar framework to address these persistent challenges.</p>Naif Djarra, Manat Suwan, Watcharapong Wattanakul, Phattharawuth Somyana, Saiyud Moolphate , Choosit Choochat, Chutiwalanch Semmahasak
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265146Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700Approach to adapting Bhutan's One Gewog One Product (OGOP) initiative by learning from Thailand's One Tambon One Product (OTOP) model
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265136
<p>This study evaluated the implementation of the Sufficiency Economy Philosophy (SEP) in Bhutan and Thailand and recommended adapting successful practices from Thailand’s One Tambon One Product (OTOP) model for Bhutan’s One Gewog One Product (OGOP) initiative. Data were collected from six Community Learning Centers (CLCs) in Bhutan and three OTOP businesses in Thailand through surveys, interviews, and focus group discussions. Respondents, primarily aged 30-50, showed differences in education levels, with 100% of Thai participants having completed formal education compared to 67% in Bhutan. Income reliance also varied, with only 26.7% of Bhutanese and 47% of Thai respondents depending solely on community products. Statistical analyses revealed that Thai farmers demonstrated a stronger understanding of SEP, which was reflected in higher well-being and economic outcomes (mean = 4.62 in Thailand vs. 3.68 in Bhutan, t-test = 7.612, P < 0.05). Bhutanese CLCs saw significant improvements in well-being after the project (P < 0.05), with scores increasing from 2.85 to 3.68. Despite these improvements, challenges remained in market access, capacity building, and product development. The study recommended strengthening government policies, enhancing training programs, improving market access, and promoting SEP for sustainable development in Bhutan’s OGOP project. Collaboration with private and international partners was also advised for long-term success.</p>Jambay Lhamo, Manat Suwan, Watcharapong Wattanakul, Saiyud Moolphate, Choosit Choochat, Chutiwalanch Semmahasak, Naksit Panyoyai
Copyright (c) 2024 วารสารแก่นเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agkasetkaj/article/view/265136Wed, 02 Apr 2025 00:00:00 +0700