https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/issue/feed
วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
2025-12-02T00:00:00+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ผุสดี ตังวัชรินทร์
ajournal@kmitl.ac.th
Open Journal Systems
<p> </p> <p><img src="https://li01.tci-thaijo.org/public/site/images/piyawat_sa/-2568-350x490.jpg" alt="" width="350" height="494" /></p> <h3>วารสารเกษตรพระจอมเกล้า</h3> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรพระจอมเกล้า (King Mongkut’s Agricultural Journal) เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางด้านเกษตรศาสตร์ เช่น พืชศาสตร์ ปฐพีศาสตร์ สัตวศาสตร์ วิทยาศาสตร์การประมง อารักขาพืช เทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร (ผลิตผลจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ฯลฯ ตั้งแต่วารสารปีที่ 43 ฉบับที่ 3) เศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร การทำฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร นิเทศศาสตร์เกษตร และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร</p> <p style="text-align: justify;"> ผู้เขียนสามารถส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและผู้สนใจสามารถเข้าถึงบทความที่เผยแพร่ในวารสารได้ทางเว็ปไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย</p> <p style="color: blue;"> </p> <p style="font-size: 18px;"><strong>เกณฑ์การตรวจพบความซ้ำซ้อน</strong></p> <p style="text-align: justify;"> บทความที่ตรวจพบความซ้ำซ้อนด้วยโปรแกรม Turnitin ต้องมีผลการประเมินดังนี้ จึงจะได้รับการพิจารณาในขั้นตอนถัดไป<br />- บทความมีความซ้ำซ้อนไม่เกิน 30%</p>
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265231
การเพาะเลี้ยงโคพีพอด Apocyclops royi AMBT201601 ด้วยสาหร่ายขนาดเล็ก Tetraselmis suecica แบบสาหร่ายสดและแบบสาหร่ายเข้มข้นที่เก็บรักษาด้วยความเย็น
2025-01-31T13:43:24+07:00
ปวีณา ตปนียวรวงศ์
ajournal@kmitl.ac.th
ชลธิชา ช้อยสูงเนิน
ajournal@kmitl.ac.th
กนิษฐา บุญยโรจน์
ajournal@kmitl.ac.th
พัชรี โยควิบูล
ajournal@kmitl.ac.th
ปาริชาติ ชุมทอง
ajournal@kmitl.ac.th
สรวิศ เผ่าทองศุข
ajournal@kmitl.ac.th
จันทร์จรัส วัฒนะโชติ
ajournal@kmitl.ac.th
ฉัตรดนัย ไชยหาญ
ajournal@kmitl.ac.th
มะลิวัลย์ คุตะโค
maliwan@buu.ac.th
<p> โคพีพอดเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นอาหารมีชีวิตสำหรับสัตว์น้ำวัยอ่อน การเพาะเลี้ยงโคพีพอดมักใช้สาหร่ายขนาดเล็กเป็นอาหาร งานวิจัยนี้จึงได้เพาะเลี้ยงโคพีพอด <em>Apocyclops royi</em> AMBT201601 ด้วยสาหร่าย <em>Tetraselmis suecica</em> โดยเปรียบเทียบระหว่างชุดควบคุมที่มีการเติมสาหร่ายสดและชุดทดลองที่เติมสาหร่ายเข้มข้นที่เตรียมจากสาหร่ายสดที่นำมากรองให้มีความเข้มข้นสูงและเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส การทดลองนี้ได้เพาะเลี้ยงโคพีพอดในขวดแก้วปริมาตร 1 ลิตร ภายใต้สภาวะห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมอุณหภูมิและให้แสงตลอดเวลา ผลการทดลองพบว่าการใช้สาหร่ายสดและสาหร่ายเข้มข้นเป็นอาหารโคพีพอด ส่งผลให้จำนวนโคพีพอดทุกระยะรวมสูงสุดใกล้เคียงกัน (p>0.05) โดยมีค่าเฉลี่ย 42,000 ± 5,393 และ 49,333 ± 7,910 ตัวต่อลิตร ตามลำดับ เมื่อมีการขยายขนาดการเพาะเลี้ยงโคพีพอดเป็น 50 ลิตร ภายใต้สภาวะโรงเรือนที่ไม่ควบคุมอุณหภูมิ พบว่าจำนวนโคพีพอดทุกระยะรวมสูงสุดจากการใช้สาหร่ายสดและสาหร่ายเข้มข้นเป็นอาหารมีค่าใกล้เคียงกัน (p>0.05) คือเท่ากับ 18,133 ± 6,047 และ 14,067 ± 2,757 ตัวต่อลิตร ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบกรดไขมันของโคพีพอดที่เพาะเลี้ยงด้วยสาหร่ายสดและสาหร่ายเข้มข้น พบว่าโคพีพอดมีองค์ประกอบกรดไขมันที่คล้ายคลึงกัน (p>0.05) โดยมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนชนิด 18:3n3 มากถึง 3.19-3.64% ของกรดไขมันทั้งหมด และยังพบกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดอื่นได้แก่ 22:6n3 20:5n3 และ 20:4n6 จากผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าสามารถเพาะเลี้ยงโคพีพอด <em>A. royi</em> AMBT201601 ด้วยสาหร่าย <em>T. suecica</em> แบบเข้มข้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลผลิตโคพีพอดที่ได้สามารถนำไปใช้ในการอนุบาลลูกปลาหรือลูกกุ้งวัยอ่อนได้ เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่จำเป็นต่อการเติบโตของสัตว์น้ำ</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/264761
ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนส่งเสริมการผลิตผักเหลียงใบใหญ่เพื่อสร้างรายได้ ให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรยากจนในอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง
2024-11-27T16:12:58+07:00
นันทิยา พนมจันทร์
n_numkum@hotmail.com
จตุพร ไกรถาวร ไกรถาวร
ajournal@kmitl.ac.th
เบ็ญจวรรณ บัวขวัญ
ajournal@kmitl.ac.th
ปวีณา แก้วอุบล
ajournal@kmitl.ac.th
ปุรวิชญ์ พิทยาภินันท์
ajournal@kmitl.ac.th
ภานุมาศ พฤติคณี
ajournal@kmitl.ac.th
มาณี แก้วชนิด
ajournal@kmitl.ac.th
สรพงค์ เบญจศรี
ajournal@kmitl.ac.th
<p> ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง แต่ปัญหาความยากจนยังคงเป็นอุปสรรคที่ท้าทายการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้และทักษะใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับทักษะและความรู้ที่มีอยู่เดิม อันจะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตและสร้างความมั่นคงในอาชีพของตนได้ โครงการ “วิชชายุทธเกษตรสู้จน คนศรีนครินทร์” เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ครัวเรือนเกษตรกรยากจนในอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง ได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงในด้านทุนการดำรงชีพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การผลิตทางการเกษตรของครอบครัวยากจนจำนวน 4 ตำบล (ลำสินธุ์ อ่างทอง บ้านนา และชุมพล) ในอำเภอศรีนครินทร์ และเพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนในโครงการ “วิชชายุทธเกษตรสู้จน คนศรีนครินทร์” โดยใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มย่อยกับตัวแทนของครัวเรือนเกษตรกรยากจนจำนวน 131 ครัวเรือน ซึ่งถูกคัดเลือกมาอย่างเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา การจัดหมวดหมู่ และการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม ผลจากการศึกษาพบว่าสถานการณ์การผลิตทางการเกษตรของครอบครัวยากจนในพื้นที่ศึกษาพบว่าครัวเรือนยากจนในพื้นที่อำเภอศรีนครินทร์มีค่าเฉลี่ยของทุนมนุษย์สูงสุดเท่ากับ 2.60 จัดอยู่ในกลุ่ม “อยู่ได้” รองลงมาคือทุนกายภาพ ทุนธรรมชาติ และทุนเศรษฐกิจ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.42, 2.02 และ 1.95 ตามลำดับ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “อยู่ยาก” ขณะที่ทุนทางสังคมมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 1.72 จัดอยู่ในกลุ่ม “อยู่ลำบาก” ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบาก (เกณฑ์การแปลผลกำหนดช่วงค่าเฉลี่ยดังนี้ 3.26–4.00 อยู่ดี, 2.51–3.25 อยู่ได้, 1.76–2.50 อยู่ยาก, 1.00–1.75 อยู่ลำบาก) และวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนพบว่า การใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) นั้นมีความคุ้มค่า โดยผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนมีค่าเท่ากับ 1.53 ซึ่งหมายความว่า ทุก ๆ 1 บาทที่ บพท. ลงทุนในโครงการนี้ จะสร้างผลตอบแทนทางสังคมมูลค่า 1.53 บาท ให้ผลเป็นบวกตั้งแต่ปีแรกของการเริ่มโครงการส่งเสริมการปลูกเหลียงพันธุ์ใบใหญ่ที่ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่งปลูกเป็นพืชร่วมยางพาราและไม้ผล โดยมอบให้ครัวเรือนยากจนเป็นต้นกล้ากิ่งตอนชำถุง ราคาต้นละ 200 บาท จำนวน 10 ต้นต่อครัวเรือนสำหรับเพื่อปลูก สามารถเก็บใบอ่อนรับประทานได้หลังปลูกไปแล้ว 1 เดือน เก็บใบอ่อนบริโภคได้ทุกสัปดาห์ และสามารถขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งได้ในปีถัดไป การมอบต้นกล้ากิ่งตอนชำถุงสามารถลดการตายของต้นกล้าได้ถึง 20 % สำหรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ในปีแรก และสร้างรายได้ในปีต่อไป โดยผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยเท่ากับ 60 บาทต่อต้นต่อเดือน แต่ละครัวเรือนได้ 10 ต้น คิดเป็นมูลค่า 600 บาทต่อเดือน และสามารถขยายพันธุ์ได้ในปีที่ 2 ต้นละไม่เกิน 2 กิ่ง โดยการตอนกิ่งจำหน่ายกิ่งละ 100 บาท คิดเป็นมูลค่า 2,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง บพท., สถาบันการศึกษา, หน่วยงานวิจัย และภาครัฐ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับวางแผนและกำหนดนโยบายในการสนับสนุนการวิจัยและดำเนินการเพื่อลดความยากจนในอนาคต</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265005
การยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) การผลิตข้าวอินทรีย์ของเกษตรกรแปลงใหญ่ข้าว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ
2024-12-13T16:06:21+07:00
เบญจมาภรณ์ จันทรเสนา
fagrpds@ku.ac.th
พัชราวดี ศรีบุญเรือง
ajournal@kmitl.ac.th
ชลาธร จูเจริญ
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ และสังคม ข้อมูลสมาชิกแปลงใหญ่ข้าว 2) ความรู้เกี่ยวกับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) 3) การยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ตามระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ 4) ความแตกต่างของปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ และสังคม ข้อมูลสมาชิกแปลงใหญ่ข้าว ความรู้เกี่ยวกับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ที่มีผลต่อการยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ตามระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ และ 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะ ประชากร ได้แก่ เกษตรกรสมาชิกกลุ่มนาแปลงใหญ่ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 111 ราย โดยใช้แบบสัมภาษณ์ พบว่า เกษตรกรส่วนมากเป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 58.25 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีจำนวนแรงงานในการปลูกข้าว 1 – 2 คน พื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์เฉลี่ย 5.70 ไร่ ใช้ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ทั้งหมด ต้นทุนในการผลิตข้าวเฉลี่ย 3,665.32 บาท/ไร่/ฤดูกาล มีรายได้จากการจำหน่ายข้าวเฉลี่ย 6,025.00 บาท ผลผลิตข้าวเฉลี่ย 401.26 กิโลกรัม/ไร่/ฤดูกาล โดยเป็นสมาชิกแปลงใหญ่ข้าวเฉลี่ย 4.32 ปี มีความรู้ และการยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) การผลิตข้าวอินทรีย์เฉลี่ยอยู่ในระดับที่มาก การทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ ที่แตกต่างกัน มีการยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ตามระบบการผลิตข้าวอินทรีย์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และระดับการศึกษา การเป็นสมาชิกแปลงใหญ่ข้าว ความรู้เกี่ยวกับระบบความคุมภายใน (ICS) ที่แตกต่างกัน มีการยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ตามระบบการผลิตข้าวอินทรีย์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัญหาต่อการยอมรับระบบควบคุมภายในกลุ่ม (ICS) ตามระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ พบว่า สมาชิกยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำเอกสาร และจดบันทึกข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการจัดทำระบบควบคุมภายใน</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265839
ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสต่อผลผลิตและผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ของข้าว พันธุ์หอมวารินที่ปลูกในดินทรายความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
2025-01-29T10:14:07+07:00
ภูมิศาสตร์ บุญพงษ์
phumisat.bo.62@ubu.ac.th
ปรียาภรณ์ ภางาม
preeyaporn.pa.62@ubu.ac.th
นพมาศ นามแดง
nopamat.n@ubu.ac.th
ฉันทมาศ เชื้อแก้ว
chantamart.c@ubu.ac.th
สุรีพร เกตุงาม
sureeporn.k@ubu.ac.th
<p> ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของข้าว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสที่เหมาะสมต่อผลผลิต ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย และความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของข้าวพันธุ์หอมวารินในดินทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ วางแผนการทดลองแบบบล็อกสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ อัตราปุ๋ยฟอสฟอรัส 5 ระดับ ได้แก่ 0, 4, 8, 12 และ 16 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5</sub> ต่อไร่ พร้อมใส่ปุ๋ยไนโตรเจนและโพแทสเซียม อัตรา 18 และ 15 กิโลกรัม N และ K<sub>2</sub>O ต่อไร่ ตามลำดับ แบ่งใส่ปุ๋ย 3 ระยะ คือ ระยะตั้งตัว ระยะแตกกอ และระยะตั้งท้อง ผลการศึกษาพบว่า อัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสมีผลต่อจำนวนเมล็ดต่อรวง และผลผลิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>≤0.05) แต่ไม่มีผลต่อความสูง จำนวนต้นต่อกอ จำนวนรวงต่อกอ ความยาวรวง น้ำหนัก 1,000 เมล็ด และน้ำหนักฟางแห้ง โดยปุ๋ยฟอสฟอรัส อัตรา 16 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5</sub> ต่อไร่ ส่งผลให้ข้าวหอมวารินมีจำนวนเมล็ดต่อรวงสูงสุด (131.01 เมล็ด) และผลผลิตสูงสุด (635.25 กิโลกรัมต่อไร่) ไม่แตกต่างจากการใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัส อัตรา 12 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5</sub> ต่อไร่ ที่ให้ผลผลิต 618.36 กิโลกรัมต่อไร่ ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยในการให้ผลผลิตลดลงเมื่อมีการใช้อัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้น โดยอัตรา 4 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5 </sub>ต่อไร่ ให้ประสิทธิภาพสูงสุด (8.97 กิโลกรัมผลผลิตต่อกิโลกรัมฟอสฟอรัส) รองลงมาคืออัตรา 12 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5</sub> ต่อไร่ (8.02 กิโลกรัมผลผลิตต่อกิโลกรัมฟอสฟอรัส) ซึ่งให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มสูงสุด (217.83%) ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าปุ๋ยฟอสฟอรัสอัตรา 12 กิโลกรัม P<sub>2</sub>O<sub>5</sub> ต่อไร่ เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวหอมวารินในดินทรายอุดมสมบูรณ์ต่ำ โดยให้ผลผลิตสูง มีประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยดี และให้ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265163
การพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อไฟโตพลาสมาในใบอ้อยโดยใช้เทคนิค nested-PCR ร่วมกับสีย้อมเรืองแสง
2024-11-29T13:03:59+07:00
นพรัตน์ อินถา
noppharati@nu.ac.th
นุชนาฏ ภักดี
nutchanatp@nu.ac.th
<p> อ้อย (<em>Saccharum officinarum</em> L.) เป็นหนึ่งในพืชไร่ที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของการผลิตอ้อย คือ โรคใบขาวของอ้อย (Sugarcane white leaf disease; SCWL) ซึ่งมีเชื้อไฟโตพลาสมา (Phytoplasma) ที่เป็นสาเหตุติดมากับท่อนพันธุ์อ้อยที่ใช้ในการขยายพันธุ์ทำให้อ้อยแคระ ใบสีขาว และผลผลิตต่ำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยไฟโตพลาสมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เทคนิค nested-PCR และใช้สีย้อมเรืองแสงในการตรวจสอบผลผลิตปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส ผลการทดลองพบว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส รอบที่ 1 โดยใช้ไพรเมอร์ MLO-X และ MLO-Y ทำให้เกิดแถบดีเอ็นเอ จำนวน 1 แถบบ ขนาด 714 bp ในอ้อย SCWL แต่ไม่พบในอ้อยปลอดโรค ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส รอบที่ 2 โดยใช้ไพรเมอร์ P1 และ P2 ทำให้เกิดแถบดีเอ็นเอ จำนวน 4 แถบ ขนาด 714, 616, 302 และ 204 คู่เบส ในอ้อย SCWL แต่ไม่พบในอ้อยปลอดโรค เมื่อนำผลผลิตปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส รอบที่ 2 มาเติมสีย้อมเรืองแสง พบว่า เกิดการเรืองแสงภายใต้แสง UV ในหลอดทดลองของอ้อย SCWL แต่ไม่พบการเรืองแสงในอ้อยปลอดโรค ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่าเทคนิคที่พัฒนาขึ้นนี้มีความแม่นยำ และสามารถลดระยะเวลาในการตรวจสอบผลผลิต nested-PCR ได้</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265118
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
2025-02-20T09:31:36+07:00
มณินฐิสา วงศ์สง่า
63604043@kmitl.ac.th
ณัฐกร สงคราม
Nutthakorn.so@kmitl.ac.th
เนาวนิตย์ สงคราม สงคราม
ajournal@kmitl.ac.th
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ที่มีประสบการณ์ซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป จำนวน 456 คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental sampling) ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง การศึกษาระดับปริญญาตรี มีอายุ 21-30 ปี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 25,000 บาท ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และมีสถานภาพโสด แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางการเงินค่อนข้างมั่นคง และเป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง ด้านปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ พบว่า ส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.68 (S.D. = 0.384) เมื่อนำปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์มากระจายรายประเด็นใน 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว มีค่าเฉลี่ย 4.75 (S.D. = 0.401) ด้านการให้บริการแบบเจาะจง มีค่าเฉลี่ย 4.71 (S.D. = 0.411) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย มีค่าเฉลี่ย 4.70 (S.D. = 0.346) ตามลำดับ การตัดสินใจซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ผู้ที่ซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่อยู่ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ อายุ 18 ปีขึ้นไป ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.36 (S.D. = 0.544) เมื่อนำการตัดสินใจซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากระจายรายประเด็นใน 3 ลำดับแรก ได้แก่ การซื้อไม้มงคลผ่านในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีความง่ายและสะดวก มีค่าเฉลี่ย 4.63 (S.D. = 0.591) การซื้อไม้มงคลผ่านในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉลี่ย 4.46 (S.D. = 0.649) เปรียบเทียบราคาของไม้มงคลก่อนที่ตัดสินใจซื้อไม้มงคลผ่านในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉลี่ย 4.39 (S.D. = 0.763) ตามลำดับ และความผันแปรของการตัดสินใจซื้อไม้มงคลในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ร้อยละ 14.3 (𝑅<sup>2</sup>= 0.143) ซึ่งตัวแปรที่นำมาเพื่อทำการพยากรณ์ประกอบด้วย ส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านการส่งเสริมการตลาด</p> <p> การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากตลาดทั่วไป รวมถึงการกำหนดราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่า จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อไม้มงคลทางออนไลน์ได้มากขึ้น โดยร้านค้าออนไลน์ควรให้ความสำคัญกับการนำเสนอรายละเอียดของไม้มงคลให้ชัดเจน ทั้งในแง่ของคุณภาพ ความเป็นมงคล และวิธีการดูแล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ ในขณะเดียวกันควรมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้อง เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริง วิดีโอรีวิว หรือโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265319
การอนุรักษ์ขิงพระพุทธบาท (Zingiber brachystachys Triboun & K. Larsen) พืชถิ่นเดียวของไทยในสภาพปลอดเชื้อ
2025-01-27T09:04:17+07:00
พัฒน์นรี รักษ์คิด
padnaree.r@gmail.com
พัชร ปิริยะวินิตร
phat87_ka@yahoo.com
ปราโมทย์ ไตรบุญ
tribountree@gmail.com
<p> การศึกษาการอนุรักษ์ขิงพระพุทธบาท (<em>Zingiber brachystachys</em> Triboun & K. Larsen) พืชวงศ์ขิงซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของไทยที่พบได้ในพื้นที่จำเพาะและมีการกระจายพันธุ์เฉพาะในบริเวณพื้นที่ที่จำกัด พืชชนิดนี้มีการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ส่วนของลำต้นและเหง้ามีน้ำมันหอมระเหยจึงอาจมีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจในอนาคต การอนุรักษ์ทรัพยากรพืชถิ่นเดียวด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อเก็บรักษาพรรณพืชที่หายากซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสูญหาย อาจเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งการทดลองนี้จึงได้ศึกษาเทคนิคการขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มปริมาณและอนุรักษ์ต้นขิงพระพุทธบาทในสภาพปลอดเชื้อ โดยเพาะเลี้ยงหน่ออ่อนบนอาหารที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต ได้แก่ NAA ร่วมกับ BA จำนวน 12 สูตร การทดลองพบว่าอาหารที่สามารถชักนำให้เกิดยอดใหม่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้มากที่สุดคือ อาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 3 มก./ล. โดยชักนำให้เกิดยอดใหม่ได้เฉลี่ย 20.9 ยอด/ ชิ้นส่วนพืช และเมื่อเพาะเลี้ยงขิงพระพุทธบาทบนอาหารเพื่อชะลอการเจริญเติบโต โดยปรับระดับความเข้มข้นของอาหารเพาะเลี้ยงร่วมกับน้ำตาลซูโครสจำนวน 12 สูตร พบว่าสามารถชะลอการเจริญเติบโตในสภาพปลอดเชื้อได้นานมากกว่า 8 เดือน โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายอาหารใหม่เมื่อเพาะเลี้ยงบนอาหารทั้งสองสูตร คือ ½MS หรือ ¼MS ร่วมกับการเติมน้ำตาลซูโครส 15 ก./ล.</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265317
เทคนิคการขยายและอนุรักษ์พันธุกรรมภูมิพลินทร์ (Paraboea bhumiboliana Triboun & Chuchan) ในสภาพปลอดเชื้อ
2025-03-14T18:24:49+07:00
พัชร ปิริยะวินิตร
phatchara.p@doa.in.th
พัฒน์นรี รักษ์คิด
padnaree.r@gmail.com
ปราโมทย์ ไตรบุญ
tribountree@gmail.com
<p> ภูมิพลินทร์ เป็นพืชวงศ์แอฟริกันไวโอเลต (Gesneriaceae) ซึ่งจัดเป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย มีการกระจายในพื้นที่จำกัด โดยเฉพาะบริเวณยอดเขาหินปูนในจังหวัดลำพูน และจังหวัดตาก ในการศึกษานี้ได้ศึกษาเทคนิคการขยายพันธุ์ภูมิพลินทร์ โดยเริ่มจากการศึกษาเทคนิคฟอกฆ่าเชื้อภูมิพลินทร์ ด้วยการใช้ฝักผ่านไฟฆ่าเชื้อ การใช้น้ำที่นึ่งฆ่าเชื้อ และการใช้สารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H<sub>2</sub>O<sub>2</sub>) เข้มข้น 5% ผลการศึกษา พบว่า วิธีจุ่มฝักในเอทานอล 95% ตามด้วยการผ่านไฟฆ่าเชื้อ และเคาะเมล็ดเลี้ยงบนอาหาร เป็นวิธีที่เหมาะสม ทำให้ได้ต้นอ่อนที่ปลอดการปนเปื้อนได้ถึง 55.55% ในการศึกษาการเพิ่มปริมาณยอดภูมิพลินทร์ โดยเลี้ยงต้นอ่อนบนอาหารสูตร Murashige and Skoog (MS) ที่เติม 2,4-Dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D) ร่วมกับ Benzyladenine (BA) เข้มข้น 3 ระดับ คือ 0 0.1 และ 1.0 มก./ล. ผลการศึกษา พบว่า การเลี้ยงต้นอ่อนบนอาหารสูตร MS ที่เติม 2,4-D เข้มข้น 0.1 มก./ล. ร่วมกับการเติม BA เข้มข้น 0.1 มก./ล. สามารถชักนำให้เกิดยอดที่สมบูรณ์ เฉลี่ย 12.1 ยอด/ชิ้นพืชทดลอง สำหรับการศึกษาวิธีชะลอการเจริญเติบโตของภูมิพลินทร์ ทำโดยเลี้ยงยอดภูมิพลินทร์บนสูตรอาหาร MS 1/2 MS 1/4 MS และ 1/8 MS ผลการศึกษา พบว่า การเลี้ยงยอดบนอาหารสูตร 1/2 MS สามารถชะลอการเจริญเติบโต โดยพืชคงความมีชีวิตได้นานถึง 12 เดือน แม้ปราศจากการเปลี่ยนถ่ายอาหาร และสามารถพัฒนาเป็นต้นใหม่ได้</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/264751
การประเมินผลผลิต องค์ประกอบผลผลิต และลักษณะทางการเกษตรบางประการ ของฝ้ายสีธรรมชาติสายพันธุ์ดีเด่น
2024-12-26T14:45:01+07:00
อำไพ พรหมณเรศ
ijsapr@ku.ac.th
แสงแข น้าวานิช
ajournal@kmitl.ac.th
ถวิล นิลพยัคฆ์
ajournal@kmitl.ac.th
ณัฐณิชา สิทธิเดช
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษาเพื่อประเมินศักยภาพในการให้ผลิต องค์ประกอบผลผลิต และลักษณะทางการเกษตรบางประการของฝ้ายสีธรรมชาติสายพันธุ์ดีเด่นที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่โดยศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ จำนวน 8 สายพันธุ์ ร่วมกับพันธุ์ทดสอบ 2 พันธุ์คือ Dora11 และศรีสำโรง 60 [SSR60] ในฤดูต้นฝน ปี 2565 ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จ.นครราชสีมา วางแผนการทดลองแบบสุ่มภายในบล็อกสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ ปลูก 25 ต้น/แถว 4 แถว/หน่วยทดลอง และเก็บข้อมูลผลการทดลองจาก 2 แถวกลาง พบว่า 9 จาก 11 ลักษณะของพันธุ์/สายพันธุ์ฝ้ายที่ปลูกทดสอบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ประกอบด้วยอายุสมอเปิด 50% (107-114 วัน) ความสูงต้น (135-164 เซนติเมตร) จำนวนกิ่งกระโดง (1.2-3.4 กิ่ง/ต้น) จำนวนกิ่งผล (12.3-14.6 กิ่ง/ต้น) น้ำหนักเมล็ด (8.2-13.4 กรัม/100 เมล็ด) น้ำหนักสมอ (4.28-5.71 กรัม/สมอ) ผลผลิตปุยฝ้ายติดเมล็ด (194-262 กิโลกรัม/ไร่) ผลผลิตปุยฝ้าย (70-108 กิโลกรัม/ไร่) และเปอร์เซ็นต์ปุย (30.9-41.9%) ขณะที่อายุดอกบาน 50% (53-55 วัน) และจำนวนสมอ/ต้น (51.7-58.3 สมอ/ต้น) คือ 2 ลักษณะที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ฝ้ายสีธรรมชาติสายพันธุ์ W535, W537 และ W536 มีแนวโน้มให้ผลผลิตปุยฝ้ายสูงกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ Dora11 และศรีสำโรง 60 คือ ให้ผลผลิตปุยฝ้าย 108, 105, 103, 93 และ 80 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ ขณะที่ฝ้ายสีธรรมชาติสายพันธุ์อื่นๆ 5 สายพันธุ์ให้ผลผลิตปุยฝ้ายระหว่าง 70-94 กิโลกรัม/ไร่</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/266277
การศึกษาเบื้องต้นเพื่อใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในการเพาะเส้นใยเห็ดฟาง
2025-03-26T13:50:55+07:00
ณัฐวุฒิ รุ่งจินดามัย
nattawut.ru@kmitl.ac.th
วริศรา บุญลาภงามมณี
ajournal@kmitl.ac.th
วรัญญา ครุธพันธ์
ajournal@kmitl.ac.th
พัชรนันท์ เลากลาง
ajournal@kmitl.ac.th
<p> ในปัจจุบันหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีการเผาเพื่อกำจัดและทำลายวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 5 ชนิด เพื่อนำมาเพาะเลี้ยงเส้นใยเห็ดฟาง ประกอบด้วย ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด ชานอ้อย แกลบ และกากกาแฟ โดยเริ่มจากการแยกเชื้อเห็ดฟาง จากดอกเห็ดสด เพื่อให้ได้เชื้อเห็ดบริสุทธิ์ และนำไปใช้เป็นหัวเชื้อตั้งต้นในการศึกษา หลังจากนั้นเพาะเลี้ยงเส้นใยเห็ดฟางลงบนอาหารเลี้ยงเชื้อที่ผสมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทั้ง 5 ชนิด แล้วบ่มที่อุณหภูมิ 25°C เป็นเวลา 6 วัน เมื่อครบเวลาจึงวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นใยเห็ดฟาง สำหรับวัสดุทั้ง 5 ชนิด พบว่าเส้นใยเห็ดฟางเจริญได้ดีที่สุดบนอาหารสูตรที่ผสมฟางข้าวและเปลือกข้าวโพด จึงคัดเลือกวัสดุทั้งสองชนิดนี้เพื่อนำไปทดสอบเพาะเลี้ยงเส้นใยของเห็ดฟางในขวดโหลแก้ว โดยแบ่งเป็น 3 กรรมวิธี ได้แก่ (1) เปลือกข้าวโพด (2) ฟางข้าว และ (3) ฟางข้าวผสมเปลือกข้าวโพด (อัตราส่วน 1:1) โดยเลี้ยงเส้นใยเห็ดฟางในวัสดุต่างๆ แล้วบ่มที่อุณหภูมิ 25°C เป็นเวลา 8 สัปดาห์ บันทึกผลความหนาแน่นของการสร้างเส้นใยบนวัสดุ พบว่าเส้นใยของเห็ดฟางไม่สามารถเจริญบนวัสดุเพาะเปลือกข้าวโพดได้ แต่สามารถเจริญบนวัสดุเพาะฟางข้าวได้ และพบว่าเส้นใยของเห็ดฟางเจริญบนวัสดุเพาะฟางข้าวผสมเปลือกข้าวโพดได้ดีที่สุด สามารถสรุปผลการวิจัยได้ว่าเปลือกข้าวโพดมีศักยภาพในการใช้เพื่อเป็นทางเลือกในการนำมาเป็นส่วนผสมกับฟางข้าวเพื่อใช้เป็นวัสดุเพาะเลี้ยงเห็ดฟางได้</p>
2025-09-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/266254
กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันสู่เกษตรกรอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง
2025-03-27T09:00:12+07:00
เสาวณีย์ เล็กบางพง
apinya.r@psu.ac.th
อภิญญา รัตนไชย
ajournal@kmitl.ac.th
ทัศนี ขาวเนียม
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและการประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันของเกษตรกรอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ประชากรเป็นเกษตรกรผู้ปลูกขมิ้นชันในอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง จำนวน 118 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษา สรุปผลได้ดังนี้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีดำเนินการด้วยวิธีการเชิงระบบ ประกอบด้วย การประเมินความจำเป็น การพัฒนาและการถ่ายทอด และการประเมินผล ในขั้นประเมินความจำเป็น พบว่า เกษตรกรมีความต้องการเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชันในด้านการป้องกันและการควบคุมศัตรูพืชมากกว่าด้านอื่น ๆ โดยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 2.33) วิธีการที่เกษตรกรต้องการให้ใช้มากที่สุด คือ การไปเยี่ยมเยือนที่ฟาร์ม การรณรงค์ และ การสาธิต สื่อที่ต้องการประกอบการถ่ายทอดมากที่สุด คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ อินเทอร์เน็ต และแผ่นพับ ขั้นตอนการพัฒนาและถ่ายทอดได้ประเมินระดับความรู้เกษตรกรก่อนได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี พบว่า มีความรู้ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 5.66 คะแนน ดำเนินการถ่ายทอดโดยใช้การบรรยาย การสาธิต และการซักถามในขั้นประเมินผล มีการประเมินดังนี้ 1) ระดับความรู้ พบว่า เกษตรกรมีความรู้เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 13.24 คะแนน โดยความรู้ก่อนและหลังรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติ 0.01 2) ความพึงพอใจการถ่ายทอดเทคโนโลยี พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุดทุกด้าน ค่าเฉลี่ย 4.36 โดยด้านเนื้อหาในการถ่ายทอด ค่าเฉลี่ย 4.39 เท่ากับด้านวิทยากร ด้านสถานที่ ค่าเฉลี่ย 4.37 และด้านประโยชน์ที่ได้รับ ค่าเฉลี่ย 4.36 นอกจากนี้ปัจจัยด้านสถานภาพการสมรส มีผลต่อความพึงพอใจในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นชัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ข้อเสนอแนะ คือ ควรดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีหัวข้อการป้องกันและการควบคุมศัตรูพืชอย่างต่อเนื่อง และควรติดตามว่าเกษตรกรมีการนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-09-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265569
การประเมินผลการอบรมเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตสมุนไพรและพืชผักปลอดภัย จากสารพิษ จังหวัดสมุทรปราการ
2025-03-17T07:42:46+07:00
นภัสสร น้อยสุวรรณ์
64040077@kmitl.ac.th
สุณีพร สุวรรณมณีพงศ์
suneeporn.su@kmitl.ac.th
วิศรุต ตุ้ยศักดา
ajournal@kmitl.ac.th
ศักดิ์ดา พรมหา
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลการฝึกอบรมของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตสมุนไพรและพืชผักปลอดภัยจากสารพิษ โดยเปรียบเทียบระดับความรู้ก่อนและหลังการอบรม 2) ศึกษาการนำความรู้จากการอบรมไปปฏิบัติจริง และ 3) ประเมินความพึงพอใจของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยการเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 60 ราย ซึ่งมีพื้นที่การดำเนินโครงการ 4 จุด ในจังหวัดสมุทรปราการ และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและT-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 เพื่อเปรียบเทียบระดับความรู้ของเกษตรกรก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรม ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรมีระดับความรู้ก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับสูงร้อยละ 50.00 และมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 81.67 หลังการฝึกอบรม โดยมีค่าเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ยก่อนการฝึกอบรมที่ 13.15 เป็นค่าเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมที่ 16.85 (p < .01) จาก 13.15 เป็น 16.85 (p < .01) โดยเกษตรกรนำความรู้ไปปฏิบัติจริงมากที่สุดในด้านการเก็บเกี่ยวและการจัดการดูแลหลังเก็บเกี่ยว (ร้อยละ 80.00) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมแสดงความพึงพอใจในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 4.33) ซึ่งบ่งชี้ว่าการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตสมุนไพรและพืชผักปลอดภัยจากสารพิษ จังหวัดสมุทรปราการประสบความสำเร็จ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรขยายผลกิจกรรมการอบรมไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป</p>
2025-09-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265568
การพัฒนาฉลากสินค้าปลาดุกเส้นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
2025-01-29T10:12:51+07:00
ปภาวรินทร์ นุริตนนท์
64040097@kmitl.ac.th
ฉันท์หทัย เกิดศรีเสริม
Chanhathai.ke@kmitl.ac.th
อัชดา มนต์เทวัญ
ajournal@kmitl.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการในการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ปลาดุกเส้นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา ตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 2) พัฒนาฉลากสินค้าปลาดุกเส้น และ 3) ประเมินระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีต่อฉลากสินค้าที่พัฒนาขึ้น โดยการใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไทรพัฒนา จำนวน 17 คน และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามผู้บริโภค จำนวน 151 คน ผลการวิจัย พบว่า ฉลากสินค้าเดิมยังขาดความน่าสนใจ เนื่องจากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังไม่สามารถสะท้อนภาพลักษณ์หรือเอกลักษณ์ของชุมชนได้อย่างชัดเจน จึงได้ดำเนินการพัฒนาแบบฉลากสินค้าใหม่จำนวน 5 คู่ แบ่งออกเป็น 2 รสชาติ ได้แก่ รสหวาน 5 แบบ และรสดั้งเดิม 5 แบบ โดยใช้สีสัน ลวดลาย และภาพประกอบที่สื่อถึงรสชาติและธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ จากผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความพึงพอใจต่อฉลากที่พัฒนาอยู่ในระดับมาก (x̄= 3.75) โดยเฉพาะในด้านรายละเอียดสินค้า ความเป็นเอกลักษณ์ของฉลาก และภาพลักษณ์โดยรวม การออกแบบฉลากใหม่นี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดภาพลักษณ์เชิงลบของปลาดุก และเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาฉลากสินค้าชุมชนอื่น ๆ ที่ต้องการสร้างความแตกต่าง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/266618
ผลของระดับความเข้มข้นคาเฟอีนและระยะเวลาการอุ่นที่แตกต่างกันต่อคุณภาพน้ำเชื้อพ่อพันธุ์สุกร จากการเก็บรักษา 3 วัน
2025-04-27T15:08:58+07:00
วรรณลักษณ์ ถาวร
wannaluk.333@gmail.com
เฉลิมพร จิระปัญญาเลิศ
ajournal@kmitl.ac.th
กิตติพงษ์ ทิพยะ
ajournal@kmitl.ac.th
วิวัฒน์ พัฒนาวงศ์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> ในการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระดับความเข้มข้นของคาเฟอีนและระยะเวลาในการอุ่นน้ำเชื้อต่อคุณภาพน้ำเชื้อของพ่อพันธุ์สุกร โดยทำการรีดน้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์สุกร 4 ตัว ตัวละ 3 ครั้ง แล้วเจือจางด้วยสารละลายเจือจางน้ำเชื้อ Beltsville Thawing Solution (BTS) และเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 17°C เป็นเวลา 3 วัน ออกแบบการทดลองแบบ Factorial in RCBD โดยมีปัจจัยคือระดับคาเฟอีน (0, 10 และ 100 µg/mL) และระยะเวลาอุ่นน้ำเชื้อที่ 37°C (5, 15 และ 30 นาที) ทำการประเมินคุณภาพน้ำเชื้อ ได้แก่ การเคลื่อนที่ ความผิดปกติ และจลศาสตร์การเคลื่อนที่ ผลการทดลองพบอิทธิพลร่วมระหว่างระดับคาเฟอีนและระยะเวลาอุ่นน้ำเชื้อมีต่อค่าการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า (Progressive) และความผิดปกติที่มีหยดน้ำส่วนโคนหาง (Proximal Droplet) (P<0.05) โดยคาเฟอีนระดับ 100 µg/mL ส่งผลให้เปอร์เซ็นต์ Progressive และ Proximal Droplet สูงสุด (P<0.05) การอุ่นน้ำเชื้อเป็นเวลา 15 นาที เพิ่มค่า Progressive, ความผิดปกติบริเวณกึ่งกลางของอสุจิ (DMR) และ Proximal Droplet สูงสุด (P<0.05) ขณะที่การอุ่นน้ำเชื้อเป็นเวลา 5 นาที ให้ค่าการเคลื่อนที่โดยรวมสูงสุด (P<0.05) ด้านจลศาสตร์การเคลื่อนที่พบว่าระยะเวลาอุ่นมีผลต่อค่าความตรงของการเคลื่อนที่ (STR), ขนาดของการแกว่งของหัวอสุจิ (LIN), ความถี่ของการแกว่งหาง (BCF) และความแกว่งของการเคลื่อนที่ (WOB) (P<0.05) โดย 15 และ 30 นาที ให้ค่า STR และ BCF สูงกว่า 5 นาที ส่วนค่า LIN สูงสุดที่ 15 นาที และ WOB สูงสุดที่ 30 นาที (P<0.05) คาเฟอีนระดับ 100 µg/mL เพิ่มค่า Proximal Droplet และ ขนาดของการแกว่งของหัวอสุจิ (ALH) แต่ระดับ 0 µg/mL ให้ค่า BCF สูงที่สุด (P<0.05)</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/265494
ผลของการใช้ปุ๋ยต่อผลผลิตและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของถั่วเขียวที่ปลูกในดินร่วนปนทราย จังหวัดชัยนาท
2025-01-14T10:38:03+07:00
สายน้ำ อุดพ้วย
sainam.udpuay@hotmail.co.th
นุชนาฏ ตันวรรณ
ajournal@kmitl.ac.th
วิลัยรัตน์ แป้นแก้ว
ajournal@kmitl.ac.th
สมฤทัย ตันเจริญ
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยต่อสมบัติของดิน การดูดใช้ธาตุอาหาร ผลผลิต และเปรียบเทียบต้นทุนและผลการตอบแทนจากการใช้ปุ๋ยในการผลิตถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 3 ปลูกในสภาพหลังเก็บเกี่ยวข้าว ในดินร่วนปนทราย จังหวัดชัยนาท วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อก (Randomized complete block design; RCBD) จำนวน 5 ซ้ำ 4 ตำรับการทดลอง ดังนี้ ตำรับที่ 1 ไม่ใส่ปุ๋ยเป็นตำรับควบคุม ตำรับที่ 2 พ่นปุ๋ยทางใบ ด้วยปุ๋ยเกล็ดสูตร 25–5–5 และ 15–30–15 อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ตำรับที่ 3 ใส่ปุ๋ยเคมี อัตรา 4.5–3–3 กิโลกรัม N–P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>–K<sub>2</sub>O ต่อไร่ และตำรับที่ 4 ใส่ปุ๋ยเคมี อัตรา 4.5–3–3 กิโลกรัม N–P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>–K<sub>2</sub>O ต่อไร่ + ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม เก็บข้อมูลสมบัติของดิน มวลชีวภาพส่วนเหนือดิน การดูดใช้ธาตุอาหารพืช และผลผลิต ผลการศึกษา พบว่า สมบัติของดินหลังปลูก องค์ประกอบผลผลิต มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน และการดูดใช้ธาตุอาหารหลัก ไม่แตกต่างกันระหว่างตำรับการทดลอง (p>0.05) ยกเว้นปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (p<0.05) การใส่ปุ๋ย อัตรา 4.5–3–3 กิโลกรัม N–P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>–K<sub>2</sub>O ต่อไร่ + ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม ทำให้ความสูงต้น (p<0.01) และผลผลิต (p<0.05) สูงสุด ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การปลูกถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 3 ในดินร่วนปนทราย ชุดดินเดิมบาง จำเป็นต้องใช้ปุ๋ย โดยอาจพ่นปุ๋ยทางใบเพียงอย่างเดียว (ปุ๋ยเกล็ดสูตร 25–5–5 และ 15–30–15) หรือ การใช้ปุ๋ยเคมี อัตรา 4.5–3–3 กิโลกรัม N–P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>–K<sub>2</sub>O ต่อไร่ หรือใช้ปุ๋ยเคมี อัตรา 4.5–3–3 กิโลกรัม N–P<sub>2</sub>O<sub>5</sub>–K<sub>2</sub>O ต่อไร่ + ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียม และเมื่อพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ พบว่า การพ่นปุ๋ยทางใบให้ผลตอบแทนต่อหน่วยลงทุนมากที่สุด เท่ากับ 4.20</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า