https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/issue/feed
วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
2024-11-22T13:38:58+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ผุสดี ตังวัชรินทร์
ajournal@kmitl.ac.th
Open Journal Systems
<p align="center"> </p> <p><img src="https://li01.tci-thaijo.org/public/site/images/agritechadmin/1_Page_1.jpg" width="249" height="348" /></p> <h3>วารสารเกษตรพระจอมเกล้า</h3> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรพระจอมเกล้า (King Mongkut’s Agricultural Journal) เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางด้านเกษตรศาสตร์ เช่น พืชศาสตร์ ปฐพีศาสตร์ สัตวศาสตร์ วิทยาศาสตร์การประมง อารักขาพืช เทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร(เนื้อสัตว์) เศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร การทำฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร นิเทศศาสตร์เกษตร และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร</p> <p style="text-align: justify;"> ผู้เขียนสามารถส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและผู้สนใจสามารถเข้าถึงบทความที่เผยแพร่ในวารสารได้ทางเว็ปไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย</p> <p style="color: blue;"> </p> <p style="font-size: 18px;"><strong>เกณฑ์การตรวจพบความซ้ำซ้อน</strong></p> <p style="text-align: justify;"> บทความที่ตรวจพบความซ้ำซ้อนเกินร้อยละ 30 โดยโปรแกรม Turnitin จะไม่ได้รับการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป</p>
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254989
อัตราการผสมติดในแม่โคนมที่ได้รับอุปกรณ์ควบคุมการปลดปล่อยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแบบใช้ครั้งแรกหรือใช้ซ้ำในโปรแกรมกำหนดเวลาการผสมเทียม
2023-04-01T08:14:58+07:00
มลรัฐ แสงเกตุ
pondforex39@gmail.com
ปุณณะวุทฒ์ ยะมา
punnawut_y@cmu.ac.th
ณรงค์ฤทธิ์ ใจพลแสน
narongrit_j06@hotmail.com
ทศพล มูลมณี
tossapol.m@cmu.ac.th
ศิวัช สังข์ศรีทวงษ์
siwat@biotec.or.th
<p> อุปกรณ์ควบคุมการปลดปล่อยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (controlled internal drug release ; CIDR) ถูกใช้สำหรับการจัดการการสืบพันธุ์ในโคนม โดยภายหลังการใช้ CIDR เป็นระยะเวลา 7-8 วัน สามารถนำ CIDR มาใช้ซ้ำได้เมื่อฆ่าเชื้อเพื่อลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นวัตุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบอัตราการตั้งท้องในแม่โคนมที่ได้รับ CIDR แบบใช้ครั้งแรก ครั้งที่สอง และครั้งที่สามในโปรแกรมกำหนดเวลาการผสมเทียม (TAI) แม่โคนมทั้งหมด 783 ตัว ได้รับโปรแกรมฮอร์โมนแบบระยะสั้น (9.5 วัน) ด้วยการสอด CIDR เป็นระยะ 7 วัน ในวันเริ่มต้นโปรแกรม TAI แม่โคถูกสุ่มเข้าสู่กลุ่มการทดลอง 3 กลุ่ม คือ ได้รับอุปกรณ์ CIDR แบบใช้ครั้งแรก (n = 312) แบบใช้ครั้งที่สอง (n = 233) และแบบใช้ครั้งที่สาม (n = 238) แม่โคในทุกกลุ่มได้รับการผสมเทียมในวันที่ 9.5 ของในโปรแกรม TAI และวินิจฉัยการตั้งท้องโดยใช้เทคนิคอัลตราซาวด์ในวันที่ 30 และ 60 หลังการผสมเทียม ผลพบว่า การใช้อุปกรณ์ CIDR แบบครั้งแรก ครั้งที่สอง และครั้งที่สามไม่ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (P > 0.05) อัตราการผสมติดในวันที่ 30 (28.8% เทียบกับ 25.3% เทียบกับ 28.2% ตามลำดับ) และวันที่ 60 (26.9% เทียบกับ 24.5% เทียบกับ 27.7% ตามลำดับ) หลังการผสมเทียม และอัตราการตายของตัวอ่อนไม่แตกต่าง (P > 0.05) ระหว่างแม่โคที่ได้รับอุปกรณ์ CIDR แบบใช้ครั้งแรก ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม (6.7% เทียบกับ 3.4% เทียบกับ 1.5% ตามลำดับ) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ CIDR สามารถใช้ได้อย่างน้อย 3 ครั้งในโปรแกรมกำหนดเวลาการผสมเทียมในแม่โคนม</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/258893
การใช้แพลงก์ตอนพืชชนิดเด่นในการประเมินคุณภาพแหล่งน้ำ: กรณีศึกษาแหล่งน้ำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
2023-07-25T16:47:13+07:00
ณัฐพงษ์ เอียดเต็ม
natthapong.i@hotmail.com
สิรภพ อบแพทย์
ajournal@kmitl.ac.th
พงศ์ธร แสงชูติ
Phongthon.s@ubu.ac.th
มธุรา อ่างแก้ว
ajournal@kmitl.ac.th
ชุติ อากาศะชาติ
ajournal@kmitl.ac.th
<p> งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการใช้แพลงก์ตอนพืชชนิดเด่นเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพแหล่งน้ำจากการเก็บตัวอย่างจำนวน 6 สถานี (S1-S6) ผลการศึกษาพบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 6 ดิวิชัน 34 สกุล ได้แก่ ดิวิชัน Euglenophyta, Chlorophyta, Bacillariophyta, Chromophyta และ Pyrrhophyta แพลงก์ตอนพืชสกุลเด่นที่พบ ได้แก่ Euglena, Phacus และ Tetraedron โดยการวิเคราะห์หาค่าคะแนนสำหรับการประเมินคุณภาพน้ำด้วย AARL-PP Score โดยใช้แพลงก์ตอนสกุลเด่น 3 สกุล ผลการประเมินพบว่า จุดเก็บตัวอย่าง S1-S4 คุณภาพน้ำส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง และจุดเก็บตัวอย่าง S5-S6 คุณภาพน้ำอยู่ในระดับปานกลางถึงไม่ดี ค่อนข้างสกปรก สำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติในการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างแพลงก์ตอนพืชชนิดเด่นกับคุณภาพน้ำโดยวิธีการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบแพลงก์ตอนพืช ดิวิชันเด่นที่สุดคือ ดิวิชัน Cyanophyta (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ซึ่งพบสกุลเด่น คือ Merismopedia มีค่าความสัมพันธ์กับค่าความโปร่งแสง ค่าความเค็ม ปริมาณคลอโรฟิลล์เอ และปริมาณฟอสเฟตละลายน้ำ และสกุล Oscillatoria มีค่าความสัมพันธ์กับปริมาณของแข็งแขวนลอยทั้งหมด ปริมาณคลอโรฟิลล์เอ ความโปร่งแสง ค่าความเป็นกรด-ด่าง อุณหภูมิ และปริมาณแอมโมเนียม–ไนโตรเจน ซึ่งความสัมพันธ์บ่งชี้ถึงความเหมาะสมการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืชได้รวดเร็วจากคุณภาพน้ำที่ลดลง เมื่อพิจารณาคุณภาพน้ำตามมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินสามารถจัดคุณภาพน้ำอยู่ในประเภทที่ 3 </p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/250833
รูปแบบและปัญหาในระบบการผลิตยางพาราและไม้ผล: ภาพสะท้อนจากชุมชนทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล
2022-01-01T08:35:50+07:00
บัญชา สมบูรณ์สุข
ajournal@kmitl.ac.th
ปุรวิชญ์ พิทยาภินันท์
purawich.p@gmail.com
<p> ยางพาราและไม้ผลเป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจของชุมชนทุ่งนุ้ย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและปัญหาในระบบการผลิตยางพาราและไม้ผลของเกษตรกรชาวสวนยางในชุมชนทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล รวบรวมข้อมูลปฐมภูมิด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสนทนาตามธรรมชาติ กลุ่มตัวอย่างคือเกษตรกรชาวสวนยางที่มีระบบการผลิตยางพาราและไม้ผลจำนวน 256 ราย ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหาที่ปรากฏ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรชาวสวนยางมีประสบการณ์การทำสวนยางพาราและไม้ผลสูง ระบบการผลิตยางพาราและไม้ผลมี 4 รูปแบบ ไม้ผลที่ปลูกคือ เงาะ ลองกอง มังคุด ทุเรียน และจำปาดะ การปลูกมี 2 รูปแบบคือ 1) ปลูกไม้ผลในแปลงเดียวกันกับยางพารา และ 2) ปลูกไม้ผลต่างแปลงกับยางพารา วัตถุประสงค์หลักของระบบการผลิตยางพาราและไม้ผลคือ เพื่อเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน ผลผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายให้กับพ่อค้าคนกลาง ปัญหาที่สำคัญในการประกอบอาชีพ ได้แก่ ราคาผลผลิตตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง เงินทุนไม่เพียงพอสำหรับการลงทุน การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง โรคพืช ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ แรงงานครัวเรือนมีอายุมาก/สูงอายุ กลุ่มไม่เข้มแข็ง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรกำหนดแผนส่งเสริมระบบการผลิตยางพาราและไม้ผล เพื่อลดความเสี่ยงจากราคายางพาราและไม้ผลที่ผันผวน</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/256928
พฤติกรรมและความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมสด พาสเจอร์ไรส์ของผู้บริโภคในจังหวัดสุโขทัย
2023-07-04T13:22:47+07:00
ธนวันต์ ศรีสม
62604042@kmitl.ac.th
ดวงกมล ธรรมาธิวัฒน์
ajournal@kmitl.ac.th
สุณีพร สุวรรณมณีพงศ์
ajournal@kmitl.ac.th
จีรนันท์ เขิมขันธ์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ของผู้บริโภค 2) ศึกษาความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ของผู้บริโภค 3) เปรียบเทียบข้อมูลส่วนบุคคลกับพฤติกรรมผู้บริโภค และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมซื้อผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ แบรนด์ ดัชมิลล์ รสจืด โดยจะซื้อทุกสัปดาห์ ช่วงเวลา 09.01 - 12.00 น. สถานที่จัดจำหน่ายที่ผู้บริโภคนิยมซื้อมากที่สุดคือ ร้านค้าทั่วไป ซื้อครั้งละ 2 - 3 ขวด ปริมาณ 180 มล./ขวด ซึ่งบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ ตนเอง นอกจากนี้ผู้บริโภคมีความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอร์ไรส์ทุกด้าน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมา คือ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาด ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบข้อมูลทั่วไปกับพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างกัน และ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านการส่งเสริมการตลาด ที่แตกต่างกัน</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/258152
ปริมาณรังสีแกมมาที่เหมาะสมสำหรับชักนำอโกลนีมาให้เปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยา
2023-05-31T14:09:41+07:00
วุฒิพงษ์ แปงใจ
pangjai@aru.ac.th
พัฒนา ฮุนเนอร์
pattana@cri.or.th
<p> การสร้างความแปรปรวนของลักษณะทางสัณฐานวิทยาด้วยการฉายรังสีแกมมาแบบเฉียบพลัน ช่วยให้การพัฒนาพันธุ์ อโกลนีมาตรงตามความต้องการของตลาดได้ เพื่อให้เกิดความแปรปรวนสูงสุดจึงหาปริมาณรังสีที่เหมาะสมโดยฉายรังสีแกมมาปริมาณ 1-7 Gy แก่ลำต้นอโกลนีมา ผลการทดลองพบการเจริญเติบโตของอโกลนีมาลดลงร้อยละ 50 (GR<sub>50</sub>) เมื่อได้รับรังสี 3.25 Gy และมีอัตราการตายร้อยละ 50 (LD<sub>50</sub>) เมื่อได้รับรังสี 4.5 Gy ซึ่งการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรุ่น M<sub>1</sub>V<sub>2</sub> สูงที่สุดร้อยละ 35 เมื่อได้รับรังสี 3 Gy โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่พบจากมากไปน้อยคือ สี ขนาด และรูปร่างของใบ จากนั้นทดสอบอิทธิพลของพันธุ์อโกลนีมาต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยา โดยฉายรังสีแกมมา 3 Gy แก่อโกลนีมาพันธุ์<br />อัญมณีแดง หลักทรัพย์ และกวักทอง พบอัตราการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยาในแต่ละพันธุ์แตกต่างกันและมีค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงร้อยละ 60 เมื่อพิจารณาความผิดปกติของรูปร่างและสีใบในรุ่น M<sub>1</sub>V<sub>2</sub> พบเปลี่ยนแปลงลักษณะทาง สัณฐานวิทยารุนแรงในใบที่ 1 แต่เริ่มคงตัวในใบที่ 3 โดยมีค่าประสิทธิผลการกลายพันธุ์เฉลี่ยจาก 3 พันธุ์ร้อยละ 14 เมื่อคัดเลือกต้นที่พบการเปลี่ยนแปลงขนาดใบและสีใบไปตรวจลักษณะผิวใบ พบบางต้นมีการเปลี่ยนแปลงขนาดปากใบและขนาดเซลล์คุม แต่ความหนาแน่นของปากใบเปลี่ยนไปทุกต้น ดังนั้นปริมาณรังสี 3 Gy จึงเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับชักนำให้อโกลนีมาเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยาได้ในอัตราสูงสุด</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/257511
การผลิตไรน้ำนางฟ้าอาหารมีชีวิตสำหรับสัตว์น้ำและการถ่ายทอดสู่เกษตรกร
2023-05-31T09:11:41+07:00
จามรี เครือหงษ์
jamree.k@nsru.ac.th
ปิยะนารถ จันทร์เล็ก
ajournal@kmitl.ac.th
<p> ไรน้ำนางฟ้าเป็นแพลงก์ตอนสัตว์จำพวกกุ้งที่มีขนาดเล็ก มีคุณค่าทางโภชนาการและแคโรทีนอยด์สูง ไรน้ำนางฟ้าเป็นสัตว์น้ำที่กินอาหารโดยการกรองได้ทั้งอาหารที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ในประเทศไทยมีไรน้ำนางฟ้าอยู่ 3 ชนิดคือ ไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ไรน้ำนางฟ้าไทย และไรน้ำนางฟ้าสยาม ซึ่งไรน้ำนางฟ้าทั้ง 3 ชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกันทั้งในเรื่องของขนาดตัว สี และลักษณะของไข่ <strong> </strong>การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในประเทศไทยพบการเลี้ยงอยู่ 3 รูปแบบ คือใน บ่อซีเมนต์ บ่อดิน และกระชัง ซึ่งเป็นการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าให้เป็นตัวเต็มวัย การใช้ประโยชน์จากไรน้ำนางฟ้ามีทั้งรูปแบบของมีชีวิตและไม่มีชีวิตในรูปแบบแช่แข็ง และนำไปเป็นอาหารสัตว์น้ำสวยงามที่นิยมใช้ไรน้ำนางฟ้าเป็นอาหาร ได้แก่ ปลาทอง ปลาหมอสี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำไปใช้ทำเป็นอาหารเม็ดเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้แก่ กุ้งก้ามกราม ปลาทับทิม เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ไรน้ำนางฟ้ามีศักยภาพที่จะผลิตเป็นอาหารของสัตว์น้ำทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย หากมีการถ่ายทอดองค์ความรู้การเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าและการใช้ประโยชน์จากไรน้ำนางฟ้าให้กับเกษตรกรอย่างแพร่หลาย จะทำให้มีการใช้ประโยชน์จากไรน้ำนางฟ้าในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมากขึ้นและเกิดความยั่งยืนต่อไป</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/251871
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชันของชาสมุนไพรที่แปรรูปจากส่วนที่เหลือใช้ของสับปะรด
2023-05-28T11:46:57+07:00
ปรัศนีย์ กองวงค์
enjoy44303413@hotmail.com
วรรณิกา โม่งบุตร
ajournal@kmitl.ac.th
อรทัย บุญทะวงศ์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรจากส่วนที่เหลือใช้ของสับปะรดโดย เปรียบเทียบคุณภาพของส่วนที่เหลือใช้ของสับปะรด ได้แก่ ส่วนจุก (สีขาว) ส่วนแกนสับปะรด และใบที่ติดกับจุก และศึกษาการใช้อุณหภูมิในการอบแห้งที่ 60 และ 70 °C พบว่า สภาวะที่เหมาะสมสำหรับการอบแห้งคือ อุณหภูมิการอบแห้งที่ 60 °C นาน 6 ชั่วโมง เนื่องจาก มีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นสูงกว่าการใช้อุณหภูมิที่ 70 °C นาน 5 ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p£0.05) เมื่อเปรียบเทียบคุณภาพของส่วนที่เหลือใช้หลังจากการอบแห้ง พบว่า ส่วนจุก (สีขาว) ร้อยละ 100 เป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการแปรรูปเครื่องดื่มสมุนไพร โดยพบว่ามีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ปริมาณฟีนอลิก และฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นสูงกว่าส่วนใบที่ติดกับจุก และส่วนแกนสับปะรดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p£0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรทางการค้า พบว่าผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรจากส่วนที่เหลือใช้ของสับปะรดมีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรทางการค้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p£0.05)</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/258591
พัฒนาการและการสุกแก่ทางสรีรวิทยาของเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกผสมผลใหญ่
2023-10-05T16:00:30+07:00
ทวีป เสนคำวงศ์
ajournal@kmitl.ac.th
ธีรนุช เจริญกิจ
ajournal@kmitl.ac.th
วัชร ทองโม๊ะ
watch_joe@hotmail.com
สุเทพ วัชรเวชศฤงคาร
suthep_mju@hotmail.com
แสงเดือน อินชนบท
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษาพัฒนาการของผลและการสุกแก่ทางสรีรวิทยาของเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกผสมผลใหญ่ ศึกษาทดลอง ณ แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ บริษัท คาเนโกเมล็ดพันธุ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ระหว่างเดือน ธันวาคม 2564-มีนาคม 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อหาระยะสุกแก่ทางสรีรวิทยาที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกผสมผลใหญ่ให้มีคุณภาพและได้ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น งานวิจัยนี้ใช้มะเขือเทศสายพันธุ์ KST-805F เป็นสายพันธุ์แม่และ KST-805M เป็นสายพันธุ์พ่อในการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 โดยเมื่อต้นมะเขือเทศเจริญเติบโตเข้าสู่ระยะผสมเกสร ทำการตัดกลีบเลี้ยงและผูกป้ายดอกพร้อมเขียนวันที่ผสมหลังการผสมเกสรในทุก ๆ วัน เพื่อแสดงอายุของผลมะเขือเทศ เมื่อผลมะเขือเทศที่ผสมในวันแรกโตเต็มที่และมีสีแดงเข้มพร้อมเก็บเกี่ยวหรือที่อายุ 45 วันหลังการผสมเกสร จึงหยุดการผสมเกสร จากนั้นเก็บเกี่ยวผลมะเขือเทศที่มีอายุ 1-45 วันหลังการผสมเกสร นำมาศึกษาพัฒนาการของผลและพบว่าการพัฒนาของผลมะเขือเทศเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มที่อายุ 31 วันหลังการผสมเกสร ซึ่งเป็นระยะการเริ่มสุกแก่ของมะเขือเทศสายพันธุ์ KST-805 จึงนำเมล็ดจากผลมะเขือเทศที่มีอายุ 31-45 วันหลังการผสมเกสรมาทดสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาระยะสุกแก่ที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ ผลการทดลองพบว่า เมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกผสมที่อายุ 44 วันหลังการผสมเกสร มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง 97 เปอร์เซ็นต์ และมีปริมาณน้ำหนักแห้งสะสม 1,000 เมล็ด สูงที่สุด คือ 0.85 กรัม มีความเร็วในการงอกเฉลี่ย 10.67 ต้นต่อวัน และสีของผลมะเขือเทศเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มโดยวัดจากเครื่องวัดสีผล colorimeter พบว่ามีค่า L เท่ากับ 34.60 มีค่า a* เท่ากับ 23.75 และมีค่า b* เท่ากับ 12.93 ตามลำดับ</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/253451
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสะสมไนเตรทของผักกาดหอมของฟาร์มไฮโดรโพนิกส์ที่ปลูกภายใต้โรงเรือนระบบปิดและระบบเปิด
2023-01-18T09:47:39+07:00
นัจภัค สุขสวัสดิ์
najjapak_so@rmutto.ac.th
ชัยสิทธิ์ แก้วจรูญ
chaiyasit_ka@rmutto.ac.th
<p> การสะสมไนเตรทในผักก่อให้เกิดอันตรายเมื่อบริโภคไนเตรทที่มากเกินไป งานวิจัยนี้ศึกษาการสะสมไนเตรทในผัก (กรีน โอ๊ค เรดโอ๊คและคอส) ที่ปลูกด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์ในโรงเรือนปิดและโรงเรือนเปิด ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน โดยตรวจวัดค่าการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า (Electrical conductivity, EC), ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ไนเตรทในน้ำปุ๋ย อุณหภูมิ ความชื้น และความเข้มแสง เพื่อระบุปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการสะสมไนเตรทของผัก ผลการทดลองพบว่า คอสอายุผัก 36 วันมีการสะสมไน-เตรทมากที่สุดที่ 2,342.6 mg/kg FW ในโรงเรือนปิดช่วงฤดูร้อน รองลงมาคือเรดโอ๊คและกรีนโอ๊ค (1,985.6 และ 1,879.0 mg/kg FW, ตามลำดับ) ผลการศึกษาปัจจัยทางสภาวะการปลูกต่อการสะสมไนเตรทในผัก โดยใช้การวิเคราะห์วิธีเพิ่มตัวแปรอิสระแบบขั้นตอน พบว่า ในฤดูหนาว ปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมไนเตรทในกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค และคอส คือ วันที่เก็บวิเคราะห์ตัวอย่าง อายุผัก ค่า pH ระบบโรงเรือน ค่า EC และน้ำหนักผักสด โดยสมการสามารถพยากรณ์การสะสมไนเตรทในผักทั้งสามชนิดได้ถูกต้องร้อยละ 80, 89 และ 77 ตามลำดับ ส่วนในฤดูร้อน ปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมไนเตรทในคอส คือ ความชื้นอากาศและค่า pH ในน้ำปุ๋ย สมการสามารถพยากรณ์ได้ถูกต้องร้อยละ 70 สรุปได้ว่าการปรับค่า pH (5.5-7.0) การให้ความชื้นอากาศที่เหมาะสม (63-74%) และการลดการให้ปุ๋ยลงในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว ช่วยลดการสะสมไนเตรทในผักสลัดได้</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/259933
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการวางแผนและจัดการนํ้าในชุมชนเพื่อการเกษตร ในตำบลเกาะโพธิ์ อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก
2023-09-08T10:00:18+07:00
สมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช
somsak.ku@kmitl.ac.th
ลือพงษ์ ลือนาม
ajournal@kmitl.ac.th
ดวงกมล ธรรมมาธิวัฒน์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 2) สร้างกิจกรรมและผลิตสื่อ 3) ศึกษาการทำกิจกรรมและใช้สื่อเพื่อการวางแผนและจัดการน้ำในชุมชนเพื่อการเกษตร กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้นำชุมชน จำนวน 26 คน เยาวชน จำนวน 15 คน และประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test มีผลการศึกษาดังนี้ </p> <p> 1) ผลการส่งเสริมการเรียนแบบมีส่วนร่วม พบว่า ผลการเปรียบเทียบความรู้ของผู้นำชุมชนในการวางแผนและการจัดการน้ำในชุมชนเพื่อการเกษตร หลังการเรียนรู้ผู้นำชุมชนมีความรู้สูงกว่าก่อนการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.01) 2) ผลการสร้างกิจกรรมและการผลิตสื่อการเรียนรู้ พบว่า กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ได้แก่ การรณรงค์การรักษาและอนุรักษ์แหล่งน้ำของชุมชน การจัดทำแผนการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรของตำบลเกาะโพธิ์ จัดเวทีชุมชนเพื่อการจัดการน้ำตำบลเกาะโพธิ์อย่างยั่งยืน สื่อที่ใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ได้แก่ สื่อโปสเตอร์ และป้ายประกาศ 3) ผลการทำกิจกรรมและใช้สื่อเพื่อการวางแผนและจัดการน้ำในชุมชนเพื่อการเกษตร พบว่า การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมและใช้สื่อ มีค่าเฉลี่ย 4.24 อยู่ในระดับมาก</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254991
ผลของระดับโปรตีนและพลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตและคุณภาพซาก ของไก่ตอนลูกผสมพื้นเมืองประดู่หางดำ
2023-04-28T18:04:26+07:00
วิภาสิริ ไชยพูน
clochear@hotmail.com
กัญญารัตน์ พวกเจริญ
ajournal@kmitl.ac.th
ทศพล มูลมณี
ajournal@kmitl.ac.th
องอาจ ส่องศรี
ajournal@kmitl.ac.th
มนตรี ปัญญาทอง
ajournal@kmitl.ac.th
สุชน ตั้งทวีวิพัฒน์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับที่แตกต่างกันของโปรตีน (CP) และพลังงาน (ME) ต่ออัตราการเจริญเติบโตและคุณภาพเนื้อในไก่ตอนลูกผสมพื้นเมืองประดู่หางดำ แผนการทดลองแบบ 2x2 Factorial in CRD ใช้ไก่ลูกผสมประดู่หางดำ ทำการตอนที่ อายุ 4-5 สัปดาห์ (ส.) ช่วงแรกเกิดถึง 5 ส. ใช้อาหารทางการค้า และช่วงอายุ 5-12 ส. ให้ได้รับอาหาร 4 สูตร คือ สูตรที่ 1 CP 19% และ 3.0 kcal ME/g สูตรที่ 2 CP 19% และ 3.3 kcal ME/g สูตรที่ 3 CP 21% และ 3.0 kcal ME/g สูตรที่ 4 CP 21% และ 3.3 kcal ME/g ช่วงอายุ 13-20 ส. ต่างกัน 4 สูตร คือ สูตรที่1 CP 17% และ 3.0 kcal ME/g สูตรที่ 2 CP 17% และ 3.3 kcal ME/g สูตรที่ 3 CP 19% และ 3.0 kcal ME/g และ สูตรที่ 4 CP 19% และ 3.3 kcal ME/g บันทึกการเจริญเติบโตและทำการชำแหละที่อายุ 12 16 และ 20 ส. เพื่อหาความนุ่มและปริมาณไขมัน จากผลการวิจัยพบว่าอายุ 5-12 ส. และ 13-16 ส. ไก่ตอนลูกผสมพื้นเมืองประดู่หางดำที่ได้รับอาหาร CP และ ME ที่แตกต่างกันไม่ส่งผลต่อสมรรถภาพการผลิต แต่ที่ช่วงอายุ 17-20 ส. พบว่า ไก่ตอนที่ได้รับ ME 3.3 kcal ME/g ส่งผลทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่ม (273.02 vs. 471.17 กรัม; <em>P<0.05</em>) และอัตราการเจริญเติบโต (9.75 vs. 14.89 กรัม; <em>P<0.05</em>) มากกว่า เมื่อเทียบกับเมื่อได้รับ ME 3.0 kcal ME/g ด้านการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนัก (7.63 vs. 4.70 ; <em>P<0.05</em>) และต้นทุนค่าอาหารในการเพิ่มน้ำหนัก (110.70 vs. 71.59 บาท/กิโลกรัม; <em>P<0.05</em>) มีค่าที่ต่ำในไก่ตอนที่ได้รับ ME 3.3 kcal ME/g เทียบกับ 3.0 kcal ME/g อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับคุณภาพเนื้อของไก่ตอน พบว่าที่อายุ 16 ส. ไก่ตอนที่ได้รับอาหาร CP 21% ช่วง 5-12 ส. และ CP 19% ช่วง 13-16 ส. ร่วมกับ ME 3.0 Kcal/g มีค่าแรงตัดเฉือนส่วนเนื้ออกต่ำที่สุด (4,018.69 N) ที่อายุชำแหละที่ 20 ส. ไก่ตอนที่ได้รับ ME ต่ำมีค่าแรงตัดเฉือนส่วนเนื้อสะโพกน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับ ME สูงอย่างมีนัยสำคัญ (1,539.28 vs. 1,725.77 N; <em>P<0.05</em>) ผลการศึกษาด้านปริมาณไขมันในเนื้อไก่ตอน พบว่า ที่อายุ 20 ส. ช่วง 5-12 ส. ไก่ตอนกลุ่มที่ได้รับอาหาร CP 19% และช่วง 13-20 ส. ที่ได้รับอาหาร CP 17% ME 3.3 Kcal/g มีปริมาณไขมันส่วนเนื้ออก (5.06%; <em>P<0.05</em>) มากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ และที่อายุชำแหละ 12 และ 20 ส. พบว่า ไก่ตอนกลุ่มที่ได้รับอาหาร CP 19% ช่วง 5-12 ส. และ CP 17% ช่วง 13-20 ส. ร่วมกับ ME 3.0 Kcal/g มีปริมาณไขมันส่วนเนื้อสะโพก มากที่สุด (17.32% และ 19.99%; <em>P<0.05</em>) จากการศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมสำหรับไก่ตอนลูกผสมพื้นเมืองที่อายุ 5-12 ส. มีต้นทุนค่าอาหารในการเพิ่มน้ำหนักต่ำ แนะนำสูตรที่ 4 (CP 21% ME 3.30 kcal ME/g) อายุ 13-20 ส. สูตรที่ 4 (CP 17% ME 3.0 kcal ME/g) รวมทั้งแนะนำให้เชือดที่อายุ 20 ส. เนื่องจากมีปริมาณไขมันสะสมในเนื้อไก่ตอนมากที่สุด</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254360
พฤติกรรมและความต้องการปัจจัยทางการตลาดในการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมืองของผู้บริโภค ในจังหวัดพัทลุง
2023-08-15T17:26:29+07:00
เสาวณีย์ เล็กบางพง
lekbangpong04@gmail.com
วิศาล อดทน
ajournal@kmitl.ac.th
ศรัณญภัส รักศีล
ajournal@kmitl.ac.th
ธิดารัตน์ จุทอง
ajournal@kmitl.ac.th
รสวันต์ อินทรศิริสวัสดิ์
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรม ความต้องการปัจจัยทางการตลาด และปัจจัยที่ส่งผลต่อความถี่ในการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมืองของผู้บริโภคในจังหวัดพัทลุง โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก (convenience sampling) และวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย <br />ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (multiple regression analysis) ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมืองเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 41.40 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนต้น อาชีพเกษตรกร และมีรายได้ 15,620.38 บาท ผู้บริโภคมีการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์ไก่บ้าน ความถี่เดือนละครั้ง โดยเป็นไก่เพศเมีย ทั้งตัว <br />สีเหลือง น้ำหนัก 2 กิโลกรัม ซื้อในตลาดสดและนำมาประกอบอาหารเมนู แกงไก่บ้าน ต้มข่าไก่บ้าน โดยความต้องการปัจจัยทางการตลาดในการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมืองมากที่สุด คือ ด้านผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านราคา อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.95, 3.83, 3.79 และ3.67) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศ และระดับการศึกษา มีผลเชิงบวกกับความถี่ในการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมือง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และรายได้มีผลเชิงลบกับความถี่ในการเลือกซื้อเนื้อไก่พันธุ์พื้นเมือง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 ดังนั้นเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องทางการตลาด ควรให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงการวางแผนการส่งเสริมการตลาดไก่พันธุ์พื้นเมืองให้เป็นที่รู้จัก และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/253826
การเพิ่มคุณค่าโภชนะของหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดโดยเสริมกากนมถั่วเหลืองและยีสต์ จากโรงงานผลิตเบียร์เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์
2023-06-08T07:28:09+07:00
พรภิมล จันทร์เจริญ
ajournal@kmitl.ac.th
วรพิชชา มาลัย
ajournal@kmitl.ac.th
ณัฐปภัสร์ ธนพิมพาวงศ์
Lekbangpong04@gmail.com
ดรุณี ศรีชนะ
dsr@tu.ac.th
นิภารัตน์ ศรีธเรศ
ajournal@kmitl.ac.th
วิชัย สุทธิธรรม
ajournal@kmitl.ac.th
<p> การทำหญ้าอัดเม็ด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเก็บรักษาพืชอาหารสัตว์ไว้ใช้ในฤดูที่ขาดแคลน และการใช้สารเสริมจากวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ยีสต์จากโรงงานผลิตเบียร์ และกากนมถั่วเหลือง ยังเป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนะให้กับหญ้าอาหารสัตว์อัดเม็ดอีกด้วย จึงเป็นที่มาของงานวิจัยนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) องค์ประกอบทางเคมีและการย่อยได้ในกระเพาะรูเมนของหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ด และ 2) ความเป็นฝุ่นและความคงทนของหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดหลังจากการเก็บรักษาของหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดที่เสริมยีสต์จากโรงงานผลิตเบียร์ที่ระดับ 0 และ 5 เปอร์เซ็นต์ และกากนมถั่วเหลืองที่ระดับ 0, 5 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยพบว่า การเสริมกากนมถั่วเหลืองที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับยีสต์จากโรงงานผลิตเบียร์ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้หญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดมีโปรตีนรวมเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ 19.99 เปอร์เซ็นต์ (P<0.05) และพบว่าหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดที่เสริมกากนมถั่วเหลืองอย่างเดียว 10 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มที่เสริมกากนมถั่วเหลือง 10 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับเสริมยีสต์จากโรงงานผลิตเบียร์ 5 เปอร์เซ็นต์ มีค่าการย่อยได้วัตถุแห้งในกระเพาะ รูเมนในระดับห้องปฏิบัติการสูงที่สุด คือ 58.86 และ 60.92 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ (P<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะเวลาการเก็บรักษาไม่มีผลต่อค่าความเป็นฝุ่น (P>0.05) ของหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ด การเสริมยีสต์ การเสริมกากนมถั่วเหลืองที่ระดับต่างๆ ส่งผลให้หญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ด มีค่าความคงทนเท่ากับ 98.09-99.87 เปอร์เซ็นต์ (P<0.05) ซึ่งสูงกว่าหญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดที่ไม่เสริมยีสต์และกากนมถั่วเหลือง ซึ่งมีค่าความคงทนเท่ากับ 93.22-96.77 เปอร์เซ็นต์อีกทั้งการเสริมยีสต์และกากนมถั่วเหลืองยังส่งผลให้หญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดมีความเป็นฝุ่นน้อยกว่า (0.25-1.39 เปอร์เซ็นต์, P<0.05) หญ้าเนเปียร์แคระมหาสารคามอัดเม็ดที่ไม่เสริมยีสต์และกากนมถั่วเหลือง (2.46-4.08 เปอร์เซ็นต์)</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/257398
ความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของเกษตรกรภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ในจังหวัดขอนแก่น
2023-08-18T17:13:46+07:00
ภาณุทัต โล่ห์สีทอง
panutat_l@kkumail.com
สุกัลยา เชิญขวัญ
sukanl@kku.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกรภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ในจังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการปลูกข้าวอินทรีย์ และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของเกษตรภายใต้โครงการฯต่อปัจจัยที่มีผลต่อการปลูกข้าวอินทรีย์อย่างต่อเนื่องของเกษตรกร เก็บรวบรวมข้อมูล จากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวขอนแก่น ในจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 123 ราย และกลุ่มเกษตรอินทรีย์จำนวน 6 กลุ่ม โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและประเด็นคำถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกข้าวอินทรีย์ของเกษตรกร ได้แก่ แหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการปลูกข้าวอินทรีย์ และปัญหาเกี่ยวกับวัชพืชในนาข้าว ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ของเกษตรกร ได้แก่ ความต้องการปลูกข้าวอินทรีย์เพื่อบริโภคในครัวเรือน ต้นทุนการปลูกข้าวลดลง สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น และการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาช่วยเหลือและพัฒนาแหล่งน้ำ สำหรับการปลูกข้าวอินทรีย์ และควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ ทั้งการแปรรูป การบรรจุภัณฑ์ </p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/259214
ผลของ NAA ร่วมกับ TDZ ต่อการชักนำให้เกิดต้นอ่อนในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พรรณไม้น้ำใบพายศรีลังกาสีน้ำตาล
2023-06-14T09:43:43+07:00
วิมลมาศ บุญมี
ajournal@kmitl.ac.th
อัจฉรี เรืองเดช
uscharee.ru@kmitl.ac.th
บุปผา จงพัฒน์
ajournal@kmitl.ac.th
นงนุช เลาหะวิสุทธิ์
ajournal@kmitl.ac.th
สมเกียรติ สีสนอง
ajournal@kmitl.ac.th
<p> ใบพายศรีลังกาสีน้ำตาล เป็นพรรณไม้น้ำสวยงามสายพันธุ์ต่างประเทศที่สามารถขยายพันธุ์จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงทำการศึกษาความเข้มข้นที่เหมาะสมของสารควบคุมการเจริญเติบโตต่อการชักนำให้เกิดต้นอ่อน โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนตายอดของใบพายศรีลังกาสีน้ำตาล ลงในอาหารกึ่งแข็งสูตร MS (Murashige and Skoog, 1962) ที่มีการเติมสารควบคุมการเจริญเติบโต 1-naphthaleneacetic acid (NAA) ความเข้มข้น 0, 0.1, 0.2 และ 0.3 mg/L ร่วมกับ thidiazuron (TDZ) ที่ความเข้มข้น 0, 1, 2 และ 3 mg/L เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าการใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต NAA ที่ความเข้มข้น 0.1 mg/ L ร่วมกับ TDZ ความเข้มข้น 2 mg/ L มีความเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อใบพายศรีลังกาสีน้ำตาล โดยสามารถชักนำให้เกิดจำนวนต้นอ่อน (67.92±19.61 ต้น/ชิ้นเนื้อเยื่อเริ่มต้น) จำนวนใบ (67.42±19.46 ใบ/ชิ้นเนื้อเยื่อเริ่มต้น) และความสูงต้น (28.65±1.55 มิลลิเมตร/ต้น) เฉลี่ยมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใบพายศรีลังกาสีน้ำตาลในอาหารสังเคราะห์ที่เหมาะสม จะสามารถเพิ่มปริมาณและเจริญเติบโตได้ดีภายในระยะเวลาที่สั้นลง ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิตพรรณไม้น้ำให้ได้คุณภาพและทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าของผลผลิตได้</p>
2024-11-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า