https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/issue/feed วารสารเกษตรพระจอมเกล้า 2024-04-29T22:44:21+07:00 Assoc.Prof.Dr.Panya Mankeb ajournal@kmitl.ac.th Open Journal Systems <p align="center"> </p> <p><img src="https://li01.tci-thaijo.org/public/site/images/agritechadmin/1_Page_1.jpg" width="249" height="348" /></p> <h3>วารสารเกษตรพระจอมเกล้า</h3> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรพระจอมเกล้า (King Mongkut’s Agricultural Journal) เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางด้านเกษตรศาสตร์ เช่น พืชศาสตร์ ปฐพีศาสตร์ สัตวศาสตร์ วิทยาศาสตร์การประมง อารักขาพืช เทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร(เนื้อสัตว์) เศรษฐศาสตร์เกษตรและธุรกิจเกษตร การทำฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร นิเทศศาสตร์เกษตร และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร</p> <p style="text-align: justify;"> ผู้เขียนสามารถส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและผู้สนใจสามารถเข้าถึงบทความที่เผยแพร่ในวารสารได้ทางเว็ปไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย</p> <p style="color: blue;"> </p> <p style="font-size: 18px;"><strong>เกณฑ์การตรวจพบความซ้ำซ้อน</strong></p> <p style="text-align: justify;"> บทความที่ตรวจพบความซ้ำซ้อนเกินร้อยละ 30 โดยโปรแกรม Turnitin จะไม่ได้รับการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/257111 การบำบัดน้ำเสียที่มีสีย้อมเบเนฟิก เรด ปนเปื้อนโดยใช้สาหร่ายสีเขียวขนาดเล็ก Nannochloropsis oculata ที่ตรึงในอัลจิเนต 2023-04-19T12:16:35+07:00 ปวีณ์พร จงยิ่งเจริญยศ 62040339@kmitl.ac.th บุปผา จงพัฒน์ buppha.jo@kmitl.ac.th สุนีรัตน์ เรืองสมบูรณ์ Suneerat.ru@kmitl.ac.th <p> การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมและจลนพลศาสตร์การดูดซับสีย้อมเบเนฟิก เรด โดยสาหร่าย<em>Nannochloropsis</em> <em>oculata </em>ที่ตรึงเซลล์ในอัลจิเนต พบว่าสาหร่ายดูดซับสีย้อมได้ดีที่พีเอช 2 มีการดูดซับสูงที่สุด คือ 0.90±0.01 มิลลิกรัมต่อกรัม ระยะเวลาเข้าสู่สมดุลการดูดซับคือ 2 ชั่วโมง มีค่าการดูดซับ 1.80±0.02 มิลลิกรัมต่อกรัม ปริมาณของสาหร่ายที่เหมาะสมคือ 2 กรัมต่อลิตร โดยดูดซับสีย้อมได้ 3.98±0.02 มิลลิกรัมต่อกรัม โดยปริมาณการดูดซับ (q<sub>eq</sub>) สีย้อมจะลดลงเมื่อปริมาณสาหร่ายเพิ่มขึ้น ไอโซเทอร์มการดูดซับสีย้อมนั้นสอดคล้องกับสมการของ Langmuir โดยมีค่าการดูดซับสีย้อมสูงสุด (Q<sub>max</sub>) เท่ากับ 106.58±20.22 มิลลิกรัมต่อกรัม และการดูดซับสีย้อมเป็นปฏิกิริยาอันดับปฏิกิริยาหนึ่งเสมือน (pseudo first-order) และมีขั้นกำหนดอัตราเร็วในการดูดซับคือการแพร่ผ่านชั้นฟิล์มและการแพร่เข้าภายในเซลล์ขั้นที่สอง จากผลการศึกษาแสดงว่าสาหร่าย <em>N. oculata</em> ที่ตรึงในอัลจิเนตเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการนำไปใช้กำจัดสีย้อมเบเนฟิก เรด ที่ปนเปื้อนในน้ำเสียได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254920 ผลของการให้อาหารหยาบแห้งต่อสมรรถภาพการผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ของแกะลูกผสม 2022-10-15T10:23:05+07:00 อาทิตย์ ปัญญาศักดิ์ boy_agri@hotmail.com กิตติวรา รองสวัสดิ์ ajournal@kmitl.ac.th รณพรรดิ์ ดีโส ajournal@kmitl.ac.th ทัสนันทน์ หงสะพัก ajournal@kmitl.ac.th สุนิรันท์ ทองสน ajournal@kmitl.ac.th ลักษณ์ เพียซ้าย ajournal@kmitl.ac.th สุภารักษ์ คำพุฒ ajournal@kmitl.ac.th <p> การทดลองนี้ศึกษาผลของการให้อาหารหยาบแห้งต่อสมรรถภาพการผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของแกะลูกผสม โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ใช้แกะลูกผสมสายพันธุ์ซานตาอินเนส แบ่งสัตว์ทดลองออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ซ้ำ น้ำหนักเริ่มต้น 16.87±0.97 กิโลกรัม และน้ำหนักสิ้นสุด 23.25±1.07 กิโลกรัม ใช้เวลาทดลอง 60 วัน โดยแกะได้รับแหล่งอาหารหยาบดังนี้ 1) กลุ่มหญ้าขนสด 3.5 กิโลกรัม/ตัว/วัน 2) กลุ่มหญ้าขนแห้ง 1.5 กิโลกรัม/ตัว/วัน 3) กลุ่มหญ้ารูซี่แห้ง 1.5 กิโลกรัม/ตัว/วัน 4) กลุ่มหญ้าแพงโกลาแห้ง 1.5 กิโลกรัม/ตัว/วัน โดยแกะทุกตัวรับการเสริมอาหารข้นที่มีระดับโปรตีน 14% จำนวน 0.2 กิโลกรัม/ตัว/วัน จากการศึกษา พบว่า ทั้ง 4 กลุ่ม มีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวและอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P&gt;0.05) แต่ปริมาณการกินได้ทั้งหมดในกลุ่มที่ 1, 2, 3 และ 4 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (P&lt;0.01) มีค่าเท่ากับ 2.86±0.08, 1.28±0.09, 1.27±0.09 และ 1.34±0.08 กิโลกรัมวัตถุแห้ง/ตัว/วัน ตามลำดับ ในส่วนของปริมาณการกินได้ของโปรตีน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (P&lt;0.01) มีค่าเท่ากับ 0.09±0.01, 0.07±0.01, 0.08±0.01 และ 0.10±0.01 กิโลกรัมวัตถุแห้ง/ตัว/วัน ตามลำดับ โดยกลุ่มที่ได้รับหญ้าขนสดและเสริมอาหารข้น มีปริมาณการกินได้ต่อน้ำหนักตัว เท่ากับ 16.99 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัว ซึ่งมีค่าสูงกว่ากลุ่มทดลองอื่นอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (P&lt;0.01) นอกจากนั้นยังพบว่า ค่ากลูโคสในเลือดอยู่ในช่วง 63.94-70.04 mg/dl และยูเรียไนโตรเจนในเลือดอยู่ในช่วง 13.44-17.13 mg/dl ซึ่งเป็นค่าที่อยู่ในช่วงปกติ (P&gt;0.05) พบว่าต้นทุนการผลิตทั้งหมดต่อตัวของทั้ง 4 กลุ่ม เท่ากับ 224.78±3.72, 240.42±3.73, 240.13±3.73 และ 245.71±3.72 บาท/ตัว (P&lt;0.01) และต้นทุนการผลิตทั้งหมดต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวของ เท่ากับ 38.78±7.90, 37.93±7.92, 38.85±7.92 และ 48.79±7.90 บาท/ตัว</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254922 สภาพการผลิตและตลาดโคเนื้อของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดลำพูน 2023-01-18T09:43:28+07:00 ฐิติพร ไชยมงคล ajournal@kmitl.ac.th วรินธร มณีรัตน์ warinmanee@gmail.com มณฑิชา พุทซาคำ ajournal@kmitl.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การผลิตโคเนื้อของเกษตรกร 2) ตลาดโคเนื้อในจังหวัดลำพูน และ 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะการผลิตโคเนื้อในจังหวัดลำพูน กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่ม ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจำนวน 21 ตัวขึ้นไปในจังหวัดลำพูน จำนวน 210 ราย เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ และผู้เกี่ยวข้องในการผลิตโคเนื้อในจังหวัดลำพูน จำนวน 13 ราย เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกและวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรร้อยละ 93.33 เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 42±34.58 ปี เกษตรกรร้อยละ 43.81 มีระดับการศึกษาประถมศึกษาและมีประสบการณ์เลี้ยงโคเนื้อเฉลี่ย 35±26.15 ปี การผลิตโคเนื้อในจังหวัดลำพูนมี 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบอิสระร้อยละ 95.24 และแบบสมาชิกวิสาหกิจชุมชนร้อยละ 4.76 โดยเกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อประเภทพ่อแม่พันธุ์เพื่อผลิตลูกโคจำหน่าย เลี้ยงโคขุนทั่วไป เลี้ยงโคมัน และเลี้ยงโคขุนคุณภาพ ร้อยละ 50.71, 31.44, 13.31 และ 4.54 ตามลำดับ 2) ตลาดโคเนื้อในจังหวัดลำพูนประกอบด้วย ตลาดโคเนื้อมีชีวิตและตลาดเนื้อโค ตลาดโคเนื้อมีชีวิต ได้แก่ การซื้อขายหน้าฟาร์ม ตลาดนัดโคกระบือ และตลาดโคเนื้อขุน ขณะที่ตลาดเนื้อโค ได้แก่ ตลาดสดในพื้นที่ และ 3) ปัญหาการผลิตโคเนื้อ ได้แก่ ด้านพันธุ์โค อาหาร และการจัดการฟาร์ม โดยมีข้อเสนอแนะ คือ เกษตรกรควรรวมกลุ่มเพื่อผลิตโคเนื้อขุนคุณภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้คำแนะนำและช่วยเหลือด้านการผลิตโคเนื้อขุนคุณภาพในระดับฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน และแหล่งจำหน่ายเนื้อโค</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254933 ผลของการเสริมใบกระท่อมผงในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ 2023-03-31T06:18:30+07:00 เจษฎา รัตนวุฒิ jassada.r@psu.ac.th บดี คำสีเขียว ajournal@kmitl.ac.th คาร์ติเคยาน เวนคาตาชาลัม ajournal@kmitl.ac.th อารีรัตน์ ทศดี ทศดี ajournal@kmitl.ac.th <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมใบกระท่อมผงในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ ทำการทดลองในไก่ไข่สายพันธุ์ไฮเซกบราวน์ อายุ 73 สัปดาห์ จำนวน 40 ตัว โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 5 ซ้ำ ๆ ละ 2 ตัว ไก่ไข่จะได้รับอาหารทดลองแล้วเสริมด้วยใบกระท่อมผงที่ระดับ 0, 0.5, 1.0 และ 2.0% ของอาหาร ทำการทดลองเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยบันทึกน้ำหนักตัว ผลผลิตไข่ น้ำหนักไข่ มวลไข่ ปริมาณอาหารที่กิน อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นผลผลิตไข่ และประเมินคุณภาพไข่ในวันสุดท้ายของการทดลอง ผลการทดลองพบว่า การเสริมใบกระท่อมผงในอาหารที่ระดับ 0.5% มีผลทำให้ผลผลิตไข่ มวลไข่ และอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นผลผลิตไข่ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ (P &lt; 0.01) การเสริมใบกระท่อมผงมีผลทำให้ปริมาณอาหารที่กินลดลง (P &lt; 0.01) ในด้านคุณภาพไข่ พบว่า น้ำหนักเปลือกไข่ ความแข็งแรงของเปลือกไข่ ความหนาเปลือกไข่ น้ำหนักไข่แดง น้ำหนักไข่ขาว สีไข่แดง และความสดของไข่ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P &gt; 0.05) ข้อมูลจากการทดลองจึงแนะนำว่าควรเสริมใบกระท่อมผงในอาหารไก่ไข่ที่ระดับ 0.5%</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/252563 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปลูกมะดันของเกษตรกรจังหวัดนครนายก 2023-07-04T09:37:17+07:00 กันตวัฒน์ ไชยวุฒิ ajournal@kmitl.ac.th พัชราวดี ศรีบุญเรือง fagrpds@ku.ac.th ชลาธร จูเจริญ ajournal@kmitl.ac.th <p> การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ 2) การปฏิบัติเกี่ยวกับการปลูกมะดัน 3) ระดับการตัดสินใจปลูกมะดัน 4) ความแตกต่างระหว่างปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลและปัจจัยด้านเศรษฐกิจกับการตัดสินใจปลูกมะดัน และ 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ปลูกมะดันในจังหวัดนครนายก จำนวน 124 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด สำหรับการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test, F-test ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ยเท่ากับ 59.33 ปี การศึกษาระดับต่ำกว่าประถมศึกษาและประถมศึกษา เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมะดันมากที่สุดจากช่องทางสื่อบุคคล คือ พี่น้อง และสืบทอดจากบรรพบุรุษ การตัดสินใจปลูกมะดันของ เกษตรกร ด้านการเตรียมดินและอินทรียวัตถุ ด้านการเตรียมต้น และด้านการปฏิบัติบำรุงอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน การตัดสินใจปลูกมะดันของเกษตรกร พบว่า เพศ จำนวนแรงงาน ปริมาณผลผลิต รายได้จากการปลูก และการขายผลผลิต แหล่งเงินทุน มีผลต่อการตัดสินใจปลูกมะดันแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และ 0.01 ปัญหาที่พบ คือ ฝนตกไม่สม่ำเสมอ ผลผลิตล้นตลาด การแปรรูปมะดันเพื่อการส่งออก และการสนับสนุนจากภาครัฐ</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/255536 ผลของไบโอชาร์ต่อการเปลี่ยนแปลงความอุดมสมบูรณ์ของดินร่วนปนทรายและดินเหนียว ในสภาพโรงเรือน 2022-09-03T14:13:51+07:00 ชัชธนพร เกื้อหนุน fagrpds@ku.ac.th สายน้ำ อุดพ้วย ajournal@kmitl.ac.th <p> ไบโอชาร์ที่ได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรสามารถนำมาปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อยกระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินทั้งทางด้านเคมี กายภาพและชีวภาพของดิน เพื่อให้ทราบถึงผลของไบโอชาร์ต่อการเปลี่ยนแปลงความอุดมสมบูรณ์ของดินเหนียวและดินร่วนปนทรายในสภาพโรงเรือน ใช้แผนการทดลองแบบ 2x5 Factorial in RCB มี 4 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 คือ เนื้อดิน (texture) 2 ชนิด ได้แก่ 1) ดินเหนียว (clay soil-Cl) 2) ดินร่วนปนทราย (sandy loam soil-SL) ปัจจัยที่ 2 คือ ไบโอชาร์ (biochar-BC) 5 ระดับ ได้แก่ 0 16 32 48 และ 64 กรัมต่อดิน 10 กิโลกรัม (0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 ตันต่อไร่ โดยประมาณ) ทุกตำรับการทดลองใส่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสเฟตและโพแทชตามค่าวิเคราะห์ดิน ผลการทดลองพบว่า การใช้ไบโอชาร์ในดินเหนียวทำให้ปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ในดินและการดูดใช้ธาตุอาหารทั้งหมดในตอซังสูงกว่า (p&lt;0.01) การใช้ไบโอชาร์ในดินร่วนปนทรายและส่งผลให้ข้าวโพดมีการเจริญเติบโตและผลผลิตน้ำหนักแห้งตอซังเพิ่มขึ้น (p&lt;0.01) อีกทั้งพบว่าปริมาณอินทรียวัตถุและโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินสูงกว่าดินร่วนปนทรายที่ใส่ไบโอชาร์ (p&lt;0.01) อย่างไรก็ตาม ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินต่ำกว่าดินร่วนปนทราย นอกจากนี้ การใส่ไบโอชาร์ปรับปรุงดินมีผลทำให้ปริมาณการสะสมของไนเตรทในดินเหนียวและดินร่วนปนทรายเพิ่มสูงกว่าดินที่ไม่ใส่ไบโอชาร์ จากผลการทดลองอาจกล่าวได้ว่าควรใช้ไบโอชาร์ในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินเหนียวมากกว่าดินร่วนปนทราย โดยใช้ในอัตรา 1.5 ตันต่อไร่</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254855 ผลของขนาดเมล็ดที่มีต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถั่วพร้า (Canavalia ensiformis (L.)) 2022-09-29T17:07:52+07:00 ชื่นจิต แก้วกัญญา csncjk@ku.ac.th ณิชารีย์ วีระสิงห์ ajournal@kmitl.ac.th สุกานดา อุ่นชัย ajournal@kmitl.ac.th <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของขนาดเมล็ดต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดของถั่วพร้าที่ปลูกในสภาพไร่ ดำเนินการทดลองที่คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร วางแผนการทดลองแบบ Randomize Complete Block Design (RCBD) จำนวน 3 ซ้ำ 3 สิ่งทดลอง ประกอบด้วย เมล็ดพันธุ์ถั่วพร้าขนาดแตกต่างกัน 3 ขนาด (เล็ก กลาง และใหญ่) ผลการทดลองพบว่า ขนาดเมล็ดไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต (ความสูงต้น จำนวนใบ และความกว้างทรงพุ่ม) อย่างไรก็ตามพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) ของผลผลิตชีวมวลทั้งน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง โดยเมล็ดขนาดใหญ่ให้ผลผลิตชีวมวลสูงสุด แต่ไม่พบความแตกต่างทางสถิติในผลผลิตเมล็ด โดยเมล็ดถั่วพร้าทั้ง 3 ขนาดให้ผลผลิตเมล็ดเฉลี่ย 402.07 กิโลกรัม/ไร่ ในด้านคุณภาพเมล็ดพันธุ์ พบว่าเมล็ดถั่วพร้าทั้ง 3 ขนาด ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพด้านกายภาพ และคุณภาพทางด้านสรีรวิทยา ทั้งความงอกมาตรฐาน ดัชนีการงอก และจำนวนวันที่ใช้ในการงอก ขนาดเมล็ดมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อน้ำหนักชีวมวลต้นกล้า ซึ่งเมล็ดขนาดใหญ่ให้น้ำหนักสูงสุด (0.62 กรัมต่อต้น) ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าขนาดเมล็ด (เล็ก กลาง และใหญ่) ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต ผลผลิตเมล็ด และคุณภาพเมล็ดของถั่วพร้า แต่อย่างไรก็ตามเมล็ดขนาดใหญ่จะมีผลผลิตชีวมวลสูงสุด</p> <p> </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/257110 การบำบัดน้ำเสียที่มีสีย้อมโรดามีน บี ปนเปื้อนโดยใช้สาหร่าย Spirulina platensis ที่ตรึงในอัลจิเนต 2023-05-09T16:44:44+07:00 วิลาสินี ศรีพุทโธ 62040359@kmitl.ac.th บุปผา จงพัฒน์ ajournal@kmitl.ac.th สุนีรัตน์ เรืองสมบูรณ์ ajournal@kmitl.ac.th <p> การบำบัดน้ำเสียที่มีสีย้อมโรดามีน บี ปนเปื้อนโดยใช้สาหร่าย <em>Spirulina platensis</em> ที่ตรึงในอัลจิเนต โดยศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมต่อการดูดซับสีย้อม ได้แก่ พีเอช ระยะเวลา ปริมาณตัวดูดซับ และความเข้มข้นของสีย้อมเริ่มต้น พบว่าค่าพีเอชที่เหมาะสมต่อการดูดซับสีย้อมคือพีเอช 2 โดยดูดซับได้ 0.86±0.00 มิลลิกรัมต่อกรัม การดูดซับเกิดอย่างรวดเร็วและถึงจุดสมดุลที่ 180 นาที โดยมีค่าการดูดซับ 1.24±0.00 มิลลิกรัมต่อกรัม ปริมาณตัวดูดซับ ที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าการดูดซับของสาหร่ายลดลง ส่วนการเพิ่มความเข้มข้นเริ่มต้นของสีย้อมส่งผลให้ค่าการดูดซับ ของสาหร่ายเพิ่มขึ้น การศึกษาไอโซเทอร์มการดูดซับของสีย้อมพบว่าสอดคล้องกับไอโซเทอร์มการดูดซับของแลงเมียร์ โดยมีค่าการดูดซับสูงสุด (<em>q<sub>m</sub></em>) เท่ากับ 52.70±3.18 มิลลิกรัมต่อกรัม การศึกษาจลนพลศาสตร์การดูดซับสอดคล้องกับปฏิกิริยาอันดับสองเสมือน และมีขั้นกำหนดอัตราเร็วของการดูดซับคือการแพร่ผ่านชั้นฟิล์มและการแพร่เข้าภายในเซลล์ขั้นสอง จากผลการศึกษาแสดงให้ทราบว่าสาหร่าย<em> S. platensis</em> ที่ตรึงเซลล์ในอัลจิเนตสามารถประยุกต์ใช้ใน การบำบัดน้ำเสียที่มีสีย้อมโรดามีน บี ปนเปื้อนได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/252943 อิทธิพลของไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและแบคทีเรียย่อยฟอสเฟตต่อการเจริญเติบโตของถั่วลิสง พันธุ์ไทนาน 9 2022-06-22T23:42:12+07:00 จีราภรณ์ อินทสาร inthasan@mju.ac.th ฉัตรปวีณ์ เดชจิรรัตนสิริ ajournal@kmitl.ac.th <p> การศึกษาการใช้เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา และแบคทีเรียย่อยฟอสเฟตต่อการเจริญเติบโตของถั่วลิสงในกระถาง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) ประกอบด้วย 5 กรรมวิธี จำนวน 4 ซ้ำ ได้แก่ กรรมวิธีที่ 1 ไม่ใส่เชื้อ(Control) กรรมวิธีที่ 2 ใส่เชื้อไรโซเบียม(R: <em>Rhizobium</em> sp.) กรรมวิธีที่ 3 ใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา(R+AM) กรรมวิธีที่ 4 ใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับแบคทีเรียย่อยฟอสเฟต(R+PSB:<em> Rhizobium</em> sp. + <em>Bacillus </em>sp.) กรรมวิธีที่ 5 ใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและแบคทีเรียย่อยฟอสเฟต(R+AM+PSB) พบว่าการใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและแบคทีเรียย่อยฟอสเฟตส่งผลให้มีความยาวราก น้ำหนักสดและแห้งของส่วนเหนือดินและรากสูงที่สุด การใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาทำให้จำนวนปม (115 ปม/ต้น) น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของปม (0.65 และ 0.16 กรัม/ต้น) สูงที่สุด การใส่เชื้อไรโซเบียมร่วมกับเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและแบคทีเรียย่อยฟอสเฟตส่งผลให้เปอร์เซ็นต์การเข้ารากของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาสูงที่สุด (26.64%) ปริมาณไนโตรเจนของส่วนเหนือดินสูงที่สุดเมื่อมีการใช้เชื้อไรโซเบียมร่วมกับแบคทีเรียย่อยฟอสเฟต ส่วนปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมของส่วนเหนือดินและรากไม่มีความแตกต่างในทางสถิติระหว่างกรรมวิธี การใช้เชื้อไรโซเบียมร่วมกับแบคทีเรียย่อยฟอสเฟตส่งผลให้ปริมาณการตรึงไนโตรเจนสูงที่สุดคือ 87.73 มิลิกรัมไนโตรเจน/ต้น</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/256960 ศักยภาพของถั่วฝักยาวสีม่วงพันธุ์ใหม่ภายใต้สภาพอินทรีย์แบบแปลงเปิดเปรียบเทียบกับการปลูกภายใต้ระบบการให้ปุ๋ยเคมีในโรงเรือนพลาสติก 2023-06-01T08:39:41+07:00 นิอร งามฮุย ajournal@kmitl.ac.th สุพจน์ บุญแรง ajournal@kmitl.ac.th พวงเพชร พิมพ์จันทร์ paongpetch@gmail.com <p> ถั่วฝักยาวสีม่วงพันธุ์ “ม่วงราชมงคล” เป็นพันธุ์แท้ที่ปรับปรุงพันธุ์ภายใต้ระบบอินทรีย์ เพื่อทดสอบศักยภาพของพันธุ์จึงวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ในบล็อก จำนวน 4 ซ้ำๆ ละ 20 ต้น โดยมีพันธุ์เปรียบเทียบคือพันธุ์สิรินธรเบอร์ 1 และพันธุ์ลายเสือจักรพันธ์ ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ภายใต้ระบบการปลูก 2 ระบบคือ 1) การปลูกในระบบอินทรีย์แบบแปลงเปิด และ 2) การปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีในโรงเรือน พบว่าถั่วฝักยาวพันธุ์ใหม่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์เปรียบเทียบ ทั้งดอก ผล และเมล็ดพันธุ์ สำหรับการเจริญเติบโตด้านความยาวเถาและจำนวนกิ่งแขนงนั้นมีความแตกต่างทางสถิติทั้งระบบการปลูก พันธุ์ และปฏิกิริยาสัมพันธ์ของระบบปลูกและพันธุ์ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3-6 หลังปลูก การปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีในโรงเรือนนั้นถั่วฝักยาวมีความยาวเถาและจำนวนกิ่งมากกว่าระบบอินทรีย์ และพบว่าพันธุ์ม่วงราชมงคลและพันธุ์สิรินธรเบอร์ 1 มีความสูงต้นมากที่สุดทั้งสองระบบปลูก `นอกจากนี้แล้วพบอิทธิพลของระบบปลูกต่อผลผลิต ซึ่งการปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีในโรงเรือนให้ผลผลิตสูงด้านจำนวนฝักต่อต้น น้ำหนักฝักรวม และน้ำหนักต่อฝัก คือ 34.91 ฝัก/ต้น 815.11 กรัม/ต้น และน้ำหนักฝัก 26.67 กรัม/ฝัก ตามลำดับ อย่างไรก็ตามพันธุ์ม่วงราชมงคลนั้นมีจำนวนฝัก 27.15 ฝัก/ต้น น้ำหนักฝักรวม 611.83 กรัม/ต้น และน้ำหนักฝัก 26.41 กรัม/ฝัก ซึ่งใกล้เคียงกับพันธุ์สิรินธรเบอร์ 1 ทั้งด้านการเจริญเติบโต ผลผลิต ค่าคะแนนความสม่ำเสมอของพันธุ์ และความแข็งแรงของพันธุ์ทั้งระบบอินทรีย์และเคมี</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/260356 ผลของเมทิลจัสโมเนตต่อคุณภาพ และปริมาณสารพฤกษเคมีในผลหม่อนพันธุ์กำแพงแสน 42 ภายหลังการเก็บเกี่ยว 2023-09-11T17:26:08+07:00 ลัดดาวัลย์ คำมะปะนา noihort2526@gmail.com <p> ผลหม่อนพันธุ์กำแพงแสน 42 เป็นหม่อนรับประทานผลสดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร แต่มีอายุการเก็บรักษาสั้นเพียง 1-2 วัน ภายใต้สภาพอุณหภูมิห้อง ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของเมทิลจัสโมเนตต่อคุณภาพ และปริมาณสารพฤกษเคมีในผลหม่อนพันธุ์กำแพงแสน 42 ภายหลังการเก็บเกี่ยว โดยรมผลหม่อนด้วยเมทิลจัสโมเนตที่ระดับความเข้มข้น 0 (ชุดควบคุม) 10 และ 20 µmolL<sup>-1</sup> ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมง จากนั้นเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10 ± 2 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 90 ± 2 นาน 8 วัน ผลการทดลองพบว่าการรมผลหม่อนด้วยเมทิลจัสโมเนตที่ระดับความเข้มข้น 10 µmolL<sup>-1</sup> มีประสิทธิภาพในการชะลอการสูญเสียน้ำหนัก และผลหม่อนที่รมด้วยเมทิลจัสโมเนตทุกระดับความเข้มข้นมีแนวโน้มลดการเกิดโรคได้ดีกว่าชุดควบคุม แต่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ นอกจากนี้การรมผลหม่อนด้วยเมทิลจัสโมเนตที่ระดับความเข้มข้น 10 µmolL<sup>-1</sup> มีปริมาณสารพฤกษเคมีและกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นโดยมีปริมาณกรดแอสคอบิค และปริมาณสารประกอบฟีนอลทั้งหมดเพิ่มมากกว่าสิ่งทดลองอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (p&lt; 0.01) ส่วนการรมผลหม่อนด้วยเมทิลจัสโมเนตที่ระดับความเข้มข้น 20 µmolL<sup>-1</sup> มีการเปลี่ยนแปลงสีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt; 0.05) ทำให้มีปริมาณแอนโทไซนินมากที่สุด จากผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้เมทิลจัสโมเนตมีประสิทธิภาพในการรักษาคุณภาพ และเพิ่มปริมาณสารพฤกษเคมีในผลหม่อนพันธุ์กำแพง 42 ภายหลังการเก็บเกี่ยวได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/260259 การส่งเสริมการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชุมชน โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย 2023-10-08T06:00:02+07:00 ธันว์ยากร คำวงศ์ tanyakorn_5711@hotmail.com สุวารีย์ ศรีปูณะ suwaree@vru.ac.th ผมหอม เชิดโกทา ajournal@kmitl.ac.th ประภาพร ชุลีลัง ajournal@kmitl.ac.th บุญวณิช บุญวณิชนานันท์ ajournal@kmitl.ac.th ทศพร สอนบุตร ajournal@kmitl.ac.th <p> บทความนี้นำเสนอผลการศึกษาการส่งเสริมการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินในชุมชนโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบธนาคารน้ำใต้ดินและผลการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินที่มีต่อสิ่งแวดล้อมชุมชน พื้นที่ศึกษาเป็น อปท.ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน 3 แห่งในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร อปท.และตัวแทนชุมชนรวม 117 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และการสังเกตุ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบธนาคารน้ำใต้ดินมี 2 รูปแบบ คือ 1) แบบปิด มี 2 แบบ ได้แก่ แบบบ่อ สร้างเพื่อเก็บน้ำฝนลงใต้ดินในพื้นที่รอบบ้าน แบบราง สร้างเพื่อเก็บน้ำที่ไหลบ่าตามขอบถนน 2) แบบเปิด สร้างในพื้นที่ขนาดใหญ่ มี 2 แบบ ได้แก่ แบบขุดร่องลึกในคลองที่ตื้นเขิน และแบบขุดเป็นสระให้ก้นสระลึกเป็นสะดือถึงชั้นหินดาน ทั้ง 2 รูปแบบใช้เก็บน้ำให้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายสายน้ำใต้ดินที่สูบกลับขึ้นมาใช้ได้ตลอดปี ส่วนการส่งเสริมการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินโดย อปท. มีการจัดการเรียนรู้วิธีการสร้างให้แก่คนในชุมชน สนับสนุนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ให้สร้างขึ้นในพื้นที่บ้าน สวน ไร่ นาและพื้นที่สาธารณะ ประสานความร่วมมือหน่วยงานอื่น เพิ่มแรงจูงใจโดยให้รางวัลแก่ชุมชุนที่สร้างครบทุกครัวเรือน ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมชุมชนโดยรวม ลดน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นในดินและเศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/260982 ผลของการกระตุ้นจากสภาวะปราศจากออกซิเจนระยะสั้นต่อการสูญเสียน้ำหนักและรงควัตถุของมะเฟืองพันธุ์สีทอง 2023-10-25T08:19:41+07:00 ประกายดาว ยิ่งสง่า p_yingsanga@yahoo.com สุพรรณษา คงภักดี ajournal@kmitl.ac.th ชัยรัตน์ เตชวุฒิพร ajournal@kmitl.ac.th ทันวลี ศรีนนท์ ajournal@kmitl.ac.th ผ่องเพ็ญ จิตอารีย์รัตน์ ajournal@kmitl.ac.th ลดา มัทธุรศ ajournal@kmitl.ac.th <p> ภาวะปราศจากออกซิเจนระยะสั้นหลังการเก็บเกี่ยวผลิตผลสดทางการเกษตรเป็นการกระตุ้นให้พืชเกิดความเครียดซึ่งอาจมีผลต่อการควบคุมคุณภาพของผลิตผลสดหลังการเก็บเกี่ยวได้ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาผลของระยะเวลาการให้สภาวะปราศจากออกซิเจนเป็นเวลา 0 (ชุดควบคุม) 12 24 และ 36 ชั่วโมงต่อการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณคลอโรฟิลล์ ปริมาณแคโรที-นอยด์ของมะเฟืองพันธุ์สีทอง โดยบันทึกข้อมูลการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณคลอโรฟิลล์เอ ปริมาณคลอโรฟิลล์บี และปริมาณแคโรที-นอยด์ หลังจากนั้นเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 60-70 แล้วบันทึกผลทุก ๆ 2 วัน เป็นระยะเวลา 8 วันหลังการเก็บรักษา ผลการทดลองพบว่าการให้สภาวะปราศจากออกซิเจนทุกชุดการทดลองช่วยชะลอการสูญเสียน้ำหนัก การสลายตัวของคลอโรฟิลล์เอ และคลอโรฟิลล์บี ซึ่งการให้สภาวะปราศจากออกซิเจนเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมงมีแนวโน้มชะลอการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ดีที่สุด รองลงมาคือระยะเวลา 36 ชั่วโมง 12 ชั่วโมง และชุดควบคุมตามลำดับ โดยชุดการทดลองการให้สภาวะปราศจากออกซิเจน และชุดควบคุมไม่มีความแตกต่างในวันที่ 8 ของการเก็บรักษา ปริมาณแคโรทีนอยด์ในทุกชุดการทดลองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาการเก็บรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุดควบคุม รองลงมาคือชุดการทดลองที่ผ่านสภาวะปราศจากออกซิเจนเป็นระยะเวลา 24 36 และ 12 ชั่วโมงตามลำดับ ดังนั้นการให้สภาวะปราศจากออกซิเจนในระยะเวลาที่เหมาะสมมีแนวโน้มช่วยคงคุณภาพมะเฟืองพันธุ์สีทองหลังการเก็บเกี่ยวได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/254133 กลยุทธ์การพัฒนาตลาดข้าวอินทรีย์ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 2023-10-20T05:22:26+07:00 เกศสุดา สิทธิสันติกุล ktieng71@hotmail.com จรีวรรณ จันทร์คง ajournal@kmitl.ac.th บัญจรัตน์ โจลานันท์ ajournal@kmitl.ac.th มนันยา นันทสาร ajournal@kmitl.ac.th นัยนา โปธาวงศ์ ajournal@kmitl.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคข้าวอินทรีย์ วิเคราะห์สภาพแวดล้อมและกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาตลาดข้าวอินทรีย์ ต.ลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีการใช้แบบสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคข้าวอินทรีย์สำหรับผู้บริโภค 400 คน รวมทั้งใช้วิธีการสัมภาษณ์และการจัดประชุมกลุ่มย่อยกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์และสมาชิกในครัวเรือน ผู้ประกอบการข้าวอินทรีย์ ผู้บริโภคในชุมชน และตัวแทนจากเทศบาลตำบลลวงเหนือ จำนวน 39 คน สำหรับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสำรวจนั้นใช้สถิติเชิงพรรณาโดยนำเสนอผลเป็นค่าความถี่และร้อยละ รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการจัดประชุมกลุ่มย่อยโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้ SWOT Analysis ร่วมกับ TOWs Matrix ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาด ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการซื้อเฉลี่ยมากที่สุดของผู้บริโภค ได้แก่ ซื้อเดือนละครั้ง ซื้อเพื่อกิน กินเดือนละ 2-6 วัน กินเพราะอยากชิม ซื้อจากตลาดนัดในตำบล หาซื้อตามที่เพื่อนบอก ปริมาณการซื้อแต่ละครั้งอยู่ที่ 1-5 กิโลกรัม ซื้อแบบตักเป็นกิโล ซื้อในราคาที่สูงกว่า 35 บาทต่อกิโลกรัม และค่าเฉลี่ยราคาที่เต็มใจจะจ่ายอยู่ที่ 45.56 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนผลการวิเคราะห์กลยุทธ์การพัฒนาตลาดข้าวอินทรีย์ พบว่ากลยุทธ์เชิงรุก ได้แก่ เพิ่มการประชาสัมพันธ์ พัฒนาแหล่งเรียนรู้ จัดอบรมด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวอินทรีย์ ส่งเสริมการตลาดข้าวอินทรีย์ และสร้างกิจกรรมเรียนรู้การแปรรูปข้าวอินทรีย์ กลยุทธ์เชิงป้องกัน ได้แก่ ศึกษาเทคนิควิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สื่อสารเอกลักษณ์พันธุ์ข้าวอินทรีย์ ขยายเครือข่ายการตลาด และสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ กลยุทธ์เชิงแก้ไข ได้แก่ พัฒนาการบริหารจัดการกลุ่ม เพิ่มช่องทางสื่อสาร แสวงหาทรัพยากรจากหน่วยงานรัฐ และวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า กลยุทธ์เชิงรับ ได้แก่ ทบทวนรูปแบบการผลิตและการตลาดข้าวอินทรีย์ รักษามาตรฐานการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ วางแผนการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ที่เป็นธรรม</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า https://li01.tci-thaijo.org/index.php/agritechjournal/article/view/257705 การประยุกต์ใช้ Antimicrobial peptides ในการควบคุมโรคพืช 2023-04-26T10:30:39+07:00 ฐิติพร ดิศวนนท์ thitiporn.boo@gmail.com สิทธิรักษ์ รอยตระกูล sittiruk@biotec.or.th นงลักษณ์ เภรินทวงค์ nonglak.pa@kmitl.ac.th <p> เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคพืชเป็นปัญหาสำคัญและเร่งด่วนโดยเฉพาะในประเทศเกษตรกรรม การควบคุมโรคด้วยวิธีทางเคมีและยาปฏิชีวนะอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาในวงกว้างโดยเฉพาะการดื้อยาและสารตกค้างในพืชผักสดและวัตถุดิบทางการเกษตร ส่งผลถึงความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับชาติ AMPs หรือ Antimicrobial peptides เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าว เนื่องจากมีคุณสมบัติโดดเด่นในการยับยั้งการเจริญหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิดโดยเฉพาะแบคทีเรียและราที่เป็นสาเหตุหลักในการก่อโรค AMPs พบได้ในสิ่งมีชีวิตทั่วไปทั้งโปรคาริโอตและยูคาริโอต นับเป็นเกราะป้องกันทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต AMPs แต่ละชนิดมีความสามารถในการยับยั้งหรือกำจัดจุลินทรีย์ได้ต่างชนิดกัน ด้วยกลไกที่แตกต่างกัน AMPs หลายชนิดสามารถกำจัดจุลินทรีย์ได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากเริ่มสัมผัสเชื้อ บางชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของยาปฏิชีวนะ และมีหลายชนิดมีประสิทธิภาพมากกว่ายาปฏิชีวนะ โดยการทำงานของ AMPs มี 2 กลไกหลัก คือการเข้าทำลายบริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ และการแทรกเข้าเยื่อหุ้มเซลล์โดยไม่ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เสียหาย แต่เข้าไปยับยั้งกระบวนการสังเคราะห์สารสำคัญในการดำรงชีวิตของเซลล์จุลินทรีย์ เช่น ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ โปรตีน ทั้งนี้ผลการศึกษา AMPs ในปัจจุบันส่วนใหญ่ให้ผลดีในระดับห้องปฏิบัติการ ดังนั้นแนวทางการนำไปใช้ขั้นต่อไป คือการนำไปศึกษาต่อในสภาพแวดล้อมจริงนอกห้องปฏิบัติการและสภาพแวดล้อมที่มีการระบาดตามลำดับ</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระจอมเกล้า