https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย 2025-06-30T14:56:12+07:00 นางสาวนราวดี เฉพาะตน apheitoffice@gmail.com Open Journal Systems https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/263257 การตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวโลหะชนิดต่างๆ โดยใช้สารละลายอิเล็คโทรไลต์แบบเจล 2024-05-03T16:04:10+07:00 วรรณิศา กลิ่นจันทร์ fonu.wannisa@gmail.com อรทัย เขียวพุ่ม kheawpum_o@su.ac.th ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง choosakoonkrian_s@su.ac.th ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี Supaluknari_s@su.ac.th <p>ลายนิ้วมือแฝงเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญซึ่งมักพบจากที่เกิดเหตุ หนึ่งในพื้นผิวที่ยากที่สุดในการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงคือพื้นผิวโลหะ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอิเล็กโทรไลต์แบบเจลสำหรับการตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวโลหะ โดยการวิจัยเลือกใช้แผ่นอลูมิเนียม สแตนเลส ทองเหลือง และโลหะผสม การทดลองได้เตรียมและใช้เจลอิเล็กโทรไลต์หลายสูตร (โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต แคลเซียมคลอไรด์ และผงซิลิกา (PCS gel)) เพื่อหารอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวโลหะเหล่านั้น ผลการวิจัยพบว่ารอยนิ้วมือคุณภาพดีสามารถสังเกตได้บนพื้นผิวโลหะทั้งหมดหลังจากใช้เจล PCS ที่ทำจากส่วนผสมของสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต ร้อยละ 5 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร จำนวน 5 มิลลิลิตร สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ ร้อยละ 1 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร จำนวน 5 มิลลิลิตร และผงซิลิกา 5 กรัม ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเจล PCS ที่พัฒนาขึ้นในการศึกษานี้อาจใช้ในการตรวจหาลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวโลหะประเภทต่างๆ ในตัวอย่างทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงได้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/266653 วัคซีนเซลล์เดนไดรติกและภาวะภูมิไวเกิน 2025-03-09T14:41:31+07:00 เมฐิต์รินทร์ วรวิสุทธิกูล Mayu.tt1717@gmail.com ปิญลักษ์ งามเลิศดนัย mukpn288@gmail.com ณฌฌิณ สลีวงศ์ chachin1903@gmail.com พีรภัทร ภูริภัทรพันธุ์ Phuripattaraphan2@gmail.com พราว พร้อมพัฒนภักดี proud.dy.prompattanapakdee@gmail.com อัลลีธ์ชา พงษ์วิทยภานุ Alisha.perth@gmail.com พิชญดา จันทาทอง iamfine2606@gmail.com ศุจิมน มงคลรังษี khunsujimon.m@gmail.com <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนบทบาทของเซลล์เดนไดรติกในการเกิดภาวะภูมิไวเกิน และประเมินศักยภาพของการตอบสนองแบบภูมิไวเกินชนิดล่าช้า (Delayed-Type Hypersensitivity: DTH) ในการเป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์ของวัคซีนเซลล์เดนไดรติกในการรักษาโรคมะเร็ง เป็นการทบทวนวรรณกรรมเชิงพรรณนา (Narrative Review) โดยรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูล PubMed, Scopus, ScienceDirect และ Google Scholar โดยใช้คำสำคัญ “dendritic cell vaccine,” “hypersensitivity,” “delayed-type hypersensitivity,” และ “cancer immunotherapy” โดยเน้นบทความที่ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2542–2568 ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่มีผล DTH เป็นบวกหลังได้รับวัคซีนเซลล์เดนไดรติก มักมีแนวโน้มการตอบสนองต่อการรักษาที่ดีในหลายชนิดของมะเร็ง เช่น melanoma, nasopharyngeal carcinoma และมะเร็งปอด โดยการตอบสนองแบบ DTH สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของเซลล์ T จำเพาะและไซโตไคน์ เช่น IL-2 และ IFN-γ อย่างไรก็ตาม การวัด DTH แบบดั้งเดิมอาจยังขาดความแม่นยำ จึงมีข้อเสนอให้ใช้วิธีทางเนื้อเยื่อวิทยาในการประเมินผลเพิ่มเติม การตอบสนองแบบ DTH มีศักยภาพเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของวัคซีนเซลล์เดนไดรติกในการรักษาโรคมะเร็ง แต่ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานที่แม่นยำและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/266840 แนวทางการใช้เทคโนโลยีแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (BIM) พัฒนาแนวทางการออกแบบบ้านพักอาศัยที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 2025-05-22T11:39:40+07:00 ขจรศักดิ์ เจ้ากรมทอง m6602727@g.sut.ac.th ธีรวัฒน์ สินศิริ Sinsiri@sut.ac.th อภัย ชาภิรมย์ aphai_ch@g.sut.ac.th <p>การใช้เทคโนโลยีแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling: BIM) ในช่วงเวลาออกแบบได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถสนับสนุนการออกแบบบ้านพักอาศัยให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานตั้งแต่ระยะต้นของกระบวนการออกแบบ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบจำลองแนวคิดเบื้องต้น สำหรับการประยุกต์ใช้ BIM เพื่อส่งเสริมการออกแบบบ้านพักอาศัยที่คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นเฉพาะช่วงเวลาออกแบบ เพื่อใช้เป็นกรอบทางทฤษฎีในการสนับสนุนการวิเคราะห์และตัดสินใจ มิได้มุ่งหมายทดสอบหรือยืนยันผลลัพธ์เชิงประจักษ์ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยประกอบด้วยการทบทวนวรรณกรรม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญด้าน BIM และพลังงาน เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น การเลือกใช้วัสดุ การจัดวางทิศทางอาคาร การใช้ระบบระบายอากาศธรรมชาติ และการผนวกแหล่งพลังงานหมุนเวียน ทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้าใน แบบจำลองแนวคิดเบื้องต้น เพื่อแสดงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างในการออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ผลการศึกษาให้กรอบแนวคิดที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแนวทางการประยุกต์ใช้ BIM ในการออกแบบบ้านพักอาศัยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน อย่างไรก็ตาม แบบจำลองดังกล่าวยังอยู่ในระดับแนวคิดเบื้องต้นซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมผ่านการประเมินเชิงสถิติและการทดสอบภาคสนามในงานวิจัยระยะต่อไป</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/267407 การเพิ่มประสิทธิภาพงานโครงการการส่งมอบงานติดตั้งเครื่องจักรและแหล่งจ่ายพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม 2025-04-28T14:08:37+07:00 วิชัย สอนอินต๊ะ vichaisornin@gmail.com ศักดิ์ชาย รักการ sakchai.rak@kbu.ac.th อัตถกร กลั่นความดี sakchai.rak@kbu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบงานติดตั้งเครื่องจักรและแหล่งจ่ายพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 8% โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และแนวทางการบริหารจัดการเชิงวิศวกรรม กรณีศึกษาจากบริษัท เมิร์จ 3 ไซต์แอนด์เซอร์วิส จำกัด พบว่า 3 โครงการจาก 5 โครงการมีความล่าช้า คิดเป็นความเสียหาย 4.20%, 5.90% และ 2.43% โดยเฉพาะโครงการที่ 1 ล่าช้า 30 วัน หรือ 4.20% ของระยะเวลาที่กำหนด จากการวิเคราะห์หาสาเหตุด้วยแผนภูมิพาเรโตและแผนภาพความคิด พบว่า สาเหตุหลักมาจากการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ (40%) วัสดุไม่เพียงพอ (20%) และเครื่องมือไม่พร้อมใช้งาน (15%) ผู้วิจัยได้ทำการประยุกต์ใช้หลักการการออกแบบสร้างรูปแบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับข้อมูลเข้ามาแก้ปัญหาด้านการสื่อสาร ด้วยการปรับปรุงผังการไหล (Work Flow) และ ปรับปรุงแก้ไขข้อมูล (Data Validation) ก่อนการพัฒนาแอปพลิเคชัน App Sheet เพื่อจัดเก็บและติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมกำหนดสัญญาข้อตกลงในการเข้าซ่อมตามเวลา (Service Level Agreement: SLA) เพื่อควบคุมคุณภาพและกำหนดกรอบเวลาให้ชัดเจน ผลลัพธ์ของการดำเนินงานในโครงการใหม่ พบว่า ความเสียหายที่เกิดจากความล่าช้าลดลงเหลือ 1.14% จาก 4.20% ลดลงคิดเป็น 72.85% ของความเสียหายก่อนปรับปรุง และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เท่ากับ 441%</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/267548 การพัฒนาระบบตรวจวัดค่าฝุ่นผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง เพื่อควบคุมและติดตามคุณภาพอากาศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร 2025-05-08T14:39:10+07:00 เกรียงศักดิ์ มะละกา ekk_ele@hotmail.com อนุสรา สุขสุคนธ์ ekk_ele@hotmail.com ขวัญวิจิตรดา ขันทะวงศ์วัฒนา ekk_ele@hotmail.com วินัย เปาเดล ekk_ele@hotmail.com กนกอร สีมีพันธ์ ekk_ele@hotmail.com วนัสนันท์ จันทรเพ็ญ ekk_ele@hotmail.com เอกรัตน์ สุขสุคนธ์ ekk_ele@hotmail.com <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ พัฒนาระบบตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน โดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง สำหรับการควบคุมและติดตามคุณภาพอากาศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร และประเมินประสิทธิภาพความพึงพอใจของผู้ใชัระบบ กระบวนการวิจัยประกอบด้วย การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าฝุ่นเชื่อมต่อกับไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อส่งข้อมูลแบบเวลาจริงเข้าสู่ระบบคลาวด์ ระบบสามารถแจ้งเตือนและควบคุมการทำงานของเครื่องฉีดพ่นละอองน้ำแรงดันสูงแบบอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน จากผลการทดลองพบว่า ระบบสามารถควบคุมปริมาณฝุ่นให้ไม่เกินค่ามาตรฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระดับความพึงพอใจเฉลี่ยในระดับมากที่สุด ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.63, S.D. = 0.57) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศในโรงเรียนอย่างยั่งยืน จากผลการศึกษาสามารถใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโรงเรียนอัจฉริยะและสนับสนุนการวางแผนนโยบายสิ่งแวดล้อมเชิงรุกในอนาคต</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/266676 การตรวจพิสูจน์คราบน้ำมันเบนซินบนพื้นรองเท้าของผู้ต้องสงสัยด้วยเทคนิคเฮดสเปซ-แก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปกโตรเมตรี 2025-03-11T10:49:37+07:00 ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง choosakoonkrian_s@su.ac.th ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี supsupalak@gmail.com อรทัย เขียวพุ่ม Kheawpum_o@su.ac.th ปภังกร ราชสาวงศ์ Rachsawong_p@su.ac.th ปิยาภา จันทร์มล piyapa.jm@gmail.com <p>ศึกษาการคงอยู่ของคราบน้ำมันเบนซินบนพื้นรองเท้าทำจากวัสดุ 6 ชนิด ได้แก่ ยางธรรมชาติ ยางสัง เคราะห์ อีวีเอ พียู ไฟล่อน และพีวีซี เหยียบลงบนแผ่นกระเบื้องที่มีหยดน้ำมันเบนซิน 100 µl เก็บตัวอย่างคราบน้ำมันเบนซินบนพื้นรองเท้าภายหลังจากการเหยียบน้ำมันบนพื้นกระเบื้องที่ระยะเวลา 0, 3 และ 6 ชั่วโมง โดยใช้ activated carbon ที่บรรจุในถุงชา นำไปตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำมันเบนซินด้วยเทคนิค HS-GC-MS พบว่า เวลาที่ 0 ตัวอย่างพื้นรองเท้าทั้ง 6 ชนิด พบโครมาโทรแกรมที่มีพีคบ่งชี้องค์ประกอบของน้ำมันเบนซินจำนวน 12 พีค เวลาที่ 3 ชั่วโมง มีตัวอย่างพื้นรองเท้า 4 ชนิด และเวลาที่ 6 ชั่วโมง มีตัวอย่างพื้นรองเท้าเพียง 2 ชนิด ที่ยังคงให้โครมาโทรแกรมที่มีพีคบ่งชี้องค์ประกอบของน้ำมันเบนซินจำนวน 12 พีค คือ พื้นยางสังเคราะห์ และ ไฟล่อน และเมื่อเก็บตัวอย่างหลังจากเหยียบบนพื้นกระเบื้องนานขึ้นจะพบโครมาโทรแกรมมีจำนวนพีคและพื้นที่ใต้พีคลดลง ผลการศึกษาการเก็บตัวอย่างคราบน้ำมันบนพื้นรองเท้าสามารถนำไปใช้ในการตรวจพิสูจน์งานด้านนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงผู้กระทำความผิดกับสถานที่เกิดเหตุได้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/267693 การศึกษาเปรียบเทียบการตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนด้านเหนียวของเทปกาวด้วยเทคนิคการอบซุปเปอร์กลู และ Wet powder 2025-06-05T10:52:55+07:00 วัลลภา ประภัษรากุล uttapanza_bb@yahoo.co.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนด้านเหนียว ของเทปกาว ระหว่างการใช้เทคนิคการอบซุปเปอร์กลูร่วมกับการใช้ Wet powder และการใช้เพียง Wet powder ประเมินประสิทธิภาพของการตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงแต่ละวิธี ใช้เกณฑ์การนับจำนวนจุดลักษณะสำคัญพิเศษ (minutiae points) ตัวอย่างเทปกาวที่ใช้ในการเก็บรอยลายนิ้วมือแฝง ได้แก่ เทปใส เทปกาว เทปแลกซีน และเทปพัสดุ ผลการทดลองพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ไม่ผ่านการอบซุปเปอร์กลูตรวจพบรอยลายนิ้วมือได้ชัดเจนมากกว่า ทั้งในด้านความคมชัดของเส้นสันลายนิ้วมือและจำนวนจุดลักษณะสำคัญที่ตรวจนับได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่อบซุปเปอร์กลูร่วมกับการใช้ Wet powder เนื่องจากการอบซุปเปอร์กลูลดความเหนียวของพื้นผิว และอาจส่งผลให้ด้านเหนียวของเทปกาวเกิดรวมตัวกัน ทำให้จุดลักษณะสำคัญพิเศษเลือนหายไป การตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงบนเทปกาวด้านเหนียวเหมาะสำหรับการใช้ Wet powder เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจนำแต่ละเทคนิคไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของเทปกาว และนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงเกี่ยวทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/apheitoffice_science/article/view/267846 รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี 2025-06-01T23:05:27+07:00 พิมพ์ฐดา วัฒนพงศ์สถิต pim_care@hotmail.com นวัสนันท์ วงศ์ประสิทธิ์ pim_care@hotmail.com ลักษณพร คำดี pim_care@hotmail.com อุเทน สุทิน jo090382@gmail.com <p>วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี 2) พัฒนารูปแบบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้สูงอายุโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจำนวน 377 คน กลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ กลุ่มบุคลากรทางสาธารณสุขจำนวน 23 คน และ ผู้สูงอายุจำนวน 11 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามคุณภาพชีวิต ทัศนคติ และปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดีขึ้น ได้แก่ อายุ ฐานะทางการเงิน ผู้ดูแลหลัก ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุแย่ลง ได้แก่โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ปัจจัยทัศนคติเชิงบวก ด้านร่างกาย (AOR=2.88) เศรษฐกิจ (AOR=2.67) สัมพันธภาพทางสังคม (AOR= 2.10) จิตใจ (AOR=2.78) และสิ่งแวดล้อม (AOR=4.65) ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดีขึ้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ควรได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ภาคีเครือข่ายในชุมชน และนโยบายภาครัฐ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย