วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj <p style="text-align: justify;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong><strong> </strong></p> <p style="text-align: justify;"> เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิชาการทางด้านการเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมแก่สังคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทบทความ </strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวารสารเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย เปิดรับบทความประกอบด้วย 3 สาขาวิชา ดังนี้สาขาเกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องจัดเตรียมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ</p> <p style="text-align: justify;"><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></p> <p style="text-align: justify;"> ปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม - สิงหาคม และ กันยายน - ธันวาคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทของการ Peer-review</strong></p> <p style="text-align: justify;"> รูปแบบ (Double blinded) ในการพิจารณาบทความ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบเป็น ขั้นแรกแล้วจัดให้มีกรรมการ ภายนอกร่วมกลั่นกรอง (peer review) 3 ท่าน ประเมินตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนด ในลักษณะเป็น double blinded คือ ปกปิดรายชื่อผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้อง</p> <p style="text-align: justify;"><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารมีผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินบทความที่เชี่ยวชาญและตรงตามสาขาฯ (ทั้งภายในและภายนอก) จำนวน 3 ท่านต่อบทความ</p> <p style="text-align: justify;"><strong>** วารสารยังไม่มีการดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ ** เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากทางคณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี</strong></p> คณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ th-TH วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี 2730-1648 <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">บทความ ข้อมูล เนื่อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการดีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จาก<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> ก่อนเท่านั้น</p> ความหลากชนิดของพรรณไม้ในพื้นที่ป่าภูห้วยทราย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/258769 <p>ศึกษาความหลากชนิดและการใช้ประโยชน์ของพรรณไม้ในพื้นที่ป่าภูห้วยทราย ตำบลบ้านใหม่ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา โดยวิธีการสุ่มวางแปลงตัวอย่างแบบสี่เหลี่ยมขนาด 40x40 ตารางเมตร จำนวน 3 แปลง ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 และสอบถามการใช้ประโยชน์ของพรรณไม้บริเวณป่าภูห้วยทราย ในหมู่บ้าน อังโกน หมู่บ้านหัวบึง และหมู่บ้านทรัพย์อุดม จำนวน 30 ครัวเรือน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการศึกษาพบพืชจำนวน 49 วงศ์ 82 สกุล 118 ชนิด วงศ์ที่พบมากที่สุด คือ วงศ์ถั่ว พบ 17 ชนิด พรรณไม้ต้นที่มีค่าดัชนีความสำคัญมากที่สุด คือ แดง (<em>Xylia xylocarpa</em> (Roxb.) Taub.) มีค่าเท่ากับ 56.21 รองลงมา คือ ปอแก่นเทา (<em>Grewia eriocarpa </em>Juss.) มีค่าเท่ากับ 30.72 และ สะแบง (<em>Dipterocarpus intricatus</em> Dyer) มีค่าเท่ากับ 26.15 ค่าดัชนีความหลากชนิดของไม้ต้นและไม้พื้นล่าง มีค่าเท่ากับ 2.90 และ 3.10 และค่าดัชนีความสม่ำเสมอของไม้ต้นและไม้พื้นล่าง มีค่าเท่ากับ 0.53 และ 0.42 พบพืชต่างถิ่นรุกราน 7 ชนิด ได้แก่ ตีนตุ๊กแก (<em>Tridax procumbens</em> L.) มะแว้งนก (<em>Solanum nigrum</em> L.) ลูกใต้ใบ (<em>Phyllanthus amarus</em> Schumch. &amp; Thonn.) สาบม่วง (<em>Praxelis clematidea</em> (Hieron. Ex Kuntze) R.M. King &amp; H.Rob.) สาบเสือ (<em>Chromoleana odoratum</em> (L.) R.M. King &amp; H.Rob.) หญ้าขจรจบดอกเล็ก (<em>Pennisetum polystachyon</em> (L.) Schult.) และ โทงเทง (<em>Physalis angulata</em> L.) สามารถนำพืชไปใช้ประโยชน์ได้ 4 ประเภท ได้แก่ พืชที่ใช้เป็นสมุนไพร จำนวน 17 ชนิด พืชที่ใช้เป็นอาหาร จำนวน 9 ชนิด พืชที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย จำนวน 8 ชนิด และพืชที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง จำนวน 4 ชนิด ซึ่งงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ต่อไป</p> ผุสดี พรหมประสิทธิ์ พัชรดา นามคุณ อภิสมัย ใช้ฮวดเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-19 2024-02-19 4 3 1 13 อีโคไลและรูปแบบการดื้อต่อยาปฏิชีวนะภายใต้กระบวนการผลิตปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259352 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบคทีเรียบ่งชี้ที่ก่อโรคและคุณสมบัติการดื้อยาปฏิชีวนะในกระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากเศษอาหาร อีกทั้งศึกษาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่คาดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของแบคทีเรียก่อโรค และคุณสมบัติการดื้อยาปฏิชีวนะภายใต้กระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดยใช้อีโคไลเป็นแบคทีเรียบ่งชี้ ใช้ระยะเวลาทดสอบ 8 สัปดาห์ ภายใต้ถังหมักขนาด 150 ลิตร ที่มีการเติมอากาศ ผลจากการศึกษาพบว่าภาพรวมการดื้อต่อยาปฏิชีวนะของอีโคไลในช่วงเริ่มต้นกระบวนการหมักมีค่า MAR index ของอีโคไลอยู่ที่ 0.312 เมื่อดำเนินการหมักปุ๋ยอินทรีย์ในช่วงแรกที่อุณหภูมิภายในถังปฏิกรณ์เพิ่มขึ้น (37.0-57.0 องศาเซลเซียส) อีโคไลที่สามารถอยู่รอดได้จะมีระดับการดื้อยาเพิ่มสูงขึ้น และค่อยๆ ลดลงตามระยะเวลา โดยในสัปดาห์ที่ 8 ค่า MAR index ของอีโคไลลดลงมาที่ 0.214 ซึ่งอีโคไลส่วนใหญ่ที่เหลือรอดจัดเป็น<br />อีโคไลดื้อยา 1 กลุ่มยา (ร้อยละ 60.0) ในส่วนของน้ำชะจากปุ๋ยหมักช่วงแรกของการหมักพบค่า MAR index (0.405) สูงกว่าในตัวปุ๋ยหมัก และมีค่าลดระดับลงตามระยะเวลาเช่นกัน (สัปดาห์ที่ 7 มีค่า MAR index = 0.150) ดังนั้น ในการนำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารไปประยุกต์ใช้ ควรทิ้งช่วงเวลาให้ปุ๋ยหมักเกิดการหมักจนสมบูรณ์หรือมีการพักปุ๋ยหมักทิ้งไว้ เพื่อลดระดับความรุนแรงของการดื้อยาปฏิชีวนะในแบคทีเรียซึ่งอาจปนเปื้อนอยู่ อีกทั้งควรมีระบบจัดการน้ำชะปุ๋ยหมักที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าวสู่สิ่งแวดล้อม</p> สิมนัส ตรีเดช เพียงกมล ยุวนานนท์ จุฑารัตน์ ศรีชูเปี่ยม ธวัชชัย ศรีสอาด วิไล เจียมไชยศรี Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-19 2024-02-19 4 3 14 26 การพัฒนาดินปลูกเพื่อการผลิตแตงโมในกระถางแบบแนวตั้งกลางแจ้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/258662 <p>การพัฒนาดินปลูกเพื่อการผลิตแตงโมในกระถางแบบแนวตั้งกลางแจ้งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสูตรดินปลูกที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของแตงโมที่ปลูกในกระถางแบบแนวตั้งกลางแจ้ง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design: CRD) จำนวน 4 สิ่งทดลอง ๆ ละ 3 ซ้ำ มีสูตรดินปลูก คือ ดินปลูกสูตรที่ 1 ดินปลูกเพื่อการค้า (Control) ดินปลูกสูตรที่ 2 ดินร่วน:ขุยมะพร้าว:กาบมะพร้าวสับ:ขี้ไก่แกลบ อัตราส่วน 1:1:1:1 โดยปริมาตร ดินปลูกสูตรที่ 3 ขุยมะพร้าว:มูลวัว:ทราย:แกลบดิบ อัตราส่วน 1:2:1/2:1/2 โดยปริมาตร และดินปลูกสูตรที่ 4 ดินร่วน:ทราย: ขี้เถ้าแกลบ:มูลวัว อัตราส่วน 1:1:1:1 โดยปริมาตร ผลการศึกษาพบว่า ดินปลูกสูตรที่ 2 ทำให้แตงโมมีการเจริญเติบโตมากที่สุด ทั้งด้านเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น จำนวนใบ ความกว้างใบ และความยาวใบ รวมทั้งทำให้มีน้ำหนักผล และความหวานเนื้อของแตงโมมากที่สุดด้วย แต่ถ้ามองในด้านต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตที่คุ้มทุนของการผลิตแตงโมในลักษณะนี้พบว่า ดินปลูกสูตรที่ 3 มีต้นทุนในการผลิตต่ำและให้กำไรสูงที่สุด ดังนั้นหากจะทำการผลิตแตงโมในกระถางแบบแนวตั้งกลางแจ้งเพื่อการค้า สูตรดินที่เหมาะสมที่สุด คือ ดินปลูกสูตรที่ 3</p> ชำนาญ ขวัญสกุล Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-19 2024-02-19 4 3 27 35 ผลของอัตราภาระทางชลศาสตร์และอัตราภาระบรรทุกทางชลศาสตร์ ต่อประสิทธิภาพการกรองน้ำบาดาลจากชุดเครื่องกรองน้ำบาดาล https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/258804 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดเครื่องกรองน้ำบาดาลตัวถังพีวีซี (Filter Series Reactor of Groundwater; FSRG) จากท่อพีวีซี (PVC) มีทิศทางการไหลลงจากบนลงล่าง จำนวน 3 ถังต่อเรียงกัน ซึ่งระบบประกอบด้วยถังที่ 1 ถังปฏิกรณ์แมงกานีส ถังที่ 2 ถังปฏิกรณ์เรซิ่น และถังที่ 3 ถังปฏิกรณ์ถ่านกัมมันต์ชนิดเม็ดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง (Diameter; D) 0.10 เมตร ความลึกชั้นกรองที่ 1 เมตรมีอัตราส่วนความกว้าง:ความยาว (&lt;1:4) แต่ละถังมีพื้นที่ (Area; A) 86.55x10<sup>-4</sup> ตารางเมตร พบว่าที่อัตราไหลเข้า (Q-in) 0.20 ลูกบาศก์เมตร/วันที่ระยะเวลากักพักชลศาสตร์ (Hydraulic Retention Time; HRT) เท่ากับ 0.04 วัน แต่เกิดการลดของอัตราภาระทางชลศาสตร์ (Hydraulic Loading Rate; HLR) เท่ากับ 0.17x10<sup>-2</sup> เมตร/วัน และอัตราภาระบรรทุกทางชลศาสตร์ (Organic Loading Rate; OLR) เท่ากับ 3.46x10<sup>-2</sup> กิโลกรัม-เหล็ก/ลูกบาศก์เมตร/วัน และ 4.57 กิโลกรัม-ความกระด้าง/ลูกบาศก์เมตร/วันของระบบ FSRG มีประสิทธิภาพสูงสุดในกำจัดค่าเหล็ก (Fe) และความกระด้าง (CaCO<sub>3</sub>) ถึง 73.33% และ 80.00% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามระบบ FSRG ควรติดตั้งระบบรีเวอร์สออสโมซิส (Reverse Osmosis) ร่วมเพื่อความสะอาดของน้ำมากขึ้น</p> รัฐพล สุขสมบูรณ์ พุทธพรรณี บุญมาก Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 36 44 อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลร่วมกับโพรดิวเซอร์แก๊ส https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259704 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1 สูบ 4 จังหวะ ที่ใช้น้ำมันดีเซลร่วมกับโพรดิวเซอร์แก๊สจากถ่านไม้ และปริมาณควันดำจากแก๊สไอเสียของทั้ง 2 กรณี โพรดิวเซอร์แก๊สผลิตจากเตาแก๊ส ซิไฟเออร์แบบไหลขึ้นขนาด 60 ลิตร กับชุดระบายความร้อนด้วยน้ำ การทดลองทำการเปรียบเทียบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่ 700 rpm 800 rpm 900 rpm 1,000 rpm 1,100 และ 1,200 rpm จากผลการทดลองพบว่า เตาโพรดิวเซอร์แก๊สที่ใช้ถ่านไม้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแก๊สสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมได้ดีในทุกความเร็วรอบของเครื่องยนต์ในการทดลอง โดยเฉพาะที่ความเร็วรอบต่ำสามารถประหยัดเชื้อเพลิงดีเซลได้สูงที่สุด ที่ 178 ml/h (ที่ 900 rpm) ซึ่งสามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลลงถึง 53% ส่วนของการลดมลพิษเฉพาะส่วนของควันดำ พบว่า การใช้เชื้อเพลิงร่วมสามารถลดควันดำได้ลงมากจาก 45% เป็น 38%</p> วุฒิชัย สิทธิวงษ์ ธนกร หอมจำปา พีรพัฒน์ ประชุมฉลาด ธราเทพ แหวนเงิน ณัฐกิตติ์ แก้วทุมลา Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 45 58 ความสามารถในการกระจายและเพิ่มออกซิเจนในน้ำของกังหันน้ำกรณีศึกษาน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วในโรงพยาบาล https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259481 <p>การศึกษาความสามารถในการกระจายและเพิ่มออกซิเจนในน้ำของกังหันน้ำกรณีศึกษาน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วในโรงพยาบาล เป็นการทดสอบหาความสามารถในการเพิ่มและกระจายค่าความสามารถในการเพิ่มออกซิเจน (DO) ของบ่อทดสอบในโรงพยาบาล โดยทำการทดสอบหาปริมาณค่า DO ในแนวราบห่างออกจากตัวเครื่องทั้งหมด 9 จุด และแนวดิ่งในความลึกทุก ๆ 10 เซนติเมตร จนกระทั่งไม่พบค่า DO ที่ 7, 15 และ 30 วัน เพื่อหาความสามารถในการเพิ่มและกระจาย<br />ค่า DO ของกังหันเติมอากาศโดยใช้กังหันเติมอากาศแบบอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ ในจุดต่าง ๆ จากการทดสอบพบว่า <br />ค่า DO ในน้ำของพื้นที่ทดสอบก่อนที่จะทำการติดตั้งกังหันน้ำนั้นที่ความลึก 0, 30, 40, 50 และ 60 เซนติเมตร มีค่า DO เท่ากับ 6.99, 5.09, 3.57, 0.84 และ 0.09 มิลลิกรัม/ลิตร ตามลำดับ เมื่อทำการติดตั้งกังหันน้ำ พบว่า DO ในจุดที่ 4 <br />มีค่าสูงสุดคือ 9.10 มิลลิกรัม/ลิตร โดยที่ 7, 15 และ 30 วัน จุดที่ 4 สามารถเพิ่มค่า DO ได้เท่ากับ 49%, 65% และ 83% ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบในระดับความลึกเดียวกันประสิทธิภาพในการเพิ่มค่า DO ต่ำสุด คือจุดที่ 3 และ 9 โดยสามารถเพิ่มค่า DO ได้เฉลี่ยเท่ากับ 30%, 37% และ 46% ที่ 7, 15 และ 30 วัน ตามลำดับ เนื่องจากการกระจายของน้ำลดลง ดังนั้นหากมีการทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของกังหันเติมอากาศอาจจะทำให้ลดข้อจำกัดของการกระจายของน้ำได้</p> ฐิตินันท์ ป้องนาม คุณาธิป รวิวรรณ จักรพันธ์ สินโคกสูง Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 59 69 การออกแบบและพัฒนาผลผลิตการปลูกข้าวด้วยระบบอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259075 <p>การศึกษาการออกแบบระบบสมาร์ทฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งสำหรับการปลูกข้าวครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบนวัตกรรมการเกษตรอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับการปลูกข้าว แปลงสาธิตที่ศูนย์วิจัยข้าว อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งใช้แนวความคิดของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งโดยมีเซ็นเซอร์วัดค่าข้อมูลของการปลูกข้าว โดยกำหนดไว้ 3 ค่า ตามสภาพแวดล้อมและคุณภาพของดิน คือ 1) ความชื้น (Humidity), 2) ค่าทีดีเอส (TDS) และ 3) ค่าพีเอช (pH) ผลการศึกษาพบว่า การออกแบบแผนผังการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT (Node MCU) กับ Arduino board และระบบเซ็นเซอร์พร้อมกับการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์โมบายโฟนแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยสามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และสามารถแสดงข้อมูลตามค่ามาตรฐาน ดังนี้ 1) ค่า Humidity จะอยู่ในช่วง 70-100, 2) ค่า TDS น้อยกว่า 3 มิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร และ 3) ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 7-9 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ สามารถมีการจัดการน้ำที่ดีและลดต้นทุนทางด้านบุคลากร ลดเวลา สามารถทำงานและพัฒนาร่วมกับแอปพลิเคชันได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ข้าวน้ำหนักดีและเกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นต่อเดือน 12.7%</p> ธนพร พยอมใหม่ ไมตรี ธรรมมา Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 70 85 พืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable diseases; NCDs) โดยหมอยาพื้นบ้าน ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259036 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ในการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยหมอยาพื้นบ้าน ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงเดือนสิงหาคม 2565 โดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structer interviewed) หมอยาพื้นบ้าน ทั้งหมด 4 คน ทำการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling ) ผลการศึกษาพบพืชสมุนไพร 34 ชนิด 31 สกุล 26 วงศ์ พืชสมุนไพรพบมากที่สุดในวงศ์ Fabaceae จำนวน <br />4 ชนิด (12%) รองลงมาเป็นพืชวงศ์ Acanthaceae, Moraceae, Rhamnaceae, Rutaceae และ Smilaceae มีจำนวนเท่ากัน 2 ชนิด (6%) วิธีการเตรียมพืชสมุนไพรที่นิยมมากที่สุดคือต้มดื่ม จำนวน 28 ชนิด (82%) รองลงมาคือ กินสด จำนวน 6 ชนิด (17%) ไม้ต้นเป็นลักษณะวิสัยของพืชสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด จำนวน 13 ชนิด (39%) รองลงมาคือ ไม้พุ่ม จำนวน 9 ชนิด (27%) ส่วนของพืชที่นิยมนำมาทำยาสมุนไพรมากที่สุดคือ ลำต้น จำนวน 13 ชนิด (39%) รองลงมาคือ <br />ใบ จำนวน 9 ชนิด (26%) กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ใช้สมุนไพรในการรักษา มี 6 กลุ่มโรค มีค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ความรู้ (ICF) ที่มากที่สุดคือโรคเบาหวาน ICF เท่ากับ 0.09 พืชที่มีดัชนีรายงานการใช้มากที่สุดเท่ากัน 2 ชนิด (UV=0.75) คือยอบ้าน (<em>Morinda citrifolia</em> L. Lecomte.) และกะทกรก (<em>Passiflora foetida</em> L.) ซึ่งใช้ในการบำรุงหัวใจ รักษาโรคความดันสูง และเบาหวานในทั้ง 2 ชนิด</p> เอื้อมพร จันทร์สองดวง ปวีณา สาลีทอง Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 86 98 ผลของการเสริมผงผักต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าว https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259617 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดของผักที่เหมาะสมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าว ได้แก่ ผักคะน้า ผักกาดฮ่องเต้ และผักกาดกวางตุ้ง ผลการศึกษา พบว่า ข้าวเกรียบว่าวเสริมผักกาดกวางตุ้งได้รับคะแนนทางประสาทสัมผัสด้านลักษณะปรากฏ สี เนื้อสัมผัส กลิ่น รสชาติ และความชอบโดยรวม เท่ากับ 7.30, 7.06, 7.60 และ 7.63 ตามลำดับการวิเคราะห์ค่าสี (L*, a* และ b*) ของข้าวเกรียบว่าวที่เสริมผงผักทั้ง 3 ชนิด พบว่า การเสริมผงผักส่งผลให้ข้าวเกรียบว่าวมีค่า L* อยู่ในช่วง 40.98-42.26 ค่า a* อยู่ในช่วง (-11.43)–(-13.40) และค่า b* มีค่าอยู่ระหว่าง 34.22-35.08 ข้าวเกรียบว่าวเสริมผงผักมีปริมาณน้ำอิสระ (a<sub>w</sub>) อยู่ในช่วง 0.33-0.34 และมีความชื้นอยู่ในช่วงร้อยละ 8.02-8.15 จาการศึกษาอัตราส่วนของผงผักในผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าวที่แตกต่างกัน 4 ระดับ คือ ร้อยละ 0, 4, 6 และ 8 เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าว พบว่า การเติมผงผักกาดกวางตุ้งที่ปริมาณสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าสี L*, a*, b* และความชื้น มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>≤0.05) นอกจากนี้การเพิ่มผงผักในปริมาณมากขึ้นจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของข้าวเกรียบว่าวเพิ่มขึ้น เมื่อทดสอบค่าความแข็งของข้าวเกรียบว่าว พบว่า ข้าวเกรียบว่าวที่เสริมผงผักกาดกวางตุ้งที่ ร้อยละ 6 มีค่าความแข็งสูงที่สุด เท่ากับ 1.71 นิวตัน และคะแนนทางประสาทสัมผัสด้านสี กลิ่น รสชาติ และความชอบโดยรวมมากที่สุด โดยมีคะแนนเท่ากับ 7.30, 7.13 และ 7.06 ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของข้าวเกรียบว่าวเสริมผงผักผัก ร้อยละ 6 พบว่า ปริมาณเถ้า โปรตีน และเยื่อใย เท่ากับ ร้อยละ 0.61, 7.18 และ 0.51 ตามลำดับ ซึ่งมีค่าสูงกว่าข้าวเกรียบว่าวสูตรพื้นฐาน (<em>p</em>≤0.05)</p> ณัฎวลิณคล เศรษฐปราโมทย์ พัชรี คำมา ไพรัตน์ ขวัญพนาลี สุภัตรา สิริสถิรสุนทร นิตยา ภูงาม Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 99 111 การนำฟอสฟอรัสกลับคืน ด้วยกระบวนการตกผลึกสตรูไวท์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/259375 <p>สตรูไวท์ในน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุปัญหาอุดตันในเส้นท่อของระบบบำบัดน้ำเสีย ทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการแก้ปัญหา แต่องค์ประกอบสตรูไวท์มีสารฟอสฟอรัสซึ่งใช้เป็นปุ๋ยและเป็นประโยชน์ทางการเกษตรได้ ดังนั้นงานวิจัยนี้ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการตกผลึกสตรูไวท์ในน้ำเสียของโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ด้วยการตกผลึกทางเคมี โดยทำการศึกษาสมบัติของน้ำเสีย และหาสภาวะที่เหมาะสมในการตกผลึกสตรูไวท์ ได้แก่ ค่าพีเอช (pH) และอัตราส่วนเชิงโมลแมกนีเซียมต่อฟอสฟอรัส (Mg:P) ผลการทดลองพบว่า น้ำเสียมีค่าพีเอชเฉลี่ยที่ 4.32±0.058 มีค่าแมกนีเซียม (Mg) เฉลี่ยที่ 4,192.5±3,101.37 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าแอมโมเนีย (NH<sub>3</sub>) เฉลี่ยที่ 347.2±20.191 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีค่าฟอสฟอรัส (P) เฉลี่ยที่ 267.33±5.934 มิลลิกรัมต่อลิตร การทดสอบน้ำเสียแบบกรองและแบบไม่กรองพบว่า ตะกอนน้ำเสียแบบกรองมีส่วนประกอบของสตรูไวท์ และตะกอนสารอินทรีย์อื่น ๆ เจือปนน้อยกว่า ดังนั้นจึงนำน้ำเสียแบบกรองมาศึกษาการตกผลึกสตรูไวท์ พบว่า ค่าพีเอชที่ 9.5 10 และ 11 เกิดตะกอนสตรูไวท์ค่อนข้างมาก โดยค่าพีเอชที่เหมาะสมในน้ำเสียแบบกรองอยู่ที่พีเอช 10 นำกลับฟอสฟอรัสได้มากกว่า 98% อัตราส่วนแมกนีเซียมต่อฟอสฟอรัส (Mg:P) พบว่าที่พีเอช 9.5 อัตราส่วนเพิ่มขึ้นการตกผลึกสตรูไวท์เพิ่มขึ้นด้วย พบว่า อัตราส่วน 1:1 เพิ่มขึ้นเป็น 5:1 ผลึกสตรูไวท์เพิ่มขึ้นจาก 124.10 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น 213.80 มิลลิกรัมต่อลิตร สภาวะที่เหมาะสมที่สุด คือ อัตราส่วน 5:1 ที่พีเอช 9.5 มีการเพิ่มขึ้นของตะกอนสตรูไวท์และนำกลับฟอสฟอรัสได้มากกว่า 97% ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางการเกษตรอีกด้วย</p> อรุณี เมืองซ้าย อทิตยา สังข์สว่าง วาศนศักดิ์ ลิ้มควรสุววรรณ เยาวเรศ ส่วนบุญ Copyright (c) 2023 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-02-20 2024-02-20 4 3 112 122