วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj
<p style="text-align: justify;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong><strong> </strong></p> <p style="text-align: justify;"> เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิชาการทางด้านการเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมแก่สังคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทบทความ </strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน เป็นวารสารเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย เปิดรับบทความประกอบด้วย 3 สาขาวิชา ดังนี้สาขาเกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องจัดเตรียมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ</p> <p style="text-align: justify;"><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></p> <p style="text-align: justify;"> ปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม - สิงหาคม และ กันยายน - ธันวาคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทของการ Peer-review</strong></p> <p style="text-align: justify;"> รูปแบบ (Double blinded) ในการพิจารณาบทความ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบเป็น ขั้นแรกแล้วจัดให้มีกรรมการ ภายนอกร่วมกลั่นกรอง (peer review) 3 ท่าน ประเมินตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนด ในลักษณะเป็น double blinded คือ ปกปิดรายชื่อผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้อง</p> <p style="text-align: justify;"><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารมีผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินบทความที่เชี่ยวชาญและตรงตามสาขาฯ (ทั้งภายในและภายนอก) จำนวน 3 ท่านต่อบทความ</p>
คณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
th-TH
วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
3057-0174
<p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">บทความ ข้อมูล เนื่อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการดีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จาก<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> ก่อนเท่านั้น</p>
-
การประเมินความมีชีวิตและวิธีการเก็บรักษาละอองเกสรมะเขือเทศเพื่อการผลิตเมล็ดพันธุ์
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264449
<p>มะเขือเทศเป็นพืชผักทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ ๆ และการผลิตเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศลูกผสม ต้องใช้ละอองเกสรที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพของละอองเกสรเริ่มต้นก่อนนำไปผสม โดยงานวิจัยนี้ทำการศึกษาสีย้อมที่เหมาะสมเพื่อประเมินความมีชีวิตของละอองเกสรมะเขือเทศแบบรวดเร็วและประเมินความงอกของละอองเกสรด้วยการหาความเข้มข้นของน้ำตาลซูโครสต่อการชักนำให้เกิดการงอก และศึกษาอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเก็บรักษาละอองเกสรมะเขือเทศเพื่อยืดอายุละอองเกสร โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ประกอบด้วย 4 กรรมวิธี 5 ซ้ำ พบว่า สีย้อมที่เหมาะสมต่อการทดสอบความมีชีวิตที่แยกความแตกต่างระหว่างละอองที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตของละอองเกสรมะเขือเทศ คือ สีอะซีโตคามีน 1 เปอร์เซ็นต์ สามารถย้อมติดละอองเกสรได้ดีที่ระยะเวลาการย้อมเพียง 10 นาที สูตรสารละลายน้ำตาลที่เหมาะสม คือ สารละลายน้ำตาลซูโครสความเข้มข้น 20 เปอร์เซ็นต์ โดยละอองเกสรมะเขือเทศมีการงอกสูงสุดเท่ากับ 67.50 เปอร์เซ็นต์ การเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส สามารถเก็บรักษาละอองเกสรได้นานถึง 30 วัน โดยละอองเกสรมะเขือเทศยังคงมีชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ และละอองเกสรมีการงอก 22.5 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อนำละอองเกสรที่เก็บรักษาไปทดสอบการติดผลและคุณภาพเมล็ดพันธุ์ พบว่า มะเขือเทศมีการติดผล 42.27 เปอร์เซ็นต์ ให้น้ำหนักผลสดเฉลี่ย 26.50 กรัมต่อผล และน้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 0.09 กรัมต่อผล เมล็ดมีความงอกสูง 99 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นวิธีการเก็บรักษาละอองที่ได้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์หรือการผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ต่อไป</p>
ศุภลักษ์ สัตยสมิทสถิต
เปรมจิต ถิ่นคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
1
10
-
ผลของ BA (6-benzyladenine) และน้ำมะพร้าวต่อการเจริญเติบโตของต้นผักเป็ดแดงใบด่าง (Alternanthera reineckii ‘rosanervig’) ในสภาวะปลอดเชื้อ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263759
<p>การศึกษาผลของไซโตไคนินที่มีต่อการเจริญเติบโตของต้นผักเป็ดแดงใบด่าง (<em>Alternanthera reineckii </em>‘rosanervig’) โดยการนำชิ้นส่วนบริเวณตา และลำต้นมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อบนอาหารสังเคราะห์สูตร MS ที่เติมสารควบคุมการเติบโต BA (6-benzyladenine) ความเข้มข้น 0, 1, 2 และ 4 mg/L และน้ำมะพร้าว 0, 10 และ 15% รวมทั้งหมด 12 ชุดการทดลอง โดยควบคุมอุณหภูมิที่ 25±2<sup>๐</sup>C และให้ความเข้มแสง 3,000 lux 8 ชั่วโมง/วัน เป็นเวลา 28 วัน พบว่า การเติมน้ำมะพร้าว 10% ร่วมกับ BA 1, 2 และ 4 mg/L ส่งผลให้ต้นอ่อนพืชมีจำนวนใบเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยของจำนวนใบเท่ากับ 23.33±9.79, 22.83±9.91 และ 27.83±2.48 ใบ/ต้น ตามลำดับ สำหรับการเติมน้ำมะพร้าว 0-15% และ BA 0-4 mg/L พบว่า ความยาวใบ และความสูงต้นไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) การเติมน้ำมะพร้าว 10% สามารถชักนำให้เกิดจำนวนราก และความยาวรากมากที่สุดคือ 10.33±4.03 ราก และ 1.13±0.32 cm ตามลำดับ ส่วนอาหารที่เติมน้ำมะพร้าว 10% ร่วมกับ BA 4 mg/L ทำให้เนื้อเยื่อมีจำนวนยอดมากที่สุด 8.00±2.61 ยอด/ต้น แต่เมื่อพิจารณาลักษณะสัณฐานวิทยา พบว่า จำนวนยอดที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นแคลลัส ต้นอ่อนแคระแกร็น และมีรากน้อยไม่ยึดเกาะกับอาหาร ในขณะที่การเติมน้ำมะพร้าว 10% เพียงอย่างเดียวทำให้ต้นอ่อนมีรากแข็งแรง ใบมีสีแดงสด และนุ่มไม่แห้งกรอบ ดังนั้นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นผักเป็ดแดงใบด่างที่เหมาะสมต่อการส่งออกจึงควรใช้น้ำมะพร้าว 10% เป็นสารควบคุมการเติบโตในอาหารสังเคราะห์สูตร MS</p>
รชนิมุข หิรัญสัจจาเลิศ
มะลิวัลย์ คุตะโค
บัญชา นิลเกิด
คณิน สายอยู่
ภควรรณ เศรษฐมงคล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
11
18
-
A review on the ethnobotany of exotic species in Thailand III: Tamarindus indica L. (Fabaceae)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/262174
<p>This review explored the ethnobotanical uses of tamarind (Tamarindus indica L.: Fabaceae), an exotic species with a longstanding presence in Thailand. The study synthesized 199 use-reports from 42 references spanning 1995 to 2022, revealing its multifaceted roles in traditional medicine, food, and other applications across 16 ethnic groups. The plant is most commonly employed for treating digestive system disorders but also finds use in women's healthcare and combating infections. To understand its widespread use, we evaluated three hypotheses: availability, diversification, and versatility. The plant's ubiquity, due in part to its 700-year presence in Thailand, substantiates the availability hypothesis. Although the diversification hypothesis is less compelling in this context due to the existence of other species treating similar ailments, the versatility hypothesis was strongly supported by the plant's broad application across various domains. The review underscores the need for future phytochemical and ethnopharmacological studies to understand <em>T</em>. <em>indica</em>'s medicinal efficacy better. It also suggests leveraging ethnobotanical knowledge for community-based conservation efforts.</p>
Kittiyut Punchay
Prateep Panyadee
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
19
33
-
ระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับการคัดแยกขยะด้วยการประยุกต์ใช้แบบจำลองการเรียนรู้เชิงลึก
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263096
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อการคัดแยกประเภทขยะ โดยนำเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึกมาใช้ในการวิเคราะห์และจำแนกขยะชนิดต่าง ๆ โดยการประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Networks: CNN) ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลภาพ ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้เชิงลึกแบบไม่ต้องเขียนโค้ด (No-code machine learning platform) ซึ่งช่วยให้การพัฒนาโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกเป็นไปอย่างสะดวกขึ้น กระบวนการวิจัยถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักได้แก่ การรวบรวมข้อมูล การฝึกสอนโมเดล และ การทดสอบโมเดล โดยรวบรวมรูปภาพของขยะจำนวน 2,000 รูป ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลัก ได้แก่ ประเภททั่วไป ประเภทอินทรีย์หรือเปียก ประเภทรีไซเคิล ประเภทอันตราย รูปภาพดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการฝึกสอนและทดสอบโมเดล การจำแนกขยะ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถจำแนกประเภทของขยะด้วยความแม่นยำเฉลี่ยสูงถึง 91.50% โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดในการจำแนกขยะประเภททั่วไปและรีไซเคิลที่มีความแม่นยำถึง 100% และต่ำสุดในการจำแนกขยะอันตรายที่มีความแม่นยำ 86%</p>
ธนโชติ พลศรีพิมพ์
สุนิสา สุโขพันธ
เปรม อิงคเวชชากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
34
42
-
ผลของมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่หมักร่วมกับชานอ้อยต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของผักกาดหัวพันธุ์เอเวอเรสท์ไฮบริด
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/260869
<p>การวิจัยผลของมูลสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่นำมาทำปุ๋ยหมักร่วมกับชานอ้อยต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกาดหัวพันธุ์เอเวอเรสท์ไฮบริด วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) จำนวน 5 กลุ่มทดลอง ประกอบด้วย กลุ่มทดลองที่ 1 ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 และปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 กลุ่มทดลองที่ 2 ชานอ้อยหมักร่วมกับมูลไก่ กลุ่มทดลองที่ 3 ชานอ้อยหมักร่วมกับมูลโค กลุ่มทดลองที่ 4 ชานอ้อยหมักร่วมกับมูลสุกร และกลุ่มทดลองที่ 5 ชานอ้อยหมักร่วมกับมูลแพะ พบว่า กลุ่มทดลองที่ 1 ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 และปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากให้น้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยกรัมต่อหัวมากที่สุด คือ 813 กรัมต่อหัว (41 กิโลกรัมต่อแปลง และ 6,560 กิโลกรัมต่อไร่) ในขณะเดียวกันก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางของหัว และความยาวเฉลี่ยของหัว เท่ากับ 7.11 เซนติเมตร และ 29.68 เซนติเมตร ตามลำดับ ซึ่งให้ผลไม่แตกต่างกันทางสถิติกับกลุ่มทดลองอื่น การเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกาดหัวที่ได้รับปุ๋ยเคมีพืชจะได้รับธาตุอาหารที่ครบถ้วนและสม่ำเสมอ ทำให้มีการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ดี อย่างไรก็ตามการใช้ปุ๋ยเคมีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต</p>
ประภัสสร สมบัติศรี
นิพนธ์ สนธิธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
43
49
-
ผลของการใช้กลีเซอรีนดิบทดแทนเมล็ดข้าวโพดบดต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโต การย่อยได้ของโภชนะและพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหารในสัตว์ปีก
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263093
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้กลีเซอรีนดิบทดแทนเมล็ดข้าวโพดบดต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโต การย่อยได้ของโภชนะและพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหารในสัตว์ปีก แบ่งการทดลองออกเป็น 2 การทดลอง ได้แก่ การทดลองที่ 1 การศึกษาประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของสัตว์ปีก ใช้ไก่พื้นเมืองไทย อายุเฉลี่ย 11 สัปดาห์ จำนวน 84 ตัว การทดลองที่ 2 ศึกษาการย่อยได้ของโภชนะ พลังงาน และการเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหารในสัตว์ปีก ใช้ไก่ลูกผสมพื้นเมืองคละเพศ อายุเฉลี่ย 7 สัปดาห์ จำนวน 30 ตัว และในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหารในสัตว์ปีก ใช้ไก่ลูกผสมพื้นเมืองคละเพศ อายุเฉลี่ย 7 สัปดาห์ จำนวน 24 ตัว โดยผ่านการให้อาหารที่ใช้กลีเซอรีนดิบในระดับที่ 0, 4 และ 8 เปอร์เซ็นต์ในสูตรอาหาร มาแล้ว 8 สัปดาห์ ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จากการศึกษา พบว่า การใช้กลีเซอรีนดิบที่ระดับ 0, 4 และ 8 เปอร์เซ็นต์ในอาหาร ไม่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโต และต้นทุนการผลิตตลอดระยะการทดลอง อย่างไรก็ตาม การใช้กลีเซอรีนดิบต่อไก่เล็กในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของการทดลอง พบว่า การใช้กลีเซอรีนดิบที่ระดับ 8 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวันลดลง การกินได้ของไขมัน การกินได้ของเยื่อใยหยาบ และการย่อยได้ที่แท้จริงของเยื่อใยหยาบสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการย่อยได้ที่แท้จริงของคาร์โบไฮเดรต ปริมาณไนโตรเจนที่ไก่ได้รับและสมดุลไนโตรเจนลดลง นอกจากนี้การใช้กลีเซอรีนดิบที่ระดับ 4 และ 8 เปอร์เซ็นต์ในอาหารส่งผลให้กระเพาะพักมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลให้ความยาวของตับ และน้ำหนักของไส้ติ่งด้านขวาลดลง</p>
มุกดา ประชุมฉลาด
อรุณรัตน์ เสียงสนั่น
ชยพล มีพร้อม
ทรงยศ กิตติชนม์ธวัช
จักรกริช หอมขาว
นันทการณ์ จันดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
50
63
-
ผลของการเสริมวิตามินอีในอาหารต่อคุณภาพน้ำเชื้อและอัตราการผสมติดในไก่พื้นเมือง
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264891
<p>การทดลองในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของวิตามินอีต่อคุณภาพน้ำเชื้อและอัตราการผสมติดในไก่พื้นเมือง แบ่งการทดลองออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ผลของการเสริมวิตามินอีในอาหารต่อคุณภาพน้ำเชื้อ ใช้ไก่พื้นเมืองพ่อพันธุ์อายุ 1-2 ปี จำนวน 12 ตัว ทำการรีดน้ำเชื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มทดลอง ดังนี้ การเสริมวิตามินอีที่ระดับ 0, 50 และ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร จากการศึกษาพบว่า การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า อสุจิมีชีวิต และความเข้มข้นของน้ำเชื้อ ในกลุ่มที่มีการเสริมวิตามินอีทุกระดับมีค่ามากกว่ากลุ่มควบคุม (p<0.05) อสุจิรูปร่างผิดปกติของกลุ่มที่เสริมวิตามินอีทุกระดับมีค่าน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (p<0.05) และปริมาตรน้ำเชื้อกลุ่มที่เสริมวิตามินอีที่ระดับ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร มีปริมาตรมากที่สุด ส่วนที่ 2 ผลของเสริมวิตามินอีในอาหารต่ออัตราการผสมติด ใช้แม่พันธุ์ไก่พื้นเมืองอายุ 8-12 เดือน จำนวน 36 ตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่มทดลอง ดังนี้ การเสริมวิตามินอีที่ระดับ 0, 50 และ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร และแต่ละกลุ่มจะได้รับการผสมจากน้ำเชื้อที่ได้จากพ่อพันธุ์ที่ได้รับการเสริมวิตามินอีในระดับเดียวกัน จากการศึกษาพบว่า อัตราการผสมติด และอัตราการฟักออกของไข่มีเชื้อทั้งหมดในกลุ่มที่มีการเสริมวิตามินอีที่ระดับ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร มีค่ามากกว่าทุกกลุ่ม (p<0.05) ในขณะที่ไข่เชื้อตายมีเปอร์เซ็นต์น้อยที่สุด จากการทดลองแสดงให้เห็นว่าการเสริมวิตามินอีส่งผลให้ประสิทธิภาพทางการสืบพันธุ์ของไก่พื้นเมืองเพิ่มขึ้นทั้งในเพศผู้และเพศเมีย</p>
สุจิตรา ทิพย์ศรีราช
อมรรัตน์ สุวรรณโพธิ์ศรี
พัชรา บำรุง
ทิพย์วดี ประไพวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
64
74
-
ประสิทธิภาพของสารกำจัดเชื้อราต่อการควบคุมโรคแอนแทรคโนสในดอกของทุเรียน ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides (CGD 5)
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263853
<p>ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคแอนแทรคโนสในดอกทุเรียนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอย่างมาก เพราะทำให้ดอกทุเรียนแห้งและร่วงหล่น ไม่ติดผล ส่งผลโดยตรงต่อผลผลิตทุเรียน จำเป็นต้องหาวิธีการป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสในดอกทุเรียน โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารกำจัดเชื้อรา 5 ชนิด คือ Carbendazim, Prochloraz, Hymexazol, Pyraclostrobin และ Difenoconazole + Azoxystrobin ต่อการควบคุมเชื้อรา <em>Colletotrichum gloeosporioides </em>สาเหตุโรคแอนแทรคโนสในดอกทุเรียน เริ่มต้นจากแยกเชื้อราสาเหตุโรคจากส่วนดอกทุเรียนที่แสดงอาการของโรค หลังจากแยกเชื้อราและจัดจำแนกทางชีวโมเลกุลแล้ว พบว่า เป็นเชื้อรา <em>C. gloeosporioides </em>จำนวน 5 ไอโซเลท คือ CGD1, CGD2, CGD3, CGD4 และ CGD5 ต่อมาได้ทดสอบการเกิดโรคกับดอกทุเรียน 2 ระยะ คือ หัวกำไล และดอกเหลือง พบว่า ไอโซเลท CGD5 ก่อให้เกิดโรครุนแรงที่สุดถึง 100 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นทดสอบกับสารกำจัดเชื้อรา 5 ชนิด ด้วยวิธี Agar well diffusion พบว่า Carbendazim และ Prochloraz สามารถควบคุม<br />เชื้อรา <em>C. gloeosporioides</em> (CGD5) ได้ประมาณ 75-80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำเชื้อสาเหตุโรคที่ทดสอบกับสารกำจัดเชื้อรา Prochloraz ส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบความผิดปกติของเส้นใย มีลักษณะอาการบวมและขยายออก เกิดการบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง โดยสรุปผลการทดลองการใช้สารกำจัดเชื้อรา Carbendazim และ Prochloraz เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาใช้ในการควบคุมโรคแอนแทรคโนสที่เกิดกับดอกทุเรียน</p>
ธิติ ทองคำงาม
ไพรัตน์ อำลอย
ธีรโชติ บุญคุ้ม
สุกฤตา อนุตระกูลชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
75
85
-
การพัฒนามิเตอร์ไฟฟ้าแบบ IoT (Internet of Things) 5 หน่วย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/266039
<p>การพัฒนามิเตอร์ไฟฟ้าแบบ IoT (Internet of Things) 5 หน่วย มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณลักษณะของมิเตอร์ไฟฟ้าแบบ IoT 5 หน่วย และพัฒนาระบบส่งข้อมูลไปยังคลาวด์และแสดงผ่านแดชบอร์ด โดยมิเตอร์ไฟฟ้าที่พัฒนาสามารถอ่านค่าปริมาณทางไฟฟ้า โดยใช้โมดูลวัดพลังงานไฟฟ้า PZEM 004t v3.0 และส่งข้อมูลไปยังบอร์ด ESP32S ประมวลผลส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มิเตอร์ไฟฟ้าใช้แรงดันไฟฟ้าขนาด 230 V สำหรับเลี้ยงวงจรผลการวิจัยพบว่า มิเตอร์ไฟฟ้าแบบ IoT โดยใช้โมดูลวัดปริมาณไฟฟ้า (PZEM 004t) จำนวน 5 ตัว สามารถวัดปริมาณทางไฟฟ้า ประกอบด้วย แรงดันไฟฟ้า (V) กระแสไฟฟ้า (A) กำลังไฟฟ้า (W) ความถี่ (Hz) เพาเวอร์แฟกเตอร์ (PF) และพลังงานไฟฟ้า (Wh) มีความคลาดเคลื่อนการวัดแรงดันไฟฟ้ามีค่าความคลาดเคลื่อน ±0.16% กระแสไฟฟ้ามีค่าความคลาดเคลื่อน ±0.91% และกำลังไฟฟ้ามีค่าความคลาดเคลื่อน ±0.80% อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำหนดเกณฑ์การสอบเทียบมิเตอร์คลาดเคลื่อนไม่เกิน ±2.5% สำหรับมิเตอร์ที่ติดตั้งในระบบแรงดันไม่เกิน 33 kV และผลการตรวจสอบการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ การแสดงผลผ่านแดชบอร์ดถูกต้องและแม่นตรงแบบเวลาจริง สามารถดูข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าย้อนหลังได้ผ่าน Web browser และสามารถนำข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าไปใช้วิเคราะห์และบริหารจัดการได้</p>
ณรงค์ชัย ดีสม
บุตรดี มะลัยทอง
ปรัชญา ประยงค์หอม
จำนงค์ พันสนิท
บุญเจตน์ แจ่มจันทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
86
96
-
การกำหนดการออกแบบที่เหมาะสมและมาตรฐานราคาก่อสร้างอาคารขนาดเล็ก รับซื้อ-ขายผลิตผลเกษตรในประเทศไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/266102
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและสำรวจความต้องการเกี่ยวกับรูปแบบและราคาของอาคารขนาดเล็กรับซื้อ-ขายผลิตผลเกษตร 2) เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดแบบอาคารขนาดเล็กรับซื้อ-ขายผลิตผลเกษตรให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มตัวอย่าง 3) เพื่อกำหนดมาตรฐานราคาก่อสร้างที่สอดคล้องกับแบบอาคารขนาดเล็กรับซื้อ-ขายผลิตผลเกษตร ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการออกแบบและราคาก่อสร้างอาคารโดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มเกษตรกรภายในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 110 คน และข้อมูลเชิงคุณภาพจาก ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รวมไม่น้อยกว่า 18 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ 1) แบบสอบถามเชิงปริมาณ 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการประมวลผลด้วยโปรแกรมสถิติของข้อมูลเชิงปริมาณ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะแบบและราคามีรายละเอียดดังนี้ ขนาดพื้นที่ใช้สอย โครงสร้างเสา ลักษณะพื้นอาคาร ผนังอาคาร โครงสร้างหลังคา ราคาต่อตารางเมตร และลักษณะห้องน้ำพบว่า ทุกรายการมีความต้องการที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด 2) ความคิดเห็นของเกษตรกรมีความต้องการแบบและราคาพบว่า ปัจจัยด้านรูปแบบอาคาร การเงินและการลงทุน ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการใช้งานทุกด้านมีผลต่อความต้องการในระดับมากที่สุด จากงานวิจัยนี้การกำหนดการออกแบบที่เหมาะสมและมาตรฐานราคาก่อสร้างอาคารขนาดเล็กรับซื้อ-ขายผลิตผลเกษตรในประเทศไทยควรมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรเป็นหลักโดยคำนึงถึงการใช้งานจริงและความคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งนี้ควรสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
นพกร เกตุนุ้ย
ชัยพร สุภาหิตานุกุล
จงจิตร์ หิรัญลาภ
โจเซฟ เคดารี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
97
106
-
การออกแบบการทดลองเพื่อหาค่าสภาวะที่เหมาะสมของกระบวนการขึ้นรูปถ่านดูดกลิ่นจากเปลือกมังคุด
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/266583
<p>เนื่องจากถ่านดูดกลิ่นจากเปลือกมังคุดเป็นการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและยังช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนอีกด้วย โดยการนำมาจัดทำเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกัน ซึ่งจะใช้วิธีการลองผิดลองถูกจนได้อัตราส่วนที่เหมาะสม ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของถ่านดูดกลิ่นได้ ส่งผลให้ถ่านดูดกลิ่นขึ้นรา ซึ่งมีสาเหตุมาจากมีความชื้นสูง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อค่าความชื้น และเพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการขึ้นรูปถ่านดูดกลิ่นจากเปลือกมังคุด โดยการออกแบบการทดลอง ซึ่งมีทั้งหมด 3 ปัจจัย คือ ชนิดของตัวประสาน อัตราส่วนผสม และเวลาที่ใช้ในการอบ โดยชนิดของตัวประสานมี 2 ระดับ ได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง และแป้งข้าวเจ้า อัตราส่วนผสมระหว่างตัวประสานต่อเปลือกมังคุดมี 3 ระดับ ได้แก่ 80, 100 และ 120 กรัม และ เวลาที่ใช้ในการอบ มี 3 ระดับ ได้แก่ 8, 10 และ 12 ชั่วโมง และมีการทดลองซ้ำ 3 ครั้ง ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า เวลาที่ใช้ในการอบ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อค่าความชื้น ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ และความผิดพลาดไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าอัตราส่วนที่ทำให้ถ่านดูดกลิ่นจากเปลือกมังคุดมีความชื้นน้อยที่สุด ได้แก่ เปลือกมังคุด 800 กรัม แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม และ เวลาที่ใช้ในการอบ 12 ชั่วโมง</p>
วัชนะชัย จูมผา
จิดาภา โฮจีน
พงศกร รอดศิลา
สหรัฐ วิโคตร
สมศักดิ์ แก้วพลอย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
6 2
107
118