วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj <p style="text-align: justify;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong><strong> </strong></p> <p style="text-align: justify;"> เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิชาการทางด้านการเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมแก่สังคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทบทความ </strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน เป็นวารสารเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย เปิดรับบทความประกอบด้วย 3 สาขาวิชา ดังนี้สาขาเกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องจัดเตรียมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ตามมาตรฐานวารสารวิชาการ</p> <p style="text-align: justify;"><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong></p> <p style="text-align: justify;"> ปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม - สิงหาคม และ กันยายน - ธันวาคม</p> <p style="text-align: justify;"><strong>ประเภทของการ Peer-review</strong></p> <p style="text-align: justify;"> รูปแบบ (Double blinded) ในการพิจารณาบทความ กองบรรณาธิการจะตรวจสอบเป็น ขั้นแรกแล้วจัดให้มีกรรมการ ภายนอกร่วมกลั่นกรอง (peer review) 3 ท่าน ประเมินตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนด ในลักษณะเป็น double blinded คือ ปกปิดรายชื่อผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้อง</p> <p style="text-align: justify;"><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></p> <p style="text-align: justify;"> วารสารมีผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินบทความที่เชี่ยวชาญและตรงตามสาขาฯ (ทั้งภายในและภายนอก) จำนวน 3 ท่านต่อบทความ</p> th-TH <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">บทความ ข้อมูล เนื่อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการดีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จาก<span style="background-color: #ffffff; color: #000000; cursor: text; display: inline; float: none; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;">วารสารทดสอบระบบ ThaiJo2</span> ก่อนเท่านั้น</p> atj.rmuti@gmail.com (วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน) atj.rmuti@gmail.com (นางสาวจุฑามาศ พอกพูน) Wed, 09 Apr 2025 14:49:49 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของกระบวนการแช่อิ่มต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษาสับปะรดแช่อิ่มอบแห้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/262590 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกระบวนการผลิตต่อคุณภาพและอายุการเก็บของสับปะรดแช่อิ่มอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลไม้แปรรูป อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน โดยการนำสับปะรดปัตตาเวียพันธุ์น้ำผึ้งจากแหล่งปลูกในเขตจังหวัดลำปางมาเปรียบเทียบกระบวนการผลิตในขั้นตอนการแช่อิ่มโดยใช้ชนิดของสารละลายและสภาวะในการแช่อิ่มต่างกันจำนวน 6 สิ่งทดลอง ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการผลิตในขั้นตอนการแช่อิ่มที่ผู้ประกอบการเลือกคือ การใช้สารละลายผสมระหว่างน้ำตาลซูโครสร้อยละ 80 กับกลีเซอรอล ร้อยละ 20 และระยะเวลาแช่อิ่มนาน 3 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 40-60 องศาเซลเซียส ได้สับปะรดแช่อิ่มอบแห้งที่มีค่าสี L* สูงที่สุด โดยค่าเท่ากับ 70.44 มีค่าความแข็ง เท่ากับ 4.97 N และปริมาณน้ำอิสระ (a<sub>w</sub>) เท่ากับ 0.53 ผลการศึกษาอายุการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (30 องศาเซลเซียส) ในถุงพลาสติก PET/LLDPE แบบซิปล็อค พบว่า สับปะรดแช่อิ่มอบแห้งมีอายุการเก็บรักษานาน 7 เดือน หากเก็บรักษานานเกินกว่า 7 เดือน มีผลทำให้สับปะรดแช่อิ่มอบแห้งมีสีเหลืองคล้ำอมน้ำตาล มีกลิ่นของสับปะรดอ่อนลง และเนื้อสัมผัสเหนียวกัดขาดยาก ผลของปริมาณน้ำอิสระและปริมาณความชื้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p≤0.05) มีค่าระหว่าง 0.43-0.66 และร้อยละ 4.31-6.87 ตามลำดับ คุณภาพด้านจุลินทรีย์ที่ระยะเวลาการเก็บนาน 8 เดือน พบว่า อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนผักและผลไม้แช่อิ่ม (161/2558)</p> วิภา ประพินอักษร, นันทา เป็งเนตร์ Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/262590 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 ผลของขนาดกระถางแอร์พอตต่อการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นของกัญชา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261157 <p>ขนาดของภาชนะปลูกที่แตกต่างกันย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ยังไม่มีการศึกษาขนาดของกระถางแอร์พอตที่แตกต่างกันในกัญชา จึงทำการศึกษาผลของขนาดของกระถางแอร์พอต ที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นของกัญชาสายพันธุ์หางกระรอกภูพาน โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์มี 5 กรรมวิธี คือภาชนะปลูกกระถางแอร์พอต ขนาด 15x20, 20x20, 30x30, 40x40 และ 50x50 เซนติเมตร ทำ 4 ซ้ำ ๆ ละ 4 ต้น ปลูกในวัสดุผสมประกอบด้วย ดินร่วน: ขุยมะพร้าว: ปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 2:1:1 บันทึกข้อมูลการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 2 เดือน พบว่า ภาชนะปลูกขนาด 30x30, 40x40 และ 50x50 เซนติเมตร มีความสูงต้นมากที่สุด ภาชนะปลูกขนาด 30x30 และ 40x40 เซนติเมตร มีจำนวนใบมากที่สุด ภาชนะปลูกขนาด 40x40 เซนติเมตร มีความกว้างและยาวใบมากที่สุด ภาชนะปลูกขนาด 40x40 และ 50x50 เซนติเมตร มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น ความกว้างทรงพุ่ม ความยาวรากมากที่สุด ดังนั้นกระถางแอร์พอต ขนาด 50x50 เซนติเมตร น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปลูกกัญชา เนื่องจากส่งผลให้ต้นกัญชามีแนวโน้มการเจริญเติบโตของลำต้นและรากที่ดี</p> ทรงศักดิ์ ธรรมจำรัส, บุญชาติ คติวัฒน์, นันท์นภัส สุวรรณสินธุ์, กิตติศักดิ์ จันทร์สุข, นัฐพร ชะอุ่มฤทธิ์ Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261157 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาอายุและการเติบโตของปลาหมูขาว (Yasuhikotakia modesta) ในแม่น้ำมูล และแม่น้ำชี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263930 <p>ปลาหมูขาว (<em>Yasuhikotakia modesta</em>, (Bleeker, 1864)) เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ นิยมนำมาประกอบอาหารและเพาะเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาอายุและการเติบโตของปลาหมูขาวด้วยกระดูกหู จากแม่น้ำสายหลัก 2 สาย (แม่น้ำมูล และแม่น้ำชี) ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ใช้ตัวอย่างปลา 120 ตัวอย่าง ในแม่น้ำมูล ความยาวเหยียด ตั้งแต่ 3.4 ถึง 20.0 cm และใช้ตัวอย่างปลาหมูขาวในแม่น้ำชี 120 ตัวอย่าง ความยาวเหยียด ตั้งแต่ 3.5 ถึง 18.0 cm นำมาศึกษาอายุด้วยวิธีการอ่านวงวันที่พบในกระดูกหู ผลการศึกษาการเติบโตจากแบบจำลอง von Bertalanffy พบว่า ปลาหมูขาวแม่น้ำมูล มีค่าความยาวอนันต์ เท่ากับ 26.36 cm ค่าสัมประสิทธิ์การเติบโต เท่ากับ 1.20 y<sup>-1</sup> และค่าดัชนีประสิทธิภาพการเติบโต เท่ากับ 1.85 ในขณะที่ปลาหมูขาวแม่น้ำชี พบค่าความยาวอนันต์ เท่ากับ 18.51 cm ค่าสัมประสิทธิ์การเติบโต เท่ากับ 1.44 y<sup>-1</sup> และค่าดัชนีประสิทธิภาพการเติบโต เท่ากับ 1.62 และในการศึกษาขนาดของกระดูกหู พบว่า ปลาหมูขาวแม่น้ำมูลมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมูขาวในแม่น้ำชี ซึ่งพบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และการศึกษารูปร่างของกระดูกหู พบว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ยกเว้นบริเวณส่วนหน้ากระดูกหูของปลาหมูขาวในแม่น้ำมูลจะยื่นยาวกว่า</p> ชนิสรา หมดกรรม, จรุงจิต กรุดพันธ์, ทวนทอง จุฑาเกตุ, ปิยะเทพ อาวะกุล Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263930 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 การคัดแยกเชื้อแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์เซลลูเลสจากดินที่มีเปลือกทุเรียน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/262681 <p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดแยกแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์เซลลูเลสจากตัวอย่างดินที่มีการทับถมกันของเปลือกทุเรียน จำนวน 3 จุด ในบริเวณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี เพื่อประโยชน์ในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและผลิตปุ๋ยชีวภาพ โดยคัดเลือกแบคทีเรียตัวแทนได้ทั้งหมดจำนวน 17 ไอโซเลทและจากการวัดความสามารถในการย่อยสลายเซลลูโลสโดยการเกิดโซนใส (Hydrolytic Capacity; HC) บนอาหารแข็ง Carboxymethyl cellulose (CMC) สามารถคัดแยกแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์เซลลูเลสได้จำนวน 11 ไอโซเลท มีค่า HC อยู่ระหว่าง1.44±0.19 ถึง 7.63±2.63 ไอโซเลท S1-5, S2-4 และ S3-3 เป็นไอโซเลทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยสลายเซลลูโลสจากตัวอย่างดินแต่ละชนิด เมื่อทำการจัดจำแนกโดยใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและการตรวจสอบลำดับนิวคลีโอไทด์ของ 16S rRNA gene พบว่า ไอโซเลท S1-5 เซลล์มีรูปร่างเป็นท่อน ติดสีแกรมบวก คือเชื้อ<em> Bacillus stercoris</em> ไอโซเลท S2-4 และ S3-3 เซลล์มีรูปร่างเป็นเส้น ติดสีแกรมบวก คือ เชื้อ <em>Streptomyces osmaniensis</em> จากการศึกษาการผลิตเอนไซม์เซลลูเลสในอาหารเหลว CMC ค่าพีเอช 7 ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส พบว่า ไอโซเลท S1-5 ผลิตเอนไซม์เซลลูเลสได้สูงที่สุด (0.41±0.03 ยูนิต/มิลลิลิตร) อย่างมีนัยสำคัญ (p≤0.05) รองลงมาคือ S2-4 (0.19±0.02 ยูนิต/มิลลิลิตร) และ S3-3 (0.17±0.01 ยูนิต/มิลลิลิตร) ตามลำดับ ผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียที่คัดแยกได้มีศักยภาพในการย่อยสลายเซลลูโลส และเป็นข้อมูลในการนำไปประยุกต์ใช้ในการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์จากพืชซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับการผลิตปุ๋ยชีวภาพได้</p> ปฐมาภรณ์ ทิลารักษ์, สุจิตรา ทิพย์ศรีราช, กรรณิการ์ เจริญสุข, พิริยาภรณ์ อันอาตม์งาม, พรพนิต ศศิวัฒน์ชุติกุล, ยุพา บุญมี, อมรรัตน์ สุวรรณโพธิ์ศรี Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/262681 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของวัสดุปรับปรุงดินต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีบางประการของดินใต้ทรงพุ่มทุเรียนในชุดดินท่าใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261974 <p>การศึกษาประสิทธิภาพของวัสดุปรับปรุงดินต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีดินใต้ทรงพุ่มทุเรียนในชุดดินท่าใหม่ ทำการศึกษาระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2566-มกราคม 2567 โดยวัสดุปรับปรุงดินที่ใช้ในการทดลองมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ แกลบเผา (จากโรงไฟฟ้าชีวมวล) มูลไส้เดือน มูลโค มูลไก่ ขุยมะพร้าว และแกลบดิบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1:1:1 ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ระดับความลึก 15 เซนติเมตร วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) ประกอบด้วย 6 กรรมวิธี ดังนี้ 1) ควบคุม (ไม่ใส่วัสดุปรับปรุงดิน) 2-6) ใส่วัสดุปรับปรุงดินใน อัตรา 2.5, 5, 10, 15 และ 20 กิโลกรัมต่อต้น ตามลำดับ จากนั้นศึกษาสมบัติทางเคมีบางประการของวัสดุปรับปรุงดินและดินใต้ทรงพุ่มทุเรียนก่อนและหลังการใส่วัสดุปรับปรุงดิน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ผลการทดลองพบว่า ภายหลังการใส่วัสดุปรับปรุงดินที่ระยะเวลา 6 เดือน ในอัตรา 20 กิโลกรัมต่อต้น ทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่างในดินเพิ่มสูงขึ้นจาก 4.2 เป็น 6.0 อย่างมีนัยสำคัญ(p&lt;0.05) และยังส่งผลให้ปริมาณอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง และสังกะสีเพิ่มขึ้นด้วย แต่ปริมาณทองแดง แมงกานีส และสังกะสีที่แลกเปลี่ยนได้ในดินไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p&gt;0.05) โดยผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การใช้วัสดุปรับปรุงดินในอัตรา 20 กิโลกรัมต่อต้น สามารถปรับปรุงค่าความเป็นกรด-ด่าง และเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินภายใต้ทรงพุ่มทุเรียนได้</p> เจนจิรา นามี, ทรงพลธนฤทธ์ มฤครัฐอินแปลง, วิเชียร พุทธศรี, เอกธนัช โชติบัญชา Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261974 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสมรรถนะการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้าด้วย MATLAB App Designer https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261421 <p>บทความนี้นำเสนอ การออกแบบโปรแกรม MATLAB App Designer เพื่อศึกษาสมรรถนะการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้า ตามขอบเขตการเรียนรู้ที่สำคัญของนักศึกษาสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ระดับปริญญาตรี เช่น การทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้าเฟสเดียว แบบจำลองทางไฟฟ้า การทดสอบหม้อแปลงคุณลักษณะการจ่ายโหลด ประสิทธิภาพการทำงาน การควบคุมแรงดัน หม้อแปลงไฟฟ้าสามเฟส และกลุ่มเวกเตอร์ เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นจะมีลักษณะการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานเชิงรูปภาพ ทำให้มีความสะดวกและง่ายสำหรับให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือ ช่วยในการเรียนรู้หลักการทำงานและการวิเคราะห์หม้อแปลงไฟฟ้าของการเรียนรายวิชาเครื่องจักรกลไฟฟ้าได้ โดยผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อที่สนใจศึกษา และป้อนข้อมูลจำเพาะตามคุณลักษณะการทำงานของหม้อแปลง โปรแกรมจะคำนวณผลตามขอบเขตที่ออกแบบไว้ และถูกแสดงทั้งแบบตัวเลขและแบบกราฟ ซึ่งสามารถใช้เปรียบเทียบกับผลการคำนวณด้วยมือ โดยจะทำให้เกิดความเข้าใจหลักการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้ามากขึ้น ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนเชิงสถิติ พบว่า ส่วนใหญ่เห็นว่าการใช้โปรแกรม ทำให้การเรียนรู้มีความน่าสนใจ (คะแนนเฉลี่ย 3.84) รวมถึงช่วยตรวจสอบผลคำนวณได้ดี (คะแนนเฉลี่ย 3.97) และทำให้เกิดความเข้าใจการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้ามากขึ้น (คะแนนเฉลี่ย 3.97) จนสามารถใช้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ผล หรืออาจนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการทำงานในอนาคตได้</p> วิชชากร เฮงศรีธวัช, รุจิพรรณ สัมปันณา Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/261421 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ: คอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยวขนาดเล็กต้นทุนต่ำสำหรับการไล่หนูด้วยเสียง แสง และการสั่นสะเทือน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264207 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบและประเมินประสิทธิภาพของอุปกรณ์ขับไล่หนูแบบหลายประสาทสัมผัสที่ใช้เสียง แสง และการสั่น โดยเน้นถึงประโยชน์ของการใช้วิธีการผสมผสานซึ่งให้ผลดีกว่าการใช้วิธีขับไล่เพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง อุปกรณ์พัฒนาขึ้นโดยใช้ Raspberry Pi ที่มีขนาดเล็กและต้นทุนต่ำ และได้รับการทดสอบในด้านประสิทธิภาพในการลดการบุกรุกของหนูโดยใช้การวิเคราะห์ทางสถิติแบบ One-Way ANOVA และ Tukey's HSD อีกทั้งใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ซึ่งพบว่า การผสมผสานเสียง แสง และการสั่นช่วยลดการบุกรุกของหนูและความเสียหายต่อพืชผลได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว ผลการศึกษาเน้นความสำคัญของการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ (Integrated Pest Management; IPM) ซึ่งสนับสนุนการผสมผสานวิธีการควบคุมศัตรูพืชที่หลากหลาย การรวมการขับไล่หลายประสาทสัมผัสเข้าด้วยกันสอดคล้องกับหลักการ IPM โดยการสร้างอุปสรรคที่ประสิทธิภาพสูงขึ้นในการป้องกันการปรับตัวของหนูและช่วยลดความเสี่ยงที่หนูจะชินต่อการขับไล่ และการพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างระยะเวลาการทำงานของอุปกรณ์กับความถี่การบุกรุกของหนู อาจบ่งชี้ถึงการปรับตัวของหนูเมื่อได้รับการขับไล่เป็นเวลานาน แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้กลยุทธ์ IPM ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้การขับไล่หนูมีประสิทธิภาพในระยะยาว ผลการวิจัยนี้ช่วยสนับสนุนการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่มีขนาดเล็กต้นทุนต่ำและกลยุทธ์การควบคุมศัตรูพืชเพื่อการพัฒนาต่อไปในด้านเทคโนโลยีการจัดการศัตรูพืชแบบ IPM ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการเกษตรที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร</p> ปิยะวิชญ์ ปิยะวัฒน์, ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264207 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 ระบบชลประทานน้ำหยดเพื่อรับมือกับภัยแล้ง: กรณีศึกษาเทศบาลตำบลออนใต้ จังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263127 <p>การจัดการความรู้ระบบชลประทานน้ำหยดเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการรับมือกับภัยแล้งให้แก่เกษตรกรออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างระบบชลประทานน้ำหยด (เทปน้ำหยด) และระบบร่องคูเล็ก (วิธีดั้งเดิม) ในการปลูกพริกระดับแปลงสาธิต ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการที่สำคัญต่อความสำเร็จของการจัดการความรู้ ได้แก่ 1) การระบุปัญหาและความรู้ที่เกษตรกรต้องการนำมาปรับใช้ 2) การคัดเลือกองค์ความรู้และเทคนิคที่เหมาะสมในการจัดการความรู้ 3) การสร้างความรู้และการปรับใช้เทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน และ 4) การรวบรวมและจัดเก็บความรู้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังพบปัจจัย (6 ประเด็น) ที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการจัดการความรู้การปลูกพริก พบว่า การใช้น้ำของระบบเทปน้ำหยดมีค่าเฉลี่ย 0.59-0.79 ลิตร/ต้น/เดือน ส่วนการใช้น้ำของระบบร่องคูเล็กมีค่าเฉลี่ย 1.62-2.72 ลิตร/ต้น/เดือน การให้น้ำแบบเทปน้ำหยดส่งผลให้ความสูงและจำนวนใบต่อต้นของพริกมากกว่าการให้น้ำแบบร่องคูเล็กร้อยละ 25.15 และ ร้อยละ 121.10 อย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) ระบบเทปน้ำหยดให้ผลผลิตพริก (นอกฤดู) สูงกว่าระบบร่องคูเล็กเฉลี่ย 2.3 เท่า ระยะเวลาในการคืนทุนของระบบเทปน้ำหยดและระบบร่องคูเล็กเฉลี่ย 0.19 ปี และ 0.35 ปี ตามลำดับ ประเด็นความพึงพอใจในการขยายผล ได้แก่ การประหยัดน้ำ การประหยัดเวลา การสร้างรายได้เสริม ความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้งการผ่อนแรงเกษตรกรผู้สูงอายุ</p> บัญจรัตน์ โจลานันท์, ภัทรา วงษ์พันธ์กมล, ครรชิต เงินคำคง, จิรศักดิ์ ปัญญา, เกศสุดา สิทธิสันติกุล, ปรารถนา ยศสุข Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/263127 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 การปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของกากถั่วเหลืองจากการหมักแบบแห้ง (Solid-state fermentation) ด้วยแบคทีเรียชนิด Bacillus coagulans และเอนไซม์โบรมิเลนจากสับปะรดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอาหารปลานิล https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/265297 <p>การปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของกากถั่วเหลืองในการศึกษาครั้งนี้ได้เปรียบเทียบคุณสมบัติทางเคมีของกากถั่วเหลือง 2 วิธี คือการปรับปรุงคุณภาพโดยการใช้ <em>Bacillus coagulans</em> หมักแบบแห้งบนอาหารแข็ง (Solid state fermentation) ที่ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณเชื้อ 10<sup>7</sup> cfu/ml อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ที่ 48 ชั่วโมง และการปรับปรุงคุณภาพโดยการย่อยด้วยเอนไซม์โบรมิเลน (Pre-digestion) จากน้ำคั้นสับปะรดที่มีกิจกรรมเอนไซม์ที่4,925.30±445.26 CDU/ml ที่ 90 นาที จากการศึกษา พบว่า ปริมาณโปรตีนจากกากถั่วเหลืองที่หมักด้วย <em>B. coagulans </em>มีโปรตีนเพิ่มสูงสุด คือมีปริมาณโปรตีน 51.67 เปอร์เซ็นต์ และมีปริมาณสารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทริปซินลดลง โดยมีปริมาณน้อยที่สุด 1.39±1.12 mg/g โดยมีความแตกต่างในทางสถิติ (p&lt;0.05) เมื่อเทียบกับกากถั่วเหลืองที่ยังไม่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ ส่วนคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่า กากถั่วเหลืองที่ย่อยด้วยโบรมิเลนจากน้ำคั้นสับปะรดมีความสามารถเป็นสารต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก 157.75±1.13 mg GAE/100g และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH 34.1±2.69 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประสิทธิภาพการย่อยได้ของโปรตีนด้วยเทคนิค In vitro protein digestibility พบว่า กากถั่วเหลืองที่หมักด้วย <em>B. coagulans</em> มีประสิทธิภาพการย่อยของโปรตีนสูงสุดโดยมีค่า 3.48±1.85 µmol DL-Alanine/100 µg และแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) กับชุดการทดลองอื่น จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่า การปรับปรุงคุณภาพกากถั่วเหลืองด้วยวิธีการหมักด้วยเชื้อแบคทีเรีย <em>B. coagulans</em> ส่งผลให้สารต้านโภชนะที่พบในกากถั่วเหลืองลดลง และประสิทธิภาพการย่อยได้ของโปรตีนดีขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหารปลานิลได้</p> ทรงทรัพย์ อรุณกมล, สุธี วงศ์มณีประทีป, ปิ่นสุรางค์ ดีวงษ์, บัณฑิต ยวงสร้อย Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/265297 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 โรงเรือนเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดระบบปิดโดยใช้เทคโนโลยีทางสถาปัตยกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตจิ้งหรีดนอกฤดูกาลสำหรับวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์จังหวัดสกลนคร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264858 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาโรงเรือนเลี้ยงจิ้งหรีดระบบอัจฉริยะ โดยใช้หลักการออกแบบทางสถาปัตยกรรมเพื่อประหยัดพลังงาน สร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ของจิ้งหรีด เพิ่มผลผลิตนอกฤดูกาล และให้ได้มาตรฐาน GAP ร่วมกับการพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) เพื่อควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนอัจฉริยะ การออกแบบโรงเรือนเน้นการควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยการติดตั้งเซนเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น พัดลมดูดพัดลมเป่า ปั๊มน้ำพ่นหมอก และระบบแสงสว่าง ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนและปรับตั้งค่าการทำงานผ่านหน้าจอควบคุมและโทรศัพท์มือถือได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการรับรู้ข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว กลุ่มเป้าหมายคือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจิ้งหรีดในตำบลนาแก้ว อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร จากการทดลองเลี้ยงจิ้งหรีดในโรงเรือนต้นแบบ พบว่า ในช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิภายในโรงเรือนจะสูงกว่าอุณหภูมิภายนอก ข้อมูลก่อนการติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิ พบว่า อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 22.13°C และสูงสุดที่ 42.92°C การควบคุมด้วยมือแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากการควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ โดยการควบคุมด้วยแอปพลิเคชัน Blynk สามารถควบคุมพัดลมและปั๊มพ่นละอองหมอกได้ดี การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับกลุ่มเกษตรกรเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเลี้ยงจิ้งหรีด การใช้เครื่องมือทันสมัยในการควบคุมอุณหภูมิ เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงจิ้งหรีด และแนะนำเรื่องการจัดการธุรกิจและการตลาดสินค้า การพัฒนานี้เชื่อมโยงกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสร้างชุมชนที่มีการแลกเปลี่ยนความรู้และสนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของกลุ่มเลี้ยงจิ้งหรีดในระยะยาว</p> อาณัฐพงษ์ ภาระหัส, สิทธิรักษ์ แจ่มใส, กิตติวัฒน์ จีบแก้ว, กฤษฎา พรหมพินิจ, ภัทราวุธ ศรีคุ้มเก่า, ฟุ้งศรี ภักดีสุวรรณ, จตุรงค์ ศรีทอง, ลลินี ทับทิมทอง, ภาคภูมิ ซอหนองบัว Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/264858 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700 การประเมินและเปรียบเทียบประสิทธิภาพการบริการตอบคำถามลูกค้าที่สร้างขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/265449 <p>ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์มีความสามารถในการโต้ตอบแบบสนทนาและเข้าใจภาษาธรรมชาติซึ่งมีหลากหลายโปรแกรม หากใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพการตอบคำถามได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ก็จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ได้และเป็นประโยชน์ต่อการใช้ในงานบริการตอบคำถามลูกค้า ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและเปรียบเทียบประสิทธิภาพการบริการตอบคำถามลูกค้าที่สร้างขึ้นจาก Generative AI ได้แก่ แชทจีพีที คลอดด์ และเจมีไน ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย คือ เตรียมข้อมูลคำถามและคำตอบที่ถูกต้อง สร้างคำตอบโดย Generative AI คือ แชทจีพีที คลอดด์ และ เจมีไน ทำการประเมินคำตอบด้วยการใช้อัลกอริทึม ROUGE-L และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการตอบคำถาม โดย แชทจีพีที คลอดด์ และ เจมีไน ทำการตอบคำถาม 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบปกติและรูปแบบบทบาทสมมติตอบคำถามรูปแบบละ 3 ครั้ง ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการประเมินการตอบคำถามด้วย Generative AI โดยใช้อัลกอริทึม ROUGE-L รูปแบบปกติ ผลการประเมินคำตอบที่คล้ายคลึงกับคำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด ได้แก่ แชทจีพีที มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.26547 ผลการประเมินการตอบคำถามด้วย Generative AI และรูปแบบบทบาทสมมติ ผลการประเมินคำตอบที่คล้ายคลึงกับคำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด ได้แก่ แชทจีพีที มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.29307 2) ผลการประเมินการตอบคำถามด้วย Generative AI โดยผู้เชี่ยวชาญในรูปแบบแบบปกติ ผลการประเมินคำตอบที่คล้ายคลึงกับคำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด ได้แก่ แชทจีพีทีมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.1556 และผลการประเมินการตอบคำถามด้วย Generative AI รูปแบบบทบาทสมมติ ผลการประเมินคำตอบที่คล้ายคลึงกับคำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด ได้แก่ แชทจีพีที มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.2867</p> ณัฏฐา ผิวมา, ธรรณพ อารีพรรค Copyright (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.อีสาน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/atj/article/view/265449 Wed, 09 Apr 2025 00:00:00 +0700