https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/issue/feed
จันทรเกษมสาร
2024-08-19T00:00:00+07:00
ผศ.ดร.ณพัชญ์ปภา สว่างนุวัตรกุล
research.rdi@chandra.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารที่มุ่งเผยแพร่ความรู้และผลงานด้านการศึกษาและวิจัยในแนวทางสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแนวคิดหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิชาการ ระหว่างนักวิชาการในมหาวิทยาลัยกับสังคมภายนอก</p>
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261537
อิทธิพลของความผูกพันต่อองค์การในฐานะตัวแปรคั่นกลางระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในกรุงเทพมหานคร
2024-03-15T14:29:18+07:00
อภิชญา แก้วสมประสงค์
apichaya.tam@gmail.com
กฤตกร นวกิจไพฑูรย์
Kengha_di@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของปัจจัยคุณลักษณะงาน ความผูกพันต่อองค์การ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยลักษณะงานที่มีต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z และ 3) ศึกษาบทบาทของความผูกพันต่อองค์การในฐานะตัวแปรคั่นกลางที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มพนักงานธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พื้นที่กรุงเทพมหานคร และเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณลักษณะงานอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.13, <em>SD</em> = 0.53) ความผูกพันต่อองค์การอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.00, <em>SD</em> = 0.44) และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 3.79, <em>SD</em> = 0.53) 2) ปัจจัยคุณลักษณะงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความผูกพันต่อองค์การมีบทบาทเป็นตัวแปรคั่นกลางแบบบางส่วนในความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยคุณลักษณะงานส่งผลเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อพนักงานเจเนอเรชัน Z ในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานสูงขึ้น ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถนำผลการวิจัยไปปรับใช้ในการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์และการวางแผนเชิงนโยบายที่ส่งเสริมการออกแบบงานตามปัจจัยคุณลักษณะงานเพื่อส่งเสริมความผูกพันต่อองค์การที่จะส่งผลให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/259295
การเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้แบบสืบเสาะด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง
2024-02-13T09:15:15+07:00
ฟิสิกส์ ฌอณ บัวกนก
sean_f@lpru.ac.th
พงศ์วัชร ฟองกันทา
sean_f@lpru.ac.th
กนิษฐ์กานต์ ปันแก้ว
sean_f@lpru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้เป็นการนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้แบบสืบเสาะให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.00/80.00 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และ 3) ศึกษาความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะของผู้เรียนหลังใช้เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 30 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลากชั้นเรียน แผนการทดลอง One Group Pretest–Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ คือ แอปพลิเคชันการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ สถิติที่ใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) และ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม มีประสิทธิภาพ 80.00/82.00 เป็นไปตามเกณฑ์ 80.00/80.00 2) กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการฝึกด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพมีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) กลุ่มตัวอย่างที่รับการฝึกด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพมีความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.20) ด้านที่สูงสุด คือ ด้านการสร้างความสนใจ (<em>M</em> = 4.25)</p>
2024-08-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261013
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคิดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับแนวคิดสมดุลภาษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-04-05T08:45:50+07:00
อนุตรศักดิ์ วิชัยรัตน์
anuttarasak@gmail.com
สำราญ กำจัดภัย
anuttarasak@gmail.com
จินดา ลาโพธิ์
anuttarasak@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับแนวคิดสมดุลภาษา และ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปากอูน (ปากอูนผดุงวิทย์) จำนวน 71 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 36 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 35 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย แบบทดสอบวัดทักษะการสื่อสาร และแบบวัดเจตคติต่อวิชาภาษาไทย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสถิติทีแบบไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมทางเดียว (One-Way ANCOVA) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ที่มาและความสำคัญ แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผล ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น ทำให้นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ทักษะ การสื่อสาร และเจตคติต่อวิชาภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ทักษะการสื่อสาร และเจตคติต่อวิชาภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-09-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261402
การพัฒนาสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality จากวรรณกรรมเรื่องเล่าศาลเจ้าจีนริมน้ำปิงเขตจังหวัดนครสวรรค์ในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
2024-05-17T10:41:11+07:00
ชูชาติ คุ้มขำ
chuchatkhum@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวรรณกรรมเรื่องเล่าจากศาลเจ้าจีนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงในจังหวัดนครสวรรค์ 2) สร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.00/80.00 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ สื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน จากโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) แล้ววิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality โดยใช้ E1/E2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังศึกษาสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality โดยทดสอบค่าที (t–test แบบ Dependent) วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนโดยการหาค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) วรรณกรรมเรื่องเล่าจากศาลเจ้าหน้าผา อำเภอเมืองนครสวรรค์ แล้วทวนลำน้ำปิงขึ้นไปศาลเจ้าเก้าเลี้ยว อำเภอเก้าเลี้ยว ถึงศาลเจ้าพ่อกวนอู ศาลเจ้าส้มเสี้ยว และศาลเจ้าหว่ากวาง ของอำเภอบรรพตพิสัย พบ 3 อนุภาค ได้แก่ การลอยน้ำของเทวรูป การบูชาจระเข้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และการประดิษฐานเทวรูปตามธรรมเนียมจีน 2) การประเมินสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.47) ประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีประสิทธิภาพ 82.67/81.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80.00/80.00 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality อยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.23)</p>
2024-10-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/258382
การคุกคามทางเพศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร: การศึกษาในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
2024-07-15T16:06:30+07:00
อนุพงศ์ สุขเกษม
kunshy.baicha@gmail.com
<p>การคุกคามทางเพศเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ควรมีผู้ใดกระทำและได้รับการกระทำ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของการกระทำและถูกกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศของนักเรียน จำแนกตามเพศสรีระ เพศวิถี และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาซึ่งอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครที่เข้ามาร่วมตอบแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 1,006 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ และสถิติทดสอบไคว์สแควร์แบบการทดสอบความเป็นเอกพันธ์ ด้วยระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศกับเพื่อนมากที่สุดและโดนกระทำพฤติกรรมทางเพศจากเพื่อนมากที่สุดเช่นกัน โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมที่กระทำและโดนกระทำ คือ การคุกคามทางเพศทางวาจา ได้แก่ การเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับเพศ การวิจารณ์รูปร่าง สัดส่วนของร่างกายและอวัยวะของอีกฝ่าย และการพูดจาล่วงเกินกับอีกฝ่ายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของการกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศ พบว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิงมีสัดส่วนของการกระทำคุกคามทางเพศที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการจำแนกด้วยเพศวิถีและระดับการศึกษามีสัดส่วนไม่แตกต่างกัน ส่วนการเปรียบเทียบสัดส่วนของการถูกกระทำ พบว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิง นักเรียนกลุ่มรักเพศตรงข้ามและนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายมีสัดส่วนของการโดนกระทำคุกคามเพศที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงในการคุกคามทางเพศ ในหมู่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ดังนั้นสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา จึงมีบทบาทสำคัญในการให้นักเรียนตระหนัก และรับรู้ถึงพฤติกรรมการคุกคามทางเพศว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ที่ไม่ควรมีใครกระทำ และไม่ควรมีใครเป็นผู้ถูกกระทำ</p>
2024-10-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/262224
การวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมสู่ความเป็นเมืองภาพยนตร์ของจังหวัดเชียงใหม่
2024-05-14T11:53:10+07:00
เทพฤทธิ์ มณีกุล
denteparit@gmail.com
พรรัตน์ ดำรุง
dpornrat@gmail.com
Lowell Skar
lskar@aol.com
<p>บทความวิชาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง “การสร้างแนวคิดใหม่ให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองภาพยนตร์ดิจิทัล : การใช้วิถีนิเวศวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การเป็นเมืองภาพยนตร์ที่ยั่งยืน” โดยเป็นการอภิปรายแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมที่มีต่อปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ถูกนำมาใช้ในการถอดบทเรียนเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การริเริ่มพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ให้สามารถรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอย่างเป็นเครือข่ายและเป็นระบบ โดยคำนึงถึงองค์รวมทั้งระบบนิเวศ เนื้อหาหลักของบทความเริ่มต้นด้วยการอภิปรายถึงสภาพการณ์ทั่วไปของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศเกาหลีใต้ จากนั้นเป็นการนำเสนอความสำคัญของแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งในมิติของศักยภาพของคน ศักยภาพของพื้นที่ การจัดการ และการมีส่วนร่วม เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ในความเป็นเมืองภาพยนตร์ นำไปสู่การอภิปรายในส่วนสุดท้ายที่เป็นการประยุกต์แนวคิดดังกล่าวเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่สู่ความเป็นเมืองภาพยนตร์ในอนาคตผ่านรูปแบบการร่างข้อเสนอแผนยุทธศาสตร์จากภาคประชาชน</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม