จันทรเกษมสาร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal <p>วารสารที่มุ่งเผยแพร่ความรู้และผลงานด้านการศึกษาและวิจัยในแนวทางสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแนวคิดหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิชาการ ระหว่างนักวิชาการในมหาวิทยาลัยกับสังคมภายนอก</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> research.rdi@chandra.ac.th (ผศ.ดร.ณพัชญ์ปภา สว่างนุวัตรกุล) research.rdi@chandra.ac.th (นายวิศรุต พิพิธกุล) Mon, 19 Aug 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บรรณาธิการแถลง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265787 <p>วารสารจันทรเกษมสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ปีที่ 30 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) พ.ศ. 2567 เป็นวารสารระดับชาติ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) กลุ่มที่ 1 วารสารฉบับนี้ได้นำเสนอบทความทั้งหมด 10 เรื่อง โดยแบ่งเป็นบทความวิชาการ 2 เรื่อง และบทความวิจัย 8 เรื่อง ที่สะท้อนถึงการสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในสังคมไทยยุคดิจิตัล</p> <p>บทความวิชาการ เรื่อง <em>“การวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมสู่ความเป็นเมืองภาพยนตร์ของจังหวัดเชียงใหม่”</em> ที่ได้วิเคราะห์ความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ผ่านแนวคิด "นิเวศวัฒนธรรม" และนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาเพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ให้กลายเป็นเมืองภาพยนตร์แห่งอนาคต โดยเน้นถึงบทบาทสำคัญของศักยภาพบุคคล พื้นที่ การจัดการ และการมีส่วนร่วมเชิงระบบ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ<br>สร้างสรรค์ของเชียงใหม่กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการท่องเที่ยว</p> <p>บทความวิชาการ เรื่อง <em>“การมูเตลูในสังคมไทย : มุมมองทางพฤติกรรมศาสตร์” </em>บทความนี้นำเสนอปรากฏการณ์ "การมูเตลู" ในสังคมไทยผ่านมุมมองทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยวิเคราะห์แนวคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของกลุ่ม "สายมู" ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและสังคมไทยในหลากหลายมิติ พร้อมทั้งประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior) เพื่ออธิบายปัจจัยที่ผลักดันพฤติกรรมดังกล่าว อีกทั้งยังเน้นการสร้างวิจารณญาณและการพัฒนาความเชื่อบนฐานของเหตุผล เพื่อการใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์นี้ในเชิงสร้างสรรค์และการพัฒนาสังคม</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง “<em>อิทธิพลของความผูกพันต่อองค์การในฐานะตัวแปรคั่นกลางระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน </em><em>Z กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในกรุงเทพมหานคร” </em>บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบงานที่ตอบโจทย์พนักงานรุ่นใหม่ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการเสริมสร้างความผูกพันและการมอบหมายงานที่เหมาะสม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการทำงาน ผลการศึกษานี้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในยุคที่แรงงานรุ่นใหม่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงานไทย</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง <em>“การเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้แบบสืบเสาะด้วยเทคโนโลยี</em><em>บูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง” </em>ที่ได้ศึกษาการเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้แบบสืบเสาะด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในบริบทของความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมในจังหวัดลำปาง โดยมีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (5E)</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง “<em>การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคิดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับแนวคิดสมดุลภาษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1</em>” ที่ค้นพบว่า รูปแบบการสอนนี้ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการสื่อสาร และเจตคติต่อวิชาภาษาไทยของนักเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนที่เน้นการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ที่สนุกสนาน</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง <em>“การพัฒนาสื่อเทคโนโลยี </em><em>Augmented Reality จากวรรณกรรม</em><em>เรื่องเล่าศาลเจ้าจีนริมน้ำปิง เขตจังหวัดนครสวรรค์ ในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น สำหรับชั้นมัธยมศึกษา</em><em>ตอนปลาย” </em>ได้ศึกษาการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ Augmented Reality จากวรรณกรรมเรื่องเล่าศาลเจ้าจีนริมแม่น้ำปิงในจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนวรรณกรรมท้องถิ่นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผลการวิจัยชี้ว่าสื่อดังกล่าวช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของผู้เรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง <em>“การคุกคามทางเพศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร: การศึกษาในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ”</em> ที่ได้ค้นพบว่า การคุกคามทางเพศส่วนใหญ่มาจากเพื่อนและมีลักษณะเป็นการใช้คำพูดล่วงเกิน สะท้อนถึงปัญหาที่ฝังรากในพฤติกรรมและวัฒนธรรมในโรงเรียน บทความนี้ชี้ถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวและสถานศึกษาในการสร้างความตระหนักรู้และปลูกฝังพฤติกรรมที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง “<em>คุณภาพการบริการและส่วนประสมการค้าปลีกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย” </em>ที่ได้มุ่งเน้นศึกษาความสำคัญของคุณภาพการบริการและกลยุทธ์ส่วนประสมการค้าปลีกที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริโภคกว่า 700 ราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว<br>ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง <em>“การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์”</em> นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง และการเลือกใช้ช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยวพร้อมทั้งนำเสนอแนวทางการพัฒนาเชิงปฏิบัติที่เทศบาลและหน่วยงานท้องถิ่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในระดับชุมชนและประเทศ</p> <p>บทความวิจัย เรื่อง <em>“ความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์แบบกึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคมในชุมชนเสมือน ความเข้มแข็งในชุมชนเสมือน และพฤติกรรมต่อข่าวในแง่ลบของแฟนคลับดาราละครซีรีส์วายในกลุ่มเฟซบุ๊ก”</em> เป็นการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบกึ่งมีส่วนร่วมกับพฤติกรรมของแฟนคลับในชุมชนออนไลน์ โดยเน้นบทบาทของสื่อสังคมและความเข้มแข็งของชุมชนในการตอบสนองต่อข่าวสารแง่ลบ ผลการวิจัยนี้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ของชุมชนออนไลน์ในยุคปัจจุบัน</p> <p>ทางกองบรรณาธิการขอขอบพระคุณเจ้าของบทความวิชาการและบทความวิจัยทุกท่านที่ให้ความสนใจลงเผยแพร่ในวารสารจันทรเกษมสาร รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ในการพิจารณา กลั่นกรอง และให้ข้อเสนอแนะแก่เจ้าของบทความ เพื่อให้วารสารจันทรเกษมสารได้บทความที่มีคุณภาพสำหรับผู้ที่สนใจจะได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป</p> ณพัชญ์ปภา สว่างนุวัตรกุล Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265787 Thu, 26 Dec 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ ผ่านแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมสู่ความเป็นเมืองภาพยนตร์ของจังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/262224 <p>บทความวิชาการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง “การสร้างแนวคิดใหม่ให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองภาพยนตร์ดิจิทัล : การใช้วิถีนิเวศวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การเป็นเมืองภาพยนตร์ที่ยั่งยืน” โดยเป็นการอภิปรายแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมที่มีต่อปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ถูกนำมาใช้ในการถอดบทเรียนเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การริเริ่มพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ให้สามารถรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอย่างเป็นเครือข่ายและเป็นระบบ โดยคำนึงถึงองค์รวมทั้งระบบนิเวศ เนื้อหาหลักของบทความเริ่มต้นด้วยการอภิปรายถึงสภาพการณ์ทั่วไปของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศเกาหลีใต้ จากนั้นเป็นการนำเสนอความสำคัญของแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งในมิติของศักยภาพของคน ศักยภาพของพื้นที่ การจัดการ และการมีส่วนร่วม เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ประเทศเกาหลีใต้ในความเป็นเมืองภาพยนตร์ นำไปสู่การอภิปรายในส่วนสุดท้ายที่เป็นการประยุกต์แนวคิดดังกล่าวเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่สู่ความเป็นเมืองภาพยนตร์ในอนาคตผ่านรูปแบบการร่างข้อเสนอแผนยุทธศาสตร์จากภาคประชาชน</p> เทพฤทธิ์ มณีกุล, พรรัตน์ ดำรุง, Lowell Skar Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/262224 Mon, 26 Aug 2024 00:00:00 +0700 การมูเตลูในสังคมไทย : มุมมองทางพฤติกรรมศาสตร์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/263657 <p>ปัจจุบัน กระแสความสนใจและความนิยมเกี่ยวกับการมูเตลู กำลังแพร่หลายในสังคมไทย และมีบทบาทต่อพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก เช่น การแต่งกาย การใช้ชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยว การเลือกที่อยู่อาศัย บทความนี้จึงมุ่งหวังนำเสนอองค์ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมูเตลูในมุมมองทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยพบว่า กลุ่มคนเหล่านี้ถูกเรียกว่า “สายมู” ทั้งนี้การมูเตลู เป็นเรื่องที่เข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงร้อยละ 70.00 และ ร้อยละ 30.00 คือกลุ่มผู้ชาย และการมูเตลูที่คนไทยทุกเพศทุกวัยให้ความสนใจ ได้แก่ 1) ความรักและเสน่ห์ ร้อยละ 40.00 2) การเงินและโชคลาภ ร้อยละ 35.00 และ 3) การงาน สุขภาพ และอื่น ๆ ร้อยละ 25.00 ในบทความนี้ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior: TRB) ของไอแซงค์ (Ajzen) เป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมในทางพฤติกรรมศาสตร์ มาอธิบายเพื่อทำความเข้าใจและประโยชน์ในเชิงวิชาการเกี่ยวกับกลุ่มคน “สายมู” และการมูเตลูในสังคมไทย สามารถสรุปได้ว่า พฤติกรรมมูเตลูของคนในสังคมไทย เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและนับวันยิ่งขยายฐานกลุ่มคนในสังคมมากขึ้น ทั้งนี้รากฐานของพฤติกรรมมูเตลูที่แท้จริง คือ “ความเชื่อ” ดังนั้นการปลูกฝังความรู้ คุณธรรมและจริยธรรมเพื่อพัฒนาปัญญาให้มีความเชื่ออย่างมีเหตุผล หรือที่เรียกว่า “พุทธิจริต” จึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการความเชื่อของคนไทยให้อยู่บนฐานของปัญญา โดยมุ่งเน้นการสร้างวิจารณญาณในการคิดเพื่อตัดสินว่า สิ่งใดควรเชื่อ สิ่งใดไม่ควรเชื่อ และไม่นำการมูเตลูไปเบียดเบียนและแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่น แต่สามารถใช้ข้อมูลหรือสิ่งต่าง ๆ จากการมูเตลู มาเป็นข้อมูลประเภทหนึ่งในการตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจนสามารถนำมาใช้เป็นกุศโลบายในการเชื่อ หรือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อการทำความดีและพัฒนาตนเองต่อไป</p> เทวิกา ประดิษฐบาทุกา, ฐิติวัสส์ สุขป้อม, ณัฏฐกรณ์ ปะพาน, กฤตย์ชนนท์ ตั้งศิลสัตย์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/263657 Thu, 19 Dec 2024 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้แบบสืบเสาะด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/259295 <p>บทความวิจัยนี้เป็นการนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้แบบสืบเสาะให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.00/80.00 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และ 3) ศึกษาความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะของผู้เรียนหลังใช้เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จำนวน 30 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลากชั้นเรียน แผนการทดลอง One Group Pretest–Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ คือ แอปพลิเคชันการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ สถิติที่ใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) และ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพในความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม มีประสิทธิภาพ 80.00/82.00 เป็นไปตามเกณฑ์ 80.00/80.00 2) กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการฝึกด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพมีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) กลุ่มตัวอย่างที่รับการฝึกด้วยเทคโนโลยีบูรณาการการสร้างภาพมีความสามารถในการเรียนรู้แบบสืบเสาะอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.20) ด้านที่สูงสุด คือ ด้านการสร้างความสนใจ (<em>M</em> = 4.25)</p> ฟิสิกส์ ฌอณ บัวกนก, พงศ์วัชร ฟองกันทา, กนิษฐ์กานต์ ปันแก้ว Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/259295 Mon, 19 Aug 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของความผูกพันต่อองค์การในฐานะตัวแปรคั่นกลางระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในกรุงเทพมหานคร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261537 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของปัจจัยคุณลักษณะงาน ความผูกพันต่อองค์การ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยลักษณะงานที่มีต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z และ 3) ศึกษาบทบาทของความผูกพันต่อองค์การในฐานะตัวแปรคั่นกลางที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานเจเนอเรชัน Z การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มพนักงานธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พื้นที่กรุงเทพมหานคร และเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณลักษณะงานอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.13, <em>SD</em> = 0.53) ความผูกพันต่อองค์การอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.00, <em>SD</em> = 0.44) และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 3.79, <em>SD</em> = 0.53) 2) ปัจจัยคุณลักษณะงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความผูกพันต่อองค์การมีบทบาทเป็นตัวแปรคั่นกลางแบบบางส่วนในความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุณลักษณะงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยคุณลักษณะงานส่งผลเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อพนักงานเจเนอเรชัน Z ในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานสูงขึ้น ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถนำผลการวิจัยไปปรับใช้ในการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์และการวางแผนเชิงนโยบายที่ส่งเสริมการออกแบบงานตามปัจจัยคุณลักษณะงานเพื่อส่งเสริมความผูกพันต่อองค์การที่จะส่งผลให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> อภิชญา แก้วสมประสงค์, กฤตกร นวกิจไพฑูรย์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261537 Mon, 16 Sep 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคิดการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับแนวคิดสมดุลภาษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261013 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับแนวคิดสมดุลภาษา และ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปากอูน (ปากอูนผดุงวิทย์) จำนวน 71 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 36 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 35 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย แบบทดสอบวัดทักษะการสื่อสาร และแบบวัดเจตคติต่อวิชาภาษาไทย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสถิติทีแบบไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมทางเดียว (One-Way ANCOVA) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ที่มาและความสำคัญ แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผล ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น ทำให้นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ทักษะ การสื่อสาร และเจตคติต่อวิชาภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ทักษะการสื่อสาร และเจตคติต่อวิชาภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01</p> อนุตรศักดิ์ วิชัยรัตน์, สำราญ กำจัดภัย, จินดา ลาโพธิ์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261013 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality จากวรรณกรรมเรื่องเล่าศาลเจ้าจีนริมน้ำปิงเขตจังหวัดนครสวรรค์ในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261402 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวรรณกรรมเรื่องเล่าจากศาลเจ้าจีนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงในจังหวัดนครสวรรค์ 2) สร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.00/80.00 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ สื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน จากโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) แล้ววิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality โดยใช้ E1/E2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังศึกษาสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality โดยทดสอบค่าที (t–test แบบ Dependent) วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนโดยการหาค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) วรรณกรรมเรื่องเล่าจากศาลเจ้าหน้าผา อำเภอเมืองนครสวรรค์ แล้วทวนลำน้ำปิงขึ้นไปศาลเจ้าเก้าเลี้ยว อำเภอเก้าเลี้ยว ถึงศาลเจ้าพ่อกวนอู ศาลเจ้าส้มเสี้ยว และศาลเจ้าหว่ากวาง ของอำเภอบรรพตพิสัย พบ 3 อนุภาค ได้แก่ การลอยน้ำของเทวรูป การบูชาจระเข้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และการประดิษฐานเทวรูปตามธรรมเนียมจีน 2) การประเมินสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.47) ประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality ประกอบการเรียนรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มีประสิทธิภาพ 82.67/81.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80.00/80.00 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อเทคโนโลยี Augmented Reality อยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.23)</p> ชูชาติ คุ้มขำ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/261402 Mon, 28 Oct 2024 00:00:00 +0700 การคุกคามทางเพศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร: การศึกษาในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/258382 <p>การคุกคามทางเพศเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ควรมีผู้ใดกระทำและได้รับการกระทำ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของการกระทำและถูกกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศของนักเรียน จำแนกตามเพศสรีระ เพศวิถี และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาซึ่งอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครที่เข้ามาร่วมตอบแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 1,006 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ และสถิติทดสอบไคว์สแควร์แบบการทดสอบความเป็นเอกพันธ์ ด้วยระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศกับเพื่อนมากที่สุดและโดนกระทำพฤติกรรมทางเพศจากเพื่อนมากที่สุดเช่นกัน โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมที่กระทำและโดนกระทำ คือ การคุกคามทางเพศทางวาจา ได้แก่ การเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับเพศ การวิจารณ์รูปร่าง สัดส่วนของร่างกายและอวัยวะของอีกฝ่าย และการพูดจาล่วงเกินกับอีกฝ่ายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของการกระทำพฤติกรรมคุกคามทางเพศ พบว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิงมีสัดส่วนของการกระทำคุกคามทางเพศที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการจำแนกด้วยเพศวิถีและระดับการศึกษามีสัดส่วนไม่แตกต่างกัน ส่วนการเปรียบเทียบสัดส่วนของการถูกกระทำ พบว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิง นักเรียนกลุ่มรักเพศตรงข้ามและนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายมีสัดส่วนของการโดนกระทำคุกคามเพศที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงในการคุกคามทางเพศ ในหมู่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ดังนั้นสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา จึงมีบทบาทสำคัญในการให้นักเรียนตระหนัก และรับรู้ถึงพฤติกรรมการคุกคามทางเพศว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ที่ไม่ควรมีใครกระทำ และไม่ควรมีใครเป็นผู้ถูกกระทำ</p> อนุพงศ์ สุขเกษม Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/258382 Wed, 16 Oct 2024 00:00:00 +0700 คุณภาพการบริการและส่วนประสมการค้าปลีกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/263565 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการบริการและส่วนประสมการค้าปลีกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค 2) หาความเชื่อมโยงของคุณภาพการบริการและส่วนประสมการค้าปลีกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และ 3) นำเสนอกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพการบริการของธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามจากผู้บริโภคที่เคยใช้บริการธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย จำนวน 708 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับคุณภาพการบริการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ในระดับมาก (<em>M</em> = 3.89, <em>SD</em> = 0.98) และส่วนประสมการค้าปลีกส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในระดับมากเช่นกัน (<em>M</em> = 3.76, <em>SD</em> = 1.03) (2) ความเชื่อมโยงของคุณภาพการบริการและส่วนประสมการค้าปลีกส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) กลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพการบริการของธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กในเขตอำเภอเมืองเชียงราย ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตอบสนองต่อลูกค้าอย่างรวดเร็ว และด้านส่วนประสมการค้าปลีก มุ่งเน้นกลยุทธ์ความหลากหลายของประเภทสินค้า</p> ณัฐธิดา จุมปา, สุทธดา ขัตติยะ, สุรพงษ์ วงษ์ปาน Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/263565 Wed, 11 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265092 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณแบบสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทย ที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างแสดงความคิดเห็นโดยรวมต่อองค์ประกอบของการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก โดยด้านการสร้างภาพลักษณ์และแบรนด์ของแหล่งท่องเที่ยวมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และด้านการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสื่อสารเพื่อการพัฒนาด้านหน้าที่ในการควบคุมปฏิบัติการและทิศทางการไหลของข่าวสาร โดยสามารถร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 25.00 และการสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมด้านการเข้าถึงข่าวสาร การมีส่วนร่วม และการจัดการด้วยตนเอง ซึ่งสามารถร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 47.00 ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า เทศบาลเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์และแบรนด์ของแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนในการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดต่อไปในอนาคต</p> นิษฐ์ชยา สิทธาหิรัญวัชร์, สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์, ประกายกาวิล ศรีจินดา Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265092 Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์แบบกึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคมในชุมชนเสมือน ความเข้มแข็งในชุมชนเสมือน และพฤติกรรมต่อข่าวในแง่ลบของแฟนคลับดาราละครซีรีส์วายในกลุ่มเฟซบุ๊ก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265024 <p>บทความวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์แบบกึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคม ความเข้มแข็งของชุมชนเสมือน และพฤติกรรมต่อข่าวในแง่ลบของกลุ่มแฟนคลับดาราละครซีรีส์วายในกลุ่มเฟซบุ๊ก โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มแฟนคลับดาราซีรีส์วายในกลุ่มเฟซบุ๊กซีรีส์วายไทยแลนด์ (Series Y Thailand) และกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มคนรักซีรีส์วาย ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน แบบสอบถามออนไลน์มีข้อคำถามจำนวน 2 ตอน ตอนที่ 1 เป็นแบบเลือกตอบ ได้แก่ คำถามคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างและข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มแฟนคลับดาราละครซีรีส์วาย และตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้แก่ 1) คำถามวัดความสัมพันธ์แบบ กึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคมของกลุ่มแฟนคลับดาราละครซีรีส์วาย 2) คำถามวัดความเข้มแข็งในชุมชนเสมือนกลุ่มแฟนคลับดาราละครซีรีส์วาย 3) คำถามการรูปแบบการรับสื่อข่าวสารที่เกี่ยวกับดาราละครซีรีส์วาย และ 4) คำถามวัดพฤติกรรมเมื่อรับข่าวสารแง่ลบของดาราละคร ซีรีส์วาย แล้ววิเคราะห์ผลโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มแฟนคลับนั้นมีค่าความสัมพันธ์แบบกึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคม ค่าความเข้มแข็งในชุมชนเสมือน และค่าพฤติกรรมตอบโต้ต่อข่าวในแง่ลบสูง ค่าความสัมพันธ์แบบกึ่งการมีส่วนร่วมทางสังคม ค่าความเข้มแข็งในชุมชนเสมือน และค่าพฤติกรรมต่อข่าวในแง่ลบของกลุ่มแฟนคลับนั้นมีความสัมพันธ์แปรผันตรงต่อกัน พฤติกรรมตอบโต้ต่อข่าวในแง่ลบของกลุ่มแฟนคลับนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การโจมตีผู้ที่เผยแพร่ข่าวสารหรือบุคคลอื่นในข่าวนั้น แสดงความเห็นปกป้อง เผยแพร่ข่าวด้านดี หรือการจัดกิจกรรมให้กำลังใจ เป็นต้น พฤติกรรมตอบโต้ข่าวในแง่ลบที่เกิดขึ้นนี้นั้นมักไม่ใช่การกระทำโดยลำพังแต่มักเกิดขึ้นโดยมีการชักชวนให้กลุ่มชุมชนของตนเคลื่อนไหวไปพร้อมกันด้วย</p> ทักษยา วัชรสารทรัพย์ Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/crujournal/article/view/265024 Tue, 24 Dec 2024 00:00:00 +0700