วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju <p> วารสารผลิตกรรมการเกษตร หรือ Maejo Journal of Agricultural Production (mJAP) จัดทำโดยคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านการเกษตรหรือที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ของนักศึกษา คณาจารย์ นักวิจัย และนักวิชาการทั้งในและนอกสถาบัน มีกำหนดตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ โดยกำหนดออกในเดือนเมษายน สิงหาคม และ ธันวาคมของทุกปี โดยเริ่มตีพิมพ์ฉบับแรก (ปีที่ 1 ฉบับที่ 1) ในเดือนเมษายน 2562</p> <p> รับบทความวิชาการด้านการเกษตร หรือสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตร เป็นต้น ตีพิมพ์ในรูปแบบ บทความวิจัยเต็มรูปแบบ (Full length article) แบบเนื้อหาสั้น (Short communication) รวมถึงบทความประมวลความรู้เชิงวิเคราะห์ (Review article) หรือบทความปริทัศน์ โดยบทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่นมาก่อน บทความอาจจะเขียนโดยใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่บทคัดย่อจะต้องมีทั้งสองภาษา บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารจะต้องส่งในรูปแบบการเขียนตามที่กำหนด(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในคำแนะนำการเตรียมต้นฉบับสำหรับตีพิมพ์) ทุกบทความที่จะได้รับการตีพิมพ์จะทำการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ท่าน และเมื่อผ่านการประเมินแล้วกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขเรื่องที่จะส่งพิมพ์ตามที่เห็นสมควร และไม่รับพิจารณาต้นฉบับที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การตีพิมพ์ของวารสาร สำหรับผู้สนใจบทความสามารถเข้าถึงเนื้อหาผลงานตีพิมพ์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (Open access) มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ 3,500 บาท โดยจ่ายหลังจากตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบเบื้องต้น ก่อนจะติดต่อผู้ทรงคุณวุฒิให้ตรวจประเมินบทความ ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ดังกล่าว จะไม่ได้รับคืนไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณภาพเพื่อตอบรับการตีพิมพ์เนื้อหาบทความในวารสารนี้ เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน โดยผ่านความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจอ่าน คณะผู้จัดทำไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยและมิใช่ความรับผิดชอบของคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้</p> <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;วารสารผลิตกรรมการเกษตร หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Journal of Agricultural Production (JAP) เป็นวารสารที่มีผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviews) ตรวจทานก่อนได้รับการตีพิมพ์ จัดทำโดยคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ รับบทความวิชาการและวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่เป็นระบบไตรมาส (ปีละ 3 ฉบับ) โดยฉบับที่ 1 ตีพิมพ์ประจำเดือนมกราคม - เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม ของทุกปี แต่ละฉบับจะตีพิมพ์บทความไม่น้อยกว่า 8 เรื่อง รับบทความวิชาการด้านการเกษตร หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตร เป็นต้น ตีพิมพ์ในรูปแบบ บทความวิจัยเต็มรูปแบบ (Full length article) โดยบทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่นมาก่อน บทความอาจจะเขียนโดยใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่บทคัดย่อจะต้องมีทั้งสองภาษา โดยบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารจะต้องส่งในรูปแบบการเขียนตามที่กำหนด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในคำแนะนำการเตรียมต้นฉบับสำหรับตีพิมพ์) ทุกบทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ จะทำการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และเมื่อผ่านการประเมินแล้ว กองบรรณาธิการของสงวนสิทธิ์ในการตรวจแก้ไขเรื่องที่จะส่งพิมพ์ตามที่เห็นสมควร และไม่รับพิจารณาต้นฉบับที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การตีพิมพ์ของวารสาร สำหรับผู้สนใจบทความสามารถเข้าถึงเนื้อหาผลงานตีพิมพ์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (Open access)&quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}"><br /><strong>อัตราค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ </strong></span></p> <p> </p> <table style="height: 120px;" width="576"> <tbody> <tr> <td width="378"> <p><strong> ค่าธรรมเนียม</strong></p> </td> <td width="85"> <p><strong> แบบปกติ</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="378"> <p>อัตราค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความทางวิชาการ<br />วารสารผลิตกรรมการเกษตร</p> </td> <td width="85"> <p> 3,500</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p> </p> <p><a href="http://jap.mju.ac.th/file/Fee.pdf" target="_blank" rel="noopener"><strong>ประกาศมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เรื่อง กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ</strong></a></p> th-TH jap@mju.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัทมา หาญนอก) jap@mju.ac.th (สำนักงานวารสารผลิตกรรมการเกษตร (mJAP Team)) Mon, 20 Oct 2025 09:04:08 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาระดับฟอสฟอรัสต่อการเจริญเติบโตและการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งในวัสดุปลูก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262092 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับฟอสฟอรัสที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งในวัสดุปลูก วางแผนการทดลองแบบ RCBD จํานวน 4 กรรมวิธี 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 1) 1.0 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง 2) 1.1 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง 3) 1.2 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง และ 4) 1.1 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง ร่วมกับการฉีดพ่นฟอสฟอรัสทางใบ ผลการศึกษา พบว่า ระดับฟอสฟอรัส 1.0 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง เพียงพอต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันฝรั่ง ในช่วง 30 - 90 วันหลังปลูก พบว่า ทุกระดับฟอสฟอรัสไม่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตค่าความเขียวของใบ และจำนวนต้น แต่ที่ 30 วัน ระดับฟอสฟอรัส 1.0 และ 1.1 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง ในมันฝรั่งทำให้ความสูงต้นสูงที่สุด แต่ที่ 60 - 90 วัน ไม่ส่งผลต่อความสูงของต้นมันฝรั่ง แม้ว่าระดับฟอสฟอรัส 1.2 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง จะทำให้จำนวนไหล ที่ 30 - 60 วัน มากที่สุดแต่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ กับระดับฟอสฟอรัส 1.0 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง อีกทั้งที่ 90 วัน ระดับฟอสฟอรัสไม่ส่งผลต่อจำนวนไหล ด้านผลผลิตมันฝรั่ง พบว่า ที่ 60 วัน การให้ระดับฟอสฟอรัส 1.2 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง ทำให้จำนวนหัวขนาด 40 - 65 มิลลิเมตร มีจำนวนหัวแตกต่างกันทางสถิติ อย่างไรก็ตามที่ระยะการเก็บเกี่ยว 90 วัน พบว่า การใช้ทุกระดับฟอสฟอรัสไม่ทำให้ จำนวนหัว ขนาดหัว น้ำหนักทั้งหมดต่อถุง ความเข้มข้นฟอสฟอรัสในต้น ราก หัว และการดูดใช้ฟอสฟอรัสในมันฝรั่งมีความแตกต่างกันทางสถิติ (<em>P</em> &gt; 0.05) ดังนั้น การผลิตหัวมันฝรั่งในวัสดุปลูกสามารถลดการใช้ฟอสฟอรัสจากระดับเดิมลง 0.1 - 0.2 กรัมฟอสฟอรัสต่อถุง ในการผลิตมันฝรั่งพันธุ์ FL2215</p> ศิรินาฎ บุตรีสุวรรณ, ปฏิภาณ สุทธิกุลบุตร, ทิพย์สุดา ตั้งตระกูล, ผานิตย์ นาขยัน ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262092 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262958 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ และสังคมของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ 2) ระดับการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ และ 4) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งผ่านการเข้าร่วมอบรมช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าที่จัดโดยสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 189 คน เก็บรวบรวมโดยใช้แบบทดสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 52 ปี มีสถานภาพสมรส สำเร็จการศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีรายได้หลักเฉลี่ย 298,911.11 บาทต่อปี มีรายได้จากการเป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเฉลี่ย 13,566.13 บาทต่อปี ได้รับเงินปันผลจากการเข้าร่วมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเฉลี่ย 593.91 บาทต่อปี มีหนี้สินเฉลี่ย 202,060.84 บาท แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินทุนตนเอง มีระยะเวลาการเป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเฉลี่ย 5.49 ปี ประเภทสินค้ามีจำนวนเฉลี่ย 2 ประเภท ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับช่องทางการตลาดออนไลน์เฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี เข้าร่วมอบรมและดูงานเฉลี่ย 0.50 ครั้งต่อปี ประชุมกับสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเฉลี่ย 2 ครั้งต่อปี ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐเฉลี่ย 1 ครั้งต่อปี มีการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่ยอมรับมากที่สุดคือ ด้านรับรู้ถึงประโยชน์ (เฉลี่ย 3.90) ด้านสนใจเทคโนโลยีใหม่ (เฉลี่ย 3.84) ด้านตั้งใจที่จะใช้งาน (เฉลี่ย 3.78) ด้านการนำมาใช้จริง (เฉลี่ย 3.69) และด้านความง่ายต่อการใช้งาน (เฉลี่ย 3.67) ตามลำดับ สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงใหม่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเชิงบวก ได้แก่ เพศ (<em>p</em> = 0.013) และรายได้จากการเป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน (<em>p</em> = 0.041) ปัจจัยที่มีผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเชิงลบ ได้แก่ อายุ (<em>p</em> = 0.001) แหล่งเงินทุน (<em>p</em> = 0.001) และระยะเวลาการเป็นสมาชิกกลุ่ม (<em>p</em> = 0.008) ทั้งนี้ปัญหาในการยอมรับช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อจำหน่ายสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ ขาดการมีส่วนร่วมการดำเนินงานของสมาชิกภายในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์มีความซับซ้อนและยุ่งยาก ขาดเงินทุนในการเข้าถึงเพื่อสร้างและพัฒนา มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอุปกรณ์ สัญญาณเครือข่าย และการกระจายระบบขนส่งสินค้ายังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีข้อเสนอแนะ คือ สร้างการรับรู้ร่วมกัน สร้างแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐานเดียวกันเพื่อโฆษณาให้กับสินค้าโดยตรง จัดหาแหล่งสินเชื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียน และการสนับสนุนวางแผนกระบวนการขนส่งสินค้าอย่างเป็นระบบ</p> ไอรดา ภัคอภิสิทธิ์, กังสดาล กนกหงษ์, สายสกุล ฟองมูล, พหล ศักดิ์คะทัศน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262958 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ระบบการผลิตและการตลาดของเกษตรกรผู้ผลิตไก่พื้นเมืองภาคใต้ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262694 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการผลิตและการตลาดของเกษตรกรผู้ผลิตไก่พื้นเมืองภาคใต้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการผลิตและการขยายตลาดไก่พื้นเมือง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีความมั่นใจในการผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และพัทลุง พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง มีกำไรสุทธิต่อรอบการผลิต จำนวน 5.94 บาท/กิโลกรัม/รอบการผลิต และกำไรเหนือต้นทุนเงินสด จำนวน 17.53 บาท/กิโลกรัม/รอบการผลิต ด้านต้นทุนรวมในการเลี้ยงไก่พื้นเมือง เป็นจำนวน 84.06 บาท/กิโลกรัม/รอบการผลิต โดยแยกเป็นต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปรรวม ซึ่งต้นทุนที่มากที่สุดคือค่าอาหาร ร้อยละ 72.80 ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายไก่พื้นเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง นิยมจำหน่ายในรูปแบบไก่มีชีวิต ทั้งนี้พบว่า เกษตรกรนิยมจำหน่ายให้พ่อค้ารวบรวมในท้องถิ่นมากที่สุด เนื่องจากความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและความไว้วางใจ ซึ่งทำการติดต่อซื้อขายกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน รองลงมาคือ จำหน่ายให้แก่พ่อค้าส่ง/พ่อค้าปลีกที่มารับซื้อในชุมชน และช่องทางอื่น ๆ เช่น จำหน่ายให้กับผู้บริโภคในชุมชนโดยตรง หรือร้านอาหารในชุมชน ด้านการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่พื้นเมือง ควรเพิ่มกระบวนการจัดการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไก่พื้นเมือง เช่น การจัดการโปรแกรมอาหารไก่พื้นเมือง การพัฒนาสายพันธุ์ การคำนวณต้นทุนผลตอบแทนในการผลิตไก่พื้นเมือง เพื่อให้เกษตรกรสามารถรับรู้ถึงผลกำไรที่แท้จริง ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการจัดจำหน่าย และแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไก่พื้นเมืองเพื่อเพิ่มรายได้แก่กลุ่มเกษตรกร</p> จรีวรรณ จันทร์คง, ณปภัช ช่วยชูหนู, บัณฑิตา ภู่ทรัพย์มี โปณะทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262694 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากของเกษตรกรผู้ปลูกหมาก ตำบลบางตีนเป็ด อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262990 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจและสังคม 2) ความต้องการในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมาก 3) การมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมาก 4) ความสัมพันธ์ของปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจและสังคม และความต้องการในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากต่อการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมาก 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะ กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรผู้ปลูกหมากจำนวน 84 ราย โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าไคสแคว์ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 64.62 ปี สถานภาพสมรส การศึกษาระดับประถมศึกษา สมาชิกในครัวเรือนเกษตรเฉลี่ย 1.52 คน ประสบการณ์ทำการเกษตรเฉลี่ย 29.90 ปี พื้นที่ทำการเกษตรเฉลี่ย 5.98 ไร่ ปริมาณผลผลิตเฉลี่ย 788.69 กิโลกรัมต่อปี รายได้เฉลี่ย 26,261.90 บาทต่อปี ความต้องการในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากอยู่ในระดับมาก เฉลี่ย 2.43 และการมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากอยู่ในระดับปานกลาง เฉลี่ย 1.68 ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า พื้นที่ทำการเกษตร รายได้ และความต้องการในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากมีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 เพศมีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมากที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 จากรายได้ที่ลดลง แต่ผลผลิตเท่าเดิม เกษตรกรจึงมีความต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีปัญหาที่พบคือ เกษตรกรขาดการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ขาดองค์ความรู้ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หมาก</p> สาวิณี นบนอบ , ชลาธร จูเจริญ, สุภาภรณ์ เลิศศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262990 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ความต้องการในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดของเกษตรกรในตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262817 <p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจ และสังคม 2) ความรู้ในการปลูกอาโวคาโดของเกษตรกร 3) ความต้องการในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดของเกษตรกร 4) ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดของเกษตรกร 5) ปัญหาและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดของเกษตรกรในพื้นที่ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 226 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน (two-stage sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบทดสอบความรู้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพรรณนา การวิเคราะห์ถดถอยพหุคุณ แบบคัดเลือกเข้าทั้งหมด (enter method)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 45 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า มีสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 คน มีแรงงานในครัวเรือนเฉลี่ย 2 คน มีรายได้ในครัวเรือนเฉลี่ย 115,139 บาทต่อปี มีพื้นที่ถือครองในครัวเรือนเฉลี่ย 15.20 ไร่ มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้ความรู้ทางการเกษตรเฉลี่ย 2 ครั้งต่อปี โดยติดต่อในเรื่องการจัดการโรคและศัตรูของพืช มีการรับรู้ข่าวสารที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโด รับรู้ข่าวสารมากจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐมากที่สุด เกษตรกรส่วนใหญ่มีความต้องการในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.07) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยระดับความต้องการการส่งเสริมมากที่สุด ได้แก่ ด้านการเตรียมพื้นที่และการเตรียมพันธุ์ (ค่าเฉลี่ย 4.26) ด้านการปลูกและการดูแลรักษา (ค่าเฉลี่ย 4.24) ด้านการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว (ค่าเฉลี่ย 4.22) และด้านการตลาดและการแปรรูป (ค่าเฉลี่ย 3.54) ตามลำดับ เกษตรกรส่วนใหญ่ในตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีความรู้เกี่ยวกับปลูกอาโวคาโดอยู่ในระดับความรู้ปานกลาง สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการในการส่งเสริมปลูกอาโวคาโดของเกษตรกรในตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ อายุ (<em>p</em> =0.001) และความรู้ในการปลูกอาโวคาโด (<em>p</em> =0.005) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความต้องการในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในทางกลับกัน จำนวนแรงงานในครัวเรือน (<em>p</em> =0.015) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความต้องการในการส่งเสริมการปลูกอาโวคาโดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้เกษตรกรมีปัญหาหลักในด้านการปลูกและการดูแลรักษา ได้แก่ การขาดแคลนน้ำเพื่อทำการเกษตรในฤดูแล้ง ขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกและการดูแลรักษา และการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช และมีข้อเสนอแนะ ได้แก่ภาครัฐคือ ควรมีการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร สนับสนุนองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการผลิตอาโวคาโด</p> จินตนา สุทธาชีวิสิทธิ์, พุฒิสรรค์ เครือคำ, นคเรศ รังควัต, นภารัศม์ เวชสิทธิ์นิรภัย ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262817 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความรู้การใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกร ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263309 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคลและเศรษฐกิจ 2) ความรู้ในการผลิตถ่านชีวภาพของเกษตรกร 3) การจัดการความรู้การใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกร 4) ความแตกต่างระหว่างปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลและเศรษฐกิจ ความรู้ในการผลิตถ่านชีวภาพกับการจัดการความรู้โดยใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกร ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 152 คน เก็บข้อมูล มกราคม - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ใช้แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรเป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 44.62 ปี ระดับการศึกษามัธยมศึกษาหรือ ปวช. จำนวนสมาชิกเฉลี่ย 4.57 คน มีจำนวนแรงงานเฉลี่ย 3.73 คน มีประสบการณ์ในการทำถ่านชีวภาพเฉลี่ย 1.01 ปี รายได้เฉลี่ยต่อปี 24,730.26 บาท รายจ่ายเฉลี่ยต่อปี 10,421.05 บาท ความรู้ในการผลิตถ่านชีวภาพอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 16.37 การจัดการความรู้ในการใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ย 2.13 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า จำนวนแรงงานในครัวเรือนที่แตกต่างกันมีผลต่อการจัดการความรู้การใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกร ในด้านการเข้าถึงความรู้ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 รายจ่ายในครัวเรือนที่แตกต่างกันมีผลต่อการจัดการความรู้การใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกรในด้านการเรียนรู้ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และความรู้ในการผลิตถ่านชีวภาพที่แตกต่างกันมีผลต่อการจัดการความรู้โดยใช้ถ่านชีวภาพในการปลูกกัญชงของเกษตรกร อย่างมีนัยสำคัญ 0.01</p> ธนัท เพ่งจินดา , ชลาธร จูเจริญ, พัชราวดี ศรีบุญเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263309 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ปัจจัยของดินบางประการต่อการคงอยู่ของสารคลอร์ไพริฟอสด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์บริเวณพื้นสวนมะยงชิด อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263423 <p> การใช้สารเคมีในภาคการเกษตรเพื่อกำจัดศัตรูพืชก่อให้เกิดการปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม การศึกษานี้มุ่งเน้นศึกษาปัจจัยทางกายภาพของดินที่มีผลต่อการสะสมตัวของสารคลอร์ไพริฟอสในดิน บริเวณพื้นที่ปลูกมะยงชิด วิเคราะห์ความเสี่ยงด้วยกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น และกระบวนการวิเคราะห์ลำดับชั้นแบบคลุมเครือ ผลการศึกษาพบว่า ค่าความสำคัญของปัจจัยตามกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับ ชั้นปัจจัยเนื้อดินมีค่าคะแนนสูงสุด คือ 0.362 รองลงมาคือ ปัจจัยปฏิกิริยาดิน (0.240) อัตราการซึมผ่านของน้ำผ่านผิวดิน (0.138) ความลึกของดิน (0.130) ความลาดชัน (0.081) และดัชนีความชื้นของภูมิประเทศ (0.048) ตามลำดับ ส่วนค่าความสำคัญของปัจจัยตามกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้นแบบคลุมเครือ ปัจจัยเนื้อดินมีค่าคะแนนสูงสุด คือ 0.194 รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยปฏิกิริยาดิน (0.181) ความลึกของดิน (0.165) อัตราการซึมผ่านของน้ำผ่านผิวดิน (0.162) ความลาดชัน (0.155) และดัชนีความชื้นของภูมิประเทศ (0.142) ตามลำดับ อำเภอเมืองนครนายกมีพื้นที่ปลูกมะยงชิด 5.41 ตารางกิโลเมตร พื้นที่เสี่ยงการปนเปื้อนด้วยการซ้อนทับข้อมูลเชิงพื้นที่พบว่า พื้นที่ปลูกมะยงชิดมีความเสี่ยงปนเปื้อนด้วยกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น ระดับมากที่สุด 3.36 ตารางกิโลเมตร ระดับมาก 2.01 ตารางกิโลเมตร ระดับปานกลาง 0.04 ตารางกิโลเมตร และความเสี่ยงปนเปื้อนด้วยกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้นแบบคลุมเครือ ระดับมากที่สุด 0.23 ตารางกิโลเมตร ระดับมาก 4.66 ตารางกิโลเมตร ระดับปานกลาง 0.52 ตารางกิโลเมตร ไร่ ระดับน้อย 0.001 ตารางกิโลเมตร จากการเก็บตัวอย่างดินในพื้นที่ศึกษามาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการพบว่าไม่มีการปนเปื้อนของสารคลอร์ไพริฟอส ทั้งนี้เนื่องจากผลการสำรวจภาคสนามในพื้นที่ศึกษาไม่พบการจำหน่ายสารคลอร์ไพริฟอสในการเกษตรมาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี</p> กิตติ์พิพัชญ์ วงษ์ภูธร, ธีรเวทย์ ลิมโกมลวิลาศ, สถาพร มนต์ประภัสสร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263423 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 Factors Affecting the Acceptance to Use of Drone Among Cassava Farmers in Cassava Cultivation at Tha Bo District, Nong Khai Province https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263148 <p> The objectives of this research were to study 1) basic personal factors, and socio-economics factors of farmers 2) acceptance to use drones in cassava cultivation 3) decision to use drones for cassava cultivation 4) problems and obstacles for farmers in cassava cultivation at Tha Bo district, Nong Khai province. Data were collected by using questionnaires and analyzed by using descriptive statistics, such as frequency, percentage, minimum value, maximum, value, mean, standard deviation and Pearson Chi-square test. A sample group was 302 farmers. Results showed that most farmers were female with an average age of 61 years old, and a bachelor's degree. The average number of family members was 4.74 people. There was an average of 1.85 agricultural laborers per household. The average experience of farmers in cassava cultivation was 2.25 years. The average income of farmers was 59,862.50 Baht per year. The average amount of land for cassava cultivation was 13.36 rai per family. A characteristic to use drones was spraying pesticides by gathering of farmers in the area. The overall acceptance for use of drones in cassava cultivation was at a high acceptance level. There was an average acceptance level of 2.15. The overall decision level to use drones for cassava cultivation was at the high decision level. The average decision level to use drones for cassava cultivation was 1.99. From the hypothesis testing, it was found that gender, age, education level, number of family’s labors, experience in cassava cultivation, a characteristic to use drones was spraying pesticides by gathering of farmers in the area, and acceptance to use drones in cassava cultivation were related to the decision to use drones for cassava cultivation was statistically significant at the 0.01 level. The problem found was that farmers were lacking appropriate knowledge for using agricultural drones in cassava cultivation.</p> Angsana Watthanapanich, Chalathon Choocharoen, Supaporn Lertsiri, Pornpinit Nualthet ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263148 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของกรดแอบซิสิคต่อการตอบสนองทางสรีรวิทยา การเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงภายใต้สภาวะขาดน้ำในแปลง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263292 <p> การประเมินผลของกรดแอบซิสิค (ABA) ต่อการตอบสนองทางสรีรวิทยา การเจริญเติบโต องค์ประกอบผลผลิต ผลผลิต และคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงภายใต้สภาวะขาดน้ำในแปลงทดลอง โดยใช้เมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงพันธุ์ กวก.ขอนแก่น 5 เป็นพืชทดสอบ พ่นสาร ABA ที่ระยะติดฝัก (R3) ในสภาวะขาดน้ำ ความเข้มข้น 10 20 และ 30 ppm เปรียบเทียบกับการไม่พ่นสารในสภาวะขาดน้ำและให้น้ำปกติ ผลการทดลองพบว่า ในสภาวะขาดน้ำอัตราการสังเคราะห์แสง อัตราการคายน้ำ และค่านำไหลปากใบน้อยกว่าในสภาวะให้น้ำปกติ แต่ประสิทธิภาพการใช้น้ำในกระบวนการสังเคราะห์แสง และแรงดึงระเหยน้ำในใบและแรงดึงระเหยน้ำในอากาศเพิ่มขึ้นกว่าในสภาวะให้น้ำปกติ การพ่นสาร ABA 10 ppm ที่ระยะติดฝัก (R3) มีผลทำให้น้ำหนักฝักสดและน้ำหนักฝักแห้งของถั่วลิสงเพิ่มขึ้นภายใต้สภาวะขาดน้ำ และคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงทั้งความชื้น ความงอก และความแข็งแรงโดยวิธีการเร่งอายุไม่แตกต่างกับสภาวะให้น้ำปกติ ซึ่งได้มาตรฐานเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายของกรมวิชาการเกษตร (ความงอกมาตรฐาน ≥ 75%)</p> กัณทิมา ทองศรี, ภภัสสร วัฒนากุลภาคิน, ศุภลักษ์ สัตยสมิทสถิต, ธนัชชาติ ทรัพย์จี่, นิภาภรณ์ พรรณรา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263292 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของแคลเซียมคลอไรด์และสารเคลือบคาร์ราจีแนนต่อคุณภาพของมะละกอตัดแต่งพร้อมบริโภคระหว่างการเก็บรักษา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263523 <p> ผลของแคลเซียมคลอไรด์ต่อคุณภาพด้านเนื้อสัมผัสและการยอมรับคุณภาพทางประสาทสัมผัสของมะละกอตัดแต่งพร้อมบริโภค โดยแช่ชิ้นมะละกอตัดแต่งด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 1.0 และ 1.5 นาน 3 นาที วัดความแน่นเนื้อและประเมินคุณภาพด้านประสาทสัมผัส เปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่ไม่ผ่านการแช่สารละลาย พบว่า การแช่มะละกอตัดแต่งด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ทำให้ค่าความแน่นเนื้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>≤0.05) อย่างไรก็ตาม การแช่สารละลายความเข้มข้นสูงขึ้นส่งผลเสียต่อคุณภาพด้านกลิ่น ผลของแคลเซียมคลอไรด์และสารเคลือบคาร์ราจีแนนต่อคุณภาพของมะละกอตัดแต่งระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ที่ร้อยละ 95 โดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของมะละกอตัดแต่งระหว่างชุดควบคุม ชุดที่แช่ด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 และชุดที่แช่ด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ร่วมกับการเคลือบด้วยคาร์ราจีแนนความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ตรวจวัดคุณภาพทุก 2 วัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสี ความแน่นเนื้อปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ และการทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า การแช่ด้วยสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 สามารถคงคุณภาพด้านความแน่นเนื้อและการยอมรับด้านประสาทสัมผัสได้ดีกว่ามะละกอตัดแต่งชุดทดลองอื่น ๆ คุณภาพด้านสีและปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (<em>p</em>&gt;0.05) สำหรับการใช้สารเคลือบคาร์ราจีแนนทำให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อคุณภาพด้านประสาทสัมผัสของมะละกอตัดแต่งระหว่างการเก็บรักษา</p> ดวงใจ น้อยวัน, สุภาวดี ชนกเศรณี, ฉัตรภัสรา พระเนตร, วนิดา สุธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263523 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของสารเคลือบผิวชนิดบริโภคได้ต่อคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวและอายุการเก็บรักษาของกะหล่ำปลีตัดแต่งพร้อมบริโภค https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262920 <p> กะหล่ำปลีตัดแต่งพร้อมบริโภคมีอายุการเก็บรักษาสั้น เนื่องจากเกิดสีน้ำตาลซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารเคลือบผิวชนิดบริโภคได้ (Natacoat และ Sucrose fatty acid ester) ต่อคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวและอายุการเก็บรักษาของกะหล่ำปลีตัดแต่งพร้อมบริโภค วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ โดยนำกะหล่ำปลีมาลอกใบด้านนอกออก ตัดแต่งและเคลือบผิวด้วย Natacoat ความเข้มข้นร้อยละ 0.05 Sucrose fatty acid ester ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 หรือ ชุดควบคุม (น้ำกลั่น) ผึ่งให้แห้งและเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส พบว่า การเคลือบผิวด้วย Natacoat และ Sucrose fatty acid ester สามารถรักษาคุณภาพของกะหล่ำปลีตัดแต่งพร้อมบริโภคทั้งลักษณะภายนอก ยับยั้งการเกิดสีน้ำตาล ลดการสูญเสียน้ำหนัก ชะลออัตราการหายใจและมีความแน่นเนื้อมากกว่าชุดควบคุมตลอดระยะเวลาการเก็บรักษา (<em>p</em> <u>&lt;</u> 0.05) แต่การเคลือบผิวด้วย Sucrose fatty acid ester เริ่มมีกลิ่นที่ผิดปกติเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 8 วัน ดังนั้น การเคลือบผิวด้วย Natacoat มีประสิทธิภาพในการรักษาคุณภาพของกะหล่ำปลีตัดแต่งพร้อมบริโภคโดยไม่พบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและสามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้นาน 8 วัน ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส</p> แพรวพรรณ จอมงาม, กชกรบดินทร์ สุขวัฒนาสินิทธ์, ชาญณรงค์ กุลเพชร, ดวงใจ น้อยวัน, ปวาลี ชมภูรัตน์ ธฤติธนเกียรติ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/262920 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของ Forchlorfenuron และ Boric acid ต่อการกระตุ้นการแตกตาดอกขององุ่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263411 <p> องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพอากาศ แต่เมื่อหลังจากตัดแต่งกิ่ง มักพบปัญหา คือ การแตกตาที่ไม่พร้อมกัน จึงนิยมใช้สาร hydrogen cyanamide ซึ่งเป็นสารที่ใช้กระตุ้นการเปิดตาขององุ่น และพืชเขตหนาว แต่เป็นสารที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และมีความเป็นพิษสูง ดังนั้นจึงศึกษาสาร CPPU และ boron (boric acid) ต่อการกระตุ้นการแตกตาดอกขององุ่นพันธุ์ ‘Gold Bailey A’ เพื่อเปรียบเทียบกับสาร hydrogen cyanamide ที่ระดับความเข้มข้น 2.5 เปอร์เซ็นต์ จากการทดลองพบว่า การพ่น hydrogen cyanamide 2.5 เปอร์เซ็นต์ มีเปอร์เซ็นต์การแตกตาสูงสุด 30.0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีค่าไม่แตกต่างทางสถิติกับการพ่น CPPU ที่ 10 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่ทำให้องุ่นมีเปอร์เซ็นต์การแตกตา 16.6 เปอร์เซ็นต์ และสำหรับเปอร์เซ็นต์การแตกตาดอก พบว่าการพ่น CPPU ที่ 10 มิลลิกรัมต่อลิตร มีเปอร์เซ็นต์การแตกตาดอกสูงสุด 10.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีค่าไม่แตกต่างทางสถิติกับการพ่นสาร hydrogen cyanamide และ boric acid ที่ 1,000 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่ทำให้องุ่นมีเปอร์เซ็นต์การแตกตาดอก เท่ากับ 9 และ 8.3 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนเปอร์เซ็นต์การติดผล พบว่าการพ่น CPPU ที่ 10 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้องุ่นมีเปอร์เซ็นต์การติดผลสูงสุด 13.3 เปอร์เซ็นต์ จากผลการทดลอง CPPU ที่ 10 มิลลิกรัมต่อลิตร และ boric acid ที่ 1,000 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถชักนำให้ออกดอก และใช้ทดแทนสาร hydrogen cyanamide ซึ่งเป็นอันตรายต่อเกษตรกรที่ปลูกองุ่นได้ อีกทั้ง CPPU และ boric acid ยังสามารถลดต้นทุนได้ถึง 4.75 เปอร์เซ็นต์ (35.4 บาท) และ 4.7 เปอร์เซ็นต์ (35.85 บาท) ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สาร hydrogen cyanamide (ต่ออัตราการผสมน้ำ 1 ลิตร)</p> ภูริทัต กองบุญสุข, วาริน สุทนต์, อรพินธุ์ สฤษดิ์นำ, ชินพันธ์ ธนารุจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263411 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของกากงาดำหมักในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตไข่และคุณภาพไข่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263802 <p> การศึกษาผลของกากงาดำหมักในอาหารไก่ไข่ต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่ได้ใช้ไก่ไข่สายพันธุ์โลห์มันน์บราวน์ อายุ 25 สัปดาห์ จำนวน 160 ตัว วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ แบ่งแม่ไก่ออกโดยสุ่มแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มทดลอง กลุ่มละ 4 ซ้ำ ซ้ำละ 10 ตัว กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม แม่ไก่ได้รับอาหารที่ไม่มีกากงาดำหมัก กลุ่มที่ 2 3 และ 4 แม่ไก่ได้รับอาหารที่มีกากงาดำหมัก ระดับ 2.50 5.00 และ 10.00 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำการทดลองเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ผลผลิตไข่ ปริมาณอาหารที่กินไม่มีความแตกต่างกัน (<em>p</em>&gt;0.05) อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักไข่ของกลุ่มที่ได้รับกากงาดำหมัก 5.00 เปอร์เซ็นต์ มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (<em>p</em><u>&lt;</u>0.05) คุณภาพไข่โดยรวมไม่มีความแตกต่างกัน (<em>p</em>&gt;0.05) ยกเว้นค่าดัชนีไข่แดงของกลุ่มที่ได้รับกากงาดำหมัก 5.00 เปอร์เซ็นต์ มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (<em>p</em><u>&lt;</u>0.05) ค่า Haugh unit ของกลุ่มที่ได้รับกากงาดำหมัก 5.00 เปอร์เซ็นต์ และ 10.00 เปอร์เซ็นต์ มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (<em>p</em><u>&lt;</u>0.05) และสีของไข่แดงในกลุ่มที่ได้รับกากงาดำหมัก 2.50 เปอร์เซ็นต์ มีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุม (<em>p</em><u>&lt;</u>0.05) แต่ไม่แตกต่างกับกลุ่มที่ได้รับกากงาดำหมัก 5.00 และ 10.00 เปอร์เซ็นต์ (<em>p</em>&gt;0.05) ดังนั้น ระดับการใช้กากงาดำหมักในอาหารไก่ไข่เพื่อปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักไข่และสีของไข่แดงควรอยู่ระหว่าง 2.50 และ 5.00 เปอร์เซ็นต์</p> นุชจรินทร์ ปิมปา, บัวเรียม มณีวรรณ์, อภิญญา บุญบรลุ, รัชชานนท์ สมบูรณ์ชัย, ผานิตย์ นาขยัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/263802 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นในการใช้แพลตฟอร์ม Line Official Account ของเกษตรกรในการจัดการการผลิตทุเรียน ในภาคตะวันออก ประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264384 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล เศรษฐกิจและสังคม 2) การเปิดรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เกษตรกรใช้ประกอบการตัดสินใจในการจัดการการผลิตทุเรียน 3) ความต้องการองค์ความรู้ในการจัดการการผลิตทุเรียนผ่าน การใช้แพลตฟอร์ม Line Official Account ของเกษตรกรในการจัดการการผลิตทุเรียน 4) ข้อมูลการใช้แพลตฟอร์ม Line Official Account ของเกษตรกรในการจัดการการผลิตทุเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนภาคตะวันออก จำนวน 396 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 36.88 ปี การศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับมัธยมศึกษา ประสบการณ์ที่ปลูกทุเรียนเฉลี่ย 11.31 ปี ขนาดพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 18.78 ไร่ รายได้ต่อปีเฉลี่ย 6,039,744.96 บาท รายจ่ายต่อปีเฉลี่ย 1,845,616.16 บาท ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ระดับการศึกษา ประสบการณ์ปลูกทุเรียน รายได้เฉลี่ยต่อปี รายจ่ายเฉลี่ยต่อปี ช่องทางการรับข่าวสาร ความต้องการองค์ความรู้ในการจัดการการผลิตทุเรียนของเกษตรกรมีความสัมพันธ์กับการใช้แพลตฟอร์ม Line Official Account ของเกษตรกรในการจัดการการผลิตทุเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 เพศ ขนาดพื้นที่ปลูกของเกษตรกรมีความสัมพันธ์กับการใช้แพลตฟอร์ม Line Official Account ของเกษตรกรในการจัดการการผลิตทุเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ปัญหาพบว่า เกษตรกรบางส่วนยังขาดองค์ความรู้ในการจัดการการผลิตทุเรียน ข้อเสนอแนะคือ หน่วยงานภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรสร้างสื่อสมัยใหม่จากฐานข้อมูลการจัดการการผลิตทุเรียนที่เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นกว่าสื่อที่มีอยู่ต่อไป</p> ชญาวัต ขำน้อย , ชลาธร จูเจริญ, พัชราวดี ศรีบุญเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264384 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 สัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช และปริมาณรอยเท้าน้ำของกาแฟอะราบิกาในพื้นที่อาศัยน้ำฝนจังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264504 <p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของกาแฟอะราบิกาที่ให้ผลผลิตแล้วในพื้นที่อาศัยน้ำฝน เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดการให้น้ำ และเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการนำไปคำนวณปริมาณวอเตอร์ฟุตพรินท์ของการผลิตกาแฟในประเทศไทย พบว่า สัมประสิทธิ์การใช้น้ำของกาแฟอะราบิกาสายพันธุ์คาติมอร์อายุ 8 - 9 ปี ทั้ง 2 ฤดูกาลเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565 ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 และ 1 มีนาคม พ.ศ. 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567) ในช่วงระยะดอกบานมีค่าเฉลี่ย 0.50±0.40 ระยะพัฒนาจนถึงการสุกแก่ของผลมีค่าเฉลี่ย 1.39±0.01 และระยะเก็บเกี่ยวผลผลิตจนถึงสร้างตาดอกมีค่าเฉลี่ย 0.08±0.08 โดยมีค่าเฉลี่ยตลอดฤดูกาลเก็บเกี่ยวและผลผลิตสดเชอร์รี่เท่ากับ 0.91±0.09 และ 2.78±1.54 ตันต่อไร่ ขณะที่สายพันธุ์ H420 อายุ 6 - 7 ปี ในช่วงระยะดอกบานมีค่าเฉลี่ย 0.51±0.37 ระยะพัฒนาจนถึงการสุกแก่ของผลมีค่าเฉลี่ย 1.53±0.05 และระยะเก็บเกี่ยวผลผลิตจนถึงสร้างตาดอกมีค่าเฉลี่ย 0.05±0.05 โดยมีค่าเฉลี่ยตลอดฤดูกาลเก็บเกี่ยวและผลผลิตสดเชอร์รี่เท่ากับ 0.99±0.10 และ 2.41±0.12 ตัน/ไร่ เนื้อที่ให้ผลตามลำดับ สำหรับปริมาณรอยเท้าน้ำสีเขียว สีน้ำเงิน สีเทา ปริมาณรอยเท้าน้ำรวมของสายพันธุ์คาติมอร์และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเท่ากับ 1,094.2±738.4 0.0±0.0, 0.9±0.6 1,095.1±739.1 ลิตร/กิโลกรัม และ 2,406.5±386.5 มิลลิเมตร/ฤดูกาล ขณะที่สายพันธุ์ H420 ที่มีปริมาณรอยเท้าน้ำสีเขียว สีน้ำเงิน สีเทา ปริมาณรอยเท้าน้ำรวมและปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเท่ากับ 1,007.2±238.2 21.4±21.4 0.2±0.1 1,028.8±259.4 ลิตร/กิโลกรัม และ 2,627.5±211.9 มิลลิเมตร/ฤดูกาลตามลำดับ</p> รัฐกร สืบคำ, อนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์, พัชรินทร์ นามวงษ์, ฤทัยรัตน์ ห้อยสัน, วุฒิ ศรีวิชัย, สุจิตตรา ปะนันโต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264504 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนร่วมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มาต่อผลผลิตข้าว กข43 และสมบัติดินบางประการในนาข้าวอินทรีย์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264826 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนร่วมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มา (<em>Trichoderma</em> sp.) ต่อผลผลิตข้าว กข43 และสมบัติของดินบางประการในแปลงนาข้าวอินทรีย์ของเกษตรกร อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ในบล็อก ทั้งหมด 6 ซ้ำ จำนวน 5 กรรมวิธี ประกอบด้วย กรรมวิธีที่ 1 (T1) ไม่ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนและเชื้อราไตรโคเดอร์มา (ควบคุม) กรรมวิธีที่ 2 (T2) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน อัตรา 1,000 กก./ไร่ กรรมวิธีที่ 3 (T3) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน อัตรา 1,000 กก./ไร่ และเชื้อราไตรโคเดอร์มา อัตรา 1 กก./ไร่ กรรมวิธีที่ 4 (T4) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน อัตรา 1,000 กก./ไร่ และเชื้อราไตรโคเดอร์มา อัตรา 2 กก./ไร่ และกรรมวิธีที่ 5 (T5) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนอัตรา 1,000 กก./ไร่ และเชื้อราไตรโคเดอร์มา อัตรา 3 กก./ไร่ ผลการวิจัยพบว่า การใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน อัตรา 1,000 กก./ไร่ และเชื้อราไตรโคเดอร์มา อัตรา 2 กก./ไร่ ให้ความสูงต้นข้าวสูงสุด 102.12 ซม. จำนวนต้นสูงสุด 15.17 ต้น/กอ จำนวนเมล็ดสูงสุด 131.63 เมล็ด/รวง ผลผลิตเมล็ดสูงสุด 616.23 กก./ไร่ และน้ำหนักฟางแห้งสูงสุด 988.56 กก./ไร่ ตามลำดับ รวมทั้งดินมีปริมาณอินทรียวัตถุและไนโตรเจนทั้งหมดในดินสูงสุด (3.79% และ 0.48% ตามลำดับ) (P&lt;0.01) ผลการวิจัยครั้งนี้เสนอแนะว่า การใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนร่วมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มาในนาข้าวอินทรีย์ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าว กข43 และธาตุอาหารพืชในดินนาได้</p> ปรัชวนี พิบำรุง, เพชรพิกุล ขำอ่อน, วุฒิพงษ์ แปงใจ, ธีรพล ทรัพย์บุญ, พิชิต โชดก, ช่อเพชร จำปี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารผลิตกรรมการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/japmju/article/view/264826 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700