https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/issue/feed
วารสารเกษตร
2024-09-30T16:00:09+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐา โพธาภรณ์
agjournal22@gmail.com
Open Journal Systems
<p> "<strong>วารสารเกษตร</strong>" เป็นวารสารวิชาการของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่<br /> โดยวารสารออกราย 4 เดือน (มกราคม พฤษภาคม และกันยายน) เพื่อเผยแพร่<br /> ความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตร และสาขาที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากภายในและภายนอก<br /> มหาวิทยาลัย</p> <p> <br /><strong> <a href="https://tci-thailand.org/" target="_blank" rel="noopener">ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI)</a></strong></p> <p><strong> </strong><strong><a href="https://www.kmutt.ac.th/jif/Impact/impact_s.php" target="_blank" rel="noopener">Thai-Jounal Impact factor ประจำปี 2561 = 0.701</a></strong></p>
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/261348
ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจของการเลี้ยงชันโรงในระบบนิเวศที่เหมาะสม
2023-11-25T14:53:30+07:00
ฑีฆา โยธาภักดี
teekasom@gmail.com
เอกพันธ์ ไกรจักร
ekaphan.k@ku.th
กราญ์จนา ถาอินชุม
krajana.t@psu.ac.th
ชามา อินซอน
fagrcmp@ku.ac.th
<p>การเลี้ยงชันโรงพบในพื้นที่สวนไม้ผล พื้นที่เกษตรผสมผสาน สวนยางพารา และพื้นที่วนเกษตร การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโอกาสทางเศรษฐกิจสังคมและระบบนิเวศที่เหมาะสมของการเลี้ยงชันโรง ใน 9 จังหวัด ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบเจาะจงในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงชันโรงกลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 ราย การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลตอบแทน อันประกอบด้วย การวิเคราะห์มูลค่าปัจจุบัน มูลค่าปัจจุบันสุทธิ อัตราผลตอบแทนภายใน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน ระยะเวลาคืนทุน ผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนการเลี้ยงชันโรงในระยะเวลาการเลี้ยง 5 ปี ได้มูลค่าปัจจุบันสุทธิของผลตอบแทนเท่ากับ 163,125.88 บาท ได้อัตราผลตอบแทนภายในร้อยละ 24.90 ซึ่งมากกว่าอัตราคิดลด และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนเท่ากับ 2.11 แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงชันโรงมีความคุ้มค่าที่จะลงทุน รวมทั้งระยะเวลาคืนทุนของการเลี้ยงชันโรงเท่ากับ 3 ปี 1 เดือน ดังนั้น การเลี้ยงชันโรงสามารถพัฒนาเป็นอาชีพได้อย่างมีศักยภาพในพื้นที่ที่ปลอดสารเคมี</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/262271
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ของเกษตรกรผู้ปลูกผัก ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
2024-02-23T11:06:49+07:00
กมลสร ลิ้มสมมุติ
im179@hotmail.com
วราภรณ์ ภู่พักดีพันธ์
fon.waraporn@gmail.com
ปุญญารัสมิ์ ไกรสุข
punyarat.kaisuk@icloud.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกผัก ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่ถูกต้องในการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร ในการเก็บข้อมูลผู้วิจัยใช้แบบสอบถามโดยเก็บข้อมูลจากประชากรเกษตรกรผู้ปลูกผักทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกลุ่มโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ผัก ตำบลเหมืองหม้อ จำนวน 66 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ-วิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการศึกษาพบว่าเกษตรกร ร้อยละ 51.5 เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 61.2 ปี สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 56.1 มีรายได้เฉลี่ย 87,118.18 บาทต่อปี มีประสบการณ์ปลูกผักเฉลี่ย 16.1 ปี เกษตรกรร้อยละ 83.3 นิยมปลูกผักกินใบ ทำการปลูกโดยใช้เงินทุนของตนเอง ร้อยละ 74.2 เกษตรกรร้อยละ 37.3 ได้รับความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีความรู้ความเข้าใจด้านการใช้สารเคมีอยู่ในระดับปานกลาง จากการ-วิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรที่ถูกต้องในการใช้สารเคมี พบว่า ปัจจัยความรู้ก่อนและขณะใช้สารเคมี และการมีส่วนร่วมของเกษตรกรกับหน่วยงานภาครัฐ มีผลต่อพฤติกรรมการใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีของเกษตรกร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em><0.05) ดังนั้นควรให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีแก่เกษตรกร เพื่อเกษตรกรสามารถใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้อย่างถูกต้องมากขึ้น</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/262503
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อชีวภัณฑ์ (เชื้อจุลินทรีย์) ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
2024-03-14T14:31:43+07:00
ลือสาย พนมพิบูล
luesai.p@ku.th
สนธยา สำเภาทอง
sonthaya.sa@ku.th
รพี ดอกไม้เทศ
agrrpd@ku.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลพื้นฐานบางประการทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน และ 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อชีวภัณฑ์ (เชื้อจุลินทรีย์) ของเกษตรกร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่สนใจซื้อชีวภัณฑ์ ในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมานที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรเกินครึ่งเล็กน้อยเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 58.68 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 59,220.07 บาท มีประสบการณ์ในการทำนาเฉลี่ย 26.84 ปี และมีพื้นที่ในการทำนาเฉลี่ย 5.67 ไร่ โดยเกษตรกรมีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.94) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านสิ่งแวดล้อม ทางกายภาพ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านบุคคล ด้านกระบวนการ และด้านการส่งเสริมการตลาดและการศึกษาครั้งนี้พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อชีวภัณฑ์ ของเกษตรกร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em> < 0.01) มี 3 ตัวแปร ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/260467
อิทธิพลของรูปแบบยีนอินซูลินไลค์โกรธแฟกเตอร์ไบน์ดิงโปรตีน 2 ต่อลักษณะเนื้อแดงปราศจากไขมันในสุกรลูกผสมระหว่างดูร็อคและเพียเทรน
2023-09-18T16:21:45+07:00
สมบัติ ประสงค์สุข
agrsbp@ku.ac.th
Catherine W. Ernst
Ernst@msu.edu
Igseo Choi
sornthep65@gmail.com
Nancy E. Raney
sornthep65@gmail.com
พรรณวดี โสพรรณรัตน์
agrsbp@ku.ac.th
Ronald O. Bates
sornthep65@gmail.com
ศรเทพ ธัมวาสร
sornthep65@gmail.com
<p>อินซูลินไลค์โกรธแฟกเตอร์ไบน์ดิงโปรตีน 2 (ไอยีเอฟบีพี 2) นับว่าเป็นยีนที่มีอิทธิพลต่อลักษณะสำคัญทางเศรษฐกิจในสุกร สำหรับการศึกษานี้ข้อมูลลักษณะเนื้อแดงปราศจากไขมันที่อายุต่าง ๆ จำนวน 11 ลักษณะ ถูกเก็บรวบรวมจากสุกรมีชีวิตจำนวน 408 ตัว โดยเป็นสุกรลูกผสมดูร็อคเจอซี่ x เพียเทรนในรุ่น F<sub>2 </sub>ลักษณะที่ศึกษาประกอบด้วย ปริมาณเนื้อแดงปราศจากไขมัน เปอร์เซ็นต์เนื้อแดงปราศจากไขมัน ที่อายุ 10, 13, 16, 19 และ 22 สัปดาห์ และอัตราการเพิ่มขึ้นของเนื้อแดงปราศจากไขมันจากอายุ 10 ถึง 22 สัปดาห์ ไอยีเอฟบีพี 2 สามารถจำแนกได้เป็น 3 จีโนไทป์ ได้แก่ AA, AB และ BB โดยเทคนิค PCR-RFLP ใช้เอ็นไซม์ตัดจำเพาะ <em>MspI</em> แบบหุ่นทางสถิติที่ใช้เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างไอยีเอฟบีพี 2 จีโนไทป์และลักษณะเนื้อแดงปราศจากไขมัน ประกอบด้วยอิทธิพลคงที่ของไอยีเอฟบีพี 2 จีโนไทป์ และเพศ และอิทธิพลสุ่มของกลุ่มการคลอด ครอก คอกขุนภายในกลุ่มการคลอด และค่าคาดเคลื่อนที่เหลือ ผลการศึกษาพบว่าไอยีเอฟบีพี 2 จีโนไทป์มีความสัมพันธ์ (<em>P</em><0.05) กับลักษณะดังกล่าว โดยสุกรที่มีจีโนไทป์ BB มีลักษณะเนื้อแดงปราศจากไขมันที่อายุ 10, 13 และ 16 สัปดาห์ มากกว่าสุกรที่มีจีโนไทป์ AB ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em>>0.05) ที่อายุ 19 และ 22 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังพบว่าสุกรมีจีโนไทป์ BB มีเปอร์เซ็นต์เนื้อแดงปราศจากไขมันที่อายุ 13, 16, 19 และ 22 สัปดาห์ ตลอดจนอัตราการเพิ่มขึ้นของเนื้อแดงปราศจากไขมันจาก 10 ถึง 22 สัปดาห์ มากกว่า (<em>P</em><0.05) ผลจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของไอยีเอฟบีพี 2 จีโนไทป์กับลักษณะสมรรถภาพการผลิตในสุกรลูกผสมรุ่น F<sub>2 </sub>และควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในสุกรพันธุ์อื่นและสุกรฝูงอื่นเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/262295
การใช้ข้าวโพดร่วมกับสารประสานเม็ดทดแทนแป้งสาลีในอาหารของกุ้งขาว (<I>Litopenaeus vannamei</I>) ต่อสมรรถภาพการเติบโต ภูมิคุ้มกัน และการย่อยได้ของอาหาร
2024-02-25T17:17:46+07:00
ยิ่งยศ โสมย์ไพศาลศิลป์
yingyos.so@ku.th
ศรีน้อย ชุ่มคำ
yingyos.so@ku.th
ศุภวิทย์ ไตรวุฒานนท์
yingyos.so@ku.th
อรพินท์ จินตสถาพร
ffisora@ku.ac.th
<p>การศึกษาการใช้ข้าวโพดร่วมกับสารประสานเม็ดทดแทนแป้งสาลีในอาหารต่อสมรรถภาพการเติบโตและภูมิคุ้มกันของกุ้งขาว (<em>Litopenaeus vannamei</em>) วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จำนวน 3 กลุ่มทดลองๆ ละ 4 ซ้ำ คือ อาหารสูตรควบคุมข้าวโพดทดแทนแป้งสาลีที่ระดับ 0% ร่วมกับสารประสานเม็ดที่ระดับ 0% (T1) อาหารสูตรข้าวโพดทดแทนแป้งสาลีที่ระดับ 50% ร่วมกับสารประสานเม็ดที่ระดับ 0% (T2) และอาหารสูตรข้าวโพดทดแทนแป้งสาลีที่ระดับ 50% ร่วมกับสารประสานเม็ดที่ระดับ 0.4% (T3) ซึ่งสารประสานเม็ดที่ใช้ คือ สารลิกโนซัลโฟเนตผสมกับกัวกัม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ใช้อาหาร T2 มีอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนัก (FCR) เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em> < 0.05) และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อวัน (ADG) อัตราการเติบโตจำเพาะ (SGR) ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (<em>P</em> < 0.01) แต่กลุ่มที่ใช้อาหาร T3 นั้น สมรรถภาพการเติบโตมีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em> > 0.05) กับอาหารสูตรควบคุม T1 นอกจากนี้พบว่า กลุ่มที่ใช้อาหาร T2 และกลุ่มที่ใช้อาหาร T3 มีปริมาณโปรตีนในน้ำเลือดเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em> < 0.05) และปริมาณซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเดสเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (<em>P</em> < 0.01) สีกุ้งขาวในกลุ่มที่ใช้อาหาร T2 และกลุ่มที่ใช้อาหาร T3 มีแนวโน้มสีแดงกว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารสูตรควบคุม T1 (<em>P</em> = 0.052) และค่าการย่อยได้ของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตในห้องปฏิบัติการของอาหารกุ้งทั้ง 3 สูตรมีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>P</em> > 0.05) ดังนั้นสามารถใช้ข้าวโพดทดแทนแป้งสาลีที่ระดับ 50% ร่วมกับสารประสานเม็ดที่ระดับ 0.4% ได้ โดยไม่ส่งผลต่อสมรรถภาพการเติบโตของกุ้งขาว</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/263752
อิทธิพลของระยะเวลาการขนส่งต่อการเพาะเลี้ยงอาหารมีชีวิตกลุ่มแพลงก์ตอนพืชสำหรับการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน
2024-06-19T18:00:01+07:00
ชลดา ลีอร่าม
cld.leearam.77180@gmail.com
รุ่งทิวา คนสันทัด
ffisrik@ku.ac.th
วาสนา อากรรัตน์
ffisrik@ku.ac.th
<p>การศึกษาอิทธิพลของระยะเวลาการขนส่งต่อการเพาะเลี้ยงอาหารมีชีวิตกลุ่มแพลงก์ตอนพืช 4 ชนิด ได้แก่ <em>Chaetoceros calcitrans</em>, <em>Thalassiosira weissflogii</em>, <em>Chlorella</em> spp. และ <em>Tetraselmis suecica</em> สำหรับการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน การทดลองถูกแบ่งออกเป็น 5 ชุดการทดลอง ชุดละ 4 ซ้ำ คือ หัวเชื้อแพลงก์ตอนพืชที่เก็บรักษาตามระยะเวลาการขนส่งมาแล้ว 0 (Control), 1 (T1), 3 (T2), 5 (T3) และ 7 (T4) วัน มาเพาะขยายพันธุ์ ตรวจสอบและเปรียบเทียบพารามิเตอร์การเจริญเติบโตที่สำคัญ ได้แก่ ความหนาแน่นของเซลล์ อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (<em>µ</em>) และระยะเวลาเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่า (D) ที่ระยะเวลาการเลี้ยง 7 วัน เพื่อศึกษา (1) ผลของระยะเวลาการขนส่งต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืช พบว่า ระยะเวลาการขนส่งไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนทั้ง 4 ชนิด (<em>P</em>>0.05) และ (2) ความทนทานของแพลงก์ตอนพืชตามระยะเวลาการขนส่ง พบว่า ในชุดการทดลอง <em>C. calcitrans</em> มีค่าอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ สูงที่สุดในขณะที่ <em>T. suecica</em> มีค่าต่ำที่สุด (<em>P<</em>0.05) และที่ระยะเวลาการขนส่งที่ 0-3 วัน <em>T. suecica</em> ใช้ระยะเวลาเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่ามากกว่า <em>C. calcitrans</em> แต่ไม่ต่างต่างกับแพลงก์ตอนชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการนำแพลงก์ตอนพืชไปเพาะขยายแบบปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อการพัฒนาหรือเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตแพลงก์ตอนพืชที่ใช้ในการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนต่อไป</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/261374
การวิเคราะห์พันธุกรรมของยีน <I>OsDFR</I> ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แอนโทไซยานินในข้าวก่ำพื้นเมืองไทย
2023-11-28T10:38:50+07:00
ชนิสร สุริยา
chanisorn.suriya@gmail.com
ศันสนีย์ จำจด
sansanee.j@cmu.ac.th
เพ็ญนภา จักรสมศักดิ์
pen_jak11@hotmail.com
ต่อนภา ผุสดี
tonapha.p@cmu.ac.th
<p>ข้าวก่ำมีสารแอนโทไซยานินเป็นสารสำคัญ แต่พันธุ์ข้าวก่ำให้ผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์ข้าวที่ปรับปรุงสมัยใหม่ ดังนั้นการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดข้าว รวมถึงการใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของข้าวก่ำนอกจากการบริโภค เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> และปริมาณแอนโทไซยานินในใบข้าวอายุ 45 วันหลังย้ายปลูก และในเมล็ดข้าวกล้อง โดยการจำแนกข้าวก่ำที่ใช้ในงานวิจัยเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ข้าวก่ำที่มีใบและลำต้นสีม่วง ได้แก่ ก่ำดอยสะเก็ด ก่ำพะเยา ก่ำเวียงสา และ K4 กลุ่มที่ 2 ข้าวก่ำที่มีใบและลำต้นสีเขียว ได้แก่ หอมนิล ก่ำหอม มช. ก่ำเจ้า มช. ข้าวเหนียวดำลืมผัว และ BL3 โดยมีข้าวขาวพันธุ์ ปทุมธานี 1 และขาวดอกมะลิ 105 เป็นพันธุ์เปรียบเทียบ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำ ผลการทดลองพบว่า ระดับการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> มีความแตกต่างกันภายในข้าวก่ำที่มีลักษณะใบและลำต้นสีม่วง โดยก่ำดอยสะเก็ด และก่ำเวียงสามีการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> มากที่สุด แต่ไม่พบการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> ในข้าวก่ำกลุ่มที่มีใบและลำต้นสีเขียว พันธุ์ K4 มีปริมาณแอนโทไซยานินที่พบในใบมากที่สุดในขณะที่ K4 และก่ำดอยสะเก็ด มีปริมาณแอนโทไซยานินในเมล็ดข้าวกล้องมากที่สุด สำหรับระดับการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> ในใบที่อายุ 45 วันหลังย้ายปลูกพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างระดับการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> กับปริมาณแอนโทไซยานินในใบที่อายุ 45 วันหลังย้ายปลูก และระหว่างผลผลิตเมล็ดต่อปริมาณแอนโทไซยานินในเมล็ดข้าวกล้อง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้พบว่าการวัดระดับการแสดงออกของยีน <em>OsDFR</em> เพียงอย่างเดียวยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการนำเครื่องหมายโมเลกุลมาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวก่ำที่มีแอนโทไซยานินสูง แต่สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษาเพื่อพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่เหมาะสมต่อการคัดเลือกพันธุ์ข้าวก่ำที่มีปริมาณแอนโทไซยานินและผลผลิตสูงต่อไปในอนาคต</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/259032
ผลของวัสดุปลูกต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันฝรั่ง
2023-05-20T14:39:15+07:00
สุกัญญา ศรีบัวขาว
sukanyasri341@gmail.com
ปฏิภาณ สุทธิกุลบุตร
pathipan@mju.ac.th
ผานิตย์ นาขยัน
phanit@mju.ac.th
ทิพย์สุดา ตั้งตระกูล
tipsuda@mju.ac.th
<p>การศึกษาการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งในวัสดุปลูกมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกวัสดุปลูกที่เหมาะสมสำหรับการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่ง วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) ประกอบด้วย วัสดุปลูก 9 ชนิด ๆ ละ 10 ซ้ำ ได้แก่ 1) ขุยมะพร้าว, 2) ขุยมะพร้าว+แกลบดิบ (1:1), 3) ขุยมะพร้าว+แกลบดำ (3:1), 4) ขุยมะพร้าว+ทราย (1:1), 5) ทราย, 6) ทราย+แกลบดิบ (1:1), 7) ทราย+แกลบดำ (3:1), 8) ขุยมะพร้าว+แกลบดิบ+แกลบดํา+ทราย (1:1:1 :1) และ 9) แกลบดิบ ทำการเก็บบันทึกข้อมูล สมบัติทางกายภาพและเคมีของวัสดุปลูกก่อนและหลังการปลูก การเจริญเติบโต และผลผลิตของมันฝรั่ง ผลการทดลอง พบว่า วัสดุปลูกทุกชนิดที่นำมาทดสอบมีสมบัติทางกายภาพและเคมีเหมาะสมในการใช้เพื่อผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งได้ อย่างไรก็ตามเมื่อนำมาผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่ง พบว่า การใช้วัสดุปลูกที่แตกต่างกันทำให้การเจริญเติบโต และผลผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ โดยวัสดุปลูกที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกเพื่อผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งมากที่สุด คือ ขุยมะพร้าวผสมแกลบดิบในอัตราส่วน 1:1 รองลงมาคือ ขุยมะพร้าว ให้ผลในด้านการเจริญเติบโต และจำนวนหัวพันธุ์ของมันฝรั่งมากที่สุด</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/256976
อิทธิพลของการให้น้ำต่อการเติบโต คุณภาพ และผลผลิตของดาวเรือง
2023-08-12T22:37:11+07:00
รัชนีกร แก้วปา
ratchaneegorn_ka@cmu.ac.th
ฟ้าไพลิน ไชยวรรณ
fapailin.c@cmu.ac.th
ชูชาติ สันธทรัพย์
choochad.s@cmu.ac.th
กมล ทิพโชติ
kamon.thippachote@cmu.ac.th
ณัฐวุฒิ ลือศักดิ์
nattawut.l@cmu.ac.th
<p>การศึกษาอิทธิพลของวิธีการให้น้ำที่แตกต่างกันต่อการเติบโต คุณภาพ และผลผลิตของดาวเรือง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอัตราการให้น้ำที่เหมาะสม และประสิทธิภาพการใช้น้ำของดาวเรือง โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ 4 กรรมวิธี ได้แก่ ให้น้ำทุกวันตามเกษตรกรนิยมปฏิบัติ (10.62 มิลลิเมตรต่อวัน) ให้น้ำทุกวันตามอัตราการคายระเหยของพืช และให้น้ำเมื่อปริมาณน้ำใช้ประโยชน์ได้ในดินลดลง 30 และ 50 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำการบันทึกข้อมูลการเติบโต ปริมาณและคุณภาพดอกดาวเรือง ผลการทดลองพบว่า การให้น้ำในกรรมวิธีที่ต่างกัน ส่งผลให้ความสูง ขนาดทรงพุ่ม น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้งของดอก แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พบว่า การให้น้ำทุกวันตามอัตราการคายระเหยของพืชให้ค่าเฉลี่ยความสูงต้น ขนาดทรงพุ่ม และเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุดเท่ากับ 64.13 55.03 และ 6.89 เซนติเมตร ตามลำดับ ค่าน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง เท่ากับ 13.01 และ 1.83 กรัมต่อดอก ตามลำดับ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ เท่ากับ 3.41 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในขณะที่การให้น้ำเมื่อปริมาณน้ำใช้ประโยชน์ได้ในดินลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ให้ค่าน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งต่ำที่สุด เท่ากับ 7.45 และ 1.18 กรัมต่อดอก ตามลำดับ เมื่อพิจารณาด้านปริมาณ และคุณภาพผลผลิตของดอกดาวเรือง พบว่า ทั้ง 4 กรรมวิธีให้ผลผลิตแตกต่างกัน ดังนั้น การให้น้ำทุกวันตามอัตราการคายระเหยของพืช เป็นการให้น้ำที่ประหยัดที่สุดและมีความเหมาะสมในการปลูกดาวเรืองทั้งปริมาณและคุณภาพผลผลิต</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/262623
ผลของการพ่นกรดแอมิโนทางใบร่วมกับการจัดการปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักโขม (<I>Amaranthus</I> spp.)
2024-03-22T20:15:43+07:00
พงษ์เพชร พงษ์ศิวาภัย
fagrppp@ku.ac.th
ธวัชชัย อินทร์บุญช่วย
fagrtci@ku.ac.th
ธรรมธวัช แสงงาม
fagrtws@ku.ac.th
ดนชิดา วาทินพุฒิพร
donchida.w@ku.th
วิทยา เศรษฐวิทยา
rdiwys@ku.ac.th
ชัยสิทธิ์ ทองจู
fagrppp@ku.ac.th
<p>กรดอะมิโน เป็นสารเร่งเชิงชีวภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืช ต้านทานต่อสภาพความเครียดที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต และอาจรวมถึงการลดใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูก ดังนั้นการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการพ่นกรดอะมิโนร่วมกับการจัดการปุ๋ยเคมีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักโขม โดยทำการทดลองในโรงเรือน วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 5 ซ้ำ ประกอบด้วย 4 ตำรับการทดลอง ดังนี้ 1) ตำรับควบคุม (ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีและพ่นกรดอะมิโน, T1) 2) ใส่ปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนำ 100 เปอร์เซ็นต์ (T2) 3) ใส่ปุ๋ยเคมี 75 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับพ่น กรดอะมิโน สูตร 1 (T3) และ 4) ใส่ปุ๋ยเคมี 75 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับพ่นกรดอะมิโน สูตร 2 (T4) ผลการทดลองพบว่า การพ่นกรดอะมิโนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผักโขมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ความสูง ขนาดลำต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ และจำนวนใบ) ที่อายุ 4 สัปดาห์หลังย้ายปลูก โดย T3 ให้ค่ามากที่สุด ไม่แตกต่างกับ T2 และ T4 ในขณะที่ส่งผลให้ความเขียวใบแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตั้งแต่ที่อายุ 2, 3 และ 4 สัปดาห์หลังย้ายปลูก นอกจากนี้การพ่นกรดอะมิโนร่วมกับการจัดการปุ๋ยเคมียังส่งผลต่อผลผลิต (น้ำหนักแห้ง น้ำหนักสดส่วนเหนือดิน และพื้นที่ใบ) และความเข้มข้นธาตุอาหารในส่วนเหนือดินของพืช (N, P และ K ทั้งหมด) ให้ผลสอดคล้องกัน คือ T3 มีค่ามากที่สุด ไม่แตกต่างทางสถิติกับ T2 และ T4 แต่มีความแตกต่างทางสถิติกับ T1 โดยภาพรวม พบว่า การพ่นกรดอะมิโนร่วมกับการจัดการปุ๋ยมีผลต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตของผักโขม และยังสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/259766
ผลของการปลิดช่อดอกต่อการผลิตมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองล่าฤดู
2023-07-17T11:07:26+07:00
คณิตา สุกใส
suksai.kanita@gmail.com
ดรุณี นาพรหม
daruni.n@cmu.ac.th
พวงเพชร เหมรัตน์ตระกูล
phuangphet.h@cmu.ac.th
ฉันทลักษณ์ ติยายน
chantalak@gmail.com
<p>มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองจัดเป็นไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลผลิตมะม่วงล่าฤดูมีราคาสูง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการปลิดช่อดอกต่อการผลิตมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองล่าฤดู วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ ประกอบด้วย 3 กรรมวิธี กรรมวิธีละ 5 บล็อก (แถว) ได้แก่ 1) ไม่ปลิดช่อดอก (กรรมวิธีควบคุม) 2) ปลิดช่อดอกทั้งหมดบนต้นระยะดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ 3) ปลิดช่อดอกทั้งหมดบนต้นระยะดอกบาน 100 เปอร์เซ็นต์ บันทึกข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของยอด การเกิดช่อดอกใหม่ ขนาดช่อดอก การติดผล น้ำหนักผล สีเปลือกและสีเนื้อผล ความแน่นเนื้อ ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณกรดทั้งหมดที่ไทเทรตได้ และปริมาณวิตามินซี ปริมาณแคโร-ทีนอยด์ และปริมาณสารประกอบฟีนอลทั้งหมด พบว่า หลังจากปลิดช่อดอก 2-4 สัปดาห์เริ่มมีการแตกตาดอกใหม่ หลังจากปลิดช่อดอก 6 สัปดาห์ ต้นมะม่วงที่ปลิดช่อดอกในระยะดอกบาน 50 และ 100 เปอร์เซ็นต์ มีช่อดอกใหม่ 52.5 และ 33.0 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ยอดมะม่วงมีการติดผลถึงระยะห่อผล 3.1 และ 3.3 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่ศึกษา ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าต้นในกรรมวิธีควบคุมที่ติดผล 48.5 เปอร์เซ็นต์ ต้นที่ได้รับการปลิดช่อดอกเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตหลังต้นที่ไม่รับการปลิดช่อดอกประมาณ 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ผลจากกรรมวิธีที่ปลิดช่อดอกในระยะดอกบาน 50 และ 100 เปอร์เซ็นต์ มีขนาดใหญ่กว่าผลจากต้นในกรรมวิธีควบคุม จากการทดลองพบว่าการปลิดช่อดอกทำให้ผลผลิตชุดใหม่ต่ำมาก อย่างไรก็ตาม เกษตรกรสามารถใช้การปลิดช่อดอกไปพัฒนาวิธีการผลิตมะม่วงล่าฤดูเพื่อลดการแข่งขันทางการตลาดในฤดูกาลได้</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/261495
การตอบสนองต่อการคัดเลือกพันธุ์แบบหมู่ประยุกต์ในประชากรฟักทองประดับผลสีขาวและสีส้ม
2023-12-09T17:40:54+07:00
รัฐพร คำฝั้น
rattapornkamfun@gmail.com
กมล ทิพโชติ
Kamon_cmu@hotmail.com
ต่อนภา ผุสดี
tonapha.p@cmu.ac.th
จุฑามาส คุ้มชัย
tkkumm6@gmail.com
<p>ประชากร 2 กลุ่มของฟักทองประดับผลสีขาวและสีส้ม (<em>Cucurbita pepo</em> L.) ถูกเก็บจากไร่เกษตรกร<br />ในภาคเหนือของประเทศไทย แล้วนำมาคัดเลือกแบบหมู่ประยุกต์ จำนวน 3 รอบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนผลต่อต้นและความถี่ของสีผิวของทั้ง 2 ประชากร นำเมล็ดของประชากรเริ่มต้น (M<sub>0</sub>) และ ประชากรที่ผ่านการคัดเลือก (M<sub>1</sub>, M<sub>2</sub> และ M<sub>3</sub>) ของทั้ง 2 ประชากร ปลูกประเมินในการทดลองที่แยกกัน ณ ศูนย์วิจัย บูรณาการ สาธิตและฝึกอบรมนวัตกรรมการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 - มกราคม 2564 โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ ผลการศึกษาพบว่า ประชากรทั้ง 2 กลุ่มสีผลที่ผ่านการคัดเลือก 3 รอบ (M<sub>3</sub>) มีจำนวนผลต่อต้นเพิ่มขึ้นจากประชากรเริ่มต้น (M<sub>0</sub>) โดยในประชากรกลุ่มผลสีขาวมีอัตราเพิ่มขึ้น 1.7 ผลต่อต้นต่อรอบการคัดเลือก การตอบสนองร้อยละ 88.6 และในประชากรกลุ่มผลสีส้มมีอัตราเพิ่มขึ้น 1.7 ผลต่อต้นต่อรอบการคัดเลือก การตอบสนองร้อยละ 97.9 นอกจากนี้ความถี่ของผลสีขาวในประชากรกลุ่มผลสีขาวที่ผ่านการคัดเลือก 3 รอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 และในประชากรกลุ่มผลสีส้มมีความถี่ของผลสีส้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.0 ค่าสหสัมพันธ์ของลักษณะทางพืชสวนที่มีค่าบวกและมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในประชากรกลุ่มผลสีขาว และสีส้มพบว่าแสดงออกคล้ายกัน จากการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การคัดเลือกพันธุ์แบบหมู่ประยุกต์สามารถเพิ่มจำนวนผลต่อต้นและความถี่ของผลสีขาวและส้มในประชากรฟักทองประดับได้ ซึ่งประชากรที่ผ่านการปรับปรุงนี้สามารถใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมสำหรับสกัดสายพันธุ์แท้ต่อไปได้</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/262101
ผลของการกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้าและระยะเวลาในการกระตุ้นที่แตกต่างกันต่อการเจริญของเส้นใยและคุณภาพทางกายภาพของเห็ดหลินจือ
2024-03-11T09:21:20+07:00
ชุติมันต์ ใส่เสี้ยว
chootimun168@gmail.com
แคทรียา สนธิยา
katthareeya3774@gmail.com
ณัฐฌลาภัทร์ ต่ายจันทร์
natchalaphatt@gmail.com
กวินธิดา สุกใส
kawinthida4815@gmail.com
ศุภณัฐ จะสนอง
nuttynnc.39@hotmail.com
พลกฤษณ์ มณีวระ
maniwara016@gmail.com
ปาริชาติ เทียนจุมพล
parichatcmu@gmail.com
พิมพ์ใจ สีหะนาม
pimjai193@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการกระตุ้นเส้นใยด้วยพลังงานไฟฟ้าและระยะเวลาในการกระตุ้นที่แตกต่างกันต่อการเจริญของเส้นใยและคุณภาพทางกายภาพของเห็ดหลินจือ พบว่า การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า 100 kV ส่งผลให้เส้นใยเห็ดหลินจือเจริญบนอาหารวุ้นดีกว่าการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า 25 kV เมื่อเลี้ยงเชื้อที่ผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า 100 kV ในอาหารเมล็ดข้าวฟ่างมีแนวโน้มส่งผลให้เส้นใยเห็ดหลินจือเจริญทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบเร็วกว่ากรรมวิธีอื่น และยังพบว่าเส้นใยเห็ดหลินจือที่ผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า 50 kV เจริญบนวัสดุเพาะขี้เลื่อยดีกว่ากรรมวิธีอื่น เมื่อดอกเห็ดเจริญถึงระยะแก่ทางการค้า พบว่า เห็ดหลินจือซึ่งเจริญจากเส้นใยที่ผ่านการกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 kV มีความยาวก้านดอกมากกว่าเห็ดหลินจือซึ่งเจริญจากเส้นใยที่ผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า 25 kV สำหรับปัจจัยระยะเวลาในการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า พบว่า การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเป็นเวลา 30 วินาที ส่งผลให้เส้นใยเห็ดหลินจือเจริญบนอาหารวุ้นดีที่สุด แต่ระยะเวลาในการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าไม่มีผลต่อการเจริญของเส้นใยในอาหารเมล็ดข้าวฟ่างทั้งในแนวดิ่งและแนวระนาบ นอกจากนี้ยังพบว่าเส้นใยเห็ดหลินจือที่ผ่านการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 10 วินาที มีแนวโน้มเจริญบนวัสดุเพาะขี้เลื่อยดีกว่ากรรมวิธีอื่น ทั้งนี้ปัจจัยระดับพลังงานไฟฟ้าและระยะเวลาในการกระตุ้นเส้นใยด้วยไฟฟ้าไม่มีผลต่อความกว้างดอก ความยาวดอก ความหนาดอก เส้นผ่านศูนย์กลางของก้านดอก น้ำหนักสดของดอก และน้ำหนักแห้งของดอกเห็ดหลินจือ</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/263124
การผสมข้ามชนิดและการถ่ายทอดลักษณะด้วย วิธีการผสมกลับในพริก
2024-04-27T15:07:48+07:00
ราชันย์ แสงงาม
rachunchelsea@gmail.com
กมล ทิพโชติ
kamon.thippachote@cmu.ac.th
นครินทร์ จี้อาทิตย์
nakarin.j@cmu.ac.th
ต่อนภา ผุสดี
tonapha.p@cmu.ac.th
จุฑามาส คุ้มชัย
jutamas.k@cmu.ac.th
<p>คัดเลือกพันธุ์พริกได้ 10 พันธุ์จากพริกที่ปลูก 44 พันธุ์ และจัดจำแนกชนิดได้ 3 ชนิดได้แก่<em> Capsicum annuum</em>, <em>Capsicum frutescens</em> และ<em> Capsicum frutescens</em> และ พบว่าความมีชีวิตของละอองเรณูของพริก 10 พันธุ์ มีชีวิตและการงอกของหลอดละอองเรณูสมบูรณ์ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพันธุ์ ส่วนการงอกของเมล็ดพันธุ์บุตโจโลเกียมีค่าต่ำสุด 8 % และพันธุ์ซีเอ1449-6-19 เอฟ-3-8 และเอ็ม1116 มีความงอกสูงที่สุด 100% พันธุ์เอ็ม1116 มีการติดผลต่ำที่สุด 16.7 % ส่วนพันธุ์เอฟ-3-8 และพันธุ์บุตโจโลเกีย ติดผลสูงที่สุด 100 % เมื่อผสมข้ามข้ามชนิด ระหว่าง <em>C. frutescens</em> × <em>C. annuum</em>, <em>C. frutescens</em> × <em>C. chinense</em> และ<em> C. annuum</em> ×<em> C. chinense</em> พบว่าติดผลทุกคู่ผสม กลุ่มผสมกลับ ติดผล ทุกคู่ผสม พันธุ์ที่ทดสอบทั้งหมดมีความสูงของต้น ความกว้างทรงพุ่ม ความกว้างผล ความยาวของผล และน้ำหนักผลเฉลี่ยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในกลุ่ม F<sub>1</sub> พันธุ์ซีเอ1449-6-10-1 × 35-5-3-1 มีความกว้างของผลที่สูงที่สุด ซึ่งกว้างกว่าและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับ ลูกผสมพริกชั่วที่ 1 (F<sub>1</sub>) อื่น พ่อแม่พันธุ์เกือบทั้งหมดของลูกผสมชั่วที่ 1 (BC<sub>1</sub>F<sub>1 </sub>) และลูกผสมกลับครั้งที่ 2 (BC<sub>2</sub>F<sub>1</sub>) ทั้งหมดในกลุ่ม F<sub>1</sub> พันธุ์ พีเจ07-1 × บุตโจโลเกีย-1 มีความยาวของผลที่สูงที่สุด ซึ่งยาวกว่าและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับ F<sub>1</sub> อื่น ๆ พ่อแม่พันธุ์ และ BC<sub>1</sub>F<sub>1</sub> เกือบทั้งหมด และ BC<sub>2</sub>F<sub>1 </sub>ทั้งหมด ในกลุ่ม F<sub>1</sub> พันธุ์เอ็ม1116-2 × พีเจ07-1 มีน้ำหนักผลเฉลี่ยที่สูงที่สุด ซึ่งสูงกว่าและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับ พันธุ์ BC<sub>1</sub>F<sub>1</sub> และ BC<sub>2</sub>F<sub>1</sub> เกือบทั้งหมด แต่สูงกว่าและต่ำกว่า F<sub>1</sub> และพ่อแม่พันธุ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การผสมระหว่าง <em>C. annuum </em>× <em>C. chinense</em> ไม่เพิ่มน้ำหนักผลต่อต้น และน้ำหนักผลเฉลี่ยของ <em>C. annuum</em> การผสมข้ามชนิด ระหว่าง <em>C. chinense </em>×<em> C. frutescens</em> เพิ่มน้ำหนักผลต่อต้นของพันธุ์จินดา-2 การผสมข้ามชนิด ระหว่าง คู่ผสม 35-5-3-1 × บุตโจโลเกีย-3 และคู่ผสม 35-5-3-2 × บุตโจโลเกีย-1 เพิ่มน้ำหนักผลต่อต้นของพันธุ์35-5-3-1 ถึงแม้การผสมข้ามชนิด ทำให้ขนาดผลเล็กลง เมื่อพริก <em>C. frutescens</em> พันธุ์35-5-3-1 ผสมพันธุ์ กับ<em> C. annuum</em> หลายพันธุ์ ให้ลูกผสมพริกชั่วที่ 1 ที่ให้น้ำหนักผลต่อต้นที่สูงกว่าพ่อและแม่แต่น้ำหนักผลเฉลี่ยน้อยกว่าพ่อและแม่ ลูกผสมพริกชั่วที่ 1 ที่ดีได้แก่ คู่ผสม 35-5-3-1 × เอฟ-3-8-2 คู่ผสม 35-5-3-1 × พีเจ07-2คู่ ผสม 35-5-3-1 × พีเจ05-2 คู่ผสม35-5-3-3 × พีเจ-10-3-2 และคู่ผสม 35-5-3-2 × ซีเอ1449-6-10-2 พริก <em>C. frutescens</em> พันธุ์35-5-3-1 เป็นพันธุ์ทีดีทีสุดในกลุ่มที่ควรใช้ในการผสมพันธุ์กับพริก <em>C. annuum</em> การผสมกลับครั้งที่ 1 ระหว่าง <em>C. annuum </em>× <em>C. chinense</em> ผสมกลับกับ <em>C. annuum</em> พบว่าการผสมกลับเพิ่มน้ำหนักผลต่อต้นของลูกผสมกลับสูงกว่าพ่อแม่ การผสมกลับครั้งที่ 2 ระหว่าง <em>C. annuum</em> × <em>C. frutescens</em> พบว่าการผสมกลับทำให้น้ำหนักผลต่อต้นและน้ำหนักผลเฉลี่ยของลูกผสมกลับ น้อยกว่าพ่อแม่ </p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/261104
ผลของความร้อนแบบฟลูอิดไดซ์เบดระดับห้องปฏิบัติการต่อการปนเปื้อนราบางชนิดและคุณภาพของเมล็ดข้าวเปลือก
2023-11-01T13:39:28+07:00
เกวลิน คุณาศักดากุล
kaewalin.k3@gmail.com
กัลยา บุญสง่า
kb_modtanoy@hotmail.com
เกศกนก เอี่ยมสอาด
ketkanok.ae@gmail.com
วิบูลย์ ช่างเรือ
viboon.c@cmu.ac.th
เยาวลักษณ์ จันทร์บาง
yaowaluk.c@cmu.ac.th
<p>การตรวจสอบราที่ติดมากับเมล็ดข้าวเปลือกขาวดอกมะลิ 105 หลังการเก็บเกี่ยวปี พ.ศ. 2562 พบเชื้อรา <em>Curvularia</em> sp., <em>Fusarium</em> sp., <em>Aspergillus</em> <em>niger</em>, <em>A</em>. <em>flavus</em> และ <em>Penicillium</em> sp. คิดเป็นร้อยละการติดเชื้อรวมทุกเชื้อ 92.25 และเมล็ดมีความงอกร้อยละ 93.50 เมื่อทดสอบผลของการให้ความร้อนแบบฟลูอิดไดซ์เบดระดับห้องปฏิบัติการ (Christison scientific, UK) ต่อปริมาณการปนเปื้อนราบางชนิดและความงอกของเมล็ดข้าว โดยตั้งค่าเครื่องมือที่ระดับความแรงลม 3.7 เมตร/วินาที กำหนดชุดการทดลอง โดยตั้งค่าระดับอุณหภูมิ ช่วงห่าง 5 <sup>o</sup>C ที่ 60-100 <sup>o</sup>C ระยะเวลา 90 และ 120 วินาที ใช้น้ำหนักเมล็ดข้าวเปลือก 200 กรัม พบว่า ที่ระดับอุณหภูมิสูงขึ้นสามารถลดร้อยละการปนเปื้อนราบนเมล็ดข้าวเปลือกได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และทำให้เมล็ดข้าวมีร้อยละความงอกลดลงด้วย การใช้น้ำหนักเมล็ดข้าวเปลือก 200 กรัม อุณหภูมิที่ 65<sup>O</sup>C เป็นระยะเวลา 120 วินาทีเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด สามารถลดการปนเปื้อนได้มากกว่าร้อยละ 20 โดยยังคงความงอกของเมล็ดไว้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ส่วนอุณหภูมิที่ระดับ 70 <sup>o</sup>C ขึ้นไปทำให้ความงอกของเมล็ดลดลงต่ำกว่าร้อยละ 80 ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานความงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี ซึ่งการทดลองกับเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 1 ให้ผลที่สอดคล้องกัน และยังพบว่า การใช้อุณหภูมิสูงกว่า 85 <sup>o</sup>C ทำให้คุณภาพการสีของเมล็ดข้าวเปลือกลดลงจากดีมากเป็นดี และจากการปลูกเชื้อรา <em>A</em>. <em>niger</em> ในระดับร้อยละ 25, 50, 75 และ 100 ลงบนเมล็ดข้าวเปลือก และนำไปผ่านเครื่องมือที่ทำให้เกิดสภาวะฟลูอิดไดซ์เบดในระดับห้องปฏิบัติการ พบว่าอุณหภูมิที่ 75-80 <sup>o</sup>C สามารถลดอัตราการปนเปื้อนรา <em>A</em>. <em>niger</em> ได้สูงกว่าร้อยละ 50 ในทุกระดับร้อยละของการปลูกเชื้อ ขณะที่การทดสอบเพื่อลดเชื้อรา <em>Curvularia</em> sp. และ <em>Fusarium</em> sp. พบว่า ราทั้งสองชนิดทนต่อการให้ความร้อนแบบฟลูอิดไดซ์เบดได้น้อยกว่า รา <em>A</em>. <em>niger</em> โดยการใช้อุณหภูมิที่ 60 <sup>o</sup>C สามารถลดการปนเปื้อนได้มากกว่าร้อยละ 50 ในทุกระดับร้อยละของการปลูกเชื้อ</p>
2024-09-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเกษตร