วารสารวิจัยศิลปวิทยาการลุ่มน้ำโขง

การพัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์ โดย Power BI Desktop คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2024-11-18T09:30:03+07:00

บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารต่อการใช้ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ คณะผู้บริหารคณะสัตวแพทยศาสตร์และคณะกรรมการบริหารงานโรงพยาบาลสัตว์
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม 2 ชุด ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการสารสนเทศและแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานสารสนเทศจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อวิเคราะห์ความต้องการสารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์ 5 ด้าน นำมาออกแบบระบบการแสดงผลโดยแอปพลิเคชัน Power BI Desktop ทดสอบระบบและนำไปให้กลุ่มตัวอย่างใช้งานรวมทั้งพิจารณาความพึงพอใจตามความต้องการต่อระบบสารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่าอยู่ในระดับพึงพอใจมาก ระดับ 4.72 และสามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศด้านต่างๆ ในการกำกับติดตามผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลสัตว์ รายเดือน รายไตรมาสและรายปี ใช้ประกอบการตัดสินใจ วางแผน ปรับปรุงกระบวนการ รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพสัตว์ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้านการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการองค์กรและการปรับเปลี่ยนองค์กรให้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

คำสำคัญ : การพัฒนาระบบสารสนเทศ, ระบบสารสนเทศ, สารสนเทศโรงพยาบาลสัตว์

Abstract

This research aimed to develop an information system for animal hospitals and to assess the satisfaction of administrators towards the use of the information system for animal hospitals. The sample group used in this research was the executives of the Faculty of Veterinary Medicine and the Animal Hospital Administration Committee, Faculty of Veterinary Medicine, Khon Kaen University, totaling 22 persons. The research instruments were 2 sets of questionnaires to analyze the information needs of animal hospitals in 5 aspects: personnel, training data, the sample group had the highest need for information on training topics and the proportion of training received by personnel type, at 93.75 percent; staffing framework data, the sample group had the highest need for information on personnel types, professional/general support lines, number of personnel, salary/wages, at 93.75 percent; leave data, the sample group had the highest need for information on the number of leave days and various types, at 93.75 percent; income, income from services, the sample group had the highest need for information on income from various services, at 100 percent; income to expense ratio, the sample group had the highest need for information on income to expense ratio of animal hospitals, at 100 percent; expenses, types of expenses The sample group has the highest need for information on income items separated by personnel budget, operating budget, subsidy budget, and investment budget at 100 percent. Cost and expenses The sample group has the highest need for information on total cost and expenses of the veterinary hospital and cost and expenses separated by unit at 100 percent. In terms of the number of sick animals receiving services, the number of animals receiving services, the sample group has the highest need for information on the number of animals receiving services separated by unit, the number of sick animals referred from other veterinary hospitals at 93.75 percent. For network hospital information, the sample group has the highest need for information on the list of names and locations of veterinary hospitals that have been referred, and the number of animals referred from other veterinary hospitals at 87.50 percent. In terms of satisfaction of service recipients and expectations, the sample group has the highest need for information on expectations for sick animals to recover, expectations for reasonable service rates, and expectations for fast service at 87.50 percent. In terms of commitment, the sample group has the highest need for information on the percentage of repeat service use at 93.75 percent. Therefore, the presentation of veterinary hospital information was designed through the Power BI Desktop application and given to the sample group to use, along with considering satisfaction according to the needs of the veterinary hospital information system, Faculty of Veterinary Medicine, Khon Kaen University. Found to be at a very satisfactory level, level 4.72

การศึกษารูปแบบการรับบุคคลเข้าศึกษาในระบบ TCAS ปีการศึกษา 2566 กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2025-03-12T14:41:33+07:00

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และประเมินรูปแบบการรับบุคคลเข้าศึกษาในระบบ TCAS ปีการศึกษา 2566 ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเพื่อนำผลที่ได้จากงานวิจัยสู่การพัฒนาการรับบุคคลเข้าศึกษาให้สอดคล้องกับระบบ TCAS กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในระบบ TCAS ปีการศึกษา 2566 เก็บข้อมูลได้ จำนวน 308 คน 2)ครูแนะแนว/ครูฝ่ายวิชาการของโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เก็บข้อมูลได้ จำนวน 358 คน 3)บุคลากรด้านการรับเข้าศึกษาของคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เก็บข้อมูล ได้ 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1)ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2)ความรู้ความเข้าใจ 3)นโยบาย 4)องค์ประกอบและเกณฑ์การคัดเลือก 5)การดำเนินการคัดเลือก มาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาคุณภาพของเครื่องมือ ดำเนินการโดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่างแบบสอบถามตามกรอบแนวคิดทีได้ศึกษา นำร่างแบบสอบถามเสนอต่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิพัธน์ เรืองแสง (คณะกรรมการกองทุนวิจัยฯ) และ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และความครอบคลุมของเนื้อหา ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ นำแบบสอบถามที่ผ่านการพิจารณาและได้รับการรับรองด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (เลขที่ HE 673215) ไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง

ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในระบบ TCAS ปีการศึกษา 2566 มีความเข้าใจและพึงพอใจต่อรูปแบบการรับบุคคลในระบบ TCAS ในระดับสูง โดยพบว่าค่านิยมและความคาดหวังของครอบครัวอาจกดดันนักเรียนเล็กน้อย 2) ครูแนะแนว/ครูฝ่ายวิชาการของโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการรับรู้และความเข้าใจในระดับปานกลาง แต่เชื่อว่านโยบายการรับเข้ามีความโปร่งใส 3)บุคลากรด้านการรับเข้าศึกษาของคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยขอนแก่น นโยบายการรับเข้ามีความชัดเจนและเกณฑ์การคัดเลือกมีความเหมาะสมต่อการศึกษาต่อการพัฒนาระบบรับบุคคลให้สอดคล้องกับ TCAS

งานวิจัยนี้ ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่ HE 673215

คำสำคัญ : TCAS, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, การรับนักศึกษา, รูปแบบการรับ

Abstract

This research aims to analyze and evaluate the student admission process through the TCAS system for the 2023 academic year at Khon Kaen University, with the goal of using the findings to enhance the admission process to better align with the TCAS system. The study sample consists of three groups: (1) 308 first-year students admitted to Khon Kaen University through the TCAS system in 2023, (2) 358 guidance counselors and academic staff from schools in northeastern Thailand, and (3) 31 admission personnel from various faculties at Khon Kaen University, selected using cluster random sampling. The research instruments included (1) general information about the respondents, (2) knowledge and understanding, (3) policies, (4) selection criteria and components, and (5) the selection process. The researcher used a 4-point rating scale, and the data were analyzed using percentage, mean, and standard deviation.
The quality of the research instrument was ensured through a comprehensive review of relevant concepts, theories, and previous studies. A draft questionnaire was developed based on the conceptual framework derived from this review. The draft was submitted for expert evaluation by Assistant Professor Dr. Phiphat Ruangsang, a member of the Research Fund Committee and the Human Research Ethics Committee of Khon Kaen University. The review assessed the content's accuracy, relevance, and comprehensiveness. Revisions were made to the committee's recommendations to improve the instrument's overall quality.
The revised questionnaire received ethical approval from the Human Research Ethics Committee of Khon Kaen University (Approval No. HE 673215) and was subsequently used to collect data from the target sample group.
Research Findings
The key findings of the study are as follows: 1) First-year students admitted to Khon Kaen University through the TCAS system for the 2023 academic year exhibited a high understanding and satisfaction with the admission process. However, family values and expectations placed a moderate degree of pressure on their decision-making. 2) Guidance counselors and academic staff at secondary schools in the Northeastern region demonstrated a moderate understanding of the TCAS system but generally viewed the admission policy as transparent. 3) Admission personnel from various faculties at Khon Kaen University reported that the policy was clearly articulated, and the selection criteria were appropriate for aligning student admissions with the objectives of the TCAS framework.

This research was approved by the Human Research Ethics Committee of Khon Kaen University, Approval No: HE 673215.
Keywords: TCAS, Khonkaen University, student admission, admission model

รูปแบบและแนวทางการสนับสนุนการสอนแบบออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปีการศึกษา 2566

2025-02-24T10:26:21+07:00

รูปแบบและแนวทางการสนับสนุนการสอนแบบออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียนการสอนออนไลน์ และเสนอแนวทางการพัฒนาระบบสนับสนุนการเรียนการสอนออนไลน์ในคณะทันตแพทยศาสตร์ จากการศึกษาผ่านกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยอาจารย์และนักศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์จำนวน 207 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามที่มีทั้งข้อสอบแบบตรวจสอบรายการ (checklist) และแบบประเมินค่า (rating scale) โดยการเก็บข้อมูลดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ ผลการศึกษาพบว่า การเรียนการสอนออนไลน์มีการใช้งานอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีความหลากหลาย เช่น สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก และคอมพิวเตอร์ มีการใช้แพลตฟอร์ม เช่น Zoom Meeting และ Facebook เป็นหลักในการสื่อสารและการเรียนการสอน ในด้านความพร้อมของผู้สอนและผู้เรียนพบว่ามีการเตรียมตัวและการวางแผนที่ดี รวมถึงการใช้มัลติมีเดียในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านความพร้อมของอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ รวมถึงการขาดประสบการณ์ในการใช้ซอฟต์แวร์การเรียนการสอนออนไลน์ ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนการเรียนการสอนและการพัฒนาระบบสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนออนไลน์ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการเตรียมเนื้อหาการเรียนการสอนให้มีความยืดหยุ่นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น

คำสำคัญ: การเรียนการสอนออนไลน์, คณะทันตแพทยศาสตร์, ระบบสนับสนุน, เทคโนโลยีการศึกษา, มัลติมีเดีย

ABSTRACT

The research on "Models and Approaches for Supporting Online Teaching at the Faculty of Dentistry, Khon Kaen University" aims to study the factors that influence the effectiveness of online teaching and to propose guidelines for the development of an online teaching support system at the Faculty of Dentistry. The study involved a sample group of 207 faculty members and students from the Faculty of Dentistry. The research tools included questionnaires consisting of both checklist items and rating scale assessments, with data collected via an online system. The results revealed that online teaching utilized a variety of devices and technologies such as smartphones, laptops, and computers, with platforms like Zoom Meeting and Facebook being primarily used for communication and teaching. In terms of readiness, both instructors and students were well-prepared and planned, with multimedia being used to engage students. However, challenges included limitations in internet connectivity and equipment, as well as a lack of experience in using online teaching software. The findings highlight the importance of careful planning and the development of an appropriate support system to improve the effectiveness of online teaching in the future, particularly in terms of enhancing technological infrastructure and preparing flexible, engaging instructional content.

Keywords: Online teaching, Faculty of Dentistry, Support system, Educational technology, Multimedia

การวิเคราะห์ผลการตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร ปีการศึกษา 2561 – 2565 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2025-01-23T10:30:19+07:00

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบและแนวโน้มผลตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร 2) เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานรายตัวบ่งชี้และแนวโน้มพัฒนาการผลตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร 3) เพื่อวิเคราะห์ประเด็นที่ได้จากการตรวจประเมินด้านจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนา ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในช่วงปีการศึกษา 2561–2565 โดยมุ่งเน้นการศึกษาข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ แนวโน้มการพัฒนา และการวิเคราะห์เชิงลึกในแต่ละตัวบ่งชี้ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด งานวิจัยนี้รวบรวมข้อมูลจาก 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรสัตวแพทยศาสตรบัณฑิต (ปริญญาตรี), หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ (ปริญญาโท), หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การสัตวแพทย์ (ปริญญาเอก), และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง โดยใช้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2558 เป็นแนวทางการประเมินคุณภาพ วิธีการวิจัยประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูลจากรายงานผลการตรวจประเมินคุณภาพภายใน การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและแนวโน้มคะแนนในแต่ละตัวบ่งชี้ รวมถึงการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อหาจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาของแต่ละหลักสูตร

ผลการวิจัยพบว่า หลักสูตรทั้งหมดมีคุณภาพอยู่ในระดับ "ดี" ถึง "ดีมาก" โดยตัวบ่งชี้ที่มีผลการประเมินสูงสุดได้แก่คุณภาพของอาจารย์และผลการดำเนินงานของหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา ซึ่งทั้งสองตัวบ่งชี้มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า 4.50 ในทุกหลักสูตร จุดเด่นที่พบคือการปฏิบัติตามเกณฑ์การบริหารจัดการหลักสูตรที่ได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในด้านการส่งเสริมและพัฒนานักศึกษา การจัดการเรียนการสอน และสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ที่ยังอยู่ในระดับ "ปานกลาง" โดยเฉพาะตัวบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับการวางระบบผู้สอนและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ พบว่าผลการประเมินมีแนวโน้มการพัฒนาที่ชัดเจนในบางปีการศึกษา เช่น ในปีการศึกษา 2564 และ 2565 ซึ่งมีการปรับปรุงระบบการจัดการเรียนการสอนและการประเมินคุณภาพภายใน อย่างไรก็ตาม การประเมินในบางตัวบ่งชี้ เช่น การส่งเสริมและพัฒนานักศึกษา และการรับนักศึกษา ยังคงต้องการการพัฒนาที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหลักสูตรที่เพิ่งเปิดใหม่ เช่น หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูงงานวิจัยนี้เสนอแนวทางการพัฒนาหลักสูตรในอนาคต โดยสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกสำหรับการประเมินคุณภาพ การวางกลไกที่สามารถติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนให้มีความเหมาะสมกับบริบทของหลักสูตรในระดับต่าง ๆ ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ผลการวิจัยนี้สามารถช่วยยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของคณะสัตวแพทยศาสตร์ให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานระดับชาติ รวมถึงการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมในอนาคต

คำสำคัญ : หลักสูตร, การประเมินคุณภาพภายใน, การพัฒนาคุณภาพการศึกษา

ABSTRACT

The study on “Formats and Support Strategies for Online Learning at the Faculty of Dentistry, Khon Kaen University” aimed to examine the factors influencing the effectiveness of online teaching and to propose guidelines for the development of an online learning support system within the Faculty of Dentistry. The research involved a sample group of 207 participants, including faculty members and students from the Faculty of Dentistry. The research instrument was a questionnaire comprising both checklist and rating scale items. Data collection was conducted online.

The findings revealed that various devices and technologies were used in online teaching, such as smartphones, laptops, and desktop computers. Platforms like Zoom Meeting and Facebook were predominantly used for communication and teaching. Both instructors and students demonstrated good preparation and planning, including the use of multimedia to enhance student engagement. However, limitations were found in terms of internet access, availability of equipment, and users’ proficiency with online teaching software. These findings highlight the importance of planning and developing an appropriate support system to enhance the effectiveness of online teaching. In particular, improving technological infrastructure and preparing flexible, engaging instructional content are essential to promoting better online learning experiences in the future.

Keywords: Online Learning, Faculty of Dentistry, Support system, Educational technology, Multimedia

การศึกษารูปแบบและการจัดการเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัย กรณีศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2025-02-05T15:33:05+07:00

บทคัดย่อ
การศึกษารูปแบบและการจัดการเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัย ของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยขอนแก่น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัยในอดีตและปัจจุบัน 2) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือช่องทางในการเพิ่มเครือข่ายความมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัย และ 3) เพื่อพัฒนาและสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ การให้บริการต่างๆ ที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ตรวมถึงเสิร์ช เอ็นจิ้น โซเชียลมีเดีย แหล่งเนื้อหาที่สร้างสรรค์ในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ตอบสนองความต้องการเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัยบนโซเชียลมีเดียในแอปบริการสื่อสารทุกรูปแบบ กรณีศึกษาสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการเก็บทั้งหมดนำมาจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามประเด็นที่ศึกษา วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการศึกษาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับเนื้อหาสาระ โดยยึดหลักตรรกะเทียบเคียงกับแนวคิดทฤษฎีควบคู่บริบท (Context) รวมทั้งเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ของข้อมูล (Successive Approximation) เพื่อศึกษาทำความเข้าใจรูปแบบและวิธีการจัดการเครือข่ายผลการศึกษา focus group ร่วมกับเครือข่ายงานวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น จำนวน 80 คน กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (Key Informants) ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) ผู้บริหาร 2) คณะกรรมการที่ปฏิบัติงานในเครือข่าย 3) ผู้ปฏิบัติงาน/ สมาชิกของเครือข่ายหรือหน่วยงานภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของเครือข่ายนั้นๆ 4) ข้าราชการเจ้าหน้าที่ในส่วนของชุมชน/อบต./อบท.ในท้องถิ่น ที่ปฏิบัติงานภายใต้วิจัยท้องถิ่น ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)
ผลการศึกษา พบว่า สภาพปัญหาของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัยในอดีตและปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับนโยบายและบทบาทหน้าที่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของสังคม ประกอบกับอัตรากำลังของนักวิชาการ นักวิจัย เริ่มลดลง และมีการโยกย้าย ไปสังกัดหน่วยงานอื่นๆ ใน มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นปัญหาหลักที่ทำให้การหน่วยงานขาดแคลนบุคลากรด้านการวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แนวทางแก้ไขปัญหาหรือช่องทางในการเพิ่มเครือข่ายความมือด้านการวิจัยหรือสนับสนุนการวิจัยในอนาคต พบว่า ปัญหาปัจจุบันการดำรงอยู่ การรักษาผลประโยชน์ร่วมกันกับชุมชนในพื้นที่วิจัยเครือข่ายวิจัย มีจำนวนลดลง มุมมองสมาชิกในชุมชนมีความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของงานวิจัย การสร้างเป้าหมายพื้นที่วิจัยหรือสนับสนุนการวิจัย มีจำนวนลดลง ตามลำดับ แนวทางการพัฒนาและสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ผลการศึกษา พบว่า เครือข่ายความร่วมมืองานวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น ต้องการการสื่อสารที่นำผลผลิตจากเกษตรที่ต้องขยายผลผลิต ผ่านช่องทาง fackbook, Line, webside เป็นการเพิ่มช่องทางและพัฒนาช่องทางให้เป็นทางเลือกกับชุมชนที่ยังขาดโอกาสที่เรียนรู้การขายสินค้าผ่านระบบออนไลท์
คำสำคัญ: รูปแบบ, การจัดการ, เครือข่ายความร่วมมือ, วิจัย

Abstract
Studying patterns and creating networks for research cooperation or research support, a case study of the Research Institute for Social Development Khon Kaen University, 1) To study the past and present problems of increasing/decreasing the creation of research cooperation networks or research support. 2) Guidelines for developing solutions or channels for increasing cooperation networks. Research or research support and 3) develop and build an online platform. Providing various services available on the internet including search engines. social media Creative content sources in various community areas Meet the need for research collaboration networks or research support on social media in all kinds of communication service apps. All data collected were collected and categorized according to the issues studied. How to conduct an in-depth interview with non-participant observation and other studies that are relevant and consistent with the content By adhering to the principles of logic and the concept of Context theory, including linking to find relationships of data (Successive Approximation). To study and understand the patterns and methods of network management, the results of the study were a focus group together with a local research and development network of 53 people, the target group. Is a provider of important information (Key Informants) divided into 4 groups namely 1) executives 2) committees working in the network 3) operators/members of the network or other sectoral agencies related to the operation of that network 4) Civil servants and officials in the community/subdistrict administrative organization/subdistrict administrative organization in the locality who work under local research Use descriptive analysis and numbers, averages, and percentages.
The study's results found that over the past 44 years, the Research and Development Institute (formerly known as the Research Institute for Social Development (present) has received policies, roles, and responsibilities. Changes according to the situation of society In addition, the workforce of academics and researchers began to decrease and there were transfers. Go under other departments in Khon Kaen University This is the main cause of changes in policies, roles, and responsibilities, and the lack of research personnel with specific expertise. Channels for increasing research cooperation networks or supporting future research were found. Problems of past and present existence Maintaining mutual benefits with communities in research areas/research networks has decreased. Community members' perspectives are important for research participation. The number of research area targets or research support has decreased, respectively. Guidelines for developing and creating online platforms. The results of the study found that local community leaders or those involved in the research network management process or research support, it was found that communication that brings agricultural products that need to be expanded, Through the channels Fackbook, Line, and website, is an additional channel and develops the channel as an alternative for communities that still lack the opportunity to learn how to sell products online.

Keywords: Model, Management, Collaboration Network, Research

ระบบรับสมัครสอบออนไลน์ กรณีศึกษาโครงการโอลิมปิกวิชาการ สาขาคอมพิวเตอร์ ศูนย์ สอวน. มหาวิทยาลัยขอนแก่น

2025-03-11T10:50:51+07:00

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และประเมินประสิทธิภาพระบบรับสมัครสอบออนไลน์สำหรับโครงการโอลิมปิกวิชาการ สาขาคอมพิวเตอร์ ศูนย์ สอวน. มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนการรับสมัครแบบดั้งเดิมสู่ระบบดิจิทัล การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ร่วมกับหลักการพัฒนาระบบสารสนเทศตามวงจร SDLC ระบบถูกพัฒนาในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันด้วย PHP Yii Framework ตามสถาปัตยกรรม MVC และใช้ MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล โดยบูรณาการร่วมกับระบบ KKU Payment Hub และ KKUFMIS ผ่าน API เพื่อรองรับการชำระเงินและออกใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นแบบอัตโนมัติ

ผลการวิจัยพบว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถลดภาระงานด้านเอกสาร ส่งผลให้การจัดเก็บและบริหารข้อมูลเป็นระบบมากขึ้น ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการดำเนินการด้วยเอกสารแบบเดิม อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลทางการเงิน โดยเฉพาะการตรวจสอบและออกใบเสร็จรับเงินผ่านระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานมีความถูกต้อง แม่นยำ และสะดวกยิ่งขึ้น และได้รับการประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งานจากกลุ่มตัวอย่าง 325 คน ในระดับ “มาก” ( = 4.24, S.D. = 0.75) มีข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อยอดได้แก่ การเพิ่มคู่มือการใช้งาน ระบบแจ้งเตือนก่อนหมดเขตลงทะเบียน และฟังก์ชันช่วยเหลือกรณีลืมรหัสผ่าน

คำสำคัญ: ระบบรับสมัครสอบออนไลน์ ;โครงการโอลิมปิกวิชาการ ;ระบบสารสนเทศ ;เว็บแอปพลิเคชัน

ABSTRACT

This study aimed to develop and evaluate the effectiveness of an online examination registration system for the Computer Science Olympiad Program under the POSN Center at Khon Kaen University, focusing on transforming the traditional registration process into a digital system. The research employed a Research and Development (R&D) methodology in conjunction with the principles of the System Development Life Cycle (SDLC). The system was developed as a web application using PHP with the Yii Framework, based on the Model-View-Controller (MVC) architecture, and MySQL was utilized as the database management system. It was integrated with the KKU Payment Hub and KKUFMIS via APIs to support automated payment processing and electronic receipt issuance.

The findings revealed that the developed system significantly reduced paperwork, enhanced data organization and accuracy, and improved the efficiency of financial data management, particularly in transaction verification and receipt generation. The registration process steps were reduced from seven to four, registration time per user decreased from 30 minutes to 10 minutes (a 66.7% reduction), and the number of personnel involved was reduced from five to two (a 60% reduction). Additionally, the registration cost per applicant dropped from 50 baht to 10 baht (an 80% reduction), and annual receipt printing costs were eliminated (100% reduction). User satisfaction was assessed from a sample of 325 participants, including both examinees and administrative personnel, and was rated at a “high” level (x ̅ = 4.24, S.D. = 0.75). Suggestions for further development include adding a user manual, implementing registration deadline reminders, and incorporating a password recovery feature for users who forget their login credentials.

Keywords: Online Examination Registration System ;Computer Science Olympiad ;Information System ;Web Application