วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์บทความในวารสารเกษตรพระวรุณ </strong></p> <p>1. เป็นบทความวิจัย (Research article) บทความปริทัศน์ (Review article) หรือบทความทางวิชาการ (Academic article) ทางด้านเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พืชศาสตร์ สัตวศาสตร์ ประมง วิทยาศาสตร์สุขภาพสัตว์ วิทยาศาสตร์การอาหารและอุตสาหกรรมการเกษตร ธุรกิจการเกษตร ส่งเสริมการเกษตร สารสนเทศการเกษตร นวัตกรรมการเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น </p> <p>2. ต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์มาก่อน (ต้นฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของต้นฉบับ) และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งตีพิมพ์อื่นใด</p> <p><strong>การตรวจสอบการตีพิมพ์ </strong></p> <p>บทความทุกบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารเกษตรพระวรุณต้องผ่านกระบวนการพิจารณาเพื่อตอบรับการตีพิมพ์ โดยกองบรรณาธิการประกอบด้วย</p> <p>กระบวนการที่ 1: กลั่นกรองเบื้องต้นในรูปแบบการพิมพ์ ขอบเขตของเนื้อหา และความสมบูรณ์ของบทความ </p> <p>กระบวนการที่ 2: กลั่นกรองต้นฉบับโดยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 ท่าน ในประเด็นความเหมาะสมตามเกณฑ์คุณภาพของบทความแต่ละประเภทรวมถึงองค์ความรู้ใหม่ที่ค้นพบในรูปแบบ <strong>"DOUBLE BLINED REVIEW"</strong></p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่วารสาร ปีละ 2 ฉบับ </strong></p> <p><strong>- ฉบับที่ 1: เดือนมกราคม - เดือนมิถุนายน</strong></p> <p><strong>- ฉบับที่ 2: เดือนกรกฎาคม - เดือนธันวาคม </strong></p> FACULTY OF AGRICULTURAL TECHNOLOGY, RAJABHAT MAHA SARAKHAM UNIVERSITY th-TH วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 1685-8379 พารามิเตอร์การสังเคราะห์ด้วยแสงและปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายได้ของอ้อยโคลนดีเด่นภายใต้สภาวะเครียดจากการขาดน้ำ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/262849 <p>การสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นแหล่งของเคมีอินทรีย์และพลังงานเพื่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืช แต่การขาดน้ำเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ดังนั้น การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์การสังเคราะห์ด้วยแสงกับปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายได้ (TSS) เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะขาดแคลนน้ำและการตอบสนองหลังการได้รับน้ำอีกครั้งของอ้อยโคลนดีเด่น โดยดำเนินการทดลอง ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ปี พ.ศ. 2566 วางแผนการทดลองแบบ Split plot design จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยหลัก (main plot) คือ (1) การให้น้ำตามความต้องการของพืช และ (2) งดการให้น้ำนาน 19 วัน และปัจจัยรอง (sub plot) คือ พันธุ์/โคลนอ้อยดีเด่น ได้แก่ (1) KK07-599 (2) KK12(R)-085 (3) KK3/E09-1 (4) LK92-11 และ (5) KK3 จากการศึกษาพบว่า การขาดน้ำทำให้ค่าพารามิเตอร์การสังเคราะห์ด้วยแสงของอ้อย ได้แก่ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงสุทธิ (A) อัตราการคายน้ำ (E) และค่าชักนำการเปิด-ปิดปากใบ (<em>g</em>s) มีค่าลดลง แต่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในใบ (Ci) และ TSS มีค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับอ้อยพันธุ์/โคลนเดียวกันที่ได้รับน้ำ โดยโคลน KK3/E09-1 ที่ขาดน้ำนาน 14 วัน มีค่า <em>g</em>s เพียง 0.02 mmolm<sup>-2</sup>s<sup>-1</sup> และพบว่า ค่า A E และ <em>g</em>s มีความสัมพันธ์กันอย่างสูงในทางเดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อได้รับการให้น้ำอีกครั้งอ้อยสามารถฟื้นฟูพารามิเตอร์การสังเคราะห์ด้วยแสงใกล้เคียงกับอ้อยที่ได้รับน้ำตามปกติโดยเฉพาะในอ้อยดีเด่นโคลน KK07-599 และ KK3/E09-1 ซึ่งอาจสามารถนำมาใช้ประกอบการคัดเลือกพันธุ์อ้อยหรือเป็นต้นแบบการศึกษาด้านสรีรวิทยาการสังเคราะห์ด้วยแสงของอ้อยในประเทศไทยต่อไป</p> ธีระรัตน์ ชิณแสน แสงเดือน ชนะชัย ชยันต์ ภักดีไทย อัมราวรรณ ทิพยวัฒน์ กรองกาญจน์ ป้องปัญจมิตร Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-07-18 2024-07-18 21 2 1 11 10.14456/paj.2024.31 ประสิทธิภาพของน้ำหมักชีวภาพที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของปลานิลในระบบไบโอฟลอค https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/261057 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของน้ำหมักชีวภาพในสูตรต่างกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของปลานิลซึ่งเลี้ยงในระบบไบโอฟลอค โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ประกอบด้วย 4 ชุดการทดลอง ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำ ได้แก่ ชุดการทดลองที่ 1 การเลี้ยงปลานิลด้วยระบบปกติ (ชุดควบคุม) ชุดการทดลองที่ 2 การเลี้ยงปลานิลระบบ ไบโอฟลอคร่วมกับน้ำหมักชีวภาพสูตรอีเอ็ม ชุดการทดลองที่ 3 การเลี้ยงปลานิลระบบไบโอฟลอคร่วมกับน้ำหมักชีวภาพ สูตรจุลินทรีย์บาซิลลัส และชุดการทดลองที่ 4 การเลี้ยงปลานิลระบบไบโอฟลอคร่วมกับน้ำหมักชีวภาพสูตรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เริ่มต้นเลี้ยงปลานิลน้ำหนักเฉลี่ย 7.68±0.48 เซนติเมตร ความยาวเฉลี่ย 6.52±0.40 กรัม ในตู้กระจกขนาด 24x12x15 นิ้ว (ปริมาตรน้ำ 54 ลิตร) อัตราความหนาแน่น 45 ตัว/ตารางเมตร ให้อาหารสำเร็จรูปวันละ 2 มื้อ ตรวจวัดคุณภาพน้ำทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดการทดลอง พบว่า การเลี้ยงปลานิลระบบไบโอฟลอคร่วมกับน้ำหมักชีวภาพสูตรอีเอ็มมีการเจริญเติบโตดีที่สุด อัตราการรอดตายสูง (100 %) อัตราการแลกเนื้อต่ำ (0.83) เนื่องจากน้ำหมักชีวภาพสูตรอีเอ็มก่อให้เกิดตะกอนจุลินทรีย์ได้มาก เมื่อนำไปวิเคราะห์พบว่ามีโปรตีน 23.43 % ของน้ำหนักแห้ง โดยทุกชุดการทดลองมีคุณภาพน้ำที่ใกล้เคียงกัน อุณหภูมิน้ำ 28-30 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 6.7-8.3 ค่าอัลคาไลนิตี้ 68-119 มิลลิกรัม/ลิตรของแคลเซียมคาร์บอเนต ไนไตรท์ 0-0.5 มิลลิกรัม/ลิตร แอมโมเนียรวม 0-0.2 มิลลิกรัม/ลิตร ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ 4-5 มิลลิกรัม/ลิตร ปริมาณของแข็งแขวนลอย 100-500 มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่งคุณภาพน้ำของทุกชุดการทดลองมีค่าเฉลี่ยไม่แตกต่างจากชุดควบคุม นอกจากนี้ยังพบแพลงก์ตอนสัตว์หลายชนิดในบ่อบำบัดน้ำทิ้งจากระบบ ได้แก่ ไรแดง (<em>Moina macrocopa</em>) และโรติเฟอร์ (<em>Brachionus </em>sp.) ซึ่งเป็นอาหารเสริมสำหรับปลานิลอีกด้วย ส่วนการเลี้ยงปลานิลระบบไบโอฟลอคร่วมกับน้ำหมักชีวภาพสูตรอีเอ็มสามารถบำบัดแอมโมเนียได้ดีทำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำน้อยทำให้ประหยัดต้นทุนการเลี้ยง</p> จุฑามาศ ทะแกล้วพันธุ์ อัจฉรีย์ ภุมวรรณ บัญญัติ ศิริธนาวงศ์ ชลิดา ข้างแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-07-23 2024-07-23 21 2 12 22 10.14456/paj.2024.32 การพัฒนาผลิตภัณฑ์พาสต้าปราศจากกลูเตนจากแป้งข้าวกล้องภาคใต้ เสริมโปรตีนด้วยกระบวนการเอ็กซ์ทรูชัน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263038 <p>งานวิจัยนี้ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์พาสต้าปราศจากกลูเตนจากแป้งข้าวกล้องภาคใต้ (ข้าวเม็ดฝ้าย 62 ข้าวสังข์หยดและข้าวเล็บนก) ด้วยกระบวนการเอ็กซ์ทรูชันเสริมโปรตีน พบว่า คุณลักษณะทางกายภาพ ทางเคมี การต้านอนุมูลอิสระและปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดของแป้งข้าวกล้องภาคใต้มีค่าที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>&lt;0.05) ข้าวกล้องเม็ดฝ้าย 62 มีค่ากิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ (1.02 mg vitamin C/g DW) และปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด (0.83 mg GAE/g DW) สูงสุด การพัฒนาเส้นพาสต้าจากข้าวกล้องภาคใต้โดยใช้แป้งข้าวกล้องเม็ดฝ้าย 62 (ร้อยละ 0, 10, 20, 30 และ 40 โดยน้ำหนัก) ทดแทนแป้งสาลีเพื่อผลิตเส้นพาสต้าด้วยกระบวนการเอ็กซ์ทรูชัน พบว่า การเพิ่มปริมาณแป้งข้าวกล้องเม็ดฝ้ายในเส้นพาสต้าจะมีค่า L*, a* และ b* น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างควบคุม แต่ค่าความแน่นเนื้อ ค่าความต้านแรงดึง เวลาในการปรุงและการสูญเสียการปรุงของเส้นพาสต้าเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเส้นพาสต้าทางการค้า โดยที่ปริมาณแป้งข้าวกล้องเม็ดฝ้าย 62 ร้อยละ 20 มีคะแนนความพึงพอใจทางประสาทสัมผัสมากที่สุด ส่วนการพัฒนาเส้นพาสต้าข้าวกล้องเม็ดฝ้าย 62 เสริมโปรตีน (ผงจิ้งหรีด ถั่วเหลืองผง และไข่ขาวผง) ร้อยละ 10 โดยน้ำหนัก พบว่า สูตรพาสต้าจากแป้งข้าวกล้องเม็ดฝ้าย 62 เสริมผงจิ้งหรีดและผงถั่วเหลืองร้อยละ 10 มีคะแนนความพึงพอใจทางด้านประสาทสัมผัสมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของโปรตีนที่ศึกษา</p> สุภาษิต ชูกลิ่น Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-07-30 2024-07-30 21 2 23 32 10.14456/paj.2024.33 ผลของการใช้สารเคลือบผิวที่บริโภคได้และชนิดของบรรจุภัณฑ์ต่อการเปลี่ยนแปลง คุณภาพและอายุการเก็บรักษาของหอมแดงตัดแต่งพันธุ์ศรีสะเกษ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/262881 <p>การศึกษาผลของชนิดสารเคลือบผิวที่บริโภคได้จากสารสกัดกระเจี๊ยบเขียว สารสกัดกระเจี๊ยบเขียวร่วมกับสารสกัดกระเทียม สารสกัดกระเจี๊ยบเขียวร่วมกับสารสกัดกระชายขาว สารเคลือบผิวเชิงการค้า และชนิดของบรรจุภัณฑ์ต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของหอมแดงตัดแต่งพันธุ์ศรีสะเกษ คัดเลือกหอมแดงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2±0.5 เซนติเมตร ปอกเปลือกและทำความสะอาด จุ่มสารเคลือบผิวชนิดต่าง ๆ บรรจุในถาดโฟมหุ้มด้วยฟิล์มพลาสติก (PVC) และถุง nylon-LLDPE ในสภาวะสุญญากาศ เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 16 วัน ผลการศึกษาพบว่าสภาวะที่เหมาะสม คือการเคลือบผิวหอมแดงตัดแต่งด้วยสารสกัดกระเจี๊ยบเขียวร่วมกับสารสกัดกระชายขาว บรรจุถุง nylon-LLDPE ในสภาวะสุญญากาศ การเคลือบด้วยสารเคลือบผิวและการใช้พลาสติกชนิด nylon-LLDPE ซึ่งมีคุณสมบัติขวางกั้นไอน้ำและก๊าซที่ดีกว่าฟิล์มพลาสติก (PVC) สามารถควบคุมความชื้นของหอมแดงหลังการตัดแต่ง ช่วยลดปัญหาการสูญเสียน้ำหนัก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่าสี และค่าความแน่นเนื้อเพียงเล็กน้อย มีความปลอดภัยด้านจุลินทรีย์ ในระหว่างการเก็บรักษา 16 วัน ได้ไม่แตกต่างจากการใช้สารเคลือบผิวเชิงการค้า งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการเคลือบผิวด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร ชนิดของบรรจุภัณฑ์ และสภาวะการบรรจุ ส่งผลต่อการสูญเสียน้ำหนัก ค่าสี ค่าความแน่นเนื้อของหอมแดงตัดแต่ง ผลการศึกษานี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการผลิตสารเคลือบผิวที่บริโภคได้จากสารสกัดพืชสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อยืดอายุผัก และผลไม้ในอนาคต สามารถลดต้นทุนผลิต เนื่องจากสารเคลือบผิวเชิงการค้าในปัจจุบันมีราคาสูง หรือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ</p> ธนวรรณ มุสิกา พนารัตน์ สังข์อินทร์ สุเมธ เพียยุระ จิรายุ มุสิกา Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-07-31 2024-07-31 21 2 33 42 10.14456/paj.2024.34 การพัฒนาเทคนิค LAMP เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส โรค ลัมปี สกิน ในโค https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/262880 <p>โรคลัมปี สกิน (LSD) เกิดจากเชื้อไวรัสในสกุล <em>Capripoxviruses</em> (CaPVs) เป็นโรคที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบด้านสุขภาพในอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคและกระบือ สามารถแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโดยมีแมลงดูดเลือดเป็นพาหะนำโรค นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสสัตว์ป่วยโดยตรง ผ่านทางน้ำเชื้อของพ่อพันธุ์ที่เป็นโรคหรือผ่านทางรกได้ ลักษณะอาการของโรค มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวมโต พบตุ่มนูนแข็ง และเป็นแผลตามผิวหนัง อาจมีแผลบริเวณเนื้อเยื่อที่ปาก การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการที่รวดเร็วจึงมีความสำคัญในการควบคุมการระบาดของโรค เทคนิค Loop-mediated isothermal amplification (LAMP) เป็นวิธีการตรวจที่พัฒนาขึ้นให้มีง่าย และรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอของเชื้อโรคด้วยอุณหภูมิคงที่และเหมาะสำหรับการใช้ในภาคสนาม วัตถุประสงค์ในการวิจัยในครั้งนี้เพื่อพัฒนาเทคนิค LAMP ตรวจหาเชื้อไวรัสโรคลัมปี สกิน (LSDV) จากตัวอย่างโคที่แสดงอาการป่วยเป็นโรคลัมปี สกิน (LSD) โดยการเปรียบเทียบกับการตรวจด้วยเทคนิค PCR จากผลการวิเคราะห์ตัวอย่าง (เลือดในหลอด EDTA จำนวน 100 ตัวอย่าง และเนื้อเยื่อผิวหนัง จำนวน 86 ตัวอย่าง) พบว่าตัวอย่างร้อยละ 56.98 (106/186) ให้ผลบวกต่อการตรวจด้วยเทคนิค PCR และตัวอย่างร้อยละ 63.97 (119/186) ให้ผลบวกต่อการตรวจด้วยเทคนิค LAMP จากผลการวิจัยทำให้สรุปได้ว่าเทคนิค LAMP มีประสิทธิภาพสูงกว่าเทคนิค PCR นอกจากนี้ยังพบว่ามีความไวสูงที่ระดับการเจือจาง 10<sup>-5</sup> ng/µl และมีความจำเพาะต่อเชื้อไวรัสโรคลัมปี สกิน (LSDV) โดยไม่ทำปฏิกิริยากับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นที่ใช้ทดสอบ การศึกษาลำดับนิวคลีโอไทด์ทางด้านสายพันธุ์มีคล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสโรคลัมปี สกิน (LSDV) ที่เคยพบในประเทศจีน ฮ่องกง และเวียดนาม ทำให้สรุปได้ว่าเทคนิค LAMP มีความไวและความจำเพาะสูง เหมาะสำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโรคลัมปี สกิน ในพื้นที่ภาคสนาม ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย</p> ธีระยุทธ ชาวุฒิ อรพรรณ อาจคำภา ธีรเจต เลาหเสถียร ภวัต เสรีตระกูล นรินทร์ ปริยวิชญภักดี Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-08-21 2024-08-21 21 2 43 52 10.14456/paj.2024.35 ผลของระยะปลูกต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันจาวมะพร้าว https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263600 <p>การใช้ระยะปลูกที่เหมาะสมในการผลิตมันจาวมะพร้าว (<em>Dioscorea alata</em> L.) สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต รายได้ของเกษตรกร และมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะปลูกที่เหมาะสมในการผลิตมันจาวมะพร้าว วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อก ศึกษา 5 ระยะปลูก จำนวน 4 ซ้ำ ระยะปลูกประกอบด้วย 100x100 100x80 80x80 80x50 และ 50x50 เซนติเมตร ทำการทดลอง ณ แปลงศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรชัยภูมิ ตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม 2566 บันทึกข้อมูลการเจริญเติบโต ผลผลิต ต้นทุนการผลิต รายได้ ผลตอบแทน และสัดส่วนรายได้ต่อต้นทุน (BCR) ผลการทดลอง พบว่าระยะปลูกมันจาวมะพร้าวทำให้ความยาวเถา ความกว้างใบ ความยาวใบ และจำนวนใบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ การปลูกมันจาวมะพร้าวโดยใช้ระยะปลูก 50x50 เซนติเมตร ทำให้ความยาวเถา ความกว้างใบ ความยาวใบ และจำนวนใบมากที่สุด และมีลักษณะการเจริญเติบโตอื่น ๆ สูงด้วย ระยะปลูกมีผลทำให้ผลผลิตของมันจาวมะพร้าวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ การปลูกมันจาวมะพร้าวโดยใช้ระยะปลูก 50x50 เซนติเมตร ทำให้มันจาวมะพร้าวมีผลผลิตสูงสุดและมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด การปลูกมันจาวมะพร้าวโดยใช้ระยะปลูก 50x50 เซนติเมตร เหมาะสมในการผลิตมันจาวมะพร้าวมากที่สุดทั้งในแง่การให้ผลผลิตและความคุ้มค่าต่อการลงทุน</p> รัตนาภรณ์ กุลชาติ ศศิธร ประพรม รัชนีวรรณ ชูเชิด อาภาพร บุญภา รพีพร ศรีสถิตย์ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-08-28 2024-08-28 21 2 53 62 10.14456/paj.2024.36 เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำของเกษตรกรตำบลพิตเพียน อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263479 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคลและด้านเศรษฐกิจ 2) ระดับความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำ 3) ความคิดเห็นที่มีต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำ 4) เปรียบเทียบความแตกต่างความคิดเห็นที่มีต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำตามลักษณะพื้นฐานส่วนบุคคลและด้านเศรษฐกิจ และ 5) ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับความคิดเห็นที่มีต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำ กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวขึ้นน้ำในตำบลพิตเพียน จำนวน 127 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t–test F–test วิเคราะห์ LSD สำหรับทดสอบความแตกต่างรายคู่ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 58.30 อายุเฉลี่ย 56.93 ปี จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 52.80 จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 2.94 คน พื้นที่ปลูกข้าวขึ้นน้ำเฉลี่ย 27.32 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เช่า ร้อยละ 42.50 ประสบการณ์ในการปลูกข้าวขึ้นน้ำเฉลี่ย 21.02 ปี เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 80 เกษตรกรมีความคิดเห็นต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำโดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.07 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างความคิดเห็น พบว่าประสบการณ์ในการปลูกข้าวขึ้นน้ำแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำโดยรวมแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับความคิดเห็น พบว่าด้านกระบวนการผลิต ความรู้กับความคิดเห็นของเกษตรกรที่มีต่อเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซังข้าวขึ้นน้ำ มีความสัมพันธ์กัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01</p> ศตวรรณ คงสมจิตต์ สุพัตรา ศรีสุวรรณ ปรีดา สามงามยา Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-09-17 2024-09-17 21 2 63 68 10.14456/paj.2024.37 ผลของการเสริม linoleic acid albumin และ conjugated linoleic acid ในน้ำยาเพาะเลี้ยงตัวอ่อนต่อการพัฒนาสู่ระยะ blastocyst https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263149 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงน้ำยาในการเลี้ยงตัวอ่อนเพื่อเพิ่มอัตราการพัฒนาของตัวอ่อน ภายหลังการเลี้ยงตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ ให้พัฒนาสู่ระยะ blastocyst ของตัวอ่อนโคพื้นเมือง โดยผลการเสริม linoleic acid albumin (LAA) ระดับ 0 1 2 และ 3 mg/ml และ conjugated linoleic acid (CLA) ที่ระดับ 0 0.1 0.2 และ 0.3 mg/ml ในน้ำยาเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจากระยะ 2-4 เซลล์ สู่อัตราการพัฒนาของตัวอ่อนระยะ blastocyst ที่ 8 วัน พบว่า LAA ระดับ 0 และ 1 mg/ml ให้อัตราการพัฒนาของตัวอ่อนระยะ blastocyst ที่ 8 วัน สูงกว่า LAA ระดับ 2 และ 3 mg/ml (P&lt;0.05) และพบว่า CLA ระดับ 0 และ 0.1 mg/ml ให้อัตราการพัฒนาของตัวอ่อนถึงระยะ blastocyst สูงกว่าระดับ 0.2 และ 0.3 mg/ml (P&lt;0.05) สรุปได้ว่า ในโคพื้นเมืองการเสริม LAA และ CLA ในน้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนระยะ 2-8 วัน ภายหลังการปฏิสนธิ ไม่ส่งผลต่อการเพิ่มอัตราการพัฒนาของตัวอ่อนระยะ blastocyst ได้</p> พิรวิทย์ เชื้อวงษ์บุญ ดำรงรักษ์ รักวงค์ฤทธิ์ เทวินทร์ วงษ์พระลับ สุจิรา ธรรมวัง Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-09-18 2024-09-18 21 2 69 76 10.14456/paj.2024.38 การสกัดไคโตซานจากเศษเปลือกกุ้งขาวและการประยุกต์ใช้ในการปลูกพรรณไม้น้ำลานไพลิน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263677 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์สกัดไคโตซานจากเศษเปลือกกุ้งขาวด้วยวิธีทางเคมี โดยนำไตโตซานที่ได้ใช้ในการปลูกต้นลานไพลินเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต พบว่าเศษเปลือกกุ้งขาวที่นำมาสกัดมีปริมาณไคติน 34.01 % มีปริมาณไคโตซานโดยน้ำหนักจากไคติน และโดยน้ำหนักจากเปลือกกุ้ง 95.89 และ 32.69 % ตามลำดับ จากนั้นนำสารสกัดไคโตซานมาใช้ศึกษาการเจริญเติบโตของต้นลานไพลินโดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ 4 ชุดการทดลอง ๆ ละ 3 ซ้ำ คือ 1) ปลูกในดินที่ไม่ผสมไคโตซาน + น้ำที่ไม่ผสมไคโตซาน (ชุดควบคุม) 2) ปลูกในดินที่ผสมไคโตซาน 80 มิลลิลิตร/ดิน 500 กรัม + น้ำที่ไม่ผสมไคโตซาน 3) ปลูกในดินที่ไม่ผสมไคโตซาน + น้ำที่ไม่ผสมไคโตซาน + ฉีดพ่นสารละลายไคโตซาน 500 ppm ทุก 7 วัน และ 4) ปลูกในดินที่ไม่ผสมไคโตซาน + น้ำที่ผสมไคโตซาน 875 มิลลิลิตร/น้ำ 35 ลิตร โดยทำการทดลองปลูกเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่าต้นลานไพลินมีจำนวนใบ 29.29, 38.83, 33.33 และ 36.80 ใบ ตามลำดับ (p&gt;0.05) มีความยาวใบ 1.24, 1.44, 1.42 และ 1.60 เซนติเมตร ตามลำดับ (p&lt;0.05) มีความกว้างใบ 1.00, 1.02, 1.02 และ 1.06 เซนติเมตร ตามลำดับ (p&lt;0.05) และมีความสูงลำต้น 7.10, 9.03, 8.61 และ 10.30 เซนติเมตร ตามลำดับ (p&lt;0.05) ดังนั้นการใช้สารสกัดไคโตซานจากเศษเปลือกกุ้งขาวสามารถทำให้ต้นลานไพลินเจริญเติบโตได้ดี โดยสามารถใช้ไคโตซานได้ในหลายรูปแบบทั้งผสมในดินปลูก ละลายในน้ำที่ปลูก หรือฉีดพ่น</p> วิจิตรา ตุ้งซี่ ศรัณย์ รักษาพราหมณ์ ณัฐพล ราชูภิมนต์ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-09-23 2024-09-23 21 2 77 82 10.14456/paj.2024.39 การพัฒนาน้ำยาเจือจางน้ำเชื้อไก่พื้นเมือง เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์ไก่พื้นเมืองไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263760 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำยาเจือจาง KSU diluent (น้ำยาเจือจางที่พัฒนาขึ้น) BPSE Lake’s diluent และกลุ่มควบคุม (NaCl 0.90 %) ต่อคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองที่เก็บรักษาแบบแช่เย็นที่ระยะเวลา 1-4 วัน พบว่าคุณภาพน้ำเชื้อสดของไก่พื้นเมืองพันธุ์เหลืองหางขาวมีปริมาตรน้ำเชื้อ 0.39±0.04 มล./ตัว ความเข้มข้นของน้ำเชื้อ 2.28±0.13 x 10<sup>9</sup> ตัว/มล. ค่า pH 7.38±0.02 ค่าออสโมลาลิตี้ 324±2.65 mOsm/kg อัตราการเคลื่อนที่ 91.67±14.43 % และอัตราการมีชีวิต 96.00±1.00 % ผลของน้ำยาเจือจาง KSU diluent BPSE Lake’s diluent และกลุ่มควบคุมต่อคุณภาพน้ำเชื้อไก่พื้นเมือง พบว่าเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษาเพิ่มขึ้น การใช้น้ำยาเจือจาง KSU diluent BPSE และ Lake’s diluent ให้ผลอัตราการเคลื่อนที่ อัตราการเคลื่อนที่แบบไปข้างหน้า ลักษณะการเคลื่อนที่ (average path velocity (VAP) curvilinear velocity (VCL) และ straight line velocity (VSL)) อัตราการมีชีวิต อัตราการผสมติด และอัตราการฟักลดลง (P &lt; 0.05) โดยน้ำยาเจือจาง KSU diluent ให้ผลอัตราการเคลื่อนที่ อัตราการเคลื่อนที่แบบไปข้างหน้า และลักษณะการเคลื่อนที่ (VAP VCL และ VSL) ลดลงในวันที่ 3 ของการเก็บรักษา (P &lt; 0.05) แต่อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาน้ำเชื้อที่ระยะเวลา 1 และ 2 วัน พบว่าน้ำยาเจือจาง KSU diluent ให้ผลอัตราการผสมติดสูงไม่แตกต่างจาก BPSE และ Lake’s diluent (P &gt; 0.05) โดยน้ำยาเจือจาง KSU diluent ให้ผลอัตราการผสมติดสูงที่สุด (57.51±11.54 %) เมื่อเก็บรักษาน้ำเชื้อที่ระยะเวลา 3 วัน (P &lt; 0.05) นอกจากนี้น้ำยาเจือจาง KSU diluent BPSE และ Lake’s diluent ให้ผลอัตราการฟักไม่แตกต่างกันในทุกระยะเวลาของการเก็บรักษา (P &gt; 0.05) ดังนั้นน้ำยาเจือจาง KSU diluent สามารถนำมาใช้ในการเก็บรักษาน้ำเชื้อไก่พื้นเมืองได้ 3 วัน</p> ทิพย์สุดา บุญมาทัน นพรัตน์ ผกาเชิด ธนิตพันธ์ พงษ์จงมิตร ณัฐวัฒน์ ตันพล สมร พรชื่นชูวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-09-30 2024-09-30 21 2 83 92 10.14456/paj.2024.40 ผลของสารโคลชิซินต่อการเปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโต และลักษณะทางสัณฐานวิทยา ของข้าวพันธุ์ขาวเจ๊ก จังหวัดชัยนาท https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263885 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารละลายโคลชิซินต่ออัตราการรอดชีวิต การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงจำนวนโครโมโซม ขนาดของเซลล์ปากใบ และลักษณะทางสัณฐานวิทยาของข้าวพันธุ์ขาวเจ๊ก โดยได้เก็บรวบรวมตัวอย่างเมล็ดข้าวพันธุ์ขาวเจ๊กจากอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท และนำเมล็ดที่งอกแล้วมาแช่ในสารละลายโคลชิซินที่มีความเข้มข้นต่าง ๆ คือ 0 0.01 0.05 0.10 และ 0.50 % เป็นระยะเวลา 1 2 และ 3 วัน ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยของข้าวหลังจากแช่ในสารละลายโคลชิซินเป็นเวลา 60 วัน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) เมื่อความเข้มข้นของสารเพิ่มขึ้นและระยะเวลาในการแช่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ ภายหลังจากการแช่สารละลายโคลชิซินเป็นเวลา 120 วัน พบว่า ความสูงเฉลี่ยของต้นข้าวมีแนวโน้มลดลงเมื่อความเข้มข้นของสารและระยะเวลาในการแช่เพิ่มขึ้น เมื่อนำมาตรวจสอบโครโมโซม สามารถคัดเลือกต้นเตตราพลอยด์ ได้จำนวน 2 ต้น ซึ่งมีจำนวนโครโมโซม 2n = 4x = 48 คือ ที่ระดับความเข้มข้น 0.10 %, 1 วัน และที่ระดับความเข้มข้น 0.50 %, 1 วัน พบความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (P&lt;0.01) ในส่วนของความยาวและความกว้างของเซลล์ปากใบระหว่างพืชดิพลอยด์และเตตราพลอยด์ ซึ่งบ่งชี้ว่าพืชเตตราพลอยด์มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ความยาวของรวงข้าว รวมถึงความยาวและความหนาของเมล็ดข้าวในต้นเตตราพลอยด์ยังมีค่ามากกว่าต้นดิพลอยด์อย่างชัดเจน</p> สัณฐิตา ตังคจิวางกูร Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-10-05 2024-10-05 21 2 93 101 10.14456/paj.2024.41 เปรียบเทียบการงอก ผลผลิต และความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของต้นอ่อนข้าวห้าสายพันธุ์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263813 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการงอก ผลผลิต และความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้ข้าวทั้งหมด 5 สายพันธุ์ คือ ข้าวสาลี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าว กข79 ข้าว กข85 และข้าว กข95 วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) ผลการทดลองด้านการงอก และผลผลิต พบว่า เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี มีอัตราการงอกเร็วที่สุด คือ 3 วัน และมีเปอร์เซ็นต์การงอก ดัชนีความเร็วการงอกดีที่สุด คือ 93.33 เปอร์เซ็นต์ และ 14.85 และค่าความเขียวของใบ 33.65 SPAD UNIT น้ำหนักสด 177.93 กรัมต่อน้ำหนักเมล็ด 200 กรัม น้ำคั้น 84.00 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักเมล็ด 200 กรัม และของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด 7.66 องศาบริกซ์ มีปริมาณมากที่สุดเช่นกัน ส่วนต้นอ่อนข้าวสายพันธุ์ กข95 พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด คือ 1.27 มิลลิกรัมสมมูลของโทรลอกซ์ต่อกรัมน้ำหนักสด</p> ชมดาว ขำจริง ณัฐพล รุ่งเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-10-10 2024-10-10 21 2 102 107 10.14456/paj.2024.42 การเสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มต่อสมรรถนะการผลิต และคุณภาพซากของไก่พื้นเมืองลูกผสม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263678 <p>การศึกษาการเสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มต่อสมรรถนะการผลิตและคุณภาพซากของไก่พื้นเมืองลูกผสม (ประดู่หางดำ x เหลืองหางขาว) ใช้ไก่ทดลอง 120 ตัว แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มเสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มที่ระดับ 0 10 30 และ 50 มิลลิลิตร/ลิตร วางแผนการทดลองแบบสุ่มภายในบล็อค จากการศึกษาพบว่ากลุ่มที่เสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่ม 50 มิลลิลิตร/ลิตร มีปริมาณการกินได้เฉลี่ยตลอดการทดลองมีค่าสูงกว่าทุกทรีทเมนต์ (P &lt; 0.01) และไก่พื้นเมืองลูกผสมอายุระหว่าง 43-120 วัน และ 14-120 วัน ที่ได้รับน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มที่ระดับ 50 มิลลิลิตร/ลิตร มีประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารต่ำที่สุด (P &lt; 0.01) กลุ่มที่ได้รับน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มที่ระดับ 10 และ 50 มิลลิลิตร/ลิตร มีเปอร์เซ็นต์การอยู่รอดโดยเฉลี่ยตลอดการทดลองสูงสุด (P &lt; 0.01) กลุ่มที่เสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มมีต้นทุนค่าอาหารต่อการเพิ่มน้ำหนัก 1 กิโลกรัม สูงกว่ากลุ่มควบคุม (P &lt; 0.01) และการเสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มส่งผลต่อน้ำหนักมีชีวิต เปอร์เซ็นต์ซาก เปอร์เซ็นต์ชิ้นส่วนตัดแต่ง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักเนื้ออก เปอร์เซ็นต์น้ำหนักน่อง เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตับ เปอร์เซ็นต์น้ำหนักกึ๋น ไขมันในช่องท้อง (P &lt; 0.01) เปอร์เซ็นต์น้ำหนักปีก และเปอร์เซ็นต์น้ำหนักหัวและคอ (P &lt; 0.05) โดยกลุ่มที่เสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มมีเปอร์เซ็นต์ไขมันช่องท้องต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (P &lt; 0.01) ดังนั้น การเสริมน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดในน้ำดื่มส่งผลดีต่อสมรรถนะการผลิตและคุณภาพซากของไก่พื้นเมืองลูกผสม</p> วิวัฒน์ วรามิตร หทัยชนก อินทร์สูงเนิน ทิพย์วดี ประไพวงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-10-15 2024-10-15 21 2 108 118 10.14456/paj.2024.43 ผลการใช้วัตถุดิบแหล่งโปรตีนทางเลือกทดแทนกากถั่วเหลืองบางส่วนในอาหารไก่ไข่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264318 <p>ปัจจุบันวัตถุดิบแหล่งโปรตีนอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสามารถใช้วัตถุดิบที่มีราคาถูกทดแทนโดยไม่กระทบต่อการให้ผลผลิตและคุณภาพของไข่ไก่อาจทำให้ผู้เลี้ยงไก่ไข่มีทางเลือกเพิ่มขึ้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาผลของแหล่งโปรตีนทางเลือกต่อการให้ผลผลิตและคุณภาพไข่ไก่ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ใช้ไก่ไข่สายพันธุ์ไฮไลน์บราวน์ (Hy-Line Brown) อายุ 23 สัปดาห์ จำนวน 120 ตัว แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 3 ซ้ำ ๆ ละ 10 ตัว สุ่มไก่ให้ได้รับอาหารทดลองที่มีแหล่งโปรตีนทางเลือกที่แตกต่างกันทดแทนกากถั่วเหลืองบางส่วนในสูตรอาหาร ได้แก่ กากถั่วเหลือง (กลุ่มควบคุม, T1) เศษปลาหมักกากมันสำปะหลัง (T2) ใบหม่อน (T3) และ ใบกระถิน (T4) ตามลำดับ ให้อาหารและน้ำดื่มอย่างเต็มที่ตลอดการทดลองเป็นระยะเวลา 60 วัน ผลการทดลองพบว่าแหล่งของโปรตีนมีผลต่อค่าปริมาณอาหารที่กินได้ การเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักไข่ 1 กิโลกรัม (FCR) ผลผลิตไข่ น้ำหนักไข่ น้ำหนักเปลือกไข่ และค่าคะแนนสีไข่แดงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) โดย T1 มีการกินอาหารสูงสุด (118.89 กรัม/ตัว/วัน) ในขณะที่ T4 มีการกินอาหารน้อยที่สุด (104.74 กรัม/ตัว/วัน) FCR มีค่าต่ำที่สุดใน T1 (2.97) และมีค่าสูงที่สุดใน T2 (3.57) ผลผลิตไข่สูงสุดพบใน T1 (70 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่ T2 มีการผลิตไข่น้อยที่สุด (53.36 เปอร์เซ็นต์) T1 และ T4 มีน้ำหนักไข่มากกว่า T2 และ T3 ส่วน T1 และ T3 มีน้ำหนักเปลือกไข่มากกว่า T4 และ T2 ในขณะที่ T4 มีสีของไข่แดงเข้มที่สุด (7.05 คะแนน) และ T1 มีสีไข่แดงอ่อนที่สุด (4.61 คะแนน) ส่วนความหนาเปลือกไข่ ค่าฮอกยูนิต น้ำหนักไข่แดง และน้ำหนักไข่ขาว มีผลไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P &gt; 0.05) สรุปได้ว่า แหล่งโปรตีนทางเลือกจากใบกระถิน (T4) สามารถนำมาใช้ทดแทนกากถั่วเหลืองบางส่วนในสูตรอาหารไก่ไข่ ซึ่งสามารถช่วยให้น้ำหนักไข่ดีขึ้นและช่วยเพิ่มสีของไข่แดงให้เข้มขึ้นได้ แต่อาจส่งผลต่อการกินอาหาร ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักไข่ และการให้ผลิตไข่</p> สุวิทย์ ทิพอุเทน ธราดล จิตจักร จักพรรดิ์ ประชาชิต ทาริกา ทิพอุเทน นิภาพร วงค์สีดา ธนวัฒน์ พรมแสง จีระศักดิ์ เสนานิคม บริพัตร เหลืองประมวล โกวิทย์ พัชรบุษราคัมกุล สายัณห์ สืบผาง ชัยพฤกษ์ หงษ์ลัดดาพร Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-10-24 2024-10-24 21 2 119 126 10.14456/paj.2024.44 การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแก้วมังกรตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในพื้นที่ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264110 <p>ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกแก้วมังกรมากเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัด ซึ่งบางปีประสบปัญหาแก้วมังกรล้นตลาดทำให้ราคาจำหน่ายลดลงเหลือเพียง 3-5 บาทต่อกิโลกรัม งานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากแก้วมังกรตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงพัฒนาที่ผสานวิธีทั้งวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายคือ สมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่แก้วมังกร ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย จำนวน 20 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก แบบทดลองประสาทสัมผัส และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และวิเคราะห์เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการดำเนินการวิจัยทำให้เกิดการยกระดับผลิตภัณฑ์จากแก้วมังกรตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กิมจิแก้วมังกร และขนมขาไก่แก้วมังกร โดยมีตราสินค้าว่า “ลองจิ (Longchi) ” ผลทดสอบตลาดกับผู้บริโภคทั่วไป พบว่า ได้รับความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัยจังหวัดเลย (LSF) และมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ทำให้เกิดการวางแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยการบันทึกข้อตกลงกับร้านค้าในพื้นที่จังหวัดเลย และกระตุ้นการรับรู้และการจำหน่ายผ่านการสื่อสารทางการตลาดดิจิทัล ทำให้กลุ่มวิสาหกิจเกษตรแปลงใหญ่แก้วมังกรสามารถมีรายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การบริหารจัดการกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> สุภาวดี สำราญ วรินทร์ธร โตพันธ์ ขวัญคณิศร์ อินทรตระกูล ณัฐฐิญา ทรัพย์ปุญญากุล Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-03 2024-11-03 21 2 10.14456/paj.2024.45 การปฏิบัติของเกษตรกรที่มีผลต่อปริมาณข้าวพันธุ์อื่นปนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว กข6 ในอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264437 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาการปฏิบัติของเกษตรกรที่มีผลต่อปริมาณข้าวพันธุ์อื่นปนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว กข6 กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว กข6 ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการข้าว ปี พ.ศ.2566 ในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน 92 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่ออธิบายข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจ ข้อมูลการจัดการการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกรผลการศึกษาพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 52.20 มีประสบการณ์ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ย 15 ปี เกษตรกรมีขนาดพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ย 12 ไร่ 2 งาน และการเก็บเกี่ยวใช้เครื่องเกี่ยวนวดข้าว ร้อยละ 97.80 ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการจัดการการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและปริมาณเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นปน ใช้การถดถอยพหุด้วยวิธีปกติ พบว่ามี 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การเตรียมดิน การดูแลตรวจตัดพันธุ์ปน การเก็บเกี่ยว และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวจากการศึกษาพบว่าปัจจัยดังกล่าวมาจากการที่เกษตรกรมีการทำนาเปลี่ยนสายพันธุ์ข้าวบ่อย จำนวนพื้นที่ในการผลิต เมล็ดพันธุ์มากและแรงงานครัวเรือนน้อย ส่งผลให้การตรวจตัดพันธุ์ปนในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ทันเวลา แนวทาง การแก้ไขคือ เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับจำนวนพื้นที่ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับแรงงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจตัดพันธุ์ปนในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพสูงสุด</p> พรจิต หินเธาว์ ไชยธีระ พันธุ์ภักดี Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-07 2024-11-07 21 2 136 143 10.14456/paj.2024.46 อิทธิพลของการจัดการปุ๋ยแบบผสมผสานต่อผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดเลย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264430 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอิทธิพลการใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานต่อผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ในพื้นที่อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย มี 2 กรรมวิธี คือ การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์-วัน และการใช้ปุ๋ยตามที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่เดิม โดยมี 10 พื้นที่ ทำการทดลอง 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2565 และ 2566 พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กรรมวิธีทดสอบสูงกว่ากรรมวิธีเกษตรกร และมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (p &lt; 0.01) คิดเป็นร้อยละ 17 โดยวิธีทดสอบทำให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 17 ทำให้มีผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และมีสัดส่วนผลตอบแทนต่อค่าใช้จ่ายการลงทุน (BCR) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับวิธีเกษตรกร นอกจากนี้ยังสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตได้ร้อยละ 11 ดังนั้น เทคโนโลยีการจัดการธาตุอาหารพืชนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเลยได้</p> กมลทิพย์ สังข์แก้ว ลาวัณย์ จันทร์อัมพร ปริยพัชร ทองมั่น สุพัตรา ชาวกงจักร Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-11 2024-11-11 21 2 144 152 10.14456/paj.2024.47 ผลการใช้เมล็ดหญ้าข้าวนกในอาหารต่อสมรรถภาพการผลิตของเป็ดเทศกบินทร์บุรี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264501 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เมล็ดหญ้าข้าวนกในสูตรอาหารต่อสมรรถภาพการผลิตของเป็ดเทศกบินทร์บุรี โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design; CRD) ประกอบด้วย 4 กลุ่มการทดลอง ได้แก่ อาหารผสมเมล็ดหญ้าข้าวนก 0, 5, 9 และ 13 เปอร์เซ็นต์ในสูตรอาหาร ใช้เป็ดเทศกบินทร์บุรีคละเพศ อายุ 6 สัปดาห์ จำนวน 132 ตัว แต่ละกลุ่มมี 3 ซ้ำ ๆ ละ 11 ตัว ระยะเวลาทำการทดลอง 42 วัน ผลการศึกษาพบว่าตลอดช่วงอายุ 6-12 สัปดาห์ เป็ดเทศกบินทร์บุรีที่ได้รับอาหารผสมเมล็ดหญ้าข้าวนกที่ระดับ 5, 9 และ 13 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโตต่อตัวต่อวัน อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนัก และต้นทุนค่าอาหารต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม ไม่แตกต่างกันทางสถิติกับกลุ่มควบคุม (P &gt; 0.05) อย่างไรก็ตามปริมาณอาหารที่กินของเป็ดเทศกบินทร์บุรีที่ได้รับอาหารผสมเมล็ดหญ้าข้าวนก 13 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหาร สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารผสมเมล็ดหญ้าข้าวนก 0, 5 และ 9 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) นอกจากนี้ยังพบว่าเป็ดเทศกบินทร์บุรีที่ได้รับอาหารผสมเมล็ดหญ้าข้าวนกทั้ง 3 สูตร มีแนวโน้มต้นทุนค่าอาหารต่อน้ำหนักที่เพิ่ม 1 กิโลกรัม ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (P &gt; 0.05) ดังนั้นจากการศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าสามารถใช้เมล็ดหญ้าข้าวนกได้ถึง 13 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารโดยไม่มีผลกระทบต่อน้ำหนักส่งตลาดของเป็ดเทศกบินทร์บุรี</p> ครวญ บัวคีรี กล้าหาญ สุวรรณคีรี สชากร สกุลวงศ์วิริยะ ณัฐวุฒิ เหมโคกน้อย ปิยะนันท์ นวลหนูปล้อง สันติ หมัดหมัน Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-12 2024-11-12 21 2 153 158 10.14456/paj.2024.48 การศึกษาและพัฒนาตู้อบแห้งทรงกระบอกแบบถาดหมุนโดยใช้อากาศร้อน เพื่อใช้ในกระบวนการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรประเภทอบแห้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264828 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาตู้อบแห้งทรงกระบอกแบบถาดหมุนโดยใช้อากาศร้อนสำหรับใช้ในกระบวนการอบแห้งผลผลิตทางการเกษตร การทดสอบได้ดำเนินการกับกล้วยน้ำว้าที่ผ่านการทอดและสลัดน้ำมัน เพื่อศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมในการอบ ได้แก่ อุณหภูมิการอบ 3 ระดับ (70, 80 และ 90°C และระยะเวลาในการอบ 4 ระดับ (5, 10, 15 และ 20 นาที) ผลการทดลองพบว่า อุณหภูมิและเวลามีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการลดความชื้นและการใช้พลังงาน โดยที่อุณหภูมิ 80°C เป็นเวลา 20 นาที สามารถลดความชื้นของกล้วยทอดจาก 5.05 % เหลือ 2.85 % ซึ่งได้สีของผลิตภัณฑ์หลังการอบตามที่ต้องการ โดยใช้พลังงาน 1.62 kWh ผลการวิจัยยังพบว่า อุณหภูมิสูงส่งผลให้การลดความชื้นเร็วขึ้น แต่ก็ใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับ ตู้อบลมร้อนทรงสี่เหลี่ยมทั่วไป ตู้อบทรงกระบอกแบบถาดหมุนที่พัฒนาขึ้นสามารถทำให้การไหลของอากาศร้อนสม่ำเสมอ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทความชื้นออกจากผลิตภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น การศึกษานี้จึงเสนอว่าตู้อบทรงกระบอกแบบถาดหมุนเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการอบแห้งผลผลิตทางการเกษตร และลดต้นทุนพลังงานในกระบวนการอบแห้ง โดยสามารถปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับการผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป</p> รักพงษ์ ขันธวิธิ สวาส อาจสาลี กันตพงษ์ แข้โส ปิยะพงษ์ สิงห์บัว Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-25 2024-11-25 21 2 159 167 10.14456/paj.2024.49 ผลของความเร็วรอบที่มีต่อการหลอมเศษยางพาราในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพด้วยกระบวนการไพโรไลซิสแบบเร็ว https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264539 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนากระบวนการไพโรไลซิสเศษยางพาราเหลือทิ้งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพด้วยการออกแบบกระบวนการหลอมเป็นของเหลว เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในกระบวนการผลิต โดยทำการออกแบบและสร้างเครื่องหลอมเศษยางพาราต้นแบบ พร้อมทดสอบปัจจัยที่เหมาะสมได้แก่ ความเร็วรอบใบกวนที่ 0, 22, และ 44 rpm มีปัจจัยควบคุมคือ อุณหภูมิการหลอมที่ 300°C มีค่าชี้ผลการทดสอบคือ อัตราการหลอมและพลังงานจำเพาะที่ใช้ในการหลอม ผลทดสอบพบว่า ความเร็วรอบใบกวนที่ 44 rpm ให้ประสิทธิภาพในการหลอมดีที่สุด โดยมีอัตราการหลอมอยู่ที่ 1.598 ± 0.045 kg/hr และพลังงานจำเพาะที่ใช้ในการหลอมเท่ากับ 1269.914 ± 17.510 Wh/kg คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการหลอม 5.59 ± 0.09 baht/kg โดยใช้เวลาในการหลอมเศษยางพาราเป็นของเหลวทั้งหมด 104 ± 5 min การศึกษาครั้งนี้พบว่าการหลอมเศษยางพาราเป็นของเหลวสามารถลดระยะเวลาในการเกิดปฏิกิริยาและเวลาที่ต้องใช้ในการให้ความร้อนของเตาปฏิกรณ์ไพโรไลซิส สามารถนำไปใช้ในการต่อยอดในกระบวนการผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยกระบวนการไพโรไลซิสแบบต่อเนื่อง เพื่อเป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพทางเลือก</p> อภิวิชญ์ หาญพิชาญชัย บรรยวัสถ์ สุขุนา กันตพงษ์ แข้โส ชัยยันต์ จันทร์ศิริ โชคชัย ซุยอุ้ย กฤษฎางค์ เสนาวงษ์ สมพร เกษแก้ว กิตติพงษ์ ลาลุน Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-26 2024-11-26 21 2 168 175 10.14456/paj.2024.50 การผลิตและการวิเคราะห์ต้นทุน ผลตอบแทนการเลี้ยงปลากะพงขาวในพื้นที่น้ำเค็ม เกลือสินเธาว์ กรณีศึกษา: ฟาร์มฮ้งปลากะพง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264386 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการเลี้ยงปลากะพงขาว (<em>Lates calcarifer</em>) ในพื้นที่น้ำเค็มเกลือสินเธาว์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากฟาร์มตัวอย่างของผู้ประกอบการในพื้นที่ ด้วยการใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth interview) จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเชิงปริมาณผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนการเลี้ยงปลากะพงขาวด้วยวิธีกึ่งธรรมชาติในบ่อดินร่วมกับปลานิลในอัตราส่วนปลากะพงขาวต่อปลานิล เท่ากับ 2 : 1 โดยปล่อยปลานิลขนาดน้ำหนัก 150 กรัม ก่อนเป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อให้ปลานิลออกลูกเป็นอาหารของปลากะพงขาว จากนั้นปล่อยปลากะพงขาวขนาด 2 นิ้ว จำนวน 1,000 ตัวต่อไร่ ให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปโปรตีน 40 % วันละ 1 ครั้ง ในปริมาณปลากินอิ่ม ใช้ระยะเวลาเลี้ยง 8-12 เดือน ได้ผลผลิตปลากะพงขาว 255 กิโลกรัมต่อไร่ ใช้ต้นทุนในการเลี้ยง รวมทั้งสิ้น 33,107.09 บาทต่อไร่ โดยแบ่งเป็นต้นทุนผันแปรเฉลี่ยทั้งหมด 27,216.88 บาทต่อไร่ คิดเป็น 82.21 % และมีต้นทุนคงที่ 5,890.21 บาทต่อไร่ คิดเป็น 17.79 % จำหน่ายผลผลิตปลากะพงขาวในราคา 200 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นรายได้ทั้งหมด 23,783.12 บาทต่อไร่ต่อรุ่น มีรายได้สุทธิ 17,892.91 บาทต่อไร่ต่อรุ่น และคิดเป็นกำไรสุทธิ 70.17 บาทต่อกิโลกรัม</p> ศิริภรณ์ โคตะมี กฤษฎากรณ์ ว่องไว Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-11-27 2024-11-27 21 2 176 186 10.14456/paj.2024.51 สถานการณ์ผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดกาฬสินธุ์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264455 <p>กุ้งก้ามกรามจัดเป็นกุ้งน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดพบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำตามธรรมชาติและบ่อเลี้ยงของเกษตรกร ในจังหวัดกาฬสินธุ์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 7 อำเภอ ดังนี้ ยางตลาด เมืองกาฬสินธุ์ ห้วยเม็ก หนองกุงศรี กมลาไสย คำม่วง และเขาวง โดยใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามจำนวน 430 ราย จากประชากรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม 1,141 ราย ผลการศึกษา พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 50.24 อายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 52.79 ทำอาชีพเลี้ยงกุ้งก้ามกรามมากกว่า 10 ปี มีพื้นที่การเลี้ยง 1–10 ไร่ต่อฟาร์ม เกษตรกรส่วนใหญ่นำลูกกุ้งก้ามกรามมาจากจังหวัดฉะเชิงเทรา ร้อยละ 61.39 จังหวัดสุพรรณบุรี คิดเป็นร้อยละ 24.41 และจังหวัดเพชรบุรี ร้อยละ 14.18 ในราคา 0.30 บาทต่อตัว ร้อยละ 96.97 เนื่องจากลูกกุ้งจากพื้นที่ดังกล่าวมีความแข็งแรงและอัตราการรอดตายสูง ส่วนการเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงแบบกึ่งพัฒนา ร้อยละ 57.67 อัตราปล่อย 10,000-20,000 ตัวต่อไร่ ร้อยละ 45.58 อาหารที่ใช้เลี้ยงภายในฟาร์มเป็นอาหารสำเร็จรูปทุกราย ร้อยละ 100 รับน้ำจากคลองชลประทาน ร้อยละ 72.79 ส่วนการตลาดหรือการจำหน่ายผลผลิตจะมีพ่อค้าคนกลางมารับชื้อที่ฟาร์มราคา 200-250 บาทต่อกิโลกรัม ขนาดของกุ้งก้ามกรามที่จับจำหน่าย 21-25 ตัวต่อกิโลกรัม ร้อยละ 55.34 ใช้ระยะเวลาเลี้ยงนาน 4–5 เดือนเกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหาในเรื่องการขาดแคลนน้ำ ร้อยละ 52.32 โดยเฉพาะฤดูแล้งหรือฤดูกาลปิดน้ำ มีผลทำให้เกษตรกรเกิดการขาดแคลนน้ำในการเลี้ยงหรือการเปลี่ยนถ่ายน้ำในการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม</p> ณัฐพล การอรุณ กีรวิชญ์ เพชรจุล อนุพงษ์ ทานกระโทก Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-02 2024-12-02 21 2 187 196 10.14456/paj.2024.52 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงเสริมสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/263832 <p>ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงมีส่วนผสมของเครื่องเทศรวมทั้งสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลายส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาผลิตภัณฑ์ผงน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงเสริมสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้งโดยการทำแห้งแบบโฟมแมท (2) ศึกษาผลของการเสริมสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้งต่อคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ จากการประเมินความชอบทางประสาทสัมผัสของน้ำก๋วยเตี๋ยวสูตรพื้นฐานด้วยวิธี 9-point Hedonic scale พบว่าสูตรพื้นฐาน SF3 มีคะแนนความชอบโดยรวมมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) นำสูตรพื้นฐาน SF3 มาพัฒนาเป็นผงโดยวิธีการทำแห้งแบบโฟมแมท พบว่าการใช้ไข่ขาวเป็นสารที่ทำให้เกิดโฟมปริมาณร้อยละ 6 โดยน้ำหนัก ใช้คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลสเป็นสารเพิ่มความคงตัวของโฟมปริมาณร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก และทำแห้งที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 480 นาที เป็นสภาวะที่เหมาะสมที่สุด (<em>p</em>&lt;0.05) จากการประเมินคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ จากนั้นศึกษาการประเมินทางประสาทสัมผัสของอัตราส่วนผสมที่เหมาะสมของสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้งต่อผลิตภัณฑ์ผงน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด พบว่าการเสริมสาหร่ายผักกาดทะเลแห้งที่ร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก มีคะแนนความชอบโดยรวมมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ผงน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงและสาหร่ายผักกาดทะเลแห้งมีปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดที่สกัดได้และมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีการวิเคราะห์ DPPH ABTS และ FRAP จากการตรวจสอบคุณภาพทางจุลินทรีย์ของผลิตภัณฑ์พบว่าอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนผงปรุงรสอาหาร มผช.494/2547 ดังนั้นผลิตภัณฑ์ผงน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงที่มีการทำแห้งแบบโฟมแมทเสริมสาหร่ายผักกาดทะเลอบแห้ง มีคุณสมบัติทางประสาทสัมผัสที่ดี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีความปลอดภัยทางจุลินทรีย์ จึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาในอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ต่อไป</p> มารศรี จันสี โสมรัศมิ์ กล่ำกล่อมจิตร์ กรวิทย์ สักแกแก้ว นันธิดา แดงขาว Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-04 2024-12-04 21 2 197 208 10.14456/paj.2024.53 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวชนิดแท่งจากกล้วยเล็บมือนางอบแห้ง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264603 <p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากกล้วยเล็บมือนางอบแห้ง ศึกษาคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ สูตรที่เหมาะสมของขนมขบเคี้ยวชนิดแท่งจากกล้วยเล็บมือนาง ได้แก่ กล้วยเล็บมือนางอบแห้งร้อยละ 35 ข้าวพองร้อยละ 23 เนยถั่วร้อยละ 20.50 เมล็ดฟักทองร้อยละ 7 เม็ดมะม่วงหิมพานต์ร้อยละ 7 น้ำผึ้งร้อยละ 3.40 กลิ่นวนิลาร้อยละ 3 งาดำร้อยละ 0.50 งาขาวร้อยละ 0.50 และแซนแทนร้อยละ 0.10 จากการทดลอง พบว่า ปริมาณกล้วยเล็บมือนางอบแห้งมีผลต่อคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ ด้านสีและความแข็งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) คุณลักษณะทางด้านประสาทสัมผัส ด้านลักษณะปรากฏ กลิ่นรส รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมของผลิตภัณฑ์ การทดสอบความชอบด้วยการให้คะแนนความชอบ 9 ระดับ (9-point hedonic scale) จากผู้ทดสอบชิมจำนวน 50 คน พบว่า ทุกคุณลักษณะมีคะแนนชอบปานกลางถึงชอบมาก (7-8) การหาปริมาณจุลินทรีย์ในการเก็บรักษาเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 30°C) โดยใช้บรรจุภัณฑ์สองชนิด ได้แก่ ถุงพลาสติกใสชนิด (OPP) และถุงอลูมิเนียมฟอยล์ ไม่พบ ยีสต์และรา จุลินทรีย์ทั้งหมด &lt; 25 CFU/กรัม จากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้มีวิตามินบี 1 สูง (ร้อยละ 44 ของ Thai RDI) และใยอาหารสูง (ร้อยละ 36 ของ Thai RDI)</p> อุราภรณ์ เรืองวัชรินทร์ พราวตา จันทโร จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-09 2024-12-09 21 2 209 217 10.14456/paj.2024.54 การพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดไข่มุกจากผลไม้โดยวิธีการพื้นที่ตอบสนอง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264816 <p>งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเม็ดไข่มุกจากผลไม้โดยการแปรผันปริมาณแป้งเท้ายายม่อมแทนการใช้แป้งมันสำปะหลังในอัตราส่วนร้อยละ 0-20 เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของผลไม้ในการพัฒนาสูตรเม็ดไข่มุกโดยใช้การทดลองแบบผสมที่กำหนดปัจจัยแบบไม่กำหนดช่วง ปัจจัยที่ศึกษา ได้แก่ สับปะรด (ร้อยละ 0-100) กล้วยน้ำว้า (ร้อยละ 0-100) และฝรั่ง (ร้อยละ 0-100) รวมน้ำหนักทั้ง 3 ส่วน คิดเป็นร้อยละ 10 ของสูตรที่เติมลงในส่วนผสมของเม็ดไข่มุกและศึกษาคุณภาพผลิตภัณฑ์สุดท้าย ผลการศึกษาพบว่าการแปรผันปริมาณแป้งมันสำปะหลังและแป้งเท้ายายม่อมมีผลต่อคุณลักษณะค่าความแข็งและความยืดหยุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) การใช้แป้งเท้ายายม่อมอัตราร้อยละ 15 เพื่อทดแทนแป้งมันสำปะหลังในสูตรส่งผลทำให้ค่าความแข็ง ความยืดหยุ่น ค่าสี L* a* และ b* สูงสุดเท่ากับ 22.22 g ร้อยละ 64.85 23.0 2.08 และ 7.63 ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์พื้นที่ตอบสนองแสดงให้เห็นว่าค่าสัมประสิทธิ์ของการตัดสินใจของค่าความแข็ง ค่าความยืดหยุ่น ค่าสี L* a* และ b* เท่ากับ 0.9859 0.9991 0.9980 0.7226 และ 0.9749 ตามลำดับ สูตรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาเม็ดไข่มุกจากผลไม้ คือ สับปะรดร้อยละ 19.50 กล้วยน้ำว้าร้อยละ 29.57 และฝรั่งร้อยละ 50.93 ในด้านคุณค่าทางโภชนาการของเม็ดไข่มุกผลไม้ 100 กรัม พบว่ามีพลังงานทั้งหมด 149.76 กิโลแคลอรี โปรตีนร้อยละ 3.27 ไขมันร้อยละ 1.11 เส้นใยร้อยละ 3.60 และคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 30.99 คุณภาพทางจุลินทรีย์พบว่ามีปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ปริมาณยีสต์และรา น้อยกว่า 10<sup>3</sup> CFU/g และ 10 CFU/g ตามลำดับ อย่างไรก็ตามตรวจไม่พบ <em>E.coli</em> ในผลิตภัณฑ์</p> นันทา เป็งเนตร์ วิภา ประพินอักษร Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-12 2024-12-12 21 2 218 227 10.14456/paj.2024.55 การวิเคราะห์คุณลักษณะของบัตรเซนเซอร์ตรวจวัดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักผลไม้ที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้งานในกรุงเทพมหานคร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264806 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลและศึกษาวิเคราะห์คุณลักษณะของบัตรเซนเซอร์ตรวจวัดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักผลไม้ของผู้ใช้งานในกรุงเทพมหานคร โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคผักผลไม้ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ผลการศึกษาพบว่า ส่วนมากเป็นเพศหญิง ร้อยละ 59.50 มีอายุเฉลี่ย 27.45 ระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 84.30 ส่วนใหญ่ซื้อผักและผลไม้จากตลาดสด/ตลาดนัด ร้อยละ 88.90 มีค่าใช้จ่ายในการซื้อผักและผลไม้ ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 1,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 82.80 และต้องการให้ชุดตรวจฯ ราคาน้อยกว่า 800 บาท ร้อยละ 77.80 เป็นแบบพกพา ร้อยละ 89 สามารถใช้ซ้ำได้ ร้อยละ 69 อีกทั้งส่วนใหญ่ต้องการให้ชุดตรวจฯ สามารถตรวจผักคะน้า ร้อยละ 82.90 และตรวจส้ม ร้อยละ 70.10 ในส่วนของด้านการวิเคราะห์คุณลักษณะของบัตรเซนเซอร์ตรวจวัดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างโดยใช้แบบจําลองของคาโน 27 คุณลักษณะ พบว่า กลุ่ม I (Indifferent) คือ กลุ่มที่ไม่แตกต่างในความรู้สึกของผู้ใช้ มีทั้งหมด 18 คุณลักษณะ และกลุ่ม A (attractive) คือ หน้าที่ดึงดูดผู้ใช้งาน มีทั้งหมด 9 คุณลักษณะ แสดงว่า ผู้ใช้งานให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของบัตรเซนเซอร์ ซึ่งบัตรเซนเซอร์ควรมีเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน คือ เรื่องการใช้สี รูปภาพ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ประกอบในแต่ละขั้นตอน สามารถการปรับขนาดเพิ่มลดตัวอักษรให้ชัดเจนขึ้นการแยกสีน้ำยาทดสอบและหลอดดูดน้ำยาทดสอบให้มีสีที่แตกต่างกันในแต่ละชนิดให้ชัดเจน และสำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้ร่วมกับบัตรเซนเซอร์จะต้องติดตั้งง่าย มีขั้นตอนในการเข้าแอปพลิเคชันน้อย และมีการแสดงค่าความเข้มข้นของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตรวจพบอย่างชัดเจน</p> ณรงค์ชัย ใจอารีย์ สุภาภรณ์ เลิศศิริ ชัญชณา ธนชยานนท์ ชลาธร จูเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 21 2 228 238 10.14456/paj.2024.56 อิทธิพลของปุ๋ยฟอสฟอรัสต่อผลผลิตและปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่และทับทิมชุมแพ (กข 69) https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264819 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสต่อผลผลิตและปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ ในเมล็ดข้าวสองพันธุ์คือพันธุ์ไรซ์เบอรี่และพันธุ์ทับทิมชุมแพ (กข 69) ปลูกข้าวทั้งสองพันธุ์ในกระถางบรรจุหน้าดินจากกลุ่มชุดดินที่ 22 ให้ปุ๋ยฟอสฟอรัสในรูปซุปเปอร์ฟอสเฟตในอัตราที่แตกต่างกัน 5 ระดับคือ 0, 0.50, 1, 1.50 และ 2 กรัม/กระถาง ประเมินผลผลิตและปริมาณฟีนอลรวมและฤทธิ์ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดข้าวกล้องด้วยการวัดค่า DPPH activity เปรียบเทียบในข้าวแต่ละพันธุ์และอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัส พบว่าการเพิ่มอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสจาก 0 ถึง 2 กรัม/กระถาง ทำให้ผลผลิตข้าวทั้งสองพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอัตราปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น แต่พบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นที่แตกต่างกันระหว่างข้าวทั้งสองพันธุ์ ขณะที่พบว่าปริมาณสารฟีนอลรวมและฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดข้าวกล้องทั้งสองพันธุ์มีค่าสูงที่สุดเมื่อใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในอัตรา 0.50 กรัม/กระถาง การเพิ่มอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสให้สูงขึ้นส่งผลให้ปริมาณฟีนอลรวม และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดลดลงตามลำดับ การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสในการปลูกข้าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณสารฟีนอลรวมและฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดข้าว โดยการใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในอัตรา 0.50 กรัม/กระถาง หรือเทียบเท่ากับอัตราการใส่ปุ๋ยที่ 9.75 กิโลกรัมต่อไร่ ในกลุ่มชุดดินที่ 22 ทำให้เมล็ดข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่และพันธุ์ทับทิมชุมแพ (กข 69) มีปริมาณสารฟีนอลรวมและฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด</p> เมษนฤทธิ์ โยธสิงห์ คคนางค์ รัตนานิคม ชนากานต์ เทโบลต์ พรมอุทัย อยุธย์ คงปั้น Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-26 2024-12-26 21 2 239 249 10.14456/paj.2024.57 การศึกษาคุณลักษณะของเกษตรกรต้นแบบในจังหวัดนราธิวาส https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pajrmu/article/view/264655 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลและกิจกรรมการผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรต้นแบบ (2) วิเคราะห์คุณลักษณะที่สำคัญของเกษตรกรต้นแบบจังหวัดนราธิวาส เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากเกษตรกรต้นแบบที่มีอายุระหว่าง 25-60 ปี มีประสบการณ์ทำการเกษตรมากกว่า 5 ปี และเคยได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่น จำนวน 20 ราย ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเป็นเครื่องมือร่วมกับการสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรต้นแบบส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 50.60 ปี จบการศึกษาสูงกว่าภาคบังคับมีพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรเฉลี่ย 23.90 ไร่ มีประสบการณ์ทำเกษตรมากกว่า 20 ปี ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร มีรายได้จากภาคการเกษตรเฉลี่ย 540,792 บาทต่อปี ทุกคนทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรผสมผสาน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี และเกือบทั้งหมดมีใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ปัญหาสำคัญในการทำเกษตรคือโรคและแมลงศัตรูพืช คุณลักษณะสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเกษตรกรต้นแบบ ประกอบด้วย (1) การรู้จักตัวเอง (2) การบริหารจัดการ (3) ความคิดสร้างสรรค์และการมีนวัตกรรม (4) ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (5) ทักษะการประสานงานและการสร้างเครือข่าย (6) ทักษะการถ่ายทอดความรู้ (7) ความกล้าเสี่ยง (8) ความอดทน (9) การมีจิตสาธารณะ (10) ความใฝ่รู้ตลอดเวลา และ (11) ความภาคภูมิใจในอาชีพ โดยสามารถนำคุณลักษณะเหล่านี้ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเกษตรกรรายอื่น ๆ การปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการเกษตร และการออกแบบหลักสูตรฝึกอบรมที่ตรงกับความต้องการของเกษตรกร</p> ประจักษ์ เทพคุณ อภิญญา รัตนไชย Copyright (c) 2024 วารสารเกษตรพระวรุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-12-26 2024-12-26 21 2 250 261 10.14456/paj.2024.58