https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2025-10-10T13:05:09+07:00 ศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ศักดิ์ รัตนชัยกุลโสภณ ubuscij@ubu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</strong></p> <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นวารสารวิชาการที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย (Research articles) และบทความวิชาการ (Review articles) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ เกษตรศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดย</strong><strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน 2 หรือ 3 คน (ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) โดยประเมินแบบ </strong><strong>Double-blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ [ISSN: 3057-1472 (Online)] ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม)</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/264543 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในจังหวัดชลบุรี 2024-09-10T09:40:51+07:00 ภัทรชุภา ห้วยจันทร์ saowaphar340106@gmail.com ชนัญญา จิระพรกุล chananya@kku.ac.th ยุพรัตน์ หลิมมงคล yupali@kku.ac.th <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิต ปัจจัยงาน และปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงาน กับคุณภาพชีวิตของพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในจังหวัดชลบุรี โดยศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 955 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษานี้ มีดังนี้ แบบสอบถามสำหรับเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลภาวะด้านสุขภาพ รวมทั้งข้อมูลลักษณะงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน แบบประเมินความรู้สึกจากภาระงานและความเครียดจากการทำงานใช้ Subjective workload index แบบประเมินความผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อใช้ Standard Nordic Questionnaire แบบประเมินคุณภาพชีวิตใช้เกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก แบบประเมินโรคซึมเศร้า และแบบประเมินความเครียดใช้แบบประเมินของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ กับคุณภาพชีวิตใช้วิธีตัวแบบผสมเชิงเส้นวางนัยทั่วไป ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.05) คือ ระดับความเครียด (adjusted OR = 1.73, 95%CI = 1.09-2.73) การรับรู้ภาระงาน (adjusted OR = 1.70, 95%CI = 1.18-2.44) ระดับซึมเศร้า (adjusted OR = 6.83, 95%CI = 2.01-23.21) และประสบการณ์การทำงาน (adjusted OR = 1.49, 95%CI = 1.04-2.15) ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรสำหรับการบริหารจัดการปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตเพื่อให้คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้น</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/264606 ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในพิกัดตรีสาร 2024-09-17T15:06:00+07:00 กัณฐิกา เส้นเศษ kunging.107@gmail.com นัยนา พลพิทักษ์ ttm.sriwilai@gmail.com รัชฎาวรรณ อรรคนิมาตย์ ratchadawan.jb@gmail.com ปราณี ศรีราช srirajp11@gmail.com <p>พิกัดตรีสารเป็นตำรับสมุนไพรที่ประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง รากช้าพลู และเถาสะค้าน นิยมใช้เป็นยาปรับธาตุในฤดูหนาว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในพิกัดตรีสาร การเตรียมสารสกัดพิกัดตรีสาร และสารสกัดสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบของพิกัดตรีสารทำโดยการใช้ 95% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดใช้วิธี DPPH assay, ABTS assay และ FRAP assay การวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด และปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดของสารสกัดใช้เทคนิค Folin-Ciocalteu method และ Aluminium chloride colorimetric assay ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบใช้การประเมินความสามารถของสารสกัดในการยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ของเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นการอักเสบด้วยลิโปโพลีแซคคาไรด์ ผลการศึกษา พบว่า สารสกัดรากเจตมูลเพลิงแดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยวิธี DPPH assay และวิธี ABTS assay มีค่า IC<sub>50 </sub>เท่ากับ 24.02 ± 1.72 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และ 50.58 ± 5.59 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ และโดยวิธี FRAP มีค่า FRAP value เท่ากับ 568.43 ± 21.62 มิลลิโมลาร์สมมูลของเฟอร์รัสซัลเฟตต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดรากเจตมูลเพลิงแดงมีปริมาณ ฟีนอลิกทั้งหมด และปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดมากที่สุด โดยมีค่าเท่ากับ 586.72 ± 17.14 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัม และ 109.35 ± 4.54 มิลลิกรัมสมมูลของเควอซิทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ สำหรับการศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบ พบว่า สารสกัดรากเจตมูลเพลิงแดงมีฤทธิ์ในการยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ได้ดีที่สุด โดยมีค่า IC<sub>50 </sub>เท่ากับ 35.78 ± 1.58 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดรากเจตมูลเพลิงแดงเป็นสารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ดีที่อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/264629 ผลของความร้อนต่อคุณภาพทางเคมีกายภาพ ปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผำ และการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 2024-09-11T14:49:16+07:00 จิตรา สิงห์ทอง jittra.w@ubu.ac.th ภูริวัจน์ ตุ้ยแม้น phuriwat.t@ubu.ac.th วรัญญา วะชุม waranya.w@ubu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของอุณหภูมิในการทำแห้งต่อคุณภาพทางเคมีกายภาพ ปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผำ จากผลการวิจัยพบว่าการทำแห้งผำที่อุณหภูมิ 40, 50 และ 60 องศาเซลเซียส ไม่ส่งผลต่อองค์ประกอบทางเคมีโดยประมาณของผำ (<em>p</em>&gt;0.05) โดยผำมีปริมาณโปรตีน ไขมัน เยื่อใย เถ้าและคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 20.36-20.35, 2.85-2.93, 9.79-9.84, 13.45-13.69 และ 30.97-31.40 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิที่ใช้ในการทำแห้งผำส่งผลต่อปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>≤0.05) โดยการทำแห้งผำที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส มีปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพสูงที่สุด โดยมีปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมด 3.35 มิลลิกรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ปริมาณฟลาโวนอยด์ 19.084 มิลลิกรัมสมมูลของเควอซิตินต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ปริมาณฟีนอลิก 20.62 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมน้ำหนักแห้ง รวมทั้งมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งวิเคราะห์โดยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP มีค่าเท่ากับ 15.69, 0.51 และ 6.51 มิลลิกรัมสมมูลของโทรลอกซ์ต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ ส่วนคุณภาพทางด้านกายภาพพบว่าผำที่ทำแห้งที่อุณหภูมิแตกต่างกัน ส่งผลให้ค่าความสว่าง (L*) มีแนวโน้มลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น โดยพบว่าที่อุณหภูมิ 50 และ 60 องศาเซลเซียส มีค่าความสว่าง (L*) ไม่แตกต่างกันทางสถิติเช่นเดียวกับค่าความเป็นสีเหลือง (b*) จากนั้นได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากข้าวหอมมะลิเสริมผำ โดยการเติมผำที่ผ่านการทำแห้งที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสลงไปในผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ร้อยละ 0, 2.5, 5, 7.5 และ 10 จากการศึกษาคุณภาพทางด้านเคมีของขนมขบเคี้ยว พบว่ามีปริมาณโปรตีน เถ้า และเยื่อใย ของขนมขบเคี้ยวเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการเติมผำปริมาณเพิ่มมากขึ้น</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/264852 การสำรวจเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศของห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2024-10-17T15:02:18+07:00 ศศิธร หล่อเรืองศิลป์ Sasithorn.l@ubu.ac.th นิภาพร คำหลอม nipaporn.k@ubu.ac.th ชัญญากานต์ โกกะพันธ์ Chanyakarn.k@ubu.ac.th ยุภารัตน์ เครือวงษา Yuparat.k@ubu.ac.th ปทุมทิพย์ ผลโยญ Patoomthip.p@ubu.ac.th สิริวรัญญา ศรีษาคำกุลวัฒน์ Siriwaranya.s@ubu.ac.th กัลยา หาญพิชาญชัย kallaya.h@msu.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจชนิดของเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศของห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 5 ห้อง และเปรียบเทียบความเข้มข้นของจุลินทรีย์ก่อนและหลังการเรียน การตรวจวัดความเข้มข้นของเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศใช้เครื่อง Single Stage Impactor โดยอ้างอิงวิธีการตรวจวัดจาก NIOSH Manual of Analytical Methods 0800: Bioaerosols Sampling และการระบุชนดของเชื้อรา และแบคทีเรียทำโดยการวิเคราะห์ลำดับนิวคลีโอไทด์บริเวณ internal transcribed spacer (ITS) ของเชื้อรา และบริเวณ 16S rDNA ของแบคทีเรีย ตามลำดับ ผลการศึกษา พบว่า ความเข้นข้นของจุลินทรีย์ในอากาศของห้องปฏิบัติการทุกห้องมีปริมาณไม่เกินค่าเฝ้าระวังตามประกาศกรมอนามัย เรื่อง ค่าเฝ้าระวังคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะ พ.ศ. 2565 ผลการสำรวจและการระบุชนิดเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศของห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาทั้งหมด พบว่า เชื้อราที่พบได้บ่อยที่สุด คือ เชื้อราในจีนัส <em>Cladosporium </em>ซึ่งได้แก่ <em>Cladosporium tenuissimum</em>, <em>Cladosporium </em>sp. และ <em>Cladosporium colombiae</em> รวมถึง <em>Aspergillus</em> sp<em>. </em>และ<em> Trichoderma </em>sp. ส่วนแบคทีเรียที่พบได้บ่อยที่สุด คือ <em>Bacillus megaterium</em>, <em>Paenibacillus illinoisensis</em> และ<em> Curtobacterium luteum</em></p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/265020 การแยกและตรวจวิเคราะห์มิทราไจนีนจากใบกระท่อมด้วยวิธีโครมาโทกราฟี 2024-10-21T14:34:13+07:00 พิชาพัชร์ ฐิติธนอภิพงษ์ pichapat.th@rmuti.ac.th อรภา สกุลพาณิชย์ aurapa_s@tu.ac.th อ้อมบุญ วัลลิสุต omboon.v@gmail.com <p>มิทราไจนีนเป็นอัลคาลอยด์ออกฤทธิ์หลักในใบกระท่อม ในอดีตประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์จากใบกระท่อมอย่างมากมายโดยประชาชน หมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนไทย ต่อมากระท่อมถูกจัดเป็นยาเสพติดทำให้การพัฒนาและการใช้ประโยชน์ชะงักไป อย่างไรก็ตามกระท่อมถูกถอดออกจากรายชื่อยาเสพติดควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดในปี 2564 ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากกระท่อมมากขึ้น ในปัจจุบันในกระบวนการตรวจสอบคุณภาพของใบกระท่อมและผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมให้มีมาตรฐานเป็นสากล จำเป็นต้องใช้มิทราไจนีนเป็นสารมาตรฐาน ซึ่งมีราคาแพงและยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการแยกมิทราไจนีนจากใบกระท่อมเพื่อทดแทนการนำเข้ามิทราไจนีนจากต่างประเทศ สารสกัดจากใบกระท่อมเตรียมโดยนำใบกระท่อมบดละเอียดมาสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 40 จากนั้นนำสารสกัดดังกล่าวมาแยกมิทราไจนีนด้วยคอลัมน์โครมาโทกราฟี โดยใช้ซิลิกาเจล (เกรด 9385) เป็นเฟสคงที่ และใช้คลอโรฟอร์ม และเมทานอล (ที่มี 0.1 นอร์มอล โซเดียมไฮดรอกไซด์) ในอัตราส่วน 95:5 เป็นเฟสเคลื่อนที่ ตรวจสอบมิทราไจนีนในสารชะล้างที่ออกจากคอลัมน์ด้วยวเทคนิครงคเลขผิวบาง เพื่อรวมส่วนที่มีมิทราไจนีนเป็นหลักเข้าด้วยกัน แล้วทำมิทราไจนีนให้บริสุทธิ์ขึ้นด้วยการทำให้อยู่ในรูปของมิทราไจนีนพิกเครต จากการใช้เทคนิครงคเลขผิวบางสมรรถนะสูง (HPTLC) พบว่ามิทราไจนีนที่แยกได้มีค่า R<sub>f </sub>ตรงกับค่า R<sub>f</sub> ของมิทราไจนีนมาตรฐาน นอกจากนี้ในการศึกษานี้ยังมีการพิสูจน์เอกลักษณ์ของมิทราไจนีนพิกเครตด้วยเทคนิค <sup>1</sup>H-NMR spectroscopy, Fourier-transform infrared spectroscopy (FITR) และ MALDI-TOF mass spectrometry ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้เป็นข้อมูลเอกลักษณ์ทางกายภาพของสารมิทราไจนีนพิกเครตที่ยังไม่เคยมีรายงานมาก่อน</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/265116 การพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าจากเปลือกส้มโอซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งในชุมชนวังขนาย 2024-10-28T13:33:25+07:00 พันธ์ทิพย์ เลิศบุรุษ lerdburoos@kru.ac.th นันทวัน หัตถมาศ nanthawan.aor04@kru.ac.th ลลิดา ฉายาวัฒน์ Pangpun9@gmail.com <p>ชุมชนวังขนาย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี มีบ่อน้ำพุร้อนสำหรับบำบัดสุขภาพเท้า และมีเปลือกส้มโอเป็นวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรจำนวนมาก ดังนั้นงานวิจัยนี้ ซึ่งเป็นการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการ จึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาตำรับสมุนไพรแช่เท้าจากเปลือกส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ โดยนำเปลือกส้มโอ ไพลแก่ ใบบัวบก และใบมะขาม ไปตากแห้งและบดให้ละเอียด ส่วนผสมดังกล่าวมีค่าความชื้นร้อยละ 4.68, 6.32, 4.13 และ 4.02 ตามลำดับ จากนั้นศึกษาปริมาณสมุนไพรแต่ละชนิดที่เหมาะสมต่อ 1 หน่วยบรรจุ (14 กรัม) โดยพิจารณาจากคะแนนความพึงพอใจโดยรวม สูตรที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจโดยรวมสูงที่สุด ประกอบด้วย เปลือกส้มโอแห้ง ไพลแห้ง ใบบัวบกแห้ง ใบมะขามแห้ง สารส้ม และดอกเกลือ น้ำหนัก 4.5, 3, 1.5, 3, 1 และ 1 กรัม ตามลำดับ ทั้งหมดถูกผสมรวมกัน และบรรจุในถุงกรองชา (บรรจุภัณฑ์ชั้นใน) และถุงซิป (บรรจุภัณฑ์ชั้นนอก) ตามลำดับ มีต้นทุนการผลิต 9.64 บาทต่อซอง จากการนำผลิตภัณฑ์ไปทดสอบอายุการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (28-30 องศาเซลเซียส) นาน 1 เดือน พบว่าคุณภาพของสมุนไพรแช่เท้าผ่านเกณฑ์ของมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เลขที่ 666/2553 คือ บรรจุภัณฑ์สมบูรณ์ กลิ่นและสีปกติ ไม่จับก้อน ไม่พบเส้นใยเชื้อรา มีความชื้นร้อยละ 7.14 มีปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด 1.92 cfu/100 กรัม และปริมาณยีสต์และรา 2.23 cfu/100 กรัม ผลิตภัณฑ์นี้สามารถลดปริมาณวัสดุเหลือทิ้งเปลือกส้มโอสดได้ถึง 1,108.37 กรัมต่อการผลิต 100 ซอง</p> <p> </p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/265478 อิทธิพลของอุณหภูมิและเวลาต่อการอบฆ่าเชื้อแบคทีเรียแผงไข่สำหรับเลี้ยงจิ้งหรีดด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตร่วมกับลมร้อน 2024-12-20T09:26:17+07:00 วารี ศรีสอน waree.sr@rmuti.ac.th สาวิตรี ประภาการ sawitree.pa@rmuti.ac.th ขนิษฐา ชัยบรรดิษฐ khanittha.ca@rmuti.ac.th พีรณัฐ อันสุรีย์ peeranat.an@rmuti.ac.th ทยาวีร์ หนูบุญ thayawee@rmuti.ac.th ณัฐพงษ์ ประภาการ natthapong.pr@rmuti.ac.th พลเทพ เวงสูงเนิน ponthep.ve@rmuti.ac.th จิระวัลย์ โคตรศักดี jiravan.kh@rmuti.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของอุณหภูมิและเวลาต่อการอบฆ่าเชื้อแบคทีเรียแผงไข่ที่ใช้สำหรับเลี้ยงจิ้งหรีดด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) ร่วมกับลมร้อน โดยทำการทดสอบอบแผงไข่ที่อุณหภูมิ 3 ระดับ ได้แก่ 40 50 และ 60 องศาเซลเซียส ที่เวลาในการอบ 12 ระดับ ได้แก่ 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 และ 60 นาที จากการทดลอง พบว่า เมื่ออุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการอบแผงไข่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ความสามารถในการทำงานของตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวีและลมร้อนมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้าของตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวีและลมร้อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสมต่อการฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนแผงไข่ คือ 60 องศาเซลเซียส และ 5 นาที ตามลำดับ ด้วยการใช้อุณหภูมิและเวลาดังกล่าว ตู้อบฆ่าเชื้อด้วยยูวีและลมร้อนสามารถฆ่า <em>Escherichia coli</em> และ coliform bacteria ที่ปนเปื้อนบนแผงไข่ได้ โดยมีความสามารถในการทำงาน 100 แผงต่อชั่วโมง และมีการใช้พลังงานไฟฟ้า 0.45 กิโลวัตต์ชั่วโมง</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/266158 การปรับปรุงตัวประมาณค่าเฉลี่ยประชากรด้วยข้อมูลลำดับภายใต้การเลือกตัวอย่างสองครั้ง 2025-02-14T13:26:59+07:00 คณิศา โชติจันทึก kanisa.c@ubu.ac.th สรรค์ชัย ชิวขุนทด sanchai.ch.64@ubu.ac.th ณหทัย สระกบแก้ว nahathai.sa@crma.ac.th <p>งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาตัวประมาณค่าเฉลี่ยประชากรโดยใช้ลำดับของตัวแปรเสริมภายใต้การเลือกตัวอย่างสองครั้ง โดยศึกษาคุณสมบัติบางประการของตัวประมาณ ได้แก่ ความเอนเอียง (Bias: B) และความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (Mean square error: MSE) และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตัวประมาณที่นำเสนอกับตัวประมาณเดิม คือ วิธีค่าเฉลี่ย และวิธีอัตราส่วน การวิเคราะห์เชิงประจักษ์ใช้ข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในเขตกรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนมกราคม 2562 ได้ทำการสุ่มตัวอย่างทำซ้ำ 10,000 รอบ พบว่า ตัวประมาณที่นำเสนอมีประสิทธิภาพสูงกว่าตัวประมาณเดิม โดยมีค่า MSE ต่ำที่สุดในทุกสถานการณ์ที่ทำการศึกษา และมีแนวโน้มลดลงเมื่อขนาดตัวอย่างเพิ่มขึ้น จึงสรุปได้ว่า การใช้ลำดับของตัวแปรเสริมสามารถลดค่า MSE ได้ ทำให้ตัวประมาณมีความแม่นยำมากขึ้น</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/266294 การใช้ประโยชน์ของซีโอไลต์ เอ จากเถ้าลอยเป็นตัวดูดซับประสิทธิภาพสูง สำหรับการกำจัดสีย้อมประจุบวกจากสารละลายน้ำ 2025-02-25T11:37:42+07:00 ดรุณี สุขชิต darunee.su.59@ubu.ac.th บงกชวรรณ พาคำวงค์ bongkochawan.pa.60@ubu.ac.th สายสมร ลำลอง saisamorn.l@ubu.ac.th มาลี ประจวบสุข malee.p@ubu.ac.th ชาญ อินทร์แต้ม chan.i@ubu.ac.th อรดี พันธ์กว้าง auradee.punkvang@npu.ac.th บรรเจิด จงสมจิตร bunjerd.j@chula.ac.th กนิษฐา วงศ์ใหญ่ kanitta.w@egat.co.th นิรมล จันทรชาติ niramol@tsu.ac.th ศศิจุฑา วัฒนราช sasijuta.wat@mtec.or.th ปาจรีย์ ถาวรนิติ parjaret@mtec.or.th พรพรรณ พึ่งโพธิ์ pornpan.p@ubu.ac.th <p>ในงานวิจัยนี้ได้สังเคราะห์ซีโอไลต์ เอ โดยใช้ซิลิกาจากการสกัดเถ้าลอยจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และมีการพิสูจน์เอกลักษณ์ซีโอไลต์ เอ ที่สังเคราะห์ด้วยเทคนิค XRF, XRD, SEM และ BET จากนั้นนำซีโอไลต์ เอ ไปใช้ในการกำจัดสีย้อมประจุบวก คือ สีย้อมมาลาไคต์ กรีน และสีย้อมบริลเลียนต์ กรีน ในสารละลายน้ำ ศึกษาปริมาณตัวดูดซับและเวลาที่เหมาะสมในการดูดซับ รวมถึงศึกษาไอโซเทอร์ม จลนพลศาสตร์ และอุณหพลศาสตร์ของกระบวนการดูดซับ จากการศึกษาพบว่าปริมาณตัวดูดซับที่เหมาะสมในการดูดซับสีย้อมมาลาไคต์ กรีน และสีย้อมบริลเลียนต์ กรีน คือ 10 และ 20 กรัมต่อลิตร ตามลำดับ เวลาที่เหมาะสมในการดูดซับสีย้อมมาลาไคต์ กรีน และสีย้อมบริลเลียนต์ กรีน คือ 60 นาที ประสิทธิภาพในการดูดซับสีย้อมคือ 96.00% และ 95.91% ตามลำดับ ที่ความเข้มข้นสีย้อมเริ่มต้น 100 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ การศึกษาไอโซเทอร์มของการดูดซับสอดคล้องกับแลงเมียร์ไอโซเทอร์ม การศึกษาจลนพลศาสตร์การดูดซับสอดคล้องกับปฏิกิริยาอันดับสองเสมือน แสดงให้เห็นว่าเป็นการดูดซับที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวที่จำเพาะ และการศึกษาอุณหพลศาสตร์ของการดูดซับ พบว่าการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีของการดูดซับ (∆<em>H</em>°) มีค่าเป็นบวก แสดงว่าการดูดซับนี้เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปีของการดูดซับ (∆<em>S</em>°) มีค่าเป็นบวก แสดงว่ากระบวนการดูดซับส่งผลให้โมเลกุลของตัวดูดซับและตัวถูกดูดซับที่บริเวณรอยต่อของพื้นผิวตัวดูดซับมีความไม่เป็นระเบียบเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงพลังงานอิสระของกิบส์ (∆<em>G</em>°) มีค่าเป็นลบ แสดงว่าการดูดซับนี้เกิดขึ้นได้เอง และซีโอไลต์ เอ มีประสิทธิภาพในการดูดซับซ้ำได้สูง 8 ครั้ง จากผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นว่าซีโอไลต์ เอ ที่สังเคราะห์จากเถ้าลอยโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เป็นตัวดูดซับในการกำจัดสีย้อมมาลาไคต์ กรีน และสีย้อม บริลเลียนต์ กรีน จากสารละลายน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง มีต้นทุนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/265055 การใช้ประโยชน์สตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์ในอุตสาหกรรมอาหาร 2024-10-30T09:49:26+07:00 กิ่งกมล ลีลาจารุวรรณ kingkamol_lee@yahoo.com วราพร ลักษณลม้าย varaporn@rsu.ac.th ฐานวีร์ ลอยแก้ว nans.thanawee@gmail.com พิชญา โพธินุช Pitchaya.p@rsu.ac.th <p>บทความทางวิชาการนี้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์ และการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร สตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์ หมายถึง ส่วนของสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหารส่วนต้นของมนุษย์และผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ปัจจุบันมีการแบ่งกลุ่มของสตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์ออกเป็น 5 ประเภท ตามลักษณะโครงสร้างทางกายภาพ และกลไกในการต้านทานการย่อยด้วยเอนไซม์ นอกจากนี้ยังมีการรายงานคำจำกัดความใหม่ของสตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์โดยพิจารณาจากผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย สตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์มีประโยชน์หลายประการ เช่น ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติกส์ ซึ่งส่งผลทางชีวภาพที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์ มีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมน้ำหนักและป้องกันโรคอ้วน รวมถึงช่วยในการดูดซึมเกลือแร่บางชนิด อย่างไรก็ตามสตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์แต่ละประเภทมีสมบัติและผลกระทบทางสีรรวิทยาต่อสิ่งมีชีวิตที่เฉพาะตัว สำหรับด้านอุตสาหกรรมอาหาร สตาร์ชทนย่อยด้วยเอนไซม์จัดเป็นส่วนประกอบของอาหารฟังก์ชัน เพื่อเสริมหรือทดแทนแป้งในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความเหมาะสมมากกว่าเส้นใยอาหารทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้ในการห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและจุลินทรีย์สุขภาพ เพื่อเพิ่มความเสถียรและช่วยในการนำส่งผ่านระบบทางเดินอาหารในร่างกาย</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี