วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu
<p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</strong></p> <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นวารสารวิชาการที่เผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย (Research articles) และบทความวิชาการ (Review articles) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ เกษตรศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดย</strong><strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน 2 หรือ 3 คน (ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) โดยประเมินแบบ </strong><strong>Double-blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ [ISSN: 3057-1472 (Online)] ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม)</p> <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รับการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2568 - 2572 ให้อยู่ในกลุ่มที่ 2</p>
Ubon Ratchathani University
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
3057-1472
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
ราเอนโดไฟต์ที่ผลิตกรดอินโดลอะซีติกและส่งเสริมการงอกของเมล็ดกล้วยไม้ลิ้นมังกร
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/261557
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแยกราเอนโดไฟต์ที่ผลิตกรดอินโดลอะซีติก (IAA) และส่งเสริมการงอกของเมล็ดกล้วยไม้ลิ้นมังกร จากการแยกราเอนโดไฟต์จากรากกล้วยไม้ลิ้นมังกร ได้ราเอนโดไฟต์ทั้งหมด 26 ไอโซเลท เมื่อนำราเอนโดไฟต์ที่แยกได้มาตรวจสอบ การผลิต IAA ด้วยวิธี Salkowski’s method พบราเอนโดไฟต์เพียง 6 ไอโซเลท ที่มีความสามารถในการผลิต IAA คือ ไอโซเลท HRNP-F01, HRNP-F06, HRNP-F14, HRNP-F17, HRNP-F21 และ HRNP-F22 จากการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ลิ้นมังกรร่วมกับราเอนโดไฟต์ที่ผลิต IAA ทั้ง 6 ไอโซเลท พบว่าไอโซเลท HRNP-F06 และ HRNP-F14 ให้เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดสูงสุด เท่ากับ 97.27 และ 98.02 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างจากค่าที่ได้จากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><0.05) โดยไอโซเลท HRNP-F06 สามารถกระตุ้นให้เมล็ดงอก และพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการงอกของเมล็ด (ระยะที่เอมบริโอขยายขนาดเพิ่มขึ้น) ในขณะที่ไอโซเลท HRNP-F14 สามารถกระตุ้นให้เมล็ดงอก และพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 3 ของการงอกของเมล็ด (ระยะที่เอมบริโอพัฒนาเป็นโปรโตคอร์ม) การวิเคราะห์ลำดับนิวคลีโอไทด์บริเวณ Internal transcribed spacer (ITS) ของ ribosomal DNA ทำให้สามารถระบุชนิดของ ราไอโซเลท HRNP-F06 และ HRNP-F14 ได้เป็น <em>Fusarium oxysporum</em> และ <em>Annulohypoxylon </em>sp. ตามลำดับ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า <em>F. oxysporum</em> HRNP-F06 และ <em>Annulohypoxylon </em>sp. HRNP-F14 มีศักยภาพที่จะใช้ส่งเสริมการงอกของเมล็ดกล้วยไม้ได้</p>
ณมนรัก คำฉัตร
อรรถกร คำฉัตร
อาทร สกุลวรกิจ
พรพิมล กาญจนวาศ
ศุกร์สิริ รุ่งเรือง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
1
13
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์มาเดอลีนโดยการทดแทนแป้งสาลีบางส่วนด้วยแป้งข้าวทับทิมชุมแพ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/261806
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินคุณภาพของผลิตภัณฑ์มาเดอลีน ที่ใช้แป้งข้าวทับทิมชุมแพทดแทนแป้งสาลีบางส่วน แป้งข้าวทับทิมชุมแพที่ใช้ในการศึกษานี้ได้จากการนำปลายข้าวทับทิมชุมแพมาบดเป็นผงแป้ง ในการศึกษานี้ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์มาเดอลีน 5 สูตร โดยสูตรที่ 1 เป็นสูตรที่ใช้แป้งสาลีเพียงอย่างเดียวในปริมาณ 80 กรัม ในขณะที่สูตรที่ 2, 3, 4 และ 5 ใช้แป้งข้าวทับทิมชุมแพแทนแป้งสาลีในอัตราส่วน แป้งสาลี (ในหน่วยกรัม) : แป้งข้าวทับทิมชุมแพ (ในหน่วยกรัม) เท่ากับ 70:10, 60:20, 50:30 และ 40:40 ตามลำดับ นำผลิตภัณฑ์มาเดอลีนที่พัฒนาขึ้นทุกสูตรไปวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีกายภาพ และคุณภาพทางประสาทสัมผัส ผลการทดลองพบว่าเมื่อเพิ่มปริมาณของแป้งข้าวทับทิมชุมแพในผลิตภัณฑ์มาเดอลีนจะทำให้สีของผลิตภัณฑ์เข้มขึ้น และเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์แข็งขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสูตรที่ 4 มีคะแนนความชอบโดยรวมสูงสุด จึงถูกนำไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งพบว่าผลิตภัณฑ์ 100 กรัมมีปริมาณโปรตีน 7.29 กรัม ไขมันทั้งหมด 22.8 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 26.62 กรัม งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำแป้งข้าวทับทิมชุมแพมาใช้ทดแทนแป้งสาลีบางส่วนในการผลิตผลิตภัณฑ์มาเดอลีน</p>
จิราภรณ์ บุราคร
ปรานต์ ปิ่นทอง
ทรงพร ไกรสิทธื์
มนทกานติ์ เอี่ยมแก้ว
พิมพร พลายจันทร์
ณัฐชา ศิริวาริน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
14
22
-
การตรวจสอบสมบัติของวัสดุเหลือทิ้งในการป้องกันการพังทลายของเหมืองใต้ดินด้วยวิธีถมกลับ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262025
<p>วัสดุเหลือทิ้งถูกเลือกเป็นวัสดุสำหรับการถมกลับในเหมืองใต้ดินเนื่องจากมีจุดเด่นในการป้องกันการทรุดตัว มีต้นทุนที่คุ้มค่า และมีการกำจัดหางแร่ของเหมืองผิวดินตลอดอายุการทำเหมือง สมบัติของวัสดุเหลือใช้ที่ใช้ในการถมกลับอาจมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมของมวลหินโดยรอบ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบสมบัติของวัสดุเหลือทิ้งในการป้องกันการพังทลายของเหมืองใต้ดินด้วยวิธีถมกลับ วัสดุเหลือใช้ที่ใช้ในการศึกษานี้ ได้แก่ เปลือกหอยนางรม หางแร่ดินขาว ฝุ่นหิน และยิปซั่มคุณภาพต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุไม่มีค่าและไม่เป็นอันตราย วัสดุถมกลับ 5 ชนิดที่ทำขึ้นจากการผสมวัสดุเหลือทิ้ง ซีเมนต์ น้ำ และตัวเชื่อมประสานในสัดส่วนที่ต่างกันถูกนำมาทดสอบความสามารถในการไหลโดยวิธีวัดค่าการยุบตัว และทดสอบความสามารถในการรับแรงอัดในแกนเดียว ณ 3 ช่วงเวลาการบ่มเพื่อให้วัสดุผสมแข็งตัวที่แตกต่างกันคือ 8, 16 และ 28 วัน ผลการวิจัยพบว่าวัสดุผสมทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในการทดสอบค่าการยุบตัว ยกเว้นวัสดุผสมที่มียิปซั่มคุณภาพต่ำเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้แนวโน้มโดยรวมของกำลังรับแรงอัดของวัสดุผสมเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาในการบ่มเพิ่มขึ้น วัสดุผสมที่มีหางแร่ดินขาวมีกำลังอัดสูงสุด เท่ากับ 6 MPa ที่เวลาการบ่ม 28 วัน ในขณะที่วัสดุผสมที่มี ยิปซั่มเกรดต่ำมีกำลังอัดต่ำสุด โดยมีค่าเพียงครึ่งหนึ่งของกำลังอัดของวัสดุผสมที่มีหางแร่ดินขาว การมีหางแร่ดินขาวมีผลกระทบอย่างมากต่อความแข็งแรงเนื่องจากความสามารถในการลดฟองอากาศภายในส่วนผสมปูนซีเมนต์ นอกจากนี้การเพิ่มเวลาในการแข็งตัวยังส่งผลให้ความแข็งแกร่งของวัสดุถมกลับเพิ่มขึ้นอีกด้วย</p>
วิทยกุล สิทธิสาร
วิจิตร อิทธิวงศ์กุล
เกสรา ประวิง
วิภาดา ไชยขัน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
23
29
-
ปริมาณสารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดผักเสี้ยนผี
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262069
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณสารพฤกษเคมี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดผักเสี้ยนผี การเตรียมสารสกัดผักเสี้ยนผีทำโดยการแช่ผงผักเสี้ยนผีในเอทานอลร้อยละ 70 จากการตรวจสอบสารพฤกษเคมีเบื้องต้น พบว่าผักเสี้ยนผีมีแอลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ แทนนิน ซาโปนิน และคูมาริน การวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกรวมทำโดยวิธี Folin Ciocalteu reagent method และการวิเคราะห์ปริมาณฟลาโวนอยด์รวมทำโดยวิธี aluminum chloride colorimetric assay ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดผักเสี้ยนผีมีปริมาณฟีนอลิกรวม และปริมาณฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ 48.11±0.17 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกล ลิกต่อกรัมสารสกัด และ 22.31±0.05 มิลลิกรัมสมมูลของเควอซิทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radial scavenging capacity assay (DPPH assay), ABTS radical cation decolorization assay (ABTS assay) และ ferric ion reducing antioxidant power (FRAP) assay แสดงให้เห็นว่าสารสกัดผักเสี้ยนผีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า half-maximum inhibitory concentration (IC<sub>50</sub>) value เท่ากับ 106.93±3.58 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ค่า vitamin C equivalent antioxidant capacity (VEAC) value เท่ากับ 32.62±0.07 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแอสคอร์บิกต่อกรัมสารสกัด และค่า FRAP value เท่ากับ 750.97±3.38 มิลลิโมลาร์สมมูลของเฟอร์รัสซัลเฟตต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดผักเสี้ยนผีทำโดยการศึกษาความสามารถของสารสกัดผักเสี้ยนผีในการยับยั้งการผลิตสารชักนำการอักเสบ ได้แก่ prostaglandin E2 (PGE2), tumor necrosis factor alpha (TNF-alpha) และ nitric oxide (NO) ของเซลล์มาโครฟาจ Raw 264.7 ที่ถูกกระตุ้นการอักเสบด้วยไลโพพอลิแซกคาร์ไรด์ ซึ่งผลการทดสอบพบว่าสารสกัดผักเสี้ยนผีที่ความเข้มข้น 250, 500, 1000 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรสามารถลดการสร้าง PGE2, TNF-alpha และ NO โดยเซลล์มาโครฟาจ Raw 264.7 ที่ถูกกระตุ้นการอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของผักเสี้ยนผี ซึ่งอาจใช้เป็นสมุนไพรในการรักษาโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และการอักเสบได้</p>
พิชาพัชร์ ฐิติธนอภิพงษ์
ศุภรัตน์ ดวนใหญ่
อ้อมบุญ วัลลิสุต
กวินท์ สาสาย
จันทนา ยะหัวฝาย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
30
44
-
ผลของชนิดและปริมาณมันพื้นบ้านต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าวพร้อมบริโภค
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262370
<p>การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าวพร้อมบริโภคที่มีส่วนผสมของมันพื้นบ้าน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติ และสีสันที่แตกต่างจากข้าวเกรียบว่าวเดิมในท้องตลาด จำเป็นต้องศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของปัจจัย 2 ปัจจัยที่มีต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบว่าวพร้อมบริโภค โดยปัจจัยแรก คือ ชนิดของมันพื้นบ้าน ซึ่งในการศึกษานี้ใช้ มันพื้นบ้าน 4 ชนิด ได้แก่ มันจาวพร้าว (<em>Dioscorea alata </em>L.) มันมือเสือ (<em>Dioscorea esculenta</em> L.) มันเลือด (<em>Dioscorea pentaphylla</em>) และกลอย (<em>Dioscorea hispida</em> Dennst.) และปัจจัยที่สอง คือ ปริมาณของมันพื้นบ้านที่เป็นส่วนผสมในข้าวเกรียบว่าว โดยการศึกษานี้ใช้มันพื้นบ้านแต่ละชนิดแทนที่ข้าวเหนียวในอัตราส่วนร้อยละ 0, 10 และ 20 ของน้ำหนักข้าวเหนียว จากการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด พบว่า โครงสร้างของเม็ดสตาร์ชของมันจาวพร้าว มันมือเสือ และมันเลือด มีลักษณะเป็นวงรีและผิวเรียบ ในขณะที่ลักษณะโครงสร้างของเม็ดสตาร์ชของกลอยมีลักษณะหลายเหลี่ยม จากการศึกษาด้วยวิธี Differential scanning calorimetry พบว่าการเกิดเจลาติไนเซชันของเม็ดสตาร์ชของแยมพื้นบ้านแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนั้นชนิดของมันพื้นบ้านและปริมาณมันพื้นบ้านที่ใช้จึงน่าจะมีผลต่อลักษณะทางกายภาพและเคมีของข้าวเกรียบว่าวพร้อมบริโภค ข้าวเกรียบว่าวที่มีปริมาณของมันที่มากขึ้น จะมีค่าสี (L*, a* และ b*) และค่าความแข็งที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่มีอัตราการขยายตัวตามแนวรัศมีและอัตราการขยายตัวด้านความหนาลดลง เมื่อพิจารณาที่ชนิดของมัน พบว่า ค่า L* ของข้าวเกรียบว่าวเติมกลอยมีค่าสูงสุด นอกจากนี้ค่า a* และ b* ของข้าวเกรียบว่าวเติมมันเลือดและมันจาวพร้าวสูงกว่ามันมือเสือและกลอย จากการทดสอบทางด้านประสาทสัมผัส ด้วยผู้ทดสอบชิมจำนวน 30 คน ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝน พบว่า คะแนนความชอบโดยรวมของข้าวเกรียบว่าวที่มีมันพื้นบ้านทั้ง 4 ชนิดเป็นส่วนประกอบมีค่าไม่แตกต่างกัน และไม่แตกต่างจากข้าวเกรียบว่าวดั้งเดิมที่ทำมาจากข้าวเหนียว</p>
พัชรี มะลิลา
วิทยา แก้วศรี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
45
57
-
ผลของวิธีการผลิตชาดอกบัวหลวงแดงต่อปริมาณฟีนอลิกรวม ปริมาณฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262439
<p>ภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยในผู้สูงอายุมักสัมพันธ์กับความเสื่อมของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีรายงานว่าเกิดจากการสะสมของอนุมูลอิสระ และการลดลงของอะซิติลโคลีน ด้วยเหตุนี้อาหารและเครื่องดื่มที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงสมอง เช่น ชาสมุนไพร จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของวิธีการผลิตชาดอกบัวหลวงแดงต่อปริมาณฟีนอลิกรวม ปริมาณฟลาโวนอยด์รวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส ผลิตภัณฑ์ชาที่ใช้ในการศึกษานี้ได้จากวิธีการผลิต 3 วิธี ได้แก่ ชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก (ชา NF) ชากึ่งหมัก (ชา SF) และชาที่หมักอย่างสมบูรณ์ (ชา CF) จากการศึกษาพบว่าชา CF มีปริมาณฟีนอลิกรวมสูงที่สุด เท่ากับ 8.77 ± 0.21 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมของชาอบแห้ง ชา SF มีปริมาณฟลาโวนอยด์รวมสูงที่สุด เท่ากับ 3.38 ± 0.12 มิลลิกรัมสมมูลของเคอร์ซิตินต่อกรัมของชาอบแห้ง การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ABTS<sup>•+</sup> และ DPPH<sup>•</sup> แสดงให้เห็นว่าชา CF มีค่า half-maximal inhibitory concentration (IC<sub>50</sub>) ดีที่สุด เท่ากับ 1.89 ± 0.02 และ 0.15 ± 0.01 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ และจากการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส พบว่าชา CF มีค่า IC<sub>50</sub> ดีที่สุด เท่ากับ 2.62 ± 0.73 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ชาดอกบัวหลวงแดง โดยเฉพาะชาที่หมักอย่างสมบูรณ์มีฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรส ผลิตภัณฑ์ชาดังกล่าวจึงมีศักยภาพที่จะนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต</p>
ยลดา ศรีเศรษฐ์
ปภาภัสสร์ ธีระพัฒนวงศ์
ชลิตา กุดวงค์แก้ว
ภานิชา พงศ์นราทร
จรินยา ขุนทะวาด
วรินท์ โอนอ่อน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
58
68
-
การพัฒนาวิธีการย้อมสีเส้นกกด้วยน้ำย้อมจากผลมะม่วงหาวมะนาวโห่
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262472
<p>การย้อมสีเส้นกกด้วยสีย้อมจากธรรมชาติมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ผลสุกของมะม่วงหาวมะนาวโห่ (<em>Carissa caranda </em>L.) สามารถใช้เป็นสีย้อมจากธรรมชาติได้ เนื่องจากมีแอนโทไซยานินสูง และให้สีแตกต่างกันตามค่าความเป็นกรดด่าง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการย้อมสีเส้นกกด้วยน้ำย้อมจากผลมะม่วงหาวมะนาวโห่ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 3 ซ้ำต่อชุดการทดลอง ในการศึกษานี้ใช้น้ำย้อมจากผลมะม่วงหาวมะนาวโห่ 3 แบบ คือ แบบที่ 1: น้ำย้อมที่ไม่มีการปรับค่าความเป็นกรดด่าง แบบที่ 2: น้ำย้อมที่มีการปรับค่าความเป็นกรดด่างด้วยสารละลายกรดไฮโดรคลอริก และ แบบที่ 3: น้ำย้อมที่มีการปรับค่าความเป็นกรดด่างด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง เท่ากับ 3.39, 2.61 และ 4.10 ตามลำดับ และมีสีแดงส้ม สีแดง และสีแดงม่วง ตามลำดับ ในการศึกษานี้มีชุดการทดลองทั้งหมด 10 ชุด คือ เส้นกกที่ไม่ผ่านการย้อมสี (ชุดควบคุม) เส้นกกที่ย้อมโดยไม่ใช้สารช่วยติดสี และย้อมด้วยน้ำย้อมแบบที่ 1 (CM-n) น้ำย้อมแบบที่ 2 (CM-a) และน้ำย้อมแบบที่ 3 (CM-b) เส้นกกที่ย้อมโดยใช้สารส้มเป็นสารช่วยติดสี และย้อมด้วยน้ำย้อมแบบที่ 1 (M-n-nT) น้ำย้อมแบบที่ 2 (M-a-nT) และน้ำย้อมแบบที่ 3 (M-b-nT) และเส้นกกที่ย้อมโดยใช้ทั้งสารส้มและแทนนินเป็นสารช่วยติดสี และย้อมด้วยน้ำย้อมแบบที่ 1 (M-n) น้ำย้อมแบบที่ 2 (M-a) และน้ำย้อมแบบที่ 3 (M-b) จากการศึกษาพบว่าเส้นกกที่ผ่านการย้อมสีทั้ง 9 ชุดการทดลองมีสีน้ำตาลแดงหลายเฉด มีค่า a<sup>*</sup> และ L<sup>*</sup> อยู่ในช่วง 22.20-32.80 และ 27.95-30.30 ตามลำดับ โดยชุดการทดลอง M-a มีสีน้ำตาลแดงเข้มที่สุด มีค่า a<sup>*</sup> และ L<sup>*</sup> เท่ากับ 24.10 และ 25.77 ตามลำดับ หลังจากการเก็บรักษาเส้นกกที่ผ่านการย้อมเป็นเวลา 60 วัน ที่อุณหภูมิห้อง พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่า a<sup>*</sup> และ L<sup>*</sup> อย่างมีนัยสำคัญสำหรับชุดการทดลอง M-a และ M-n นอกจากนี้ชุดการทดลอง M-a ยังได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยมากที่สุดด้วยคะแนน 4.33 จากอาสาสมัครจำนวน 40 คน การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการย้อมสีเส้นกกด้วยน้ำย้อมจากผลมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่มีการปรับค่าความเป็นกรดด่างด้วยสารละลายกรดไฮโดรคลอริกร่วมกับการใช้สารส้มและแทนนินเป็นสารช่วยติดสีสามารถเป็นทางเลือกใหม่ในการย้อมเส้นกกด้วยสีย้อมจากธรรมชาติ</p>
ลลิดา ฉายาวัฒน์
นันทวัน หัตถมาศ
พันธ์ทิพย์ เลิศบุรุษ
มนสินี ดาบเงิน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
69
79
-
การศึกษาความหลากชนิดของพืชที่มิใช่ข้าวในนาข้าวอินทรีย์: กรณีศึกษาในจังหวัดนครปฐม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262513
<p>นาข้าวเป็นระบบนิเวศเชิงเกษตรกรรมที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตไทยมาช้านาน วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่มีผลทำให้วิธีการปลูกข้าวมีความแตกต่างกัน เช่น การทำนาข้าวแบบดั้งเดิมที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ หรือการทำนาข้าวโดยใช้ชีววิธีตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่มักได้รับการเชื่อถือว่าเป็นแนวทางที่ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและสุขภาพของมนุษย์อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามการศึกษาความหลากชนิดของพืชที่มิใช่ข้าวในแปลงนาข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยยังมีไม่มาก ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจพืชที่มิใช่ข้าวที่พบในนาข้าวอินทรีย์เนื้อที่ 8 ไร่ ที่ทำนาแบบโยนกล้า ในอำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม เป็นระยะเวลาสองฤดูกาลการทำนา ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 โดยทำการสำรวจและเก็บตัวอย่างทั้งในแปลงนา และคันนา ทุกสองสัปดาห์ สำหรับการสำรวจในแปลงนา ทำโดยการวางแปลงสุ่มขนาด 0.5 เมตร x 2 เมตร จำนวนทั้งสิ้น 6 แปลง ระยะห่างแต่ละแปลง 100 เมตร ส่วนการสำรวจในคันนา ใช้วิธีการเดินสำรวจและจดบันทึก จากการสำรวจ พบพืชที่มิใช่ข้าวรวมทั้งสิ้น 28 วงศ์ 61 ชนิด โดยฤดูกาลการทำนาแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ในบริเวณแปลงนาพบพืช 9 วงศ์ 17 ชนิด และบริเวณคันนาพบ 18 วงศ์ 40 ชนิด ส่วนในฤดูกาลการทำนาที่สอง (สิงหาคม-ธันวาคม) บริเวณแปลงนาพบพืช 10 วงศ์ 16 ชนิด บริเวณคันนาพบ 20 วงศ์ 45 ชนิด พืชชนิดเด่นในแปลงนาคือ <em>Cyperus difformis </em>L. (กกขนาก) ส่วนบริเวณคันนาคือ <em>Urochloa mutica </em>(Forssk.) T.Q.Nguyen (หญ้าขน) ค่าดัชนีความคล้ายคลึงโซเรนเซนระหว่างพืชที่มิใช่ข้าวที่พบในแปลงนากับที่พบในคันนาเท่ากับ 25.35% ค่าดัชนีความคล้ายคลึงโซเรนเซนระหว่างพืชที่มิใช่ข้าวที่พบในแปลงนาในฤดูกาลทำนาแรกกับฤดูกาลทำนาที่สองเท่ากับ 78.79% และค่าดัชนีความคล้ายคลึงโซเรนเซนระหว่างพืชที่มิใช่ข้าวที่พบในคันนาในฤดูกาลทำนาแรกกับฤดูกาลทำนาที่สองเท่ากับ 80% วงศ์ของพืชที่พบจำนวนชนิดมากที่สุดคือวงศ์หญ้า (Poaceae) ซึ่งพบ 11 ชนิด รองลงมาคือวงศ์กก (Cyperaceae) ซึ่งพบ 8 ชนิด ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพรรณในนาข้าวอินทรีย์ที่ได้จากการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการบริหารจัดการระบบนิเวศในนาข้าวอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงให้มีความยั่งยืน เกิดเป็นดุลยภาพระหว่างผลผลิตทางการเกษตร และการอนุรักษ์ธรรมชาติ</p>
พรหมณ์สุรียภัสสร์ ศุกระศร
กัมปนาท ธาราภูมิ
ภาณุพงษ์ ทองเปรม
ยศเวท สิริจามร
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
80
95
-
การแพร่กระจายของปรสิตในปลาสังกะวาดหลังเขียวในแม่น้ำโขง เขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262770
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของปรสิตในปลาสังกะวาดหลังเขียวในแม่น้ำโขงเขต อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในช่วงเดือนธันวาคม 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธุ์ 2567 จากการสุ่มตรวจปลาสังกะวาดหลังเขียวจำนวน 60 ตัว พบปรสิตภายนอก ได้แก่ พยาธิปลิงใส (Monogenea) จำนวน 1 ชนิด (<em>Thaparocleidus </em>sp<em>.</em>) และปรสิตภายใน ได้แก่ พยาธิใบไม้ (Digenea) จำนวน 2 ชนิด (<em>Prosorhynchoides sp. </em>I และ <em>Prosorhynchoides </em>sp<em>. </em>II) และพยาธิตัวกลม (Nematode) จำนวน 1 ชนิด (<em>Klossinemella</em> sp.) ปรสิตที่ตรวจพบได้มากที่สุดคือ พยาธิใบไม้ ชนิด <em>Prosorhynchoides </em>sp<em>. </em>II โดยมีค่าความถี่ที่พบเท่ากับ 30.00% (18/60) และมีค่าความหนาแน่นเท่ากับ 3.16 ต่อปลาหนึ่งตัว ส่วนปรสิตที่ตรวจพบได้น้อยที่สุด คือ ปลิงใส <em>Thaparocleidus</em> sp. โดยมีค่าความถี่ที่พบเท่ากับ 8.33 % (5/60) และมีค่าความหนาแน่นเท่ากับ 2.60 ต่อปลาหนึ่งตัว ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการบริโภคปลาที่จับได้จากแม่น้ำโขงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม</p>
วายุ พานศรี
อดิเทพชัยย์การณ์ ภาชนะวรรณ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
96
102
-
การประเมินค่ากัมมันตภาพจําเพาะและดัชนีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีของสารกัมมันตรังสีธรรมชาติในวัสดุก่อสร้างประเภทดินบริเวณตอนล่างของจังหวัดยะลา
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/view/262904
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินค่ากัมมันตภาพจําเพาะและดัชนีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีของสารกัมมันตรังสีธรรมชาติในวัสดุก่อสร้างประเภทดินบริเวณตอนล่างของจังหวัดยะลา โดยเก็บตัวอย่างวัสดุก่อสร้างประเภทดินจาก 41 ตำแหน่งในโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอบันนังสตา ธารโต และเบตง ของจังหวัดยะลา การประเมินค่ากัมมันตภาพจําเพาะของสารกัมมันตรังสีธรรมชาติใช้วิธีแกมมาสเปกโตรเมตรี โดยใช้หัววัดเจอร์เมเนียมบริสุทธิ์สูง ดัชนีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีที่ประเมิน ได้แก่ ค่ากัมมันตภาพรังสีสมมูลเรเดียม (Ra<sub>eq</sub>) ค่าดัชนีความเสี่ยงจากการได้รับรังสีจากภายนอกร่างกาย (H<sub>ex</sub>) อัตราปริมาณรังสีแกมมาดูดกลืนในอากาศ (D) ปริมาณรังสีที่ได้รับจากภายนอกร่างกายประจำปี (E) และค่าความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตลอดชีวิต (ELCR) จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยกัมมันตภาพจำเพาะของ Ra-226, Th-232 และ K-40 เท่ากับ 261.88±117.42, 307.25±108.48 และ 2388.13±939.32 เบ็กเคอเรลต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยและค่าเฉลี่ยทั่วโลก นอกจากนี้ค่า Ra<sub>eq</sub>, H<sub>ex</sub>, D, E และ ELCR ที่ได้จากการศึกษานี้มีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติว่าด้วยผลกระทบจากรังสี (UNSCEAR) ผลการศึกษานี้บ่งชี้ได้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ทำการศึกษาเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งจากการได้รับปริมาณสารกัมมันตรังสีธรรมชาติในวัสดุก่อสร้างในระยะยาว</p>
สุวนันท์ แดงวิไล
พวงทิพย์ แก้วทับทิม
อุดร ยังช่วย
ปิยะ ผ่านศึก
สุนารี บดีพงศ์
ชัยวัฒน์ เลิศวิริยะนันทกุล
สมชาย กอพูนพัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
27 1
103
113