PBRU Science Journal https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU <p> วารสารได้ปรับเปลี่ยนชื่อจาก วารสารวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี เป็น PBRU Science Journal โดยเผยแพร่ออนไลน์เพียงช่องทางเดียว โดยใช้เลข ISSN 2773-9716 </p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของเนื้อหา</strong></p> <p>วารสาร PBRU Science Journal เป็นวารสารที่จัดทำโดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งผลงานที่เผยแพร่เป็นทั้งบทความวิจัย (Research article) บทความวิจัยอย่างย่อ (Short report) บทความปริทัศน์ (Review article) ทางด้านวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์การเกษตรและชีวภาพ ชีววิทยา จุลชีววิทยา เคมี วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ </p> <ul> <li>General Agricultural and Biological Sciences</li> <li>General Microbiology</li> <li>General Chemistry</li> <li>General Mathematics</li> <li>General Computer Science </li> </ul> <p>โดยเรื่องที่ขอรับการตีพิมพ์ต้องเป็นผลงานที่ไม่ได้ทำการคัดลอกจากผลงานของผู้อื่น ต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารใดมาก่อนและไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น โดยทุกเรื่องจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญตรงสาขาวิชาของบทความ หรืออย่างน้อยต้องมีความเกี่ยวข้องกับบทความ โดยเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) จำนวน 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน ซึ่งไม่สังกัดองค์กรเดียวกับผู้แต่งบทความ และต้องได้รับความเห็นชอบให้ตีพิมพ์ได้อย่างน้อย 2 ใน 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-blind review) วารสารมีกำหนดเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี (ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม -ธันวาคม)</p> <p><strong>ทั้งนี้ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ในวารสาร PBRU Science Journal </strong></p> Faculty of Science and Technology Phetchaburi Rajabhat University th-TH PBRU Science Journal 2773-9716 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ PBRU Science Journal</p> ชนิดของสารเพิ่มความข้นหนืดจากพืชในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสอาหารอเนกประสงค์เพื่อสุขภาพ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/263745 <p>ซอสปรุงรสอาหารอเนกประสงค์สำเร็จรูปเพื่อสุขภาพในงานวิจัยนี้พัฒนาจากกระบวนการผลิตน้ำสต๊อกชนิดสีน้ำตาลและซอสสีน้ำตาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดของพืชที่ใช้เพิ่มความข้นหนืดในซอส 3 ชนิด ได้แก่ ฟักทอง มันฝรั่ง และเผือก ในปริมาณร้อยละ 20 ของส่วนผสมทั้งหมด ทำการตรวจสอบคุณภาพทางกายภาพ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค ผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสผู้ทดสอบชิมให้คะแนนความชอบด้าน ลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ไม่แตกต่างกัน (p&gt;0.05) ส่วนด้านรสชาติซอสที่เติมฟักทองมีคะแนนความชอบสูงที่สุด การตรวจสอบค่าสีพบว่าซอสที่เติมเผือกมีค่าความสว่าง (L*) ค่าดัชนีสีแดง (a*) และค่าดัชนีสีเหลือง (b*) สูงกว่าซอสที่เติมมันฝรั่งและฟักทองตามลำดับ (p≤0.05) ส่วนค่าการไหลของซอสที่เติมมันฝรั่งจะมีค่าสูงที่สุด รองลงมาเป็นสูตรที่เติมฟักทองและเผือกตามลำดับ นอกจากนี้ซอสสูตรที่เติมฟักทองมีค่าพลังงานและคาร์โบไฮเดรตน้อยสุด รองลงมาเป็นซอสที่เติมมันฝรั่งและเผือกตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ พบว่าผู้บริโภคมีความพึงพอใจด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์ และด้านราคา อยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ผลการศึกษาการยอมรับผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสอาหารอเนกประสงค์เพื่อสุขภาพผู้ทดสอบให้ความยอมรับตัวผลิตภัณฑ์ ด้านบรรจุภัณฑ์มีความเหมาะสม ฉลากมีความเหมาะสม และด้านปริมาณบรรจุ 150 กรัม ที่ร้อยละ 100, 97, 98 และ 84 ตามลำดับ การศึกษานี้เสนอแนวทางในการผลิตซอสปรุงรสอาหารอเนกประสงค์ที่ใช้สารให้ความข้นหนืดจากพืชช่วยปรับเนื้อสัมผัส สี และลดพลังงานในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพนี้ได้</p> ศุภัคษร มาแสวง ขวัญสกุล มิบุญมี สุภาวดี ลูกอินทร์ ณนนท์ แดงสังวาลย์ น้อมจิตต์ สุธีบุตร ศันสนีย์ ทิมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 22 1 1 14 การประเมินคุณภาพและคุณลักษณะทางประสาทสัมผัสของพาสต้าปราศจากกลูเตนที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวดำและแป้งมันสำปะหลัง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/266087 <p>แป้งข้าวเหนียวดำและแป้งมันสำปะหลังมีศักยภาพในการใช้ทดแทนแป้งสาลีเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการเพื่อเป็นทางเลือกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์พาสต้าปราศจากกลูเตน งานวิจัยนี้ศึกษาอัตราส่วนของแป้งข้าวเหนียวดำและแป้งมันสำหลัง 3 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 60:40 70:30 และ 80:20 ในการผลิตพาสต้าปราศจากกลูเตน ร่วมกับการเติมแซนแทน ร้อยละ 3 ทำการตรวจสอบและเปรียบเทียบคุณภาพการต้มสุก ค่าสี ลักษณะเนื้อสัมผัส และการประเมินทางประสาทสัมผัสของพาสต้า โดยผลการทดลองแสดงว่า การเพิ่มสัดส่วนแป้งข้าวเหนียวดำและลดแป้งมันสำปะหลังช่วยลดเวลาในการต้มสุกและเพิ่มการขยายของเส้นพาสต้าต้มสุก แต่ส่งผลให้มีการสูญเสียระหว่างการต้มมากขึ้น ค่าสีของพาสต้ามีความเปลี่ยนแปลงตามปริมาณแป้งข้าวเหนียวดำ โดยค่าความสว่างลดลงเนื่องจากปริมาณของข้าวเหนียวดำที่เพิ่มขึ้น ด้านลักษณะเนื้อสัมผัส พาสต้าสูตร 70:30 มีค่าความแข็ง ค่าการยึดติด ความยืดหยุ่น ค่าพลังงานในการบดเคี้ยวใกล้เคียงสูตรควบคุมที่สุด การทดสอบทางประสาทสัมผัสระบุว่าพาสต้าปราศจากกลูเตนสูตร 70:30 ได้รับการยอมรับใกล้เคียงกับสูตรควบคุมซึ่งผลการวิจัยทำให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ในกลุ่มผู้บริโภคอาหารปราศจากกลูเตนได้</p> ติณณภพ สมพงษ์ น้อมจิตต์ สุธีบุตร สรรษนีย์ เต็มเปี่ยม ศุภัคษร มาแสวง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 22 1 15 29 ฤทธิ์ต้านแอลฟากลูโคซิเดส ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณสารพฤกษเคมีของรากสิบสองราศี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/266339 <p>โรคเบาหวานเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก การยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาเพื่อประเมินฤทธิ์ต้านเบาหวานและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของรากสิบสองราศี จึงเป็นแนวทางในการพัฒนายาจากธรรมชาติที่ปลอดภัย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านแอลฟากลูโคซิเดส ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและวิเคราะห์หาปริมาณสารพฤกษเคมีของสารสกัดเอทานอลจากรากสิบสองราศี เก็บตัวอย่างรากสิบสองราศีจากตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เตรียมสารสกัดรากสิบสองราศีด้วยตัวทำละลายเอทานอลด้วยวิธีการแช่หมัก และนำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ต้านแอลฟากลูโคซิเดสโดยใช้วิธี colorimetric assay ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และหาปริมาณสารพฤกษเคมีบางชนิด ได้แก่ สารฟีนอลิกรวมด้วยวิธี Folin-Ciocalteu Colorimetric สารฟลาโวนอยด์รวมด้วยวิธี Aluminium chloride และหาปริมาณแอลคาลอยด์รวมใช้วิธี Bromocresol Green method</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าสารสกัดเอทานอลของรากสิบสองราศีมีฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์มอลเทสและซูเคส ที่ค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 0.35 และ 0.34 mg/ml ตามลำดับ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระคิดเป็นร้อยละ 64.97 ± 0.34 เมื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารพฤกษเคมี พบว่า ปริมาณฟีนอลิกรวม เท่ากับ 13.512 ± 0.214 mgGAE/g สารสกัด ปริมาณฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 238.231 ± 2.019 mgQE/g สารสกัด และปริมาณแอลคาลอยด์รวมเท่ากับ 0.411 ± 0.039 mg AE/g สารสกัด ผลจากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการหาชนิดของสารสำคัญจากรากสิบสองราศีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมได้</p> วัชราภรณ์ ประภาสะโนบล พิชิต สุดตา ปัทมาพร ยอดสันติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-01 2025-07-01 22 1 30 41 ผลของการใช้แป้งกลอยและน้ำนมถั่วมะแฮะต่อการยอมรับของผลิตภัณฑ์สโคน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/265156 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์สโคน 2) ศึกษาสัดส่วนที่เหมาะสมของการใช้แป้งกลอยทดแทนแป้งสาลี (10, 20 และ 30%) ในสโคน 3) ศึกษาการทดแทนนมวัวด้วยน้ำนมถั่ว<br />มะแฮะ (25, 50 และ 100%) ในสโคนเสริมแป้งกลอย และ 4) วิเคราะห์สารอาหารหลักในผลิตภัณฑ์สโคนและสโคนเสริมแป้งกลอยและน้ำนมถั่วมะแฮะ ผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคนิยมสโคนที่ปรับปรุงสูตรให้ตรงกับความต้องการด้านสุขภาพ และใช้วัตถุดิบท้องถิ่น สัดส่วนแป้งกลอยที่เหมาะสมที่สุดในการเสริมในสโคนคือ 20% โดยได้คะแนนเฉลี่ยทางประสาทสัมผัสด้านสี 7.87 กลิ่น 7.47 เนื้อสัมผัส 7.47 รสชาติ 7.63 และการยอมรับโดยรวม 8.00 ส่วนการทดแทนน้ำนมถั่วมะแฮะพบว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ 50 % โดยได้คะแนนเฉลี่ยทางประสาทสัมผัสด้านสี 6.70 กลิ่น 6.90 เนื้อสัมผัส 7.20 รสชาติ 7.40 และการยอมรับโดยรวม 7.30 ผลการวิเคราะห์พลังงานพบว่า สโคนสูตรควบคุมมีพลังงานประมาณ 352.33 กิโลแคลอรี่ ขณะที่สโคนแป้งกลอยและน้ำนมถั่วมะแฮะมีพลังงานประมาณ 272.06 กิโลแคลอรี่ การพัฒนาสโคนสูตรลดพลังงานที่ยังคงคุณภาพและรสชาติ ตอบโจทย์ตลาดที่ใส่ใจสุขภาพ และสนับสนุนการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ช่วยส่งเสริมสุขภาพผู้บริโภคและเกษตรกรในชุมชน</p> จรรยา โท๊ะนาบุตร สังวาลย์ ชมภูจา ราตรี เมฆวิลัย วิชชุลดา ปรากุล เสาวลักษณ์ ดวงใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 22 1 42 55 อิทธิพลเครื่องรีดนมอัตโนมัติแบบเก็บผลผลิตรายตัวต่อผลผลิต และคุณภาพน้ำนม ในแพะนม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/266413 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาอิทธิพลเครื่องรีดนมอัตโนมัติแบบเก็บผลผลิตรายตัวต่อผลผลิตนม และคุณภาพน้ำนม ซึ่งการทดลองนี้ใช้แพะลูกผสมที่มีระดับสายเลือดของพันธุ์ซาแนน 75% จำนวน 10 ตัว อยู่ในช่วงของการให้นมที่ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยทำการเก็บนมในรอบวันผลิตเดียวกัน เก็บตัวอย่างทั้งหมด 8 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งผลการทดลองที่ได้จะนำมาวิเคราะห์ข้อมูลตามลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ independent t-test พบว่าผลผลิตปริมาณน้ำนมที่ได้จากการรีดด้วยเครื่องรีดนมอัตโนมัติมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 671.6±224.82 กรัม/ตัว ซึ่งสูงกว่าการรีดนมด้วยมือที่ให้ปริมาณน้ำนมเฉลี่ย 593.43±204.96 กรัม/ตัว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) นอกจากนี้ เครื่องรีดนมอัตโนมัติยังช่วยลดเวลาการทำงานของเกษตรกรได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเวลาที่ใช้ในการรีดนมลดลงจาก 3.24±8.26 นาที/ตัว เมื่อรีดด้วยมือ เหลือเพียง 1.65±0.45 นาที/ตัว และผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำนม พบว่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนมที่ได้จากการรีดด้วยเครื่องรีดนมอัตโนมัติแบบเก็บผลผลิตรายตัวมีค่าสูงกว่าการรีดด้วยมืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) อย่างไรก็ตามไม่พบความแตกต่างทางสถิติในค่าเปอร์เซ็นต์โปรตีนนม เปอร์เซ็นต์แลคโตส ค่าโซมาติกเซล์ ของแข็งรวม และของแข็งไม่รวมไขมันนมระหว่างวิธีการรีดนมทั้งสองแบบ ในส่วนผลการตรวจสอบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์พบว่า เครื่องรีดนมอัตโนมัติมีปริมาณเชื้อโคลิฟอร์มเท่ากับ 600 cfu/ml ในขณะที่การรีดด้วยมือพบการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มเพียง 1 cfu/ml ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ (p&lt;0.001) และไม่พบเชื้ออีโคไลในน้ำนมจากทั้งสองวิธีการรีดนม สรุปได้ว่า เครื่องรีดนมอัตโนมัติสำหรับแพะนมแบบเก็บข้อมูลผลผลิตรายตัวมีประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณน้ำนมและลดเวลาการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสรุปการใช้เครื่องรีดนมแพะแทนการรีดนมแพะด้วยมือสามารถปรับปรุงคุณภาพนมที่ถูกสุขลักษณะ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยเฉพาะในฟาร์มเลี้ยงแพะนมขนาดเล็ก</p> ดำรงศักดิ์ อาลัย ทวิรัตน์ ก้อนเครือ เทิดศักดิ์ อาลัย ชยุต พลอยจิรภาส บัณฑิตพงษ์ ศรีอำนวย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-01 2025-07-01 22 1 56 66 Chemical Composition and Antibacterial Activity of Plant Essential Oils against Human Pathogenic Bacteria https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/266886 <p>In this study, the chemical composition and antibacterial properties of plant essential oils (<em>Citrus hystrix </em>leaves, <em>Citrus maxima</em> peels, <em>Cymbopogon citratus</em> (DC) Stapf leaves, <em>Illicium verum</em> Hooker seeds, and <em>Syzygium aromaticum</em> L. flower buds) were evaluated against human pathogenic bacteria. GC-MS was used to determine the composition of the essential oils, which were produced using hydrodistillation. The main constituents of <em>Citrus hystrix</em> and <em>Citrus maxima</em> essential oils were citronellal, while <em>Cymbopogon citratus</em> (DC) Stapf, <em>Illicium verum</em> Hooker, and <em>Syzygium aromaticum</em> L. essential oils were geraniol, anethole, and eugenol, respectively. Based on the results of the disc diffusion method, the essential oil of <em>Syzygium aromaticum</em> L. inhibited all three bacterial strains (<em>Escherichia coli</em> ATCC 25922, <em>Pseudomonas aeruginosa</em> ATCC 27853, and <em>Staphylococcus aureus</em> ATCC 25923) with MICs of 0.234 to 0.938 mg/ml and MBCs of 0.469 to 1.875 mg/ml, which is less than gentamicin (MICs and MBCs of 0.117-0.938 mg/ml). <em>Syzygium aromaticum</em> L. essential oil exhibited the lowest MIC against <em>E. coli</em> ATCC 25922 (0.234 mg/ml), while <em>Cymbopogon citratus</em> essential oil showed the lowest MIC against <em>S. aureus</em> ATCC 25923 (0.117 mg/ml), the same MIC as gentamicin. All essential oils exhibited a bactericidal effect with an MBC/MIC ratio ranging from 1.0 to 2.0.</p> Apichart Hirunsuk Oratai Sukcharoen ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-01 2025-07-01 22 1 67 82 อาหารสมทบจากขนไก่พื้นเมืองป่นเพื่อเลี้ยงปลากินพืชในรูปแบบการเลี้ยงกึ่งพัฒนา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/267686 <p>กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่เลี้ยงปลาด้วยรูปแบบพื้นบ้าน ปลาโตช้า ใช้เวลานาน ผลผลิตน้อย ผลิตและจำหน่ายได้เพียง 1 รอบ/ปี ฉะนั้นเพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น จึงต้องเลี้ยงแบบกึ่งพัฒนา โดยใช้อาหารสมทบจากขนไก่ป่น ซึ่งเป็นเศษเหลือจากการแปรรูปไก่ นำมาย่อยด้วยเอนไซม์ธรรมชาติ เพื่อให้เกษตรกรดำเนินการได้เอง และเพื่อศึกษาผลของอาหารสมทบจากขนไก่พื้นเมืองป่นในการเลี้ยงปลากินพืชแบบกึ่งพัฒนา วางแผนแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วยไม่ให้อาหารสมทบ อาหารสมทบจากขนไก่ป่นหมักด้วยแกนสับปะรด อาหารสมทบจากขนไก่ป่นหมักด้วยเปลือกมะละกอดิบ อาหารสมทบจากอาหารผสมสำเร็จที่ใช้ขนไก่ป่นหมักด้วยแกนสับปะรด และอาหารสมทบจากอาหารผสมสำเร็จที่ใช้ขนไก่ป่นหมักด้วยเปลือกมะละกอดิบให้อาหารในปริมาณ 5% ของน้ำหนักตัวต่อวัน วันละ 2 มื้อ ชั่งน้ำหนักและเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตทุก 2 สัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า ปลาตะเพียนขาวที่ได้รับอาหารสมทบในทุกรูปแบบมีการเจริญเติบโตดีกว่าไม่ให้อาหารสมทบ และอาหารสมทบในทุกรูปแบบมีผลต่อค่าการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P &lt; 0.05) การใช้ขนไก่พื้นเมืองป่นเป็นอาหารสมทบในการเลี้ยงปลาตะเพียนขาวแบบกึ่งพัฒนามีผลต่อการเจริญเติบโตและอัตราการรอดตายของปลาที่ดีกว่าการไม่ให้อาหารสมทบ และอาหารสมทบในรูปแบบอาหารผสมสำเร็จให้ผลดีกว่าอาหารสมทบประเภทแหล่งโปรตีนเพียงอย่างเดียว การใช้ขนไก่พื้นเมืองป่นเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำ เป็นทางเลือกให้ได้อาหารปลาที่มีราคาต่อกิโลกรัมต่ำกว่าอาหารสำเร็จรูปทางการค้า</p> พรทิศา ทองสนิทกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-01 2025-07-01 22 1 83 96 Community-Participatory IoT Water Quality Monitoring System for Saline Intrusion Management in Orchid Cultivation. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scijPBRU/article/view/267478 <p>Saline water intrusion poses a significant threat to orchid cultivation in Thailand’s central provinces, where dry season salinity levels in irrigation canals can reach 4.2 dS/m—well above the 2.0 dS/m tolerance threshold for salt-sensitive orchids. Despite Thailand’s global leadership in orchid exports, with annual revenues exceeding USD 160 million, smallholder farmers lack access to real-time, affordable salinity monitoring tools. Traditional water quality assessments are labor-intensive and reactive, failing to prevent crop damage during critical salinity events. This study developed and evaluated a community-participatory Internet of Things (IoT) water quality monitoring system integrating low-cost electrical conductivity (EC) sensors with mobile alert functionality to support timely salinity management in orchid farming.</p> <p>The system employed NodeMCU ESP8266 microcontrollers integrated with EC sensors (Salinity ≈ EC × 0.64), pH (ESEN-288), temperature (DS-18B20), and dissolved oxygen sensors. Real-time data visualization and alerting were enabled via the Blynk mobile platform. <br />Field deployment in Sam Phran District, Nakhon Pathom Province involved 30 farmers (65% of local growers). Sensor calibration was conducted in partnership with Suan Dusit University. Evaluation included technical validation, user satisfaction surveys (usability, performance, design, installation), and an economic impact analysis comparing crop loss data from 2015–2021 with post-implementation results in 2024.</p> <p>The system demonstrated high technical reliability across parameters and achieved strong user satisfaction (mean scores &gt;4.67/5.0 across all dimensions). Economic analysis revealed a 42% reduction in average annual crop damage, translating to savings of 17,000 THB per household. <br />The system enabled timely responses, such as alternative water sourcing and irrigation adjustments. Community engagement was evident through user-led maintenance, data sharing, and interest in system expansion.</p> <p>This study highlights the potential of participatory, low-cost IoT solutions in enhancing agricultural resilience, supporting smart farming adoption among smallholders, and promoting scalable, sustainable salinity management practices.</p> Arpapan Satayavibul Tantus Piekkoontod ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-01 2025-07-01 22 1 97 111