วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal <p><strong><span style="color: #e74c3c;">ภาษาไทย : </span></strong>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br /><strong><span style="color: #e74c3c;">English : </span></strong>Journal of Science and Technology Mahasarakham University</p> <p><br />ISSN: 2985-2617 (Print)</p> <p>ISSN: 2985-2625 (Online)<br /><br /><strong><span style="color: #e74c3c;">การรับรองคุณภาพวารสาร</span></strong><br />วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการรับรองคุณภาพของ ศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) ถึง 31 ธันวาคม 2567 (อยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 1)</p> <p><strong><span style="color: #e74c3c;">จุดมุ่งหมายและขอบเขต</span></strong><br />วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศโดยเผยแพร่บทความวิจัย (research article) บทความปริทัศน์ (review article) ในสาขาวิชาต่างๆ ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสหวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br /><br /><strong><span style="color: #e74c3c;">กำหนดการออกเผยแพร่</span></strong><br />วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กำหนดออกและตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 6 ฉบับ<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์<br />- ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน<br />- ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม<br />- ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม<br />- ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม<br /><br /><strong><span style="color: #e74c3c;">บรรณาธิการ :</span></strong><br />ศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา ประเทพา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br /><br /><strong><span style="color: #e74c3c;">กระบวนการพิจารณา</span></strong><br />บทความที่ส่งพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิในลักษณะผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่งและผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double-Blind Peer Review) ตามกระบวนการที่กองบรรณาธิการกำหนด ทั้งนี้บทความได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ จากหลากหลายสถาบัน</p> <p><strong><span style="color: #e74c3c;">ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</span></strong></p> <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ จำนวน 4,000 บาท เมื่อบทความผ่านกระบวนการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิและกองบรรณาธิการ<strong>ให้ตอบรับการตีพิมพ์</strong></p> <p>บทความที่กองบรรณาธิการการพิจารณาให้<strong>ปฏิเสธการตีพิมพ์</strong> <strong>ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียม</strong></p> <p>ทั้งนี้หากผู้นิพนธ์ยกเลิกบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นิพนธ์ต้องชำระค่าดำเนินการ จำนวน 2,000 บาท</p> Division of Research Facilitation and Dissemination Mahasarakham University th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2985-2617 การศึกษา Streptomyces sp. WPN31 ที่แยกได้จากดินบริเวณรากต้นเตยหอม (Pandanus amaryllifolius): การสร้างเอนไซม์อะไมเลส เซลลูเลส และไซลาเนส และการตรวจสอบคุณสมบัติการยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์ม https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261083 <p> ไบโอฟิล์มเป็นสารที่ซับซ้อน ซึ่งหลั่งออกมาจากเชื้อจุลินทรีย์และสามารถเกาะติดกับพื้นผิวได้ ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม โรงงานอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อจุลินทรีย์ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความสามารถของเชื้อ <em>Streptomyces </em>sp. WPN31 ที่แยกได้จากดินบริเวณรากต้นเตยหอม ในการสร้างเอนไซม์อะไมเลส เซลลูเลส และไซลาเนส และการยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของแบคทีเรียก่อโรค โดยผลของยีน <em>16</em><em>S rRNA </em>พบว่า WPN31 มีความคล้ายคลึงกับ <em>Streptomyces griseicoloratus </em>(ร้อยละ 98.90) มากที่สุด ซึ่งเป็น streptomycetes สปีชีส์ใหม่ที่แยกได้จากดินในไร่ฝ้าย สาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตาม พบว่า <em>Streptomyces </em>sp. WPN31 มีความสามารถในการผลิตเอนไซม์นอกเซลล์ ได้แก่ เอนไซม์อะไมเลส เซลลูเลส และไซลาเนสได้ที่อุณหภูมิ 37 และ 40 องศาเซลเซียส และจากการประเมินการยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของ <em>Staphylococcus aureus </em>และ <em>Pseudomonas aeruginosa </em>โดยใช้สารส่วนเหนือตะกอนของ WPN31 พบว่า ส่วนเหนือตะกอนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการสร้างไบโอฟิล์มของ <em>S</em><em>. </em><em>aureus </em>และ <em>P</em><em>. </em><em>aeruginosa </em>ดังนั้น การศึกษานี้จึงเป็นการรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับฤทธิ์ในการยับยั้งไบโอฟิล์มของ <em>Streptomyces </em>sp. WPN31 ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลายได้</p> วรรณิกา ปะนา พงศกร กันทะ นภัสสร สันตะพันธ์ วิศรุต ศรีศักดิ์วรางกูร นวรัตน์ นันทพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 413 423 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรากฏขึ้นของไมคอร์ไรซา และเห็ดกินได้ในแปลงปลูกไม้วงศ์ Dipterocapeceae ในจังหวัดสุรินทร์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261049 <p> ไม้วงศ์ยางเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย และเป็นพรรณไม้ที่มีภาวะอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างรากไม้กับเห็ดป่าไมคอร์ไรซา ไม้วงศ์ยางจึงมีความสำคัญต่อการชักนำการเกิดเห็ดได้เป็นอย่างดี งานวิจัยนี้จึงวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจชนิดเห็ดป่าไมคอร์ไรซา เห็ดกินได้ และศึกษาปัจจัยแวดล้อมบางประการต่อการปรากฏของเห็ดป่าไมคอร์ไรซาและเห็ดกินได้ในแปลงปลูกไม้วงศ์ยาง จำนวน 5 แปลง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอศีขรภูมิ และอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โดยสำรวจรูปแบบการปลูก ชนิดไม้วงศ์ยางที่ปลูก ชนิดเห็ดป่าไมคอร์ไรซาและเห็ดป่ากินได้ที่พบ พร้อมเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์ระดับธาตุอาหาร ความเป็นกรด-ด่าง และปริมาณอินทรียวัตถุ รวมถึงเก็บข้อมูลความเข้มแสง ความชื้นสัมพัทธ์อากาศ อุณหภูมิอากาศ และความชื้นดิน ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงธันวาคม พ.ศ. 2565 ผลการสำรวจพบว่า การปลูกไม้วงศ์ยางของเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกในรูปแบบสวนป่า ชนิดไม้ที่นิยมปลูกมากที่สุดคือ ยางนา รองลงมาคือ ตะเคียนทอง และพะยอม ตามลำดับ ไม้ในทั้ง 5 แปลง มีอายุการปลูกตั้งแต่ 1-27 ปี ผลการสำรวจพบเห็ดป่าไมคอร์ไรซาทั้งหมด 4 ชนิด จัดอยู่ใน 3 สกุล 3 วงศ์ เห็ดป่ากินได้ทั้งหมด 3 ชนิด 2 สกุล 2 วงศ์ โดยในแปลงปลูกไม้วงศ์ยางแปลงที่ 1 พบเห็ดป่าไมคอร์ไรซาสกุล <em>Amanita </em>มีความถี่การปรากฏมากที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม รองลงมาพบสกุล <em>Russula </em>ในแปลงปลูกไม้วงศ์ยางแปลงที่ 4 ปรากฏตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และพบเห็ดป่ากินได้สกุล <em>Termitomyces</em> มีความถี่การปรากฏมากที่สุดในแปลงปลูกไม้วงศ์ยางแปลงที่ 3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกันยายน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเห็ดป่าที่พบในแปลงกับปัจจัยแวดล้อม โดยวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ Pearson’s Correlation Analysis แสดงให้เห็นว่าความเข้มแสง ความชื้นดิน อินทรียวัตถุ และความชื้นสัมพัทธ์อากาศ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปรากฏเห็ดป่าไมคอร์ไรซา ในขณะที่ปริมาณอินทรียวัตถุ ความชื้นดิน และความชื้นสัมพัทธ์อากาศ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปรากฏเห็ดป่ากินได้ นอกจากนี้ยังพบว่า อายุไม้วงศ์ยาง และการปฏิบัติดูแลแปลงของเกษตรกร เช่น การเติมเชื้อเห็ดอย่างต่อเนื่อง มีส่วนสำคัญในการปรากฏของเห็ดป่าไมคอร์ไรซาและเห็ดป่ากินได้อีกด้วย</p> ชวนพิศ จารัตน์ ยุพเยาว์ โตคีรี ฐิตาภรณ์ นิลวรรณ พรรณนิการ์ กงจักร อำนวย วัฒนกรสิริ ไสว คณาเสน Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 424 432 เทคนิคการเตรียมตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์ปริมาณกรดอินทรีย์สายโซ่สั้นในตัวอย่างกาแฟโดยเครื่องสกัดด้วยเฟสของแข็งอัตโนมัติ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/259898 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเทคนิคเตรียมตัวอย่างเพื่อลดสารรบกวนก่อนการวิเคราะห์กรดอินทรีย์สายโซ่สั้น 6 ชนิด ได้แก่ กรดอะซิติก กรดโพรพิโอนิก กรดไอโซบิวทีริก กรดบิวทีริก กรดไอโซวาเลอริก และกรดวาเลอริกด้วยเครื่อง GC จากตัวอย่างกาแฟสกัดด้วยหม้อต้ม การเตรียมตัวอย่างใช้เมทานอลกับนํ้าปราศจากไอออนเจือจางตัวอย่าง 5 เท่า แยกอนุภาคขนาดใหญ่ด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง แล้วทำความสะอาดโดยเครื่องสกัดด้วยเฟสของแข็งอัตโนมัติ สภาวะที่ศึกษา ได้แก่ คาร์ทริดจ์ชนิด Sep-ed C18 อัตราในการโหลด 0.1 mL/min และปริมาตรตัวอย่าง 5 mL ผลจากการศึกษาลักษณะกายภาพของตัวอย่างก่อนและหลังเตรียมตัวอย่างขนาดอนุภาคลดลงจาก 6.78±4.69 เป็น 1.40±0.74 ผลค่าสีความเป็นสีแดง สีเหลือง และดัชนีความเหลืองลดลง แต่มีค่าความสว่างและค่าดัชนีความขาวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>P</em> &lt; 0.05 ผลการศึกษาความใช้ได้ของวิธีได้ช่วงการวิเคราะห์ที่กว้างเพียงพอต่อการใช้งาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงเส้นตรง (<em>r</em>) &gt; 0.9997 ขีดจำกัดของการตรวจวัดอยู่ในช่วง 2.5-10 mg/L ขีดจำกัดการตรวจวัดเชิงปริมาณอยู่ในช่วง 5-20 mg/L ร้อยละการได้กลับคืนอยู่ในช่วง 93.8±3.6 ถึง 104.3±1.8 และความเที่ยงในการทำซ้ำในช่วงร้อยละ 1.6-4.7 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์การยอมรับ ทั้งนี้การวิเคราะห์ทางเคมีในเชิงคุณภาพด้วยเครื่อง GC-MS พบกลุ่มกรดอินทรีย์สัดส่วนร้อยละพื้นที่ใต้กราฟ 36.4-50.4 และการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยคำนวณต่อน้ำหนักเมล็ดกาแฟด้วยเครื่อง GC-FID พบปริมาณกรดอินทรีย์รวมในช่วง 3.08-7.92 g/kg</p> ณัฐนรี รัตนคันทรง กานต์ธิดา คงแทน รุสนี กุลวิจิตร ศักดิ์ชัยบดี ปิ่นศรีทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 433 444 การพัฒนาระบบแนะนำการเลือกวิชาเอกของสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยใช้เทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261234 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบจำลองแนะนำการเลือกวิชาเอกของสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพแบบจำลองด้วยวิธีต้นไม้ตัดสินใจโดยใช้ อัลกอริทึม Iterative Dichotomiser 3 อัลกอริทึม C4.5 และ Classification and Regression Trees (CART) และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบที่พัฒนาขึ้น ข้อมูลที่นำมาสร้างแบบจำลองประกอบด้วย ข้อมูลผลการเรียน 10 รายวิชา ได้แก่ คอมพิวเตอร์เบื้องต้นและองค์ประกอบคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น สถิติและการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี การเขียนโปรแกรมเชิงอ็อบเจ็กต์ คณิตศาสตร์เต็มหน่วย ระบบฐานข้อมูล การเขียนโปรแกรมบนเว็บ การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้และส่วนติดต่อผู้ใช้งาน และ การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาปรับสมดุลด้วยวิธี SMOTE แล้วจึงนำมาพัฒนาด้วย อัลกอริทึม Iterative Dichotomiser 3, C4.5 และ Classification and Regression Trees (CART) ระบบนี้ถูกพัฒนาในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันด้วยภาษาพีเอชพีร่วมกับฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล ผลการทดสอบประสิทธิภาพแบบจำลองด้วยวิธี 10-fold cross validation พบว่าแบบจำลองที่พัฒนาด้วยอัลกอริทึม C4.5 ให้ประสิทธิภาพดีที่สุด โดยมีค่าความถูกต้องเท่ากับ 93.20 % ค่าความแม่นยำเท่ากับ 93.33% และค่าระลึกเท่ากับ 93.32% ผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้ระบบจำนวน 30 คนโดยใช้แบบสอบถาม พบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( \overline{x} = 3.66, SD. = 0.93)</p> วงกต ศรีอุไร อนุสรณ์ บรรเทิง คมกฤษณ์ มุธาพร Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 445 454 การวิเคราะห์ตระกร้าตลาดโดยใช้กฎความสัมพันธ์และแอปพลิเคชันการใช้งาน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261571 <p> ปัจจุบันบ่อยครั้งนักท่องเที่ยวในประเทศไทยต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เรียกว่า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) หลังจากท่องเที่ยว ซึ่งปัญหาหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่มีความยากตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ใดที่ขายดี หรือโปรโมชั่นใดที่เป็นทางเลือกในกลุ่มผลิตภัณฑ์มากมาย จากสาเหตุดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การเรียนรู้กฎความสัมพันธ์ เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ของข้อมูลและรูปแบบรายการขายของผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มียอดความถี่ของคู่ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อพร้อมกัน ในงานวิจัยนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ด้วยความถี่ของการซื้อขายผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเทคนิคเอฟพีโกรท และอัลกอริทึมอะพริโอริสำหรับการแนะนำผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สำหรับการทดลองได้ใช้ชุดข้อมูลจำนวน 2 ชุด จากร้านบ้านถั่วลิสงและศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป ระหว่างปี พ.ศ. 2559 – 2565 ที่มีจำนวน 200,000 รายการ การศึกษามุ่งเน้นการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเทคนิคเอฟพีโกรท และอัลกอริทึมอะพริโอริ พบว่าเวลาการประมวลผลของอัลกอริทึมอะพริโอริดีกว่าเทคนิคเอฟพีโกรท ในขณะที่ภาพรวมการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานของแอปพลิเคชันแนะนำผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับดีมาก หรือเท่ากับ 4.72</p> ศิริลักษณ์ แก้วศิริรุ่ง ขนิษฐา หอมจันทร์ วรวิทย์ ฝั้นคำอ้าย กัญญ์ณพัชญ์ พลเยี่ยม จักรี ม่วงสาร วราวุธ วิสมกา นงนุช เกตุ้ย Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 455 463 การสร้างลาเบลสังเคราะห์สำหรับการจำแนกภาพถ่ายดาวเทียมผ่านการเรียนรู้แบบมีผู้สอนด้วยการแทนค่าด้วยตัวเอง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261394 <p> ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมมักนิยมใช้เทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกแบบมีผู้สอน แต่เทคนิคนี้ต้องใช้ชุดข้อมูลที่มีลาเบล (Label) จำนวนมาก และการเก็บข้อมูลลาเบลมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในด้านแรงงานคนและทรัพยากรอื่น ๆ ในขณะที่ปัจจุบันมีฐานข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมที่ไม่มีข้อมูลลาเบลเป็นจำนวนมาก ที่สามารถใช้ได้ทั้งในเชิงพาณิชย์และทางวิชาการ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนข้อมูลลาเบลอย่างในโจทย์การจำแนกภาพถ่ายดาวเทียม งานวิจัยนี้จึงนำเสนอกระบวนเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ไม่มีลาเบลเหล่านี้ โดยอาศัยเทคนิคการเรียนรู้แทนภาพด้วยตนเอง (Self-Supervised Representation Learning) เพื่อสร้างข้อมูลลาเบลเทียมที่ทำหน้าที่เป็นชุดข้อมูลสอนสำหรับเทรนโมเดลการเรียนรู้แบบมีผู้สอนอีกที ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าโมเดลที่เทรนด้วยข้อมูลลาเบลเทียมมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับโมเดลที่เทรนด้วยข้อมูลลาเบลจริง แต่ใช้ข้อมูลลาเบลน้อยกว่าถึง 9 เท่า โดยมีความแม่นยำ 75% บนชุดข้อมูลไร่ปาล์มน้ำมัน และ 86% บนชุดข้อมูลป่าแอมะซอน นอกจากนี้กระบวนการสร้างข้อมูลลาเบลเทียมยังให้เวกเตอร์คุณลักษณะ (Feature Vector) ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถถ่ายทอดความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่นที่คล้ายกันได้อีกด้วย</p> ศรัณย์ กุลยานนท์ วสิศ ลิ้มประเสริฐ ปกป้อง ส่องเมือง รัชฎา คงคะจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 464 472 การออกแบบและจัดสร้างระบบควบคุมการให้น้ำแบบอัตโนมัติพลังงานแสงอาทิตย์จากค่าความชื้นในดินด้วยพีแอลซีสำหรับพืชกระท่อม (Mitragyna speciosa Korth.) https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/261492 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและจัดสร้างระบบควบคุมการให้น้ำแบบอัตโนมัติจากค่าความชื้นในดินด้วยพีแอลซีสำหรับพืชกระท่อมโดยใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ โดยการศึกษารูปแบบของการให้น้ำและค่าความชื้นในดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชกระท่อมมาเป็นข้อมูลสำคัญในการให้น้ำ สำหรับระบบที่นำเสนอจะใช้วิธีการคำนวณเพื่อกำหนดขนาดของระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับจ่ายให้มอเตอร์ปั๊มน้ำและอุปกรณ์ควบคุมที่ใช้ พีแอลซีบอร์ดเป็นตัวประมวลผลจากข้อมูลที่ส่งมาจากเซนเซอร์วัดแรงดันไฟฟ้าและเซนเซอร์วัดความชื้นในดินสำหรับเริ่มต้นการให้น้ำพืชกระท่อม และใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์วัดความดันน้ำในท่อส่งน้ำเพื่อควบคุมโซลินอยด์วาล์วจำนวน 2 ตัว ให้เปิด/ปิดการจ่ายน้ำให้ได้ความแรงและปริมาณน้ำจากหัวจ่ายน้ำแบบมินิสปริงเกอร์ที่เหมาะสมกับพืชกระท่อม ผลการทดสอบใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่าระบบที่ออกแบบและจัดสร้างสามารถควบคุมการให้น้ำได้ดีมีรัศมีการกระจายน้ำจากหัวจ่ายน้ำอยู่ระหว่าง 28–60 เซนติเมตร ทั้งในภาวะที่มีแสงอาทิตย์น้อยและแสงอาทิตย์มาก และยังสามารถให้น้ำแก่พืชกระท่อมจนความชื้นในดินบริเวณโคนต้นมีค่าอยู่ระหว่าง 50–80% ตลอดฤดูกาล ทำให้ได้ใบของพืชกระท่อมที่สมบูรณ์ขึ้น คิดเป็นอัตราส่วนของจำนวนใบที่ลดลงต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมที่ดีขึ้นกว่าวิธีการให้น้ำแบบเดิมอยู่ระหว่างร้อยละ 5.04–9.87</p> องอาจ ทับบุรี กันยารัตน์ เอกเอี่ยม Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 473 484 การลดลงของรังสีอาทิตย์เนื่องจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/260472 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาผลของความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 µm ที่มีต่อความเข้มรังสีอาทิตย์ที่พื้นผิวโลกภายใต้สภาพท้องฟ้าปราศจากเมฆที่สถานีวัดรังสีอาทิตย์ จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย (13.82º N, 100.04º E) ในการศึกษาผู้วิจัยใช้ข้อมูลความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 µm จากเครื่องวัดมลพิษทางอากาศต้นทุนต่ำ (AEROBOX) ข้อมูลความเข้มรังสีอาทิตย์จากการวัดด้วยเครื่องไพราโนมิเตอร์ และข้อมูลปริมาณเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้าจากเครื่องถ่ายภาพท้องฟ้าเพื่อใช้จำแนกสภาพท้องฟ้า จากผลการศึกษาพบว่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 µm รายชั่วโมงเฉลี่ยต่อเดือนที่สถานีนครปฐมมีค่าอยู่ในช่วง 5 - 160 µg/m<sup>3</sup> และความเข้มรังสีอาทิตย์รายชั่วโมงเฉลี่ยต่อเดือนมีค่าสูงสุดประมาณ 850 W/m<sup>2</sup> ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้พบว่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 µm ที่เพิ่มขึ้น 1 µg/m<sup>3</sup> มีแนวโน้มทำให้ความเข้มรังสีอาทิตย์ลดลงได้สูงถึง 0.58%</p> สุมามาลย์ บรรเทิง สมเจตน์ ภัทรพานิชชัย เสริม จันทร์ฉาย Sheng-Hsiang Wang Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-12-16 2024-12-16 43 6 485 491