https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/issue/feed วารสารวิชาการเกษตร 2025-12-16T20:23:10+07:00 ดร.สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง journal@doa.in.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการเกษตร </strong>จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ผลงานวิจัย และนวัตกรรมการเกษตรด้านพืช เรื่องที่พิมพ์ต้องเป็นเรื่องน่าสนใจ มีสาระอันเป็นประโยชน์แก่งานวิชาการเกษตรและจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เคยตีพิมพ์ หรือรอการตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น มีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม โดยผลงานวิจัยทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเกษตรได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน อย่างน้อย 2 ท่าน แบบ double-blinded review system</p> <p>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆในการตีพิมพ์จากผู้เขียน</p> <p>เดิม ISSN : 0125-8389 (Print) ISSN : 2773-9317 (Online)</p> <p>ISSN : 3027-7264 (Print) ISSN : 3027-7272 (Online) เริ่มปีที่ 42</p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267440 การประเมินค่าปริมาณของแข็งที่ละลายได้ของผลแตงโมพันธุ์ซอนญ่า ด้วยเทคนิคภาพสเปกโทรสโกปีอินฟราเรดย่านใกล้ 2025-06-30T14:56:39+07:00 พชร สืบสรวง Pachara.subs@ku.th อนุพันธ์ เทอดวงศ์วรกุล fengant@ku.ac.th อาทิตย์ พวงสมบัติ fengatp@ku.ac.th อมรเดช พุทธิพิพัฒน์ขจร fengadp@ku.ac.th แก้วกานต์ พวงสมบัติ fengkkb@ku.ac.th <p>เทคนิคภาพสเปกโทรสโกปีอินฟราเรดย่านใกล้ (near-infrared hyperspectral imaging, NIR-HSI) เป็นเทคนิคการตรวจสอบองค์ประกอบและคุณภาพภายในของผลิตผลเกษตรแบบไม่ทำลายตัวอย่างที่รวดเร็วและแม่นยำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการประเมินคุณภาพภายในของแตงโมพันธุ์ซอนญ่าโดยใช้เทคนิค NIR-HSI พัฒนาแบบจำลองในการทำนายปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด (total soluble solids, TSS) จากตัวอย่างแตงโม 100 ผล วัดสเปกตรัม<br />การสะท้อนกลับของแสงในช่วงความยาวคลื่น 900–1,700 nm ข้อมูลที่ได้อยู่่ในรูปแบบสเปกตรัมข้อมูลสามมิติ นำมาสร้างสมการทำนายค่าปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำด้วยเทคนิค partial least squares regression พบว่า สมการทำนายที่ดีที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.977 ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย 0.231°Bx และค่า bias ที่ 0.047 ซึ่งบ่งบอกถึงสมการทำนายมีประสิทธิภาพสำหรับการประเมินคุณภาพได้ และสามารถนำค่าการดูดกลืนแสงของแต่ละพิกเซลจากข้อมูล hypercube มาแสดงแผนภาพการกระจายตัวของค่า TSS ของผลแตงโม ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของการใช้เทคนิค NIR-HSI เพื่อทำนายค่า TSS และแสดงภาพการกระจายตัวของค่า TSS ของทั้งผลแตงโม จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระบบคัดแยกคุณภาพแตงโมในระดับอุตสาหกรรมในอนาคต</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267912 การออกแบบและพัฒนาเครื่องกำจัดวัชพืชแบบไม่ใช้สารเคมีต่อท้ายรถแทรกเตอร์ 2025-06-16T11:37:37+07:00 พงศ์พันธุ์ ปั้นมยุรา pongphun.pa@ku.th ประเทือง อุษาบริสุทธิ์ fengptu@ku.ac.th วัชรชาญ สุขเจริญวิภารัตน์ watcharachan.s@ku.ac.th ชัยยะ จันทรา chaiya.jant@ku.ac.th วันรัฐ อับดุลลากาซิม fengwra@ku.ac.th <p>อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย เกษตรกรประสบปัญหาการกำจัดวัชพืชจากข้อจำกัดของสารเคมีซึ่งเป็นอันตราย และการใช้วิธีเชิงกลมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และเวลา งานวิจัยนี้มุ่งออกแบบและพัฒนาเครื่องกำจัดวัชพืชด้วยเปลวไฟและน้ำร้อนแบบต่อท้ายรถแทรกเตอร์ พร้อมศึกษาประสิทธิภาพในแปลงอ้อย โดยใช้ปัจจัยการทดสอบ 2 ตัวแปร คือ ความเร็วการเคลื่อนที่ 3 ระดับ และระยะความสูง<br />หัวพ่น 10 20 และ 30 ซม. ผลการทดสอบพบว่า เครื่องใช้เปลวไฟที่ระยะหัวพ่น 10 ซม. และความเร็วการเคลื่อนที่ 8.89 กม./ชม. มีประสิทธิภาพกำจัดวัชพืชสูงสุดถึง 100% ภายใน 7 วันหลังการทดสอบ อุณหภูมิที่กระทบกออ้อยสูงสุด 48.75°ซ. ความชื้นดินลดลง 0.14% มีสมรรถนะการทำงานเชิงไร่ 0.40 ไร่/ชม. และประสิทธิภาพเชิงไร่ 66.77% ใช้แก๊สแอลพีจี 10.29 กก./ไร่ จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 12.19 ไร่/ปี และจุดคืนทุนที่ 67.19 ไร่ ขณะที่เครื่องใช้น้ำร้อนที่ระยะความสูงหัวพ่น 10 ซม. และความเร็วการเคลื่อนที่ที่ 8.41 กม./ชม. มีประสิทธิภาพการกำจัดวัชพืชสูงสุด 93.40% ภายใน 7 วันหลังการทดลอง อุณหภูมิที่กระทบกออ้อยสูงสุด 33.5°ซ. ความชื้นดินเพิ่มขึ้น 0.35% มีสมรรถนะการทำงานเชิงไร่ 0.40 ไร่/ชม. และประสิทธิภาพเชิงไร่ 71.27% ใช้แก๊สแอลพีจี 15.14 กก./ไร่ จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 30.48 ไร่/ปี และจุดคืนทุนที่ 167.95 ไร่ ผลวิจัยชี้ว่า เครื่องกำจัดวัชพืชด้วยเปลวไฟมีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงกว่าสำหรับการจัดการวัชพืชในไร่อ้อย</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267768 ความไวของเชื้อรา Exserohilum turcicum ต่อสารคาร์เบนดาซิมและประสิทธิภาพของ สารกำจัดเชื้อราในการควบคุมโรคใบไหม้แผลใหญ่ข้าวโพดในประเทศไทย 2025-08-21T14:01:57+07:00 ธนดา นาคเงิน thanada.n@ku.th กิตติธัช ตราชู kittithud.tr@ku.ac.th ศุภฤกษ์ ลิ้มดลธรรม Limdolthamand@gmail.com วีระณีย์ ทองศรี ทองศรี fagrvnt@ku.ac.th ธิดา เดชฮวบ agrtdd@ku.ac.th ปัฐวิภา สงกุมาร fagrpps@ku.ac.th <p>โรคใบไหม้แผลใหญ่ของข้าวโพดจากเชื้อรา <em>Exserohilum turcicum</em> มีคำแนะนำการใช้สารคาร์เบน ดาซิมร่วมกับสารกลุ่ม demethylation inhibitors เพื่อควบคุมโรคนี้ แต่ประสิทธิภาพของสารคาร์เบนดาซิม ต่อเชื้อ <em>E. turcicum</em> ยังไม่ชัดเจน งานวิจัยนี้จึงประเมินความไวต่อคาร์เบนดาซิมของประชากรเชื้อรา <em>E. turcicum</em> (n=36) ซึ่งรวบรวมระหว่างปี พ.ศ. 2564–2565 ตรวจสอบลำดับนิวคลีโอไทด์บริเวณยีน ß<sub>2</sub>-tubulin (<em>Tub2</em>) ที่ตำแหน่งโคดอน 167 198 และ 200 ในไอโซเลทเชื้อ <em>E. turcicum</em> ซึ่งไวต่อสารคาร์เบนดาซิมต่ำสุดและสูงสุดสองลำดับแรกในประชากรเชื้อราทดสอบ และประเมินศักยภาพของคาร์เบนดาซิมในแปลงปลูกข้าวโพด ผลการทดลองความไวต่อคาร์เบนดาซิมโดยพิจารณาค่าความเข้มข้นซึ่งยับยั้งการเจริญเส้นใยเชื้อรา 50% (EC<sub>50</sub>) พบว่า เชื้อราในประชากรมากกว่าครึ่งมีค่า EC<sub>50</sub> สูงกว่า baseline sensitivity (1.23–8.70 µg/mL) และกราฟแจกแจงความถี่ค่า EC<sub>50</sub> บ่งชี้แนวโน้มความไวต่อสารคาร์เบนดาซิมลดลง การวิเคราะห์ลำดับนิวคลีโอไทด์ของยีน <em>Tub2</em> ไม่พบความแตกต่างในไอโซเลทเชื้อราที่ไวต่อสารคาร์เบนดาซิมสูงและต่ำสุดในสองลำดับแรก การทดสอบสารเคมีในแปลงปลูกซึ่งเกิดโรคตามธรรมชาติ พบว่า การพ่นคาร์เบนดาซิม (50% SC) มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรคได้น้อยกว่าการใช้สารผสมระหว่าง tebuconazole+trifloxystrobin (50+25% WG) และ azoxystrobin+ difenoconazole (20+12.5% SC) ตามอัตราแนะนำ สรุปได้ว่าประชากรเชื้อ<em> E. turcicum</em> ของประเทศไทยมีความไวต่อคาร์เบนดาซิม ลดลง และการพ่นสารคาร์เบนดาซิมเพียงชนิดเดียวโดยไม่ได้ผสมสารอื่นมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ</p> <p> </p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267041 ความหลากหลายและสัณฐานวิทยาของพืชสกุล Portulaca L. (Portulacaceae) 2025-08-28T16:41:00+07:00 กาญจนา พฤษพันธ์ kpruesapan@gmail.com ศิริพร ซึงสนธิพร siripornzung@gmail.com ธัญชนก ศรีเมือง tanchanok.doa@gmail.com <p>พืชสกุล <em>Portulaca</em> L. (Portulacaceae) หลายชนิดมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเป็นวัชพืชในระบบนิเวศเกษตร หากเกิดการปนเปื้อนในสินค้าเกษตรจะส่งผลกระทบในด้านการค้าระหว่างประเทศได้การป้องกันที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับชื่อพฤกษศาสตร์ของพืชเหล่านี้ การวิจัยนี้<br />จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายและสัณฐานวิทยาของสกุล<em> Portulaca</em> เพื่อการระบุชื่อพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้อง โดยสำรวจพืชในพื้นที่เกษตรและแหล่งกระจายพันธุ์นอกพื้นที่การเกษตร เก็บรวบรวมตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิง บันทึกข้อมูลลักษณะทางสัณฐาน และตรวจสอบระบุชื่อพืช พบตัวอย่างพืช 25 ตัวอย่าง สามารถระบุชื่อด้วยลักษณะทางสัณฐานได้ 7 ชนิด ได้แก่ <em>P. amilis</em> Speg. <em>P. grandiflora</em> Hook. <em>P. oleracea</em> L. <em>P. pilosa</em> L. <em>P. quadrifida</em> L. <em>P. umbraticola</em> Kunth และ <em>Portulaca</em> sp. พบพืชที่ไม่เคยมีการรายงานในการศึกษาทางอนุกรมวิธานของประเทศไทยมาก่อน คือ <em>P. amilis</em> และ <em>P. umbraticola</em> และพบการกระจายพันธุ์ในระบบนิเวศเกษตรของ<br /><em>P. oleracea P. Pilosa P. quadrifida</em> และ <em>Portulaca</em> sp. ที่แสดงสถานะการเป็นวัชพืชในพื้นที่เกษตรกรรมที่ควรเฝ้าระวัง ในขณะที่ <em>P. amilis P. grandiflora</em> และ <em>P. umbraticola</em> ส่วนใหญ่พบปลูกประดับในพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้ ข้อมูลพืชที่ได้จากการศึกษานี้สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการป้องกันกำจัดและพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/265611 การวิเคราะห์เสถียรภาพและศักยภาพแบบหลายสภาพแวดล้อมของสายพันธุ์ก้าวหน้า มันสำปะหลังชุดลูกผสมปี 2561 ด้วย GGE Biplot 2025-01-24T10:18:12+07:00 รุ่งรวี บุญทั่ง lucybroom@gmail.com สุวลักษณ์ ศันสนีย์ suwaluk.san@gmail.com นราชัย โพธิ์สาร npryfcrc@gmail.com ภานุวัฒน์ มูลจันทะ phanuwat750@gmail.com ศิริลักษณ์ ล้านแก้ว sirilak.lk@gmail.com สายชล แสงแก้ว saichonjomkoh@gmail.com นภา บุญสังข์ napaboonsang@gmail.com ฉัตรชีวิน ดาวใหญ่ kased_31@hotmail.com จุฑามาศ เครื่องพาที noomnim1991@gmail.com <p>พันธุ์มันสำปะหลังที่ดีควรมีศักยภาพและเสถียรภาพของลักษณะทางการเกษตรที่สำคัญแม้ปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพและเสถียรภาพของสายพันธุ์ก้าวหน้ามันสำปะหลังชุดลูกผสมปี 2561 ในการให้ผลผลิตหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้ง และผลผลิตแป้ง ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันใน 14 สภาพแวดล้อม ระหว่างปี พ.ศ. 2566-2567 โดยทดสอบมันสำปะหลัง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ CMR61-51-39 CMR61-52-113 และ CMR61-52-134 ร่วมกับพันธุ์เปรียบเทียบ 3 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ กวก.ระยอง5 กวก.ระยอง9 และเกษตรศาสตร์50 วางแผนการทดลองแบบ randomized complete block design 4 ซ้ำ ทำการประเมินศักยภาพและเสถียรภาพของพันธุกรรมโดยใช้วิธีวิเคราะห์แบบ GGE biplot พบว่า สายพันธุ์ CMR61-52-134 สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย มีศักยภาพและเสถียรภาพของผลผลิตหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้งและผลผลิตแป้งเฉลี่ย 5,868 กก./ไร่ 22.4% และ 1,359 กก./ไร่ ตามลำดับ ดังนั้น จึงเลือกสายพันธุ์ CMR61-52-134 เป็นสายพันธุ์ดีเด่น เพื่อนำไปศึกษาหาคำแนะนำด้านการปลูกและดูแลรักษาต่อไป</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267470 การประเมินผลผลิตและเนื้อสัมผัสของมันสำปะหลังบริโภคลูกผสมปี 2560 2025-05-06T14:23:43+07:00 กุสุมา รอดแผ้วพาล รอดแผ้วพาล kusuma357@gmail.com กาญจนา กิระศักดิ์ kanjanakiki@gmail.com ทนุธรรม บุญฉิม iberzerk_satit@hotmail.com ศยามล แก้วบรรจง sayamol2973@gmail.com ฉัตรชีวิน ดาวใหญ่ kased_31@hotmail.com ทิพย์ดรุณี สิทธินาม tipdartipdy@hotmail.com เฌอรัชด์พัชร เขียววิชัย choerat@gmail.com ชฎาพร อินเปลี่ยน chadaporn.inplean@gmail.com สุวลักษณ์ ศันสนีย์ suwaluk2022@gmail.com ธนาวดี ค้ำชู TANAVADEEKUMCHOO@gmail.com <p>การทดสอบผลผลิตมันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ในหลายสภาพแวดล้อมเป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดเลือกพันธุ์ดีเพื่อแนะนำเกษตรกร วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อประเมินศักยภาพการให้ผลผลิตและคุณภาพเนื้อสัมผัสของมันสำปะหลังบริโภคลูกผสมปี 2560 ในหลายสภาพแวดล้อม วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ 3 ซ้ำ ระหว่าง เดือน พ.ค. 2565–พ.ค. 2566 ใน 6 สภาพแวดล้อม ได้แก่ จ.ระยอง ขอนแก่น สุโขทัย ลพบุรี กาญจนบุรี และสงขลา ประกอบด้วยมันสำปะหลังบริโภคลูกผสม 4 สายพันธุ์ คือ CMRE60-03-02 CMRE60-03-13 OMRE60-01-02 และ OMRE60-02-12 และพันธุ์เปรียบเทียบ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ห้านาที และ กวก. ระยอง2 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนรวม พบว่า สายพันธุ์ OMRE60-01-02 CMRE60-03-13 และ CMRE60-03-02 ให้ผลผลิตหัวสดไม่แตกต่างกัน เฉลี่ย 4,794 4,538 และ 4,207 กก./ไร่ ตามลำดับ ทั้ง 3 สายพันธุ์นี้ ให้ผลผลิตหัวสดสูงกว่าพันธุ์ห้านาที และ กวก. ระยอง2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยให้ผลผลิตหัวสดสูงกว่าพันธุ์ห้านาที 70 61 และ 49% ตามลำดับ และสูงกว่า กวก. ระยอง2 57 48 และ 38% ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ GGE biplot พบว่า มันสำปะหลังสายพันธุ์ OMRE60-01-02 ให้ผลผลิตหัวสดเฉลี่ยสูงสุด และมีเสถียรภาพการให้ผลผลิตสูง ส่วนสายพันธุ์ CMRE60-03-13 ให้ผลผลิตหัวสดเฉลี่ยสูงไม่แตกต่างจากสายพันธุ์ OMRE60-01-02 แต่มีเสถียรภาพการให้ผลผลิตต่ำกว่า ในขณะที่พันธุ์ห้านาทีมีเสถียรภาพการให้ผลผลิตสูงสุด แต่ให้ผลผลิตต่ำที่สุด มันสำปะหลังนึ่งที่ทำจากสายพันธุ์ CMRE60-03-13 มีคุณภาพด้านเนื้อสัมผัสสูงกว่าพันธุ์ห้านาทีและ OMRE60-01-02 ดังนั้น มันสำปะหลังลูกผสมสายพันธุ์ CMRE60-03-13 จึงเหมาะสำหรับแนะนำเกษตรกร เนื่องจากให้ผลผลิตหัวสดและคุณภาพเนื้อสัมผัสหลังนึ่งสูง</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/266722 การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบค่าดัชนีการเกิดโรคและพื้นที่ใต้กราฟพัฒนาการเกิดโรค เพื่อจำแนกระดับความรุนแรงของโรคใบไหม้แผลใหญ่ 2025-05-10T13:26:00+07:00 ธีรวุฒิ วงศ์วรัตน์ theerawut6949@gmail.com เชาวนาถ พฤทธิเทพ chavanaj@yahoo.com สุวรา วุฒิอำพล suwara4485@gmail.com ภาณุวัฒน์ ศิลปศักดิ์ขจร tai_panuwat@hotmail.com <p>โรคใบไหม้แผลใหญ่ (<em>Exserohilum turcicum</em>) เป็นหนึ่งในโรคทางใบที่สำคัญของข้าวโพด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิตข้าวโพดหวาน การประเมินความรุนแรงของโรคอย่างถูกต้องมีความจำเป็นต่อการคัดเลือกพันธุ์ต้านทานโรค การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความเหมาะสมของค่าดัชนีการเกิดโรค (PDI) และพื้นที่ใต้กราฟพัฒนาการเกิดโรค (AUDPC) ในการจำแนกระดับความรุนแรงของโรคใบไหม้แผลใหญ่ในข้าวโพดหวาน โดยดำเนินการศึกษาในข้าวโพดลูกผสมตัวเองชั่วที่ 6 (S<sub>6</sub>) ณ ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ ระหว่างเดือน ธ.ค. 2564 ถึง ก.พ. 2565 ทำการปลูกเชื้อรา <em>E. turcicum</em> และประเมินค่า PDI 2 ครั้ง คือ ที่ 28 วัน และ 55 วันหลังปลูก จากนั้นคำนวณค่า AUDPC ร่วมกับกราฟเส้นโค้ง ROC curve และดัชนี Youden เพื่อกำหนดจุดวิกฤต พบว่า ค่า PDI ที่ 28 วันหลังปลูก ไม่เหมาะสมสำหรับการจำแนกระดับความรุนแรงของโรค ขณะที่ค่า PDI ที่ 55 วันหลังปลูก และค่า AUDPC ที่ 28 และ 55 วันหลังปลูก มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถกำหนดค่าวิกฤตที่ 910.88 และค่าพื้นที่ใต้กราฟเส้นโค้ง (AUC) เท่ากับ 1 ซึ่งบ่งชี้ว่าสามารถจำแนกสายพันธุ์ข้าวโพดหวานที่มีระดับต้านทานและอ่อนแอต่อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วิธีการนี้จึงน่าเชื่อถือและเหมาะสมมากกว่าการใช้ค่า PDI ที่ 55 วันหลังปลูกเพียงอย่างเดียว และสามารถใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนงานด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานต้านทานโรคได้ในอนาคต</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/267258 การชักนำสารและกลไกที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานต่อศัตรูพืชในยาสูบ ด้วยสารสกัดสคอพอเลตินจากผลยอบ้าน 2025-06-07T03:28:50+07:00 เขมมิการ์ โขมพัตร kjoy2000@hotmail.com เยาวภา สุขพรมา yaowapa.suk@psu.ac.th ปริยากร ฤทธิสุนทร tum031@hotmail.com ฐิติกร พรหมบรรจง thitikon.c@rmutsv.ac.th วิมลวรรณ วัฒนวิจิตร pwimonwan@hotmail.com <p>สคอพอเลตินเป็นสารทุติยภูมิที่พบในพืชหลายชนิด สามารถต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อสกัดแยกสารสคอพอเลตินจากผลยอบ้าน (<em>Morinda citrifolia</em> L.) ของไทยและนำมาใช้ชักนำสารและกลไกที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานต่อศัตรูพืชในต้นยาสูบ ทำการสกัดสารจากผลยอโดยวิธีการหมักแช่ด้วยเอทานอล จากนั้นแยกสารสกัดด้วยคอลัมน์โครมาโทกราฟีที่มีซิลิกาเจลเป็นเฟสอยู่กับที่ ชะด้วยสารละลายผสมเอทิลอะซิเตทและเฮกเซน (0-60%v/v) จากนั้นตรวจสอบส่วนย่อยที่แยกได้ด้วยวิธี TLC ภายใต้แสงยูวีที่ความยาวคลื่น 365 นาโนเมตร แล้วแยกส่วนย่อยที่มีสคอพอเลตินให้บริสุทธิ์ด้วยคอลัมน์โครมาโทกราฟี โดยใช้ 2% เมทานอลในไดคลอโรมีเทนเป็นตัวชะพบว่า สคอพอเลตินที่ได้มีผลึกเป็นสีเหลือง ยืนยันความเป็นสคอพอเลตินโดยใช้ TLC UV-visible spectroscopy Fourier transform infrared spectroscopy และ nuclear magnetic resonance spectroscopy โดยมีผลได้ 0.038<u>+</u>0.01% การทดสอบการชักนำความต้านทานด้วยวิธีฉีดสารสคอพอเลตินเข้มข้น 100 500 และ 1,000 ไมโครโมลาร์ ในใบยาสูบ พบว่า สามารถ<br />กระตุ้นการผลิตกรดซาลิซิลิก และเพิ่มกิจกรรมของเอนไซม์ฟีนิลอะลานีน แอมโมเนียไลเอส กลูคาเนส และเปอร์ออกซิเดส โดยมีรูปแบบการตอบสนองสูงสุดในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่าสคอพอเลตินที่สกัดจากผลยอบ้านของไทยมีคุณสมบัติเป็นสารกระตุ้นความต้านทานในต้นยาสูบผ่านการกระตุ้นโมเลกุลสัญญาณและเอนไซม์ที่สำคัญในระบบความต้านทานของพืช</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/266830 การผลิตฟิล์มชีวภาพจากสตาร์ชมันสำปะหลังโดยใช้ลิกนินและนาโนเซลลูโลส จากเปลือกทุเรียนเป็นสารเติมแต่ง 2025-03-26T15:47:14+07:00 กนกศักดิ์ ลอยเลิศ ลอยเลิศ sakagro176@gmail.com ประยูร เอ็นมาก sakagro176@gmail.com นภัสสร เลียบวัน sakagro176@gmail.com สุกัญญา นิติยนต์ sakagro176@gmail.com ศิวัช พลายเสน sakagro176@gmail.com <p>ฟิล์มชีวภาพที่ทำจากสตาร์ชมันสำปะหลังเพื่อใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่ค่อยคงทนเท่าที่ควร ขาดง่าย อายุการใช้งานสั้น เปลือกทุเรียนที่มีปริมาณมากและยังไม่มีอุตสาหกรรมที่นำไปใช้ประโยชน์จึงเลือกมาผลิตสารเติมแต่งในการผลิตฟิล์มชีวภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตแผ่นฟิล์มชีวภาพจากสตาร์ช มันสำปะหลังโดยผสมสารเติมแต่งลิกนินและนาโนเซลลูโลสที่สกัดจากเปลือกทุเรียนที่มีความคงทน พบว่า เปลือกทุเรียนสกัดลิกนินได้ปริมาณ 39.5% และนาโนเซลลูโลส 10% โดยน้ำหนักแห้ง สตาร์ชมันสำปะหลังเมื่อเติมกลีเซอรอล 30% โดยน้ำหนัก และเติมสารเติมแต่งจากลิกนินและนาโนเซลลูโลสจากเปลือกทุเรียนอัตราต่าง ๆ ขึ้นรูปเป็นแผ่นฟิล์ม พบว่า แผ่นฟิล์มชีวภาพที่เติมลิกนิน 3% โดยปราศจากนาโนเซลลูโลส ให้คุณลักษณะโดยรวมดีที่สุด มีแรงดึงขาดสูง 142.51±5.21 กก.แรง/ซม.<sup>2</sup> และการยืดตัวของแผ่นฟิล์ม 10.81±0.53% ปริมาณความชื้น 7.97±0.18% การละลายน้ำ 4.88±0.65% อัตราการซึมผ่านของก๊าซออกซิเจน 109.1±15.48 ซม<sup>3</sup>/ม<sup>2</sup>/วัน ใกล้เคียงกับแผ่นฟิล์มชีวภาพที่ไม่เติมสารเติมแต่ง 109.5±34.71 ซม<sup>3</sup>/ม<sup>2</sup>/วัน ความหนา 0.185±0.00 มม. และการเปลี่ยนแปลงสี (∆E) 41.89±0.85 สมบัติทางกายภาพของแผ่นฟิล์มชีวภาพจากสตาร์ชมันสำปะหลังที่เติมลิกนิน 3% จากเปลือกทุเรียนและกลีเซอรอล 30% มีความคงทนมากขึ้นสามารถนำมาใช้บรรจุอาหารแห้งได้</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการเกษตร