วารสารวิชาการเกษตร https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch <p><strong>วารสารวิชาการเกษตร </strong>จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ผลงานวิจัย และนวัตกรรมการเกษตรด้านพืช เรื่องที่พิมพ์ต้องเป็นเรื่องน่าสนใจ มีสาระอันเป็นประโยชน์แก่งานวิชาการเกษตรและจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เคยตีพิมพ์ หรือรอการตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น มีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม โดยผลงานวิจัยทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเกษตรได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน อย่างน้อย 2 ท่าน แบบ double-blinded review system</p> <p>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆในการตีพิมพ์จากผู้เขียน</p> <p>เดิม ISSN : 0125-8389 (Print) ISSN : 2773-9317 (Online)</p> <p>ISSN : 3027-7264 (Print) ISSN : 3027-7272 (Online) เริ่มปีที่ 42</p> en-US <p>วารสารวิชาการเกษตร</p> journal@doa.in.th (ดร.อมรา ชินภูติ) swalaiporn@hotmail.com (วลัยพร ศะศิประภา) Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การตอบสนองและการดูดใช้ไนโตรเจนของข้าวโพดหวานในดินร่วนเหนียว https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259103 <p>การจัดการปุ๋ยไนโตรเจนที่เหมาะสมสามารถเพิ่มผลผลิตและลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ แต่คำแนะนำการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนกับข้าวโพดหวานไม่ได้จำเพาะกับสภาพของพื้นที่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตอบสนองและการดูดใช้ธาตุอาหารไนโตรเจนของข้าวโพดหวานในกลุ่มดินร่วนเหนียวชุดดินชัยนาท ใน จ.อุทัยธานี ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ ประกอบด้วย 6 กรรมวิธี จำนวน 4 ซ้ำ กรรมวิธีเป็นปุ๋ยไนโตรเจน 6 ระดับ ได้แก่ 0 8 16 24 32 และ 40 กก. N/ไร่ โดยทุกกรรมวิธีใส่ปุ๋ยฟอสเฟตและปุ๋ยโพแทชในอัตรา 1.0 เท่าของคำแนะนำตามค่าการวิเคราะห์ดิน ผลการทดลองพบว่า การตอบสนองของผลผลิตฝัก (Y) ต่อปุ๋ยไนโตรเจน (x) ของข้าวโพดหวานพันธุ์ไฮบริกซ์ 3 ที่ปลูกในดินร่วนเหนียวที่มีอินทรียวัตถุต่ำ (1.34%) ใน จ.อุทัยธานี ดังสมการ quadratic Y=-0.6989x<sup>2</sup>+44.985x+2803 โดยมีค่า R<sup>2</sup>=0.9106 เมื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ด้วยวิธี VCR พบว่า การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนอัตรา 16 กก.N/ไร่ ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด ข้าวโพดมีการดูดใช้ธาตุอาหารทั้งหมด 25.7 3.7 และ 23.7 กก. N, P และ K/ไร่ ตามลำดับ และธาตุอาหารที่สูญหายไปกับผลผลิต 10.6 1.8 และ 7.8 กก. N P และ K/ไร่ ตามลำดับ การใช้อัตราปุ๋ยไนโตรเจนที่เหมาะสมสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวโพดหวานที่ปลูกในดินร่วนเหนียวในชุดดินชัยนาทใน จ. อุทัยธานีอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ชัชธนพร เกื้อหนุน, สายน้ำ อุดพ้วย, ปิยะนันท์ วิวัฒน์วิทยา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259103 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความผันแปรของประชากรเชื้อรา Pyricularia oryzae สาเหตุโรคไหม้ของข้าวในประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259053 <p>โรคไหม้ของข้าวเกิดจากเชื้อรา <em>Pyricularia oryzae</em> เป็นโรคที่สำคัญมีผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตข้าวของประเทศไทย พบการระบาดของโรคนี้ในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความผันแปรของประชากรเชื้อรา <em>P. oryzae</em> สาเหตุโรคไหม้ของข้าวในประเทศไทย ทำการประเมินการเกิดโรคบนข้าวชุดทดสอบ (differential varieties) จำนวน 9 สายพันธุ์ ที่มียีนต้านทานเดี่ยว (near isogenic lines; NILs) ได้แก่ <em>Pi-7(t)</em>, <em>Pi9</em>, <em>Pi-a</em>, <em>Pi-b</em>, <em>Pi-i</em>, <em>Pi-kh</em>, <em>Pi-t</em>, <em>Pi-ta</em> และ <em>Pi-sh</em> นำข้อมูลค่าดัชนีการเกิดโรค (disease index) มาจัดกลุ่มด้วยวิธี UPGMA โดยใช้โปรแกรม Past 4.10 ผลการทดลองพบว่า จากเชื้อราที่ใช้ในการทดลองทั้งหมด 80 ไอโซเลท สามารถจำแนกสายพันธุ์เชื้อราได้จำนวน 47 สายพันธุ์ และสามารถจัดกลุ่มสายพันธุ์ของเชื้อรา <em>P. oryzae</em> ได้ 13 กลุ่ม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (cophenetic correlation) เท่ากับ 0.80 อย่างไรก็ตาม การจำแนกสายพันธุ์และการจัดกลุ่มไม่มีความสัมพันธ์กับแหล่งที่มาของเชื้อรา โดยในแต่ละพื้นที่พบเชื้อรา <em>P. oryzae</em> มากกว่าหนึ่งสายพันธุ์ จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า เชื้อรามีความผันแปรภายในประชากรและระหว่างประชากรเชื้อรา ดังนั้น ข้อมูลจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวต้านทานโรคไหม้ของข้าวต่อไป</p> อรยา ปานอ่อน, วรรณวิไล อินทนู, ศิริภา กออินทร์ศักดิ์, จินตนา อันอาตม์งาม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259053 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 ข้อมูลสายพันธุ์เชื้อ Xanthomonas oryzae pv. oryzae ในนิเวศการปลูกข้าว ในจังหวัดเชียงราย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259735 <p>ศึกษาความหลากหลายและการกระจายตัวของสายพันธุ์ (physiological race) เชื้อสาเหตุโรคขอบใบแห้งในข้าวที่เกิดจาก <em>Xanthomonas</em> <em>oryzae</em> pv. <em>oryzae</em> (XOO) ใน จ.เชียงราย ซึ่งมีความหลากหลายของนิเวศการปลูกข้าว ดำเนินการสำรวจและแยกเชื้อ XOO ระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึง 2562 คัดเลือกตัวแทนเชื้อจากทุกอำเภอ และบันทึกพันธุ์ข้าวที่พบโรค จากการสำรวจทั้งหมด 18 อำเภอ ได้ตัวแทนเชื้อจำนวน 274 ไอโซเลท แล้วนำเชื้อไปทดสอบปฏิกิริยาการเกิดโรคกับสายพันธุ์ข้าวคู่แฝดที่มียีนต้านทานเดี่ยวต่อโรคขอบใบแห้ง (near isogenic lines, NILs) จำนวน 11 พันธุ์ เพื่อจำแนก race ของเชื้อ XOO ผลการศึกษาพบว่า สามารถจำแนกสายพันธุ์เชื้อได้จำนวนทั้งสิ้น 47 races โดยอำเภอที่พบว่ามีจำนวน race ของเชื้อมากที่สุดคือ อ.พาน (26 races) รองลงมาคือ อ. เชียงแสน (20 races) นอกจากนี้ยังพบว่า ข้าวที่มียีนต้านทาน <em>xa5</em> มีความต้านทานแบบกว้างต่อประชากรเชื้อ XOO (76.3%) รองลงมา ได้แก่ <em>Xa7</em> (62.4%) <em>Xa21</em> ( 33.6%) และ <em>Xa11</em> (31.4%) ตามลำดับ เชื้อที่พบเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดจัดอยู่ใน race 8 (SSSRRSSSSSS) 27.37% รองลงมาคือ race 27 (SSSRRSSSSSR) 12.41% และ race17 (SSSSSSSRRSS) 10.22% โดยพบว่า เชื้อจำนวน 16 races ที่สามารถเข้าทำลายข้าว NIL ที่มียีน <em>xa5</em> ได้ ซึ่งเชื้อดังกล่าวแยกได้จากข้าวพันธุ์ กข6 และขาวดอกมะลิ 105 ที่ อ.พาน และ อ.เชียงแสน เมื่อทำการจัดกลุ่มเชื้อที่พบใน จ. เชียงราย ทั้ง 47 races โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์ความเหมือนของปฏิกริยาตอบสนองบนข้าวที่มียีนต้านทาน สามารถแบ่งกลุ่มเชื้อได้เป็น 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีจำนวนเชื้อและมีการตอบสนองต่อข้าวที่มียีนควบคุมเชื้อในกลุ่ม 1 กลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เป็น 74 (<em>xa5</em>) 170 (<em>xa5</em>) และ 30 (<em>xa5</em> และ <em>Xa7</em>) ไอโซเลท ตามลำดับ ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของความหลากหลายและการกระจายตัวของ physiological races ต่าง ๆ ของประชากรเชื้อ XOO ที่พบในระบบนิเวศการปลูกข้าวใน จ.เชียงราย ซึ่งข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการพันธุ์ข้าวต้านทานโรคที่เหมาะสมกับพื้นที่ จ. เชียงราย เพื่อลดการเข้าทำลายของโรคได้อย่างยั่งยืน</p> ไพเราะ ขวัญงาม, ลูกศร ทุมอะริยะ, ธิติมา จินตกานนท์, Dany Thongkham, จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์, สุจินต์ ภัทรภูวดล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259735 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 น้ำทิ้งจากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังต่อการเจริญและผลผลิตอ้อย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259105 <p>จากวิกฤติภัยแล้งของประเทศไทย ที่เริ่มทวีความรุนแรงตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2562 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำแห้ง ขาดแคลนใช้อุปโภคและบริโภคในทุก ๆ พื้นที่ ดังนั้น การนำน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมมาใช้ประโยชน์ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง งานวิจัยนี้ จึงเป็นการศึกษาผลของการใช้น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตอ้อย เปรียบเทียบกับการใช้น้ำผิวดินจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และสภาพน้ำฝนตามธรรมชาติ จากการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง พบว่า มีค่าพารามิเตอร์ที่เกินมาตรฐาน คือ ค่าของแข็งแขวนลอย ค่าสารละลายทั้งหมด ค่าบีโอดีและค่าซีโอดี เมื่อนำน้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลังไปใช้ในการปลูกอ้อยพันธุ์ขอนแก่น3 วางแผนทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย 1) ปลูกอ้อยโดยใช้น้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง 2) ปลูกอ้อยโดยใช้น้ำผิวดิน 3) ปลูกอ้อยโดยน้ำฝนตามสภาพตามธรรมชาติ (ไม่มีให้น้ำเพิ่ม) มีการให้น้ำทุก 7 วัน ตามคู่มือการปฏิบัติงานด้านการคำนวณการใช้น้ำของพืช พบว่า การใช้น้ำทิ้งและน้ำผิวดิน ส่งผลให้การเจริญเติบโตและผลผลิตอ้อย ได้แก่ ความสูง ความยาวปล้อง จำนวนปล้อง/ลำ น้ำหนักสด/ลำอ้อย น้ำหนักสด/ไร่ มีค่าอยู่ในช่วง 257.8-270 ซม. 8.38-8.94 ซม. 26.83-27.08 ปล้อง/ลำ 1.85-1.87 กก./ลำ และ 16.96-17.30 ตัน/ไร่ ตามลำดับ ซึ่งไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่สภาพน้ำตามธรรมชาติต้นอ้อยมีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตน้อยที่สุด ส่วนค่าความหวานของอ้อยของทั้ง 3 กรรมวิธีการทดลองนั้น ไม่แตกต่างกัน (12.38-13.40 องศาบริกซ์) ผลการวิเคราะห์ค่าสารพิษและโลหะหนักต่าง ๆ ทั้งในอ้อยและในดินหลังการเพาะปลูก พบว่า ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ส่วนการสะสมของธาตุอาหารในดินนั้น พบว่า ทั้ง 3 กรรมวิธีการทดลอง ส่งผลให้มีปริมาณธาตุโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส และเหล็กค่อนข้างสูงกว่าก่อนการเพาะปลูก อย่างไรก็ตาม การสะสมของสารตกค้างและโลหะหนักในดิน ขึ้นอยู่กับระยะเวลา จากผลการทดลองพบว่า น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังสามารถนำมาใช้ในการเพาะปลูกได้ โดยไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างและโลหะหนักในพืชและในดินในระยะเวลาที่ทดลอง</p> จุรีพร เกือบพิมาย, พิลาณี ไวถนอมสัตย์ , วราภรณ์ อภิวัฒนาภิวัต , ชนาพร ตระกูลแจะ , พรพิมล จันทร์ฉาย, เอกพงษ์ ธนะวัติ , จิราภรณ์ มีลักษณะ, อันธิกา บุญแดง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259105 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของวิธีการปลูกต่อผลผลิตถั่วเหลืองหลังนา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259809 <p>การปลูกถั่วเหลืองในฤดูแล้งส่วนใหญ่จะปลูกในเขตชลประทาน เป็นการปลูกในนาหลังจากเก็บเกี่ยวข้าว และมีวิธีการปลูกที่หลากหลาย ที่เหมาะสมกับการเตรียมแปลงของแต่ละพื้น การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาวิธีการปลูกถั่วเหลืองหลังนาที่เหมาะสมให้ผลผลิตสูง และคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด ดำเนินการทดลองในฤดูแล้ง ปี พ.ศ. 2561-2563 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ โดยใช้ถั่วเหลืองพันธุ์เชียงใหม่ 60 วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ จำนวน 4 ซ้ำ 6 กรรมวิธี ดังนี้ 1) ปลูกแบบกระทุ้งปลูก (วิธีแนะนำ) 2) ปลูกแบบใช้ล้อจิก 3) ปลูกแบบหว่าน 4) ปลูกแบบกระทุ้งปลูกร่วมกับการคลุมฟาง 5) ปลูกแบบใช้ล้อจิกร่วมกับการคลุมฟาง 6) ปลูกแบบหว่านร่วมกับการคลุมฟาง ผลการทดลองจากการวิเคราะห์ข้อมูลรวม 3 ปี พบว่า วิธีการปลูกถั่วเหลืองหลังนาที่แตกต่างกันทำให้การเจริญเติบโต และผลผลิตมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การปลูกแบบกระทุ้งร่วมกับการคลุมฟาง การปลูกแบบใช้ล้อจิกร่วมกับการคลุมฟาง และการปลูกแบบหว่านร่วมกับการคลุมฟาง ให้ผลผลิตไม่แตกต่างกันทางสถิติ (447-449 กิโลกรัมต่อไร่) แต่สูงกว่าวิธีการอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การเพิ่มขึ้นของผลผลิตของทั้ง 3 กรรมวิธีดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนฝักต่อต้น ขณะที่จำนวนเมล็ดต่อฝัก และขนาดเมล็ด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และทุกกรรมวิธีมีอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน อยู่ระหว่าง 1.06 – 1.66 จึงถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน โดยการปลูกแบบหว่านร่วมกับการคลุมฟาง เป็นกรรมวิธีที่มีความคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด</p> โสพิศ ใจปาละ, จงรักษ์ พันธ์ไชยศรี, พิมล ภาวดี, กัลยา วิธี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259809 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 การผลิตเอนไซม์ของเชื้อรา Trichoderma spp. ที่แยกได้จากดิน และวัสดุเพาะเห็ด https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/254637 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการสร้างเอนไซม์ย่อยสลายของเชื้อรา <em>Trichoderma</em> spp. จำนวน 29 ไอโซเลท ที่แยกได้จากตัวอย่างดิน และวัสดุเพาะเห็ด ในปีพ.ศ. 2562-2564 นำเชื้อรา <em>Trichoderma</em> spp. ที่แยกได้มาทดสอบประสิทธิภาพการสร้างเอนไซม์ย่อยสลายบนอาหารเลี้ยงเชื้อจำเพาะ ด้วยวิธี zone clearing technique และประเมินค่า hydrolysis capacity (HC value) ผลการทดลองพบว่า เชื้อรา <em>Trichoderma</em> ไอโซเลท T-1, T-14 และ T-22 สามารถสร้างเอนไซม์เพคติเนส เซลลูเลส และอะไมเลสได้สูงที่สุด มีค่า HC เท่ากับ 7.73 7.13 และ 5.00 ตามลำดับ และสามารถระบุไอโซเลท T-1, T-14 และ T-22 ถึงระดับสปีซีส์ด้วยการหาลำดับเบสโดยใช้คู่ไพรเมอร์ ITS5 และ ITS4 พบว่า ไอโซเลท <em>Trichoderma</em> T-1, T-14 และ T-22 คือ เชื้อรา <em>Trichoderma asperellum</em> (Samuels) Lieckf. &amp; Nirenberg ที่ระดับความเหมือน 100 99 และ 99% ตามลำดับ โดยเชื้อรา <em>Trichoderma</em> ไอโซเลท T-1 และ T-14 แยกมาได้จากตัวอย่างดินที่เก็บมาจาก อ. โพธาราม จ. ราชบุรี และ อ. ด่านมะขามเตี้ย จ. กาญจนบุรี ตามลำดับ ส่วน ไอโซเลท T-22 แยกได้จากวัสดุเพาะเห็ด อ. ดำเนินสะดวก จ. ราชบุรี</p> <p><strong> </strong></p> พยุงศักดิ์ รวยอารี, ทัศนาพร ทัศคร Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/254637 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 Genome Wide Association Study (GWAS) for Southern Corn Rust (SCR) Disease Resistance in Maize https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259863 <p>Southern corn rust (SCR), caused by <em>Puccinia polysora</em> Undrew, is one of the most important maize diseases threatening maize production. Growing resistant varieties is the most practical and cost-effective approach to controlling the disease. Identification of resistance genes would help in the development of high-yielding resistant maize hybrids. Genome-wide association studies (GWAS) can efficiently reveal genomic loci associated with the desired phenotypic traits. In this study, the phenotypes of 262 maize recombinant inbreds against two isolates of SCR disease, namely, Nakhon Pathom and Chiang Mai, were investigated. Using 434,871 single nucleotide polymorphism (SNP) markers obtained from the maize SNP 600K genotyping array, GWAS was performed with the Fixed and random model Circulating Probability Unification (FarmCPU) model. The results showed that 19 SNPs distributed on chromosomes 1, 2, 3, 4, 5, 9 and 10 were significantly associated with resistance to SCR disease. As a result, 19 quantitative trait loci (QTL)s and 36 candidate genes were identified. In addition, the three major QTLs/SNP loci which included AX-90915192 on chromosome 4, AX-91151225 on chromosome 9 and AX-91648757 on chromosome 5, could distinguish the disease-resistant from disease-susceptible lines. These identified SNPs and genes provide useful information for cloning genes and understanding disease resistance mechanisms to SCR, and can be used in marker-assisted breeding programs to develop SCR resistant maize.</p> Nay Nay Oo, Vinitchan Ruanjaichon, Kularb Laosatit, Theerayut Toojinda, Jintana Unartngam Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259863 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 Path Analysis of Fresh Fruit Bunch and Bunch Weight in Oil Palm https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259687 <p>Income of oil palm planters comes from the quantity of fresh fruit bunch (FFB) combining with the bunch weight harvested. This study focused on the direct and indirect effects of fresh fruit bunch and bunch weight using path analysis. Ninety tenera oil palm bunches were counted, weighed and individually separated. The results showed that bunch number (BNO) was a factor effect directly more than the average bunch weight (ABW), while a negative correlation was found between BNO and ABW, confirming that if the number of bunches was high, the ABW was small. Bunch weight (BW) composed of 9 characters interesting in this study: rachis weight per bunch (RCIS/B), rachillae weight per bunch (RCHAE/B), fruit weight per bunch (FW/B), fruit to bunch (FTB), mesocarp to fruit (MTF), kernel to fruit (KTF), shell to fruit (STF) and mean nut weight (MNW) were highly significant. Bunch weight (BW) was used to determine which components were effective. Fruit weight per bunch (FW/B) had the highest direct effect, followed by rachillae weight per bunch (RCHAE/B). Therefore, BNO and FW/B were selected to focus on fresh fruit bunches in the oil palm breeding programs.</p> Surakitti Srikul, Somkid Damnoi, Suteera Thawornrat, Peerasak Srinives, Anek Limsrivilai, Patcharin Tanya Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/259687 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 Hot Water Immersion Treatment of Nam Dorkmai Mango Infested with Oriental Fruit Fly, Bactrocera dorsalis (Hendel), for Export https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/260082 <p> </p> <p>Hot water immersion treatment is a post-harvest treatment for fruit fly disinfestation and widely used as quarantine treatment in many countries. This technique has not been previously employed in Thai mango exports. The objectives of this research were to examine optimum temperature and exposure period of hot water immersion treatment to eliminate fruit fly, <em>Bactrocera dorsalis,</em> eggs and 1<sup>st</sup> instar larvae in mango variety Nam Dorkmai without affecting fruit quality. Procedures for hot water immersion treatments in small and large scale were arranged. Nam Dorkmai mangoes used for testing were infested with <em>B. dorsalis,</em> eggs or 1<sup>st</sup> instar larvae using artificial infestation and forced infestation methods. The results showed that hot water immersion treatment at the innermost of fruits at 46° C for 10 minutes was effective for elimination of both eggs and 1<sup>st</sup> instar larvae of <em>B. dorsalis</em> without impacting on fruit quality. This information can be applied to quarantine process of <em>B. dorsalis</em> infestation in exported Nam Dorkmai mangoes of Thailand.</p> Sunyanee Srikachar, Korrakot Damrak Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการเกษตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/thaiagriculturalresearch/article/view/260082 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700