https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/issue/feed
วารสารวนศาสตร์ไทย
2025-04-26T00:00:00+07:00
Asst. Prof. Dr. Laddawan Rianthakool
fforlwr@ku.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวนศาสตร์ เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ.2525 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วารสารวนศาสตร์ไทย ในปี พ.ศ.2563 ISSN : 2822-115X (Online) ภายใต้การดำเนินงานของคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตีพิมพ์ผลงานวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านวนศาสตร์ เช่น นิเวศวิทยาป่าไม้ การจัดการป่าไม้ เศรษฐศาสตร์ป่าไม้ วนวัฒนวิทยา การจัดการลุ่มน้ำ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สัณฐานวิทยาและสรีรวิทยาของพืชพรรณและสัตว์ป่า เป็นต้น จากนักวิจัยไทยทั่วประเทศ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาเป็นผู้พิจารณาผลงาน อย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และมีกำหนดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ เดือนมกราคม-มิถุนายน และเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p>
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265148
การแปรผันของสายต้นกระถินณรงค์ลูกผสม ณ ศูนย์วนวัฒนวิจัยที่ 6 (นครราชสีมา)
2024-10-28T18:10:03+07:00
อนัญญา จ้อยชู
ananya.choi@ku.th
สาพิศ ดิลกสัมพันธ์
sapit.d@ku.ac.th
สมพร แม่ลิ่ม
fforspm@ku.ac.th
ดุริยะ สถาพร
sapit.d@ku.ac.th
<p>กระถินณรงค์ลูกผสมมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตและการปรับตัวต่อพื้นที่ปลูกแต่ยังคงมีความแตกต่างระหว่างสายต้นในด้านการเติบโต ผลผลิต และรูปทรงของลำต้น การศึกษาครั้งนี้จึงวิเคราะห์การแปรผันระหว่างสายต้นของกระถินณรงค์ลูกผสมอายุ 5 ปี จำนวน 23 สายต้น ที่ปลูก ณ ศูนย์วนวัฒนวิจัยที่ 6 (นครราชสีมา) ทั้งในด้านการเติบโต ผลผลิตมวลชีวภาพและน้ำหนักสด ปริมาตร และการกักเก็บคาร์บอนในแปลงทดสอบสายต้นที่มีการวางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ จำนวน 4 ซ้ำ ทำการเก็บข้อมูลเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก และความสูง นำมาสร้างสมการแอลโลเมตรีเพื่อเปรียบเทียบมวลชีวภาพ การกักเก็บคาร์บอน และปริมาตรไม้ในแต่ละสายต้น</p> <p>จากการศึกษา พบว่า กระถินณรงค์ลูกผสม 23 สายต้นมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติระหว่างสายต้น (<em>p</em><0.01) ในทุกตัวแปรที่ศึกษา โดยสายต้น ปม.3-2 ซึ่งเป็นสายต้นที่ได้รับการจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ มีมวลชีวภาพรวม และการกักเก็บคาร์บอนสูงที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 99.03 ตันต่อเฮกตาร์ และ 47.20 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ สายต้น ปม.3-2 ยังมีน้ำหนักสดของลำต้น และปริมาตรของลำต้นสูงที่สุดด้วยเช่นกันเนื่องจากมีลำต้นเปลาตรงและไม่มีการแตกนางที่ระดับต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 102.12 ตันต่อเฮกตาร์ และ 130.02 ลูกบาศ์เมตรต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังพบว่าสายต้น 12 และ 13 มีศักยภาพทั้งการเติบโต ผลผลิตมวลชีวภาพ น้ำหนักสดและปริมาตรของลำต้น ที่สูงใกล้เคียงกับสายต้นปม.3-2 สายต้นกระถินณรงค์ลูกผสมเหล่านี้จึงมีความเหมาะสมที่จะนำไปส่งเสริมการปลูกเพื่อฟื้นฟู และเป็นการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่อื่นที่มีสภาพพื้นที่ใกล้เคียงกัน</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263939
ความหลากชนิดของพรรณไม้ในพื้นที่หน่วยจัดการต้นน้ำน้ำเลียบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน
2024-07-17T09:21:09+07:00
ดนุนันท์ ริกันต์
danunan_pop@hotmail.com
ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ
thanakorn-l@mju.ac.th
ปิยะพิศ ขอนแก่น
piyapit@mju.ac.th
ฑีฆา โยธาภักดี
teekasom@gmail.com
<p>การฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่หน่วยจัดการต้นน้ำน้ำเลียบ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีความหลากชนิดของพรรณไม้ ซึ่งทำให้ป่ามีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและศึกษาจำแนกความหลากชนิดของพรรณไม้ในพื้นที่หน่วยจัดการต้นน้ำน้ำเลียบ ตำบลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ดำเนินการวิจัยด้วยการวางแปลงตามแนวเส้น ตามชั้นระดับความสูงเหนือน้ำทะเล เก็บข้อมูลพรรณพืชมาวิเคราะห์ ค่าดัชนีความสำคัญทางนิเวศวิทยา (IVI) และค่าดัชนีความหลากชนิดของ Shannon-Wiener Index (H') เพื่อแสดงชนิดไม้เด่นและระดับของความหลากชนิด ตามลำดับ ผลการศึกษา พบพรรณไม้ทั้งหมด 93 ชนิด 82 สกุล 59 วงศ์ ในพื้นที่ศึกษา โดยชนิดไม้ในชั้นอายุไม้ต้น ที่มีค่าดัชนีความสำคัญทางนิเวศวิทยา สูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ประดู่ (<em>Pterocarpus macrocarpus</em>) เต็ง (<em>Shorea obtusa</em>) และ เก็ดแดง (<em>Dalbergia dongnaiensis</em>) ชั้นอายุไม้รุ่น (sapling) 3 ลำดับแรก ได้แก่ ปลายสาน (<em>Eurya acuminata</em>) เปล้าใหญ่ (<em>Croton persimilis</em>) และ ปอตองแตบ (<em>Macaranga denticulata</em>) ชั้นอายุกล้าไม้ (seedling) 3 ลำดับแรก ได้แก่ เปล้าใหญ่ ปลายสาน และ ก่อหยุม (C<em>astanopsis argyrophylla</em>) พืชพื้นล่าง (undergrowth) <br />3 ลำดับแรก ได้แก่ กูดก้อง (<em>Lygodium polystachyum</em>) สาบเสือ (<em>Chromolaena odorata</em>) และ เครือมันนก (<em>Dioscorea birmanica</em>) ไม้ไผ่ (Bamboo) ได้แก่ ไผ่ไร่ (<em>Gigantochloa albociliata</em>) และไผ่บง (<em>Bambusa nutans</em>) โดยค่าดัชนีความหลากชนิดเท่ากับ 3.53, 2.57, 2.73, 2.35 และ 0.47 ตามลำดับ สำหรับชนิดไม้ในชั้นอายุไม้ต้น ไม้รุ่น กล้าไม้ พืชพื้นล่างและไม้ไผ่ซึ่งผลการศึกษาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในการฟื้นฟูป่าสามารถทำให้พรรณไม้มีการทดแทนและมีความหลากชนิดของไม้ในชั้นอายุไม้ต้นสูงขึ้น ตรงกันข้ามกับชนิดไม้ในชั้นอายุไม้รุ่น และกล้าไม้ ที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่า และการเลี้ยงสัตว์ที่ปล่อยเข้าไปหากินในพื้นที่ป่า ทำให้กล้าไม้และลูกไม้ส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่รอดได้ ดังนั้น ข้อมูลจากผลการศึกษาในครั้งนี้ จึงเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการนำไปใช้บริหารจัดการฟื้นฟูป่าไม้ โดยใช้กฎระเบียบของชุมชนเพื่อร่วมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบน ที่สอดคล้องกับนโยบายของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพรรณพืช ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์แบบบูรณาการเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการพื้นที่ของหน่วยจัดการต้นน้ำน้ำเลียบได้อย่างเหมาะสมต่อไป</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263308
ความหลากชนิดและมวลชีวภาพของพรรณไม้ต้นในป่าชายเลน บริเวณคลองกำพวน จังหวัดระนอง
2024-05-27T10:42:08+07:00
อรุณ ปานแดง
arun.pa@ku.th
ยงยุทธ ไตรสุรัตน์
fforyyt@ku.ac.th
ชาคริต ณ ตะกั่วทุ่ง
chakrit.n@ku.ac.th
<p>จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ในปี พ.ศ. 2547 พื้นที่บริเวณคลองกำพวน ซึ่งได้รับความเสียหายไปด้วย โดยเฉพาะพรรณไม้ป่าชายเลน ในเวลาต่อมาพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกอนุรักษ์ไว้ให้มีสภาพตามธรรมชาติ ทั้งในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะประเทศไทยกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิดและมวลชีวภาพของพรรณไม้ต้นในป่าชายเลน บริเวณคลองกำพวน จังหวัดระนอง โดยการวางแปลงสำรวจรูปแถบ ขนาด 40 เมตร X 300 เมตร จากนั้นแบ่งเป็นแปลงย่อยขนาด 10 เมตร X 10 เมตร รวมจำนวน 120 แปลง ระบุชนิดและบันทึกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้ต้น ในแปลงตัวอย่างที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก (dbh) > 3.2 เซนติเมตร ขึ้นไป สำหรับโกงกางใบเล็ก (<em>Rhizophora apiculata</em>) และโกงกางใบใหญ่ (<em>R. mucronata</em>) ที่มีรากค้ำยันขนาดใหญ่ ให้วัดขนาดความสูง 20 เซนติเมตร เหนือคอราก แปลงขนาด 4 เมตร X 4 เมตร เก็บข้อมูลไม้รุ่น ที่มีขนาด dbh น้อยกว่า 3.2 เซนติเมตร แต่มีความสูงตั้งแต่ 1.30 เมตร ขึ้นไป ส่วนแปลงขนาด 1 เมตร X 1 เมตร เก็บข้อมูลกล้าไม้ ที่มีขนาดความสูงน้อยกว่า 1.30 เมตร นำข้อมูลทางชนิดและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้ต้นที่ได้มาคำนวณดัชนีความหลากชนิด และมวลชีวภาพ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ในบริเวณพื้นที่ศึกษาพบพรรณไม้ จำนวน 1,422 ต้น จำแนกเป็นไม้ต้น 1,294 ต้น ไม้รุ่น 52 ต้น และกล้าไม้ 76 ต้น จาก 5 วงศ์ 7 สกุล 11 ชนิด เมื่อพิจารณาตามวิสัยพืช จำแนกเป็นไม้ต้น 7 ชนิด ไม้ต้นขนาดเล็ก 3 ชนิด และไม้พุ่ม 1 ชนิด วงศ์ที่มีชนิดของพรรณไม้มากสุด คือ วงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae) ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด มีค่าดัชนีความหลากชนิด (Shannon-Wiener index; H') มีค่าต่ำมากเพียง 1.22 เพราะว่าพันธุ์ไม้แต่ละชนิดมีจำนวนแตกต่างกันมาก ค่าดัชนีความชุกชุม เท่ากับ 1.39 ค่าดัชนีความสม่ำเสมอ เท่ากับ 0.51 โดย โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ถั่วขาว (<em>Bruguiera cylindrica</em>) เป็นชนิดไม้ที่มีค่าดัชนีความสำคัญ (IVI) มากที่สุด 3 อันดับแรก เท่ากับ ร้อยละ 165.02, 72.46 และ 24.96 ตามลำดับ โดยไม้ใหญ่มีขนาดความโตและความสูงเฉลี่ย 11.18±4.08 เซนติเมตร และ 9.31±2.42 เมตร ตามลำดับ มีมวลชีวภาพรวม 459.70 ตันต่อเฮกตาร์ แยกเป็นมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน 359.03 ตันต่อเฮกตาร์ และมวลชีวภาพใต้พื้นดิน เท่ากับ 100.67 ตันต่อเฮกตาร์</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262516
การจำแนกช่วงชั้นโอกาสด้านนันทนาการของอุทยานแห่งชาติในจังหวัดตาก
2024-05-17T14:42:37+07:00
จันทร์ธิดา นานแกง
toey4085@gmail.com
นภวรรณ ฐานะกาญจน์ พงษ์เขียว
ffornwt@ku.ac.th
สุภัทรา ถึกสถิตย์
fforspt@ku.ac.th
<p>การจำแนกช่วงชั้นโอกาสด้านนันทนาการ มีจุดมุ่งหมายในจำแนกพื้นที่นันทนาการตามความแตกต่างของปัจจัยแวดล้อมด้านนันทนาการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์นันทนาการที่มีคุณค่าตรงตามความต้องการมากที่สุด ซึ่งการศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแวดล้อมด้านนันทนาการและจำแนกช่วงชั้นโอกาสด้านนันทนาการของอุทยานแห่งชาติ 6 แห่ง 24 แหล่งนันทนาการในจังหวัดตาก โดยใช้ตัวชี้วัดในการจำแนกทั้งหมด 7 กลุ่ม คือ การเข้าถึง ความห่างไกล ความเป็นธรรมชาติ โอกาสในการพบปะผู้คน การจัดการนักท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวกและการจัดการพื้นที่ และผลกระทบจากกิจกรรมนักท่องเที่ยว เก็บข้อมูลตัวชี้วัดในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึง เมษายน 2566 และใช้สมการถดถอยโลจิสติกในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่าแหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติในจังหวัดตากจัดอยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติดัดแปลง ร้อยละ 41.67 รองลงมามีค่าใกล้เคียงกัน คือ อยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติสันโดษและพื้นที่ธรรมชาติกึ่งสันโดษใช้ยานยนต์ ร้อยละ 25.00 และ 20.83 ตามลำดับ หากจำแนกเป็นแต่ละอุทยานแห่งชาติ พบว่า แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติลานสางจัดอยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติดัดแปลง 2) แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช อยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติกึ่งสันโดษใช้ยานยนต์และพื้นที่ธรรมชาติสันโดษ 3) แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติขุนพะวออยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติดัดแปลงและพื้นที่ธรรมชาติสันโดษ 4) แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติแม่เมยอยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติดัดแปลงและพื้นที่ธรรมชาติกึ่งสันโดษไม่ใช้ยานยนต์ 5) แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ อยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติดัดแปลง 6) แหล่งนันทนาการส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติดอยสอยมาลัย - ไม้กลายเป็นหิน อยู่ในกลุ่มพื้นที่ธรรมชาติกึ่งสันโดษไม่ใช้ยานยนต์</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263894
ความหลากชนิด สถานภาพพืช และการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพไม้ใหญ่ ในคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่
2024-09-09T07:52:20+07:00
อริสรา ทันนาเขตต์
ktarissara@gmail.com
วนิดา ปัญญา
wanidapanya.7928@gmail.com
วิชญ์ภาส สังพาลี
sci.ocu@gmail.com
จุฑามาศ อาจนาเสียว
sutheera@mju.ac.th
สุธีระ เหิมฮึก
h.sutheera@gmail.com
<p>การอนุรักษ์และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองนอกจากการให้ความสวยงาม แล้วยังให้ประโยชน์ด้านนิเวศบริการด้านอื่น ๆ โดยการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาความหลากชนิดของต้นไม้ใหญ่ และประเมินการกักเก็บคาร์บอนที่อยู่ในรูปของมวลชีวภาพของต้นไม้ใหญ่ โดยทำการศึกษาในพื้นที่ของคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 3 พื้นที่รวมทั้งหมด 16 ไร่ (2.56 เฮกตาร์) ทำการเก็บข้อมูลด้วยวิธีสำมะโนประชากรต้นไม้ (tree census survey) โดยมีการเก็บข้อมูลคือวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นไม้ที่เส้นรอบวงที่มากกว่า 50 เซนติเมตร วัดความสูงต้นไม้ทั้งหมด จากนั้นนำมาคำนวณปริมาณมวลชีวภาพและการกักเก็บคาร์บอนโดยใช้สมการแอลโลเมตรี ผลการศึกษาพบชนิดไม้ต้น (tree) ที่เป็นองค์ประกอบของชนิดไม้ในพื้นที่ศึกษาทั้งหมด 33 ชนิด 29 สกุล ใน 15 วงศ์ คิดเป็นพื้นที่หน้าตัดทั้งหมดในพื้นที่รวม 40.48 ตารางเมตร โดยมีจำนวนต้นที่สำรวจพบทั้งหมด 424 ต้น มีค่าความหลากชนิดตามสูตร Shannon-Wiener เท่ากับ 2.64 ชนิดไม้เด่น เช่น อินทนิลบก (<em>Lagerstroemia macrocarpa</em>) ยางนา (<em>Dipterocarpus alatus</em>) และอินทนิลน้ำ (<em>Lagerstroemia speciosa</em>) เป็นต้น เมื่อตรวจสอบสถานภาพพืชตามบัญชีแดงของ IUCN พบพบ 31 ชนิด ได้แก่ สถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered, CR) 1 ชนิด สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endangered-EN) 2 ชนิด สถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable-VU) 2 ชนิด และสถานภาพเป็นกังวลน้อยที่สุด (Least Concern - LC) 26 ชนิด พิจารณาปริมาณมวลชีวภาพรวมทั้งหมด เท่ากับ 335.67 ตัน ซึ่งในส่วนของลำต้นมีปริมาณมวลชีวภาพมากที่สุด เท่ากับ 271.82 ตัน และมีปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในองค์ประกอบของพันธุ์ไม้ทั้งหมด เท่ากับ 159.23 ตัน เมื่อคำนวณปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้พบว่า 583.84 ตันคาร์บอนไดออกไซด์</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263632
การประยุกต์ใช้ดัชนีความชุ่มชื้นของดินร่วมกับปัจจัยกายภาพในการประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มบริเวณลุ่มน้ำย่อยห้วยแม่อูมองหลวง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
2024-07-12T14:02:07+07:00
ชิดชนก ปราบทุกข์
chidchanok.prab@ku.th
ปิยพงษ์ ทองดีนอก
fforppt@ku.ac.th
นฤมล แก้วจำปา
ffornmk@ku.ac.th
<p>ดินถล่ม เป็น ภัยพิบัติที่เกิดจากเกิดจากการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหินที่ไหลลงมาตามที่ลาดเขาอย่างรวดเร็ว โดยได้รับอิทธิพลจากความลาดชัน และปริมาณน้ำฝนเป็นปัจจัยเร่งในเกิดดินถล่ม ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่สูงชัน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม้ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 จากการบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าต้นน้ำเพื่อทำเกษตรเชิงเดี่ยวจำพวกพืชไร่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อปริมาณความชื้นและความสามารถในการรองรับน้ำได้ของพื้นที่ การศึกษานี้มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ค่าดัชนีความชุ่มชื้นของดิน (antecedent precipitation index, API) เพื่อประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มในบริเวณลุ่มน้ำย่อยห้วยแม่อูมองหลวง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยวิเคราะห์ความผันแปรของค่าดัชนีความชุ่มชื้นของดิน และนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงภัยดินถล่ม โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบปัจจัยรายคู่และการถ่วงน้ำหนักในการประเมินความเสี่ยง ภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและสภาพภูมิอากาศ ตรวจสอบความถูกต้องของผลการประเมิน โดยการเปรียบเทียบกับแผนที่การประเมินความเสี่ยงภัยดินถล่มของกรมทรัพยากรธรณี โดยใช้วิธีความถูกต้องโดยรวม (overall accuracy)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ค่าดัชนีความชุ่มชื้นของดินมีค่าสูงสุดที่ 487.18 มิลลิเมตรในเดือนกันยายน และมีค่าต่ำสุดที่ 10.90 มิลลิเมตรในเดือนมกราคม โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 243.33 มิลลิเมตร พื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มในระดับสูงมากมีอัตราส่วนเท่ากับร้อยละ 8.71 ในเดือนสิงหาคม ในเดือนกันยายนและกรกฎาคมมีอัตราส่วนเท่ากับร้อยละ 2.04 และ 1.43 ตามลำดับ การตรวจสอบความถูกต้องโดยรวมมีค่าเท่ากับร้อยละ 90.91 นอกจากนี้ การคาดการณ์ในปี พ.ศ. 2570 พบว่าพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.11 ในพื้นที่เกษตรกรรมบนพื้นที่สูง และรอบการเกิดซ้ำ 5 ปี และ 10 ปี พบว่าพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.71 และ 8.44 ตามลำดับ ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ปริมาณน้ำฝนมีผลกระทบต่อการเกิดดินถล่มมากกว่าการใช้ประโยชน์ที่ดิน ดังนั้นควรมีการจัดการโครงสร้างของระบบนิเวศลุ่มน้ำให้อยู่ในสถานภาพสมดุล เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดการเกิดดินถล่มในพื้นที่ลุ่มน้ำ</p> <p> </p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262471
มูลค่าด้านนันทนาการของอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย
2024-04-05T16:50:45+07:00
อิงอร ศิระวงษ์
ingon.si@ku.th
สันติ สุขสอาด
fforsss@ku.ac.th
อภิชาต ภัทรธรรม
fforacp@ku.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการนันทนาการของผู้มาเยือน และเพื่อประเมินมูลค่านันทนาการของอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน โดยวิธีคิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางระดับบุคคล และวิธีสมมติเหตุการณ์โดยใช้ความเต็มใจที่จะจ่าย ใช้แบบสัมภาษณ์ผู้มาเยือนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 จำนวน 400 คน จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างของผู้มาเยือนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 35 ปี นับถือศาสนาพุทธ สถานภาพโสด จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ มีรายได้เฉลี่ย 20,343.56 บาทต่อเดือน เดินทางมาเป็นครั้งแรก ท่องเที่ยวแบบมาเช้า–เย็นกลับ เดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล มากับกลุ่มครอบครัว สมาชิกเฉลี่ย 4 คนต่อกลุ่ม วัตถุประสงค์เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ มีระดับความพึงพอใจต่อการมาท่องเที่ยวอยู่ในระดับมาก (\overline{X} = 4.08)</p> <p>การประเมินมูลค่านันทนาการของอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน ในปี พ.ศ. 2566 โดยใช้วิธีอาศัยค่าใช้จ่ายในการเดินทางระดับบุคคล พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนครั้งที่มาท่องเที่ยว คือ ระดับการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และอายุมูลค่านันทนาการเท่ากับ 946,033,575.85 บาทต่อปี และการประเมินมูลค่าด้านนันทนาการด้วยวิธีสมมติเหตุการณ์ให้ประมาณค่าโดยใช้ความเต็มใจที่จะจ่าย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความเต็มใจที่จะจ่าย คือ ระดับความพึงพอใจ และอายุ มูลค่านันทนาการมีค่าเท่ากับ 11,011,056.97 บาทต่อปี การศึกษาครั้งนี้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดนโยบาย แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ และใช้ประกอบการพิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเข้าใช้บริการพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม</p> <p> </p> <p> </p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263616
ความหลากชนิดของแมลงผิวดินในพื้นที่ปลูกป่าฟื้นฟูบนพื้นที่สูง บริเวณสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่
2024-06-17T14:44:43+07:00
สุรศักดิ์ มะเดื่อทอง
smaduatong23@gmail.com
วัฒนชัย ตาเสน
fforwct@ku.ac.th
สุธีร์ ดวงใจ
fforsud@ku.ac.th
สาพิศ ดิลกสัมพันธ์
sapit.d@ku.ac.th
<p>การศึกษาความหลากชนิดของแมลงผิวดินในครั้งนี้ ได้ทำการศึกษาในพื้นที่โครงการปลูกป่าบนพื้นที่สูงของมูลนิธิโครงการหลวง บริเวณสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้แบ่งรูปแบบการปลูกป่าฟื้นฟูบนพื้นที่สูงออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติ การปลูกฟื้นฟูแบบผสมไม้ต่างถิ่น และการปลูกฟื้นฟูแบบไม้ต่างถิ่นร่วมกับไม้พื้นเมือง การสำรวจแมลงผิวดินใช้วิธีวางกับดักหลุม และกับดักถุงผ้า ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ผลการศึกษาพบแมลงผิวดินทั้งสิ้น 235 ชนิด 74 วงศ์ 14 อันดับ ซึ่งแมลงในอันดับ Coleoptera พบจำนวนชนิดมากที่สุด รองลงมาเป็นอันดับ Hymenoptera และ Hemiptera จำนวน 81, 75 และ 24 ชนิด ตามลำดับ ซึ่งรูปแบบการฟื้นฟูในพื้นที่ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติพบค่าดัชนีความหลากหลายทางชนิดมากที่สุด (3.92) รองลงมาเป็นพื้นที่การปลูกป่าฟื้นฟูไม้ต่างถิ่นผสมไม้พื้นเมือง (3.82) และพื้นที่การปลูกป่าฟื้นฟูแบบผสมไม้ต่างถิ่น (3.33) ตามลำดับ เมื่อนำมาจัดกลุ่มของแมลงผิวดิน ในพื้นที่ปลูกป่าฟื้นฟูแต่ละรูปแบบพบว่าแมลงผิวดินในพื้นที่ป่าฟื้นตัวตามธรรมชาติ และพื้นที่การปลูกฟื้นฟูไม้ต่างถิ่นร่วมกับไม้พื้นเมืองถูกจัดอยู่กลุ่มเดียวกัน แสดงให้เห็นว่ารูปแบบของการฟื้นฟูป่ามีผลต่อการกลับคืนของแมลงผิวดิน</p> <p> </p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263388
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลง การใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่าในเขตอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
2024-06-12T10:47:32+07:00
กิตติพงษ์ พรมจักร์
kafewboba@gmail.com
กมลพร ปานง่อม
torlarp66@gmail.com
ธัญญรัตน์ เชื้อสะอาด
torlarp66@gmail.com
ต่อลาภ คำโย
torlarp66@gmail.com
<p>การศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่าในอุทยานแห่งชาติดอยหลวง มีวัตถุประสงค์ เพื่อประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ในการศึกษารูปแบบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่าในช่วงปี พ.ศ. 2558, พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2566 ซึ่งอุทยานแห่งชาติดอยหลวง มีพื้นที่ทั้งหมด 1,204.85 ตารางกิโลเมตร จำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ป่าไม่ผลัดใบพื้นที่ป่าผลัดใบ พื้นที่แหล่งน้ำ พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง และพื้นที่เบ็ดเตล็ด ผลการศึกษา พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2558–2562 มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ทั้งหมด 9.08 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ป่าผลัดใบ ลดลงมากที่สุด 4.35 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ พื้นที่เกษตรกรรม 3.41 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2562 เกิดจุดความร้อนขึ้น 1,805 จุด ซึ่งจำนวนจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินระหว่างปี พ.ศ. 2558–2562 เกิดขึ้น 279 จุด โดยพื้นที่ป่าผลัดใบที่ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เกิดจุดความร้อนมากที่สุด จำนวน 230 จุด คิดเป็นร้อยละ 82.44 และระหว่างปี พ.ศ. 2562–2566 พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ทั้งหมด 12.16 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ป่าผลัดใบ ลดลงมากที่สุด 3.49 ตารางกิโลเมตร ส่วนพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ พื้นที่เกษตรกรรม 5.15 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2566 เกิดจุดความร้อนขึ้น 1,812 จุด ซึ่งจำนวนจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินระหว่างปี พ.ศ. 2562–2566 เกิดขึ้น 285 จุด โดยพื้นที่ป่าผลัดใบที่ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเกิดจุดความร้อนมากที่สุด จำนวน 225 จุด คิดเป็นร้อยละ 78.95 </p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262871
มูลค่าทางนันทนาการของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ จังหวัดสมุทรปราการ
2024-05-17T11:43:50+07:00
กัลยา สุขสวัสดิ์
playsave.2277@gmail.com
สันติ สุขสอาด
fforsss@ku.ac.th
อภิชาต ภัทรธรรม
fforapr@ku.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจสังคมและความพึงพอใจของผู้มาเยือนสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ 2) ประเมินมูลค่าทางนันทนาการของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์โดยใช้วิธีสมมุติเหตุการณ์ให้ประมาณค่า โดยใช้ความเต็มใจที่จะจ่าย และ 3) ประเมินมูลค่าทางนันทนาการของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์โดยใช้วิธีคิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของบุคคล จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้มาเยือน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 416 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์สถิติ เช่น ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และใช้สมการถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธี Stepwise ในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างของผู้มาเยือนสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.8 อายุเฉลี่ย 37 ปี ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 94.2 สถานภาพโสด ร้อยละ 51.4 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 61.1 อาชีพหลักเป็นพนักงานบริษัท ร้อยละ 32.5 มีรายได้เฉลี่ย 30,617.7 บาทต่อเดือน มีจำนวนสมาชิกต่อกลุ่มที่มาเยือนเฉลี่ย 3 คน มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเยือนสวนศรีนครเขื่อนขันธ์เฉลี่ย 417.84 บาทต่อครั้งและจะกลับมาอีกในอนาคต</p> <p>สวนศรีนครเขื่อนขันธ์เป็นสวนสาธารณะในเขตเมืองที่มีผู้มาเยือนในปี พ.ศ. 2566 จำนวน 271,978 คน จากการประเมินมูลค่าทางนันทนาการของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์พบว่า มูลค่าทางนันทนาการของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ในปี พ.ศ. 2566 โดยใช้ความเต็มใจที่จะจ่ายของผู้มาเยือนมีมูลค่า 6,826,647.80 บาทต่อปี และมูลค่าทางนันทนาการโดยใช้วิธีต้นทุนในการเดินทางของบุคคลของผู้มาเยือนมีมูลค่า 44,705,023.86 บาทต่อปี ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการพื้นที่ให้มีความสามารถในการรองรับผู้มาเยือนที่เข้ามาใช้บริการด้านนันทนาการเพื่อพัฒนาการบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกในสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ต่อไป</p> <p> </p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264139
ความสัมพันธ์ของลักษณะโครงสร้างสังคมพืชกับปัจจัยดินบางประการและการเก็บกักคาร์บอน บริเวณป่านันทนาการน้ำตกหินตั้ง จังหวัดอุดรธานี
2024-08-21T13:57:35+07:00
พัชรพล ชาหว้า
lamthainii@gmail.com
มณฑล นอแสงศรี
norsaengsri@gmail.com
เพ็ญพิลัย เปี่ยนคิด
penpilai.pen@gmail.com
กฤษดา พงษ์การัณยภาส
k.phongkaranyaphat@gmail.com
แหลมไทย อาษานอก
lamthainii@gmail.com
<p>ฐานข้อมูลด้านลักษณะสังคมพืชที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมและการกักเก็บคาร์บอน สามารถยกระดับการจัดการพื้นที่ป่าคุ้มครอง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรากฎสังคมพืชตามปัจจัยดิน และการกักเก็บคาร์บอน ในพื้นที่ป่านันทนาการน้ำตกหินตั้ง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ทำการวางแปลงตัวอย่างแบบสุ่มเจาะจง (purposive sampling) ขนาด 20 เมตร x 20 เมตร จำนวน 15 แปลง พร้อมเก็บข้อมูลองค์ประกอบชนิดของพรรณไม้ต้นและปัจจัยดิน เพื่อใช้วิเคราะห์ลักษณะสังคมพืชตามการแปรผันของปัจจัยดิน พร้อมกับประเมินการกักเก็บคาร์บอนในแต่ละหมู่ไม้ ผลการศึกษาพบไม้ต้น 51 ชนิด 51 สกุล 26 วงศ์ จากต้นไม้ทั้งหมด 636 ต้น สามารถจำแนกสังคมพืชย่อยได้ 2 สังคมได้แก่ 1) สังคมพืชป่าเบญจพรรณ พบชนิดไม้ทั้งหมด 39 ชนิด 34 สกุล 21 วงศ์ มีค่าดัชนีความหลากชนิด เท่ากับ 3.03 มีความหนาแน่นของไม้ต้นและขนาดพื้นที่หน้าตัด เท่ากับ 1,164.29 ต้นต่อเฮกตาร์ และ 18.50 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ โดยชนิดไม้เด่นถูกกำหนดด้วยความหนาแน่นรวมของดิน 2) สังคมพืชป่าดิบแล้ง พบชนิดไม้ทั้งหมด 32 ชนิด 29 สกุล 22 วงศ์ มีค่าดัชนีความหลากชนิด เท่ากับ 2.60 มีความหนาแน่นของไม้ต้นและขนาดพื้นที่หน้าตัด เท่ากับ 968.75 ต้นต่อเฮกตาร์ และ 30.05 ตารางเมตรต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ โดยชนิดไม้เด่นถูกกำหนดด้วยปริมาณอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และค่าความเป็นกรด–ด่าง นอกจากนั้นพบว่าสังคมพืชป่าดิบแล้งมีปริมาณมวลชีวภาพและปริมาณการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าสังคมป่าเบญจพรรณ มีค่าเท่ากับ 57.78±29.37 ตันต่อเฮกตาร์ และ 99.58±50.62 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าความสัมพันระหว่างสังคมพืชกับปัจจัยดินมีความสำคัญต่อการจัดการพื้นที่ป่า ดังนั้นข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการด้านการปลูกป่าทดแทน และเพิ่มบทบาทสำคัญของพื้นที่คุ้มครองในการดูดซับคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264119
ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอุทยานแห่งชาติตาพระยา
2024-07-24T08:19:14+07:00
สุทธิวัฒน์ สุสิงห์
wanavy67@gmail.com
ประทีป ด้วงแค
fforptd@ku.ac.th
อิงอร ไชยเยศ
aingorn.cha@stou.ac.th
<p>อุทยานแห่งชาติตาพระยา เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ ซึ่งยังพบปัญหาการลักลอบล่าสัตว์และตัดไม้สูง สาเหตุเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศซึ่งเป็นเทือกเขาสูงทั้งยังติดต่อกับแนวชายแดน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอุทยานแห่งชาติตาพระยา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาผลการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนจำนวน 60 คน จากฐานข้อมูล SMART ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึงกันยายน พ.ศ. 2564 ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตลอดจน Wilcoxon Sign Rank Test ผลการวิจัยพบว่าเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนส่วนใหญ่มีอายุ 40–49 ปี อายุงานน้อยกว่า 5 ปี สถานะการจ้างงานเป็นบุคคลภายนอกฯ และการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย ผลการปฏิบัติงานลาดตระเวนเชิงคุณภาพจำนวน 9,386 ครั้ง รวม 23,145 วัน ระยะทางรวม 176,519 กิโลเมตร ตรวจพบต้นไม้ 374 ครั้ง พืชอาหารสัตว์ 288 ครั้ง โป่ง 368 ครั้ง แหล่งน้ำ 132 ครั้ง สัตว์ป่า 394 ครั้ง ร่องรอยสัตว์ 18,890 ครั้ง การล่า 29 ครั้ง การทำไม้ 248 ครั้ง ปางพัก ห้าง 226 ครั้ง กับดักสัตว์ 670 ครั้ง ปืน เครื่องกระสุน 248 ครั้ง และอุปกรณ์ตัดไม้ 117 ครั้ง ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสูงสุดทั้ง 3 ด้าน 1) ด้านการเดินลาดตระเวนคือ อายุ 20–29 ปี อายุงานน้อยกว่า 5 ปี สถานะการจ้างงานเป็นบุคคลภายนอกฯ การศึกษาประถมศึกษา 2) ด้านการตรวจพบปัจจัยนิเวศคือ อายุ 20–29 ปี อายุงาน 5–9 ปี สถานะการจ้างงานเป็นบุคคลภายนอกฯ การศึกษาไม่เกินมัธยมศึกษา 3) ด้านการตรวจพบปัจจัยคุกคามคือ อายุ 20–29 ปี อายุงานน้อยกว่า 5 ปี สถานะการจ้างงานเป็นพนักงานจ้างเหมาฯ การศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น และพบว่าปัจจัยส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน ที่ต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการทรัพยากรบุคคลของหน่วยงาน เพื่อให้การคัดเลือกเจ้าหน้าที่และการจัดชุดลาดตระเวนเป็นไปอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงศักยภาพ และนำปัจจัยส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่แต่ละคนมาเป็นข้อพิจารณาจัดกำลัง เพื่อให้การปฏิบัติงานลาดตระเวนเชิงคุณภาพเกิดผลสูงสุด และผลของการอนุรักษ์คุ้มครองพื้นที่อย่างยั่งยืน</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264190
ลักษณะโครงสร้างสังคมพืชและอิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพบางประการ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูเก้า – ภูพานคำ จังหวัดหนองบัวลำภู
2024-08-13T08:22:22+07:00
ธงชัย นาราษฎร์
thongchai.thp@gmail.com
วราลี ศรีเกื้อ
mywaralee.ws@gmail.com
กฤษดา พงษ์การัณยภาส
k.phongkaranyaphat@gmail.com
มณฑล นอแสงศรี
norsaengsri@gmail.com
แหลมไทย อาษานอก
lamthainii@gmail.com
<p>การศึกษาลักษณะโครงสร้างสังคมพืชถือเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดการอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะโครงสร้างสังคมพืช และอิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมด้านกายภาพบางประการที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของชนิดไม้ต้น ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูเก้า–ภูพานคำ จังหวัดหนองบัวลำภู โดยการวางแปลงตัวอย่างแบบสุ่มเจาะจงขนาด 20 เมตร x 20 เมตร จำนวน 30 แปลง พร้อมเก็บข้อมูลองค์ประกอบชนิดไม้ต้นและปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพบางประการเพื่อทำการวิเคราะห์ลักษณะสังคมพืช การจัดกลุ่มหมู่ไม้ และหาความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อม ผลการศึกษาพบไม้ต้นทั้งหมด 79 ชนิด 65 สกุล 30 วงศ์ ค่าดัชนีความหลากชนิด เท่ากับ 3.63 สามารถจำแนกสังคมพืชย่อยได้ 3 สังคม ได้แก่ สังคมป่าเต็งรัง พบชนิดไม้ทั้งหมด 38 ชนิด 35 สกุล 17 วงศ์ มีค่าดัชนีความหลากชนิด เท่ากับ 2.82 ชนิดไม้เด่น เช่น เหียง (<em>Dipterocarpus obtusifolius</em>) รักใหญ่ (<em>Gluta usitata</em>) และประดู่ (<em>Pterocarpus macrocarpus</em>) ถูกกำหนดโดยความสูงจากระดับน้ำทะเล (เมตร) สังคมป่าผสมผลัดใบ พบชนิดไม้ทั้งหมด 52 ชนิด 47 สกุล 24 วงศ์ มีค่าดัชนีความหลากชนิด เท่ากับ 3.28 ชนิดไม้เด่น เช่น แดง (<em>Xylia xylocarpa</em>) ประดู่ และกุ๊ก (<em>Lannea coromandelica</em>) ถูกกำหนดโดยอุณหภูมิ (<sup>o</sup>C) และสังคมป่าดิบแล้ง พบชนิดไม้ทั้งหมด 39 ชนิด 36 สกุล 20 วงศ์ มีค่าดัชนี<br />ความหลากชนิด เท่ากับ 2.93 ชนิดไม้เด่น เช่น ตะแบกเปลือกบาง (<em>Lagerstroemia duperreana</em>) ติ้วขน (<em>Cratoxylum formosum</em>) และยางแดง (<em>Dipterocarpus turbinatus</em>) ถูกกำหนดโดยปริมาณน้ำฝน (มิลลิเมตร) และความลาดชัน (%) ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าอุทยานแห่งชาติภูเก้า – ภูพานคำ ประกอบด้วยสังคมพืชที่หลากหลายและถูกกำหนดด้วยปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการแบ่งเขตการจัดการพื้นที่ควรพิจารณาลักษณะสังคมพืชและปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพเป็นสำคัญ ทั้งนี้ในการศึกษาครั้งต่อไปควรมีการศึกษาอิทธิพลของปัจจัยดินต่อการปรากฏสังคมพืชเพิ่มเติม อาจทำให้อธิบายการปรากฏสังคมพืชได้ชัดเจนยิ่งขึ้น</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263878
นิเวศวิทยาบางประการ ปริมาณและมูลค่าของไผ่ในป่าเบญจพรรณของป่าชุมชน ในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์
2024-07-17T08:10:37+07:00
เธียรวิชญ์ มูสิกะวงศ์
thainrawich.m@ku.th
พสุธา สุนทรห้าว
fforpts@ku.ac.th
วัฒนชัย ตาเสน
fforwct@ku.ac.th
<p>การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ในป่าชุมชนเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการยังชีพของประชาชนในชุมชนชนบท โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีป่าอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัย การใช้ประโยชน์จากไม้และของป่าภายใต้พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ การบริหารจัดการป่าชุมชนที่ดีจึงต้องพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์จากไผ่และทรัพยากรป่าไม้อื่น ๆ อย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อม การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานิเวศวิทยาบางประการของสังคมพืชในป่าเบญจพรรณ ปริมาณและมูลค่าการใช้ประโยชน์ของไผ่ โดยใช้วิธีการสำรวจแบบสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบเพื่อกำหนดตำแหน่งจากแปลงตัวอย่างชั่วคราว ขนาด 40 เมตร × 40 เมตร จำนวน 14 แปลงตัวอย่าง กระจายครอบคลุมพื้นที่ป่าอย่างสม่ำเสมอ</p> <p>ผลการศึกษาพบชนิดไม้ทั้งหมด 66 ชนิด 58 สกุล 28 วงศ์ จำแนกเป็นไม้ต้น 55 ชนิด ไม้รุ่น 28 ชนิด กล้าไม้ 31 ชนิด พบไผ่จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ไผ่รวก (<em>Thyrsostachys siamensis </em>Gamble) ไผ่ซางนวล (<em>Dendrocalamus membranaceus </em>Munro) และไผ่ป่า (<em>Bambusa bambos </em>(L.) Voss) ความหนาแน่นเฉลี่ย 2,401.33 ลำต่อเฮกตาร์ ปริมาณไผ่ทั้งหมด 2,878,993 ลำ จำแนกเป็นไผ่รวก 1,863,385 ลำ ไผ่ซางนวล 721,362 ลำ และไผ่ป่า 294,246 ลำ คิดเป็นมูลค่าที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ไผ่ทั้งสิ้น 1,172,110 บาทต่อปี แบ่งเป็นมูลค่าจากลำไผ่ที่หามาได้ เท่ากับ 947,848 บาทต่อปี และมูลค่าจากหน่อไม้ที่หามาได้ เท่ากับ 224,262 บาทต่อปี โดยไผ่รวกมีกำลังผลิต ร้อยละ 49.91 ต่อปี ความเพิ่มพูนรายต่อปี 930,015 ลำ ไผ่ซางนวลมีกำลังผลิต ร้อยละ 30.87 ความเพิ่มพูนรายต่อปี 222,684 ลำ และไผ่ป่ามีกำลังผลิต ร้อยละ 18.64 มีความเพิ่มพูนรายต่อปี 54,847 ลำ ตามลำดับ</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262751
การประเมินมูลค่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว ในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
2024-04-05T18:01:52+07:00
วรรณนภา ชาวเฮี้ย
taem79@hotmail.com
ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ
thanakorn-l@mju.ac.th
ปิยะพิศ ขอนแก่น
piyapit@mju.ac.th
ฑีฆา โยธาภักดี
teekasom@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประเมินมูลค่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาว โดยใช้การวิเคราะห์ใช้วิธีอาศัยต้นทุนการเดินทางระดับเขตและวิธีการสมมติเหตุการณ์ให้ประมาณค่าโดยใช้ความเต็มใจที่จะจ่าย การเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาธรรมชาติจากแบบสอบถาม จำนวน 475 ราย ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาธรรมชาติส่วนใหญ่เดินทางมาครั้งแรกร้อยละ 82.3 เดินทางมากับกลุ่มเพื่อนร้อยละ 74.7 สมาชิกในกลุ่มเฉลี่ย 5 คน มีเป้าหมายเพื่อตั้งใจมาพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาวร้อยละ 64.6 กิจกรรมที่ทำส่วนใหญ่คือชมวิวทิวทัศน์จุดสูงสุดดอยหลวงเชียงดาวร้อยละ 89.9 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 4,766.84 บาทต่อคน นักศึกษาธรรมชาติมีความยินดีที่จะจ่ายร้อยละ 87.8 ในกรณีที่มีการปรับปรุงการบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก เส้นทางศึกษาธรรมชาติมีการเก็บค่าตอบแทนระบบนิเวศบริการเพิ่มเติม การประเมินมูลค่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติโดยใช้วิธีอาศัยต้นทุนการเดินทางระดับเขตมีมูลค่า 632,912,500 บาทต่อปี และการประเมินมูลค่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติโดยวิธีการสมมติเหตุการณ์ให้ประมาณค่าความเต็มใจที่จะจ่าย มีมูลค่า 2,317,855 บาทต่อปี โดยมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายค่าตอบแทนระบบนิเวศบริการขั้นต่ำ 278.89 บาทต่อคน โดยข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประกอบการพิจารณาแนวทางการจัดการพื้นที่ และใช้พิจารณาเกณฑ์กำหนดอัตราค่าตอบแทนระบบนิเวศบริการในการเข้าไปศึกษาเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยหลวงเชียงดาวให้เหมาะสมได้</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265989
การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนความกลางทางคาร์บอน
2025-01-17T16:34:21+07:00
ณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์
rdispk@ku.ac.th
<p>ประเทศไทยตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจอีกประมาณ 16 ล้านไร่ ภายในปี พ.ศ. 2580 เพื่อสนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยมีหลายปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย ได้แก่ นโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติ การเติบโตของธุรกิจและอุตสาหกรรมไม้ การขยายตัวของตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ และการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในภาคการเกษตร อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องเผชิญทั้งในด้านกฎหมายและการบริหารจัดการแบบครบวงจร ประสิทธิภาพของกลไกทางการเงินการคลัง และตลาด ความพร้อมของพื้นที่รองรับการปลูกไม้เศรษฐกิจ รวมถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม และมาตรฐานด้านป่าไม้ ดังนั้น แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจให้ประสบผลสำเร็จที่ควรดำเนินการประกอบด้วย 1) การกำหนดพื้นที่ส่งเสริมไม้เศรษฐกิจระดับจังหวัด 2) การส่งเสริมการรวมกลุ่มปลูกไม้เศรษฐกิจแปลงใหญ่ 3) การพัฒนากลไกทางการเงิน การคลัง และตลาด 4) การใช้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม” 5) การตรากฎหมายส่งเสริมไม้เศรษฐกิจนอกเขตป่าแบบครบวงจร และ 6) การสร้างกลไกขับเคลื่อนการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจระดับชาติ</p>
2025-04-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย