วารสารวนศาสตร์ไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf <p>วารสารวนศาสตร์ เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ.2525 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วารสารวนศาสตร์ไทย ในปี พ.ศ.2563 ISSN : 2822-115X (Online) ภายใต้การดำเนินงานของคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตีพิมพ์ผลงานวิชาการที่เกี่ยวข้องทางด้านวนศาสตร์ เช่น นิเวศวิทยาป่าไม้ การจัดการป่าไม้ เศรษฐศาสตร์ป่าไม้ วนวัฒนวิทยา การจัดการลุ่มน้ำ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สัณฐานวิทยาและสรีรวิทยาของพืชพรรณและสัตว์ป่า เป็นต้น จากนักวิจัยไทยทั่วประเทศ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาเป็นผู้พิจารณาผลงาน อย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน และมีกำหนดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ เดือนมกราคม-มิถุนายน และเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> th-TH <p>ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ขอรับรองว่า ต้นฉบับที่เสนอมานี้ยังไม่เคยได้รับการตีพิมพ์และไม่ได้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาตีพิมพ์ลงในวารสารหรือสิ่งตีพิมพ์อื่นใด ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาต้นฉบับ ทั้งยินยอมให้กองบรรณาธิการมีสิทธิ์พิจารณาและตรวจแก้ต้นฉบับได้ตามที่เห็นสมควร พร้อมนี้ขอมอบลิขสิทธิ์ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ให้แก่วารสารวนศาสตร์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรณีมีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับภาพ กราฟ ข้อความส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือ ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในผลงาน ให้เป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) แต่เพียงฝ่ายเดียว และหากข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ประสงค์ถอนบทความในระหว่างกระบวนการพิจารณาของทางวารสาร ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณาบทความนั้น”</p> fforlwr@ku.ac.th (Asst. Prof. Dr. Laddawan Rianthakool) frc@ku.th (นางวราภรณ์ ลำใย) Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความหลากชนิดและความมากมายของผีเสื้อกลางวัน ในอุทยานแห่งชาติแม่ปืม จังหวัดพะเยา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265756 <p>ผีเสื้อกลางวันจัดเป็นแมลงที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศเป็นทั้งผู้บริโภคในระยะตัวหนอน และในตัวเต็มวัยเป็นผู้ช่วยผสมเกสรให้กับพืชในระบบนิเวศ งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิดและความมากมายของผีเสื้อกลางวันในพื้นที่ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ บริเวณอุทยานแหงชาติแม่ปม จังหวัดพะเยา ใช้วิธีการเดินสำรวจโดยตรงและสวิงโฉบจับทุกเดือน ดำเนินการระหว่างเดือนพฤษภาคม 2565 ถึงเดือนเมษายน 2566 ผลการศึกษาพบผีเสื้อกลางวันทั้งสิ้น 719 ตัว 70 ชนิด 46 สกุล จาก 4 วงศ์ (วงศ์ Lycaenidae, Nymphalidae, Papilionidae และ Pieridae) ซึ่งผีเสื้อกลางวันในวงศ์ Nymphalidae (43 ชนิด) พบจำนวนชนิดมากที่สุด รองลงมาเป็นวงศ์ Lycaenidae (14 ชนิด) วงศ์ Pieridae (9 ชนิด) และวงศ์ Papilionidae (4 ชนิด) ตามลำดับ ซึ่งพบว่าค่าดัชนีความหลากหลายทางชนิดและค่าดัชนีความสม่ำเสมอของผีเสื้อกลางวันในพื้นที่ป่าเต็งรังมีค่ามากกว่าในพื้นที่ป่าเบญจพรรณ ส่วนค่าดัชนีความคล้ายคลึงของผีเสื้อกลางวันทั้งสองสังคมพืชมีความคล้ายคลึงกันอยู่ที่ระดับปานกลาง คือ ร้อยละ 55.67 เมื่อวิเคราะห์ค่าความหลากชนิดในแต่ละฤดูกาลของทั้งสองพื้นที่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.05) แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลในแหล่งที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันส่งผลต่อสัดส่วนของชนิดผีเสื้อกลางวันที่ปรากฏในช่วงเวลา ส่วนการประเมินสถานภาพการอนุรักษ์ตาม IUCN Red List พบว่ามีผีเสื้อกลางวันจำนวน 7 ชนิดได้รับการจัดประเภทอยู่ในประเภทที่น่ากังวลน้อยที่สุด (least concern, LC) จากผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการอนุรักษ์และพัฒนาโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านผีเสื้อกลางวันในอุทยานแห่งชาตินี้ต่อไปได้</p> พลอยรริน เชื้อเมืองพาน, วัฒนชัย ตาเสน, สุธีร์ ดวงใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265756 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจและความพร้อมของสมาชิกเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในจังหวัดกาญจนบุรี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262704 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม ระดับความพึงพอใจต่อกิจกรรมการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันและความพร้อมในการควบคุมไฟป่า ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจและความพร้อมของสมาชิกเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในจังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้แบบสัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูลกับสมาชิกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 270 ราย โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ค่า t–test และ ค่า F–test<br />ผลการศึกษาพบว่า สมาชิกเครือข่ายที่ทำการศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 55.6 มีอายุเฉลี่ย 46.8 ปี ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 50.4 อาชีพหลักเกษตรกรรม ร้อยละ 41.1 รายได้เฉลี่ยต่อปี 95,395.78 บาท โดยพบว่าส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมด้านการควบคุมไฟป่า ร้อยละ 74.4 เคยได้รับการสนับสนุนเครื่องมือดับไฟป่า ร้อยละ 53.7 ไม่เคยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ร้อยละ 84.8 มีความรู้เกี่ยวกับไฟป่าและการควบคุมไฟป่าอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 64.8 และมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.71 และระดับความพร้อมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.59 ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจ <br />ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพรอง การได้รับผลกระทบจากไฟป่า การได้รับสนับสนุนเครื่องมือดับไฟป่า การได้รับเงินอุดหนุน และความรู้เกี่ยวกับไฟป่าและการควบคุมไฟป่า และปัจจัยที่มีผลต่อความพร้อม ได้แก่ อายุ อาชีพรอง การได้รับการสนับสนุนเครื่องมือดับไฟป่า การได้รับเงินอุดหนุน และความรู้เกี่ยวกับไฟป่าและการควบคุมไฟป่า</p> ธนพร ทองคำอยู่, สันติ สุขสอาด, อภิชาต ภัทรธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/262704 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการกระจายของสนสองใบ (Pinus latteri Mason) และสนสามใบ (Pinus kesiya Royle ex Gordon) ในประเทศไทย https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264402 <p>ไม้ในกลุ่มสนจัดเป็นพืชดึกดำบรรพ์กลุ่มแรกที่เกิดขึ้นในยุค มีโซโซอิค (Mesozoic era) มีวิวัฒนาการที่กว้างขวางและโดดเด่นถือเป็นไม้เบิกนำในช่วงแรก แต่ในภายหลังพบไม้สนในป่าธรรมชาติไม่มากนักและมักกระจายเป็นหย่อม ๆ ประกอบกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลให้พืชหลายชนิด มีพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการกระจายลดน้อยลง ซึ่งอาจทำให้ต้นไม้หรือพืชบางชนิดเกิดการสูญพันธุ์ได้ โดยเฉพาะกลุ่มไม้สน ซึ่งในประเทศไทย พบว่ามีพืชสกุล <em>Pinus</em> อยู่เพียงสองชนิดเท่านั้น คือ สนสองใบ (<em>Pinus latteri</em> Mason) และสนสามใบ (<em>Pinus kesiya</em> Royle ex Gordon) ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้จึงได้เจาะจงไปที่ไม้สนทั้งสองชนิด เพื่อเป็นกรณีศึกษาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการกระจายของสนสองใบ และสนสามใบ ในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการกระจายของชนิดไม้สนทั้งสองชนิด และประเมินผลกระทบต่อการกระจายตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการรวบรวมข้อมูลการปรากฏของสนสองใบ สนสามใบ และปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญ ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านกายภาพ ปัจจัยทางด้านชีวภาพ และปัจจัยทางด้านภูมิอากาศ เพื่อนำมาสร้างแบบจำลองการกระจายโดยใช้โปรแกรมแบบจำลอง MaxEnt software version 3.3.3k ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการกระจายของสนสองใบ และสนสามใบเท่ากับ 72,198 และ 59,703 ตารางกิโลเมตร ตามลำดับ พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการกระจายในอนาคตภายใต้ภาพเหตุการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายน้อยที่สุด (SSP 1–2.6) มีพื้นที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ร้อยละ 6.62 และ 8.95 ตามลำดับ หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศร้ายแรงสุด (SSP 5–8.5) สนสองใบจะมีพื้นที่การกระจายที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ส่วนสนสามใบ จะมีพื้นที่การกระจายลดลงร้อยละ 2.68 จากปัจจุบัน ดังนั้นผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการกระจายของสนทั้งสองชนิด โดยเฉพาะสนสามใบ จะมีพื้นที่การกระจายลดลง เป็นไปได้ว่าในอนาคต ไม้สนสามใบอาจจะหายไปจากหลาย ๆ พื้นที่ และอาจจะมีไม้ชนิดอื่นเข้ามาทดแทน ส่งผลให้ระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้นหากต้องการรักษาไม้สนสามใบให้คงอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนการจัดการ และส่งเสริมการปลูกไม้สนสามใบ ในพื้นที่ที่เหมาะสมให้มากขึ้น ทั้งนี้หากมีการจัดการด้านพื้นที่การปลูกได้แม่นยำ จะส่งผลให้อัตราการรอดตายของไม้สนสามใบที่นำไปปลูก สูงขึ้น และลดการหายไปจากพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> อาคม ตุลา, ยงยุทธ ไตรสุรัตน์, นันทิดา สุธรรมวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264402 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปริมาณและมูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่าของราษฎรในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263482 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพเศรษฐกิจ สังคม ปริมาณ และมูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่าของราษฎรในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างเป้าหมายทั้งหมด 380 ครัวเรือน และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และความแตกต่างมูลค่าการใช้ประโยชน์ด้วยสถิติ One–way ANOVA</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ราษฎรตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 50 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ส่วนใหญ่ย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่น มีอาชีพทำไร่เป็นอาชีพหลักและรับจ้างเป็นอาชีพรอง มีรายได้และรายจ่ายเฉลี่ยเท่ากัน คือ 75,001–100,000 บาทต่อปี และมีวิถีชีวิตพึ่งพิงการใช้ประโยชน์ของป่า ได้แก่ ไม้ฟืน ไม้ไผ่ หน่อไม้ ผลไม้ป่า พืชผักป่า เห็ด พืชกินหัว แมลงและผลผลิตจากแมลง สมุนไพร และสัตว์ขนาดเล็ก ของป่าที่มีปริมาณเก็บหาสูงสุด คือ หน่อไม้ มีปริมาณ 178,448.00 กิโลกรัมต่อปี รองลงมาคือ เห็ด และแมลงและผลผลิตจากแมลง มีปริมาณ 40,157.60 และ 14,787.86 กิโลกรัมต่อปี ตามลำดับ แต่ของป่าที่มีมูลค่าการใช้ประโยชน์สูงสุด คือ เห็ด มีมูลค่า 12,883,590.00 บาทต่อปี รองลงมาคือ หน่อไม้และแมลงและผลผลิตจากแมลง มีมูลค่า 1,784,480.00 และ 1,648,366.14 บาทต่อปี ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมของการใช้ประโยชน์ทั้งหมดเท่ากับ 21,128,163.39 บาทต่อปี ส่วนผลการวิเคราะห์ความแตกต่างมูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่าเปรียบเทียบระหว่างหมู่บ้าน พบว่า เห็ด หน่อไม้ พืชผักป่า แมลงและผลผลิตจากแมลง พืชกินหัว สมุนไพร และสัตว์ขนาดเล็ก มีมูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05</p> ณิชาพัชร์ มูสิกะวงศ์, พสุธา สุนทรห้าว, นฤมล แก้วจำปา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263482 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 คุณภาพน้ำด้านกายภาพและด้านเคมีของน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนที่ใช้เพื่อการท่องเที่ยว ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ในฤดูร้อนและฤดูฝน ปี พ.ศ. 2566 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265530 <p>น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนเป็นแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่มีการใช้น้ำเพื่อกิจกรรมท่องเที่ยว ซึ่งคุณภาพน้ำอาจมีผลต่อสุขภาพได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพน้ำทางกายภาพและทางเคมีบางประการ และเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานน้ำบาดาลที่จะใช้บริโภคได้ วิธีการศึกษา คือ กำหนดจุดเก็บตัวอย่างจำนวน 3 บ่อน้ำพุร้อน คือ บ่อที่ไม่มีการทำกิจกรรมท่องเที่ยว บ่อพักน้ำพุร้อนที่ใช้สำหรับห้องอาบน้ำแร่ และบ่อน้ำอุ่นสำหรับการแช่เท้า ทำการเก็บข้อมูล 2 ครั้ง คือ ในช่วงฤดูร้อนและในช่วงฤดูฝน วิเคราะห์คุณภาพน้ำจำนวน 22 ดัชนี วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเปรียบเทียบคุณภาพน้ำระหว่างบ่อน้ำพุร้อน โดยใช้สถิติ F–test และ DMRT และเปรียบเทียบระหว่างฤดูร้อนและฤดูฝน โดยใช้สถิติ t–test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า อุณหภูมิของน้ำอยู่ในระดับน้ำพุร้อนชนิดอุ่นถึงร้อนจัด และน้ำมีความใส ค่าความขุ่นต่ำ สำหรับคุณภาพน้ำทางเคมีที่ตรวจพบมีทั้งหมด 14 ดัชนี ซึ่งฟลูออไรด์ของทุกบ่อในฤดูร้อนและบ่อน้ำพุร้อนที่ไม่มีการทำกิจกรรมในฤดูฝนมีปริมาณเกินเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้พบสารหนูในปริมาณที่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ในขณะที่ตรวจไม่พบโลหะหนัก 6 ชนิด เมื่อเปรียบเทียบระหว่างบ่อน้ำพุร้อน พบว่า อุณหภูมิน้ำและความขุ่นมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>≤0.05) ส่วนดัชนีคุณภาพน้ำอื่น ๆ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&gt;0.05) ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างฤดูกาล พบว่า โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียมคลอไรด์ ฟลูออไรด์ แมงกานีส และสารหนู มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>≤0.05) แต่ดัชนีคุณภาพน้ำอื่น ๆ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&gt;0.05)</p> โชติรส พงษ์ปราโมทย์, อิสรีย์ ฮาวปินใจ, ฑีฆา โยธาภักดี, ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265530 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าป่าเขาภูหลวง จังหวัดนครราชสีมา https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264445 <p>ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยกำลังประสบปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ทำให้จำเป็นต้องมีกลยุทธ์และมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ระหว่างหน่วยงานของรัฐและผู้ที่มีส่วนได้เสีย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบุกรุกพื้นที่ป่า ระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อการป้องกันและรักษาป่า และเสนอแนวทางป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าป่าเขาภูหลวง โดยการสัมภาษณ์ราษฎรใน ตำบลลำนางแก้ว อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นชุมชมที่มีพื้นที่ติดเขตห้ามล่าฯ จำนวน 162 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร่วมกับวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมภายในและภายนอกด้วย SWOT analysis และจัดทำแนวทางการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าด้วยเทคนิค TOWS Matrix</p> <p>การศึกษาพบว่า ปัจจัยสำคัญของการบุกรุกพื้นที่ป่ามาจาก ทัศนคติของชุมชนที่ต้องการมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองจึงบุกรุกพื้นที่ป่า ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อกิจกรรมที่เขตห้ามล่าฯ จัดขึ้น ที่ในระดับมากมีเพียงร้อยละ 25.3 เนื่องจากสมาชิกชุมชนส่วนใหญ่ติดภารกิจอื่นในช่วงที่จัดกิจกรรม สำหรับแนวทางการป้องกันการบุกรุกป่า กำหนดได้ 3 แนวทาง ได้แก่ 1) มาตรการเชิงรุก โดยการตรวจสอบสิทธิพื้นที่ถือครอง จัดทำข้อมูลรายแปลง และทบทวนสิทธิ์ทุกปี 2) มาตรการเชิงรับและเชิงแก้ไข ภายใต้การสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนผ่านคณะกรรมการที่ปรึกษา สร้างชุมชนเครือข่าย จัดกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ และ 3) แนวทางเชิงรุก ในการเพิ่มศักยภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการทำงาน นอกจากนี้ ควรมีการนำปัจจัยทางกายภาพมาประกอบการประเมินพื้นที่เสี่ยงต่อการบุกรุกจำช่วยให้การกำหนดแนวทางการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> ประสิทธิ์ จ้อยชู, ปิยวัตน์ ดิลกสัมพันธ์, นิตยา เมี้ยนมิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/264445 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อการให้บริการของระบบนิเวศ บริเวณสวนพฤกษศาสตร์พุแค จังหวัดสระบุรี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265776 <p>การศึกษาปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อการให้บริการของระบบนิเวศ บริเวณสวนพฤกษศาสตร์พุแค จังหวัดสระบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานิเวศบริการ ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาด้านนิเวศบริการ การใช้ประโยชน์ และการวิเคราะห์ปัจจัยที่จำเป็นเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการบริหารจัดการพื้นที่ โดยเก็บข้อมูลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเมษายน 2567) จากการสัมภาษณ์ผู้ใช้บริการได้ทั้งหมด 210 ตัวอย่าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (ความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย) รวมทั้งใช้สถิติเชิงอนุมาน (การถดถอยลอจิสติก) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจและมีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่ ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญต่อนิเวศบริการโดยเฉพาะด้านการสนับสนุน ได้แก่ แหล่งรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย (พืช และสัตว์ป่า) และด้านวัฒนธรรม ได้แก่ พื้นที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและการท่องเที่ยว ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า อายุมากขึ้นมีความพึงพอใจต่อสภาพพื้นที่และการได้รับการบริการ ส่วนปัจจัยด้านเพศ (หญิง) สถานภาพการสมรส (สมรส) ที่อยู่อาศัยปัจจุบัน (อยู่ไกลจากพื้นที่) และการรู้จักกิจกรรมการดำเนินงานหลักขององค์กร (ไม่รู้จัก) เป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ การประเมินนิเวศบริการ ลักษณะเศรษฐกิจและสังคม และการบริหารจัดการ สามารถใช้เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่โดยเฉพาะเพื่อสร้างการรับรู้ถึงกิจกรรมการดำเนินงานหลักขององค์กร ซึ่งช่วยให้วางแผนการจัดการและบริหารงานเชิงรุก รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมและเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนเพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนิเวศบริการของสวนพฤกษศาสตร์พุแค รวมทั้งสนับสนุนการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน</p> ยุทธพงษ์ คีรีมังคละ, เสาวคนธ์ โนสูงเนิน, หงษ์พิจารณ์ บัวไข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/265776 Thu, 14 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความหลากชนิดและการกักเก็บคาร์บอนของไม้ต้นใน ป่าดิบเขาฟื้นฟูภายใต้โครงการปลูกป่า ถาวรเฉลิมพระเกียรติ แปลงปลูกป่า 9/2 แม่ฮ่องสอน https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267615 <p>โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีความสมบูรณ์ และช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชาชนและหน่วยงานอื่น ๆ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิด ปริมาณมวลชีวภาพ และปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของป่าดิบเขาฟื้นฟู แปลงปลูกป่า FPT 9/2 แม่ฮ่องสอน ณ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่แปลงปลูกขนาด 1,194 ไร่ หรือ 191 เฮกตาร์ วิธีการศึกษาใช้การสุ่มตัวอย่างแบบจำแนกชั้นภูมิตามความหนาแน่นของเรือนยอดไม้ ระดับสูง ปานกลาง ต่ำ โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศในการจำแนกชั้นภูมิ โดยทำการวางแปลงตัวอย่างขนาด 100 เมตร x 100 เมตร หรือ 1 เฮกตาร์ กระจายชั้นภูมิละ 1 แปลง รวมแปลงตัวอย่างทั้งหมด 3 แปลง เก็บรวบรวมข้อมูลชนิดไม้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับความสูงเพียงอก (DBH) และความสูงของต้นไม้</p> <p>ผลการศึกษาพบ ไม้ต้นทั้งหมด 1,996 ต้น ความหนาแน่นเฉลี่ย 665 ต้นต่อเฮกตาร์ ประกอบด้วยชนิดไม้ทั้งหมด 62 ชนิด 37 วงศ์ โดยไม้ต้นวงศ์ก่อ (FAGACEAE) พบมากที่สุด ไม้ต้นที่มีดัชนีความสำคัญ (IVI) สูงที่สุด ได้แก่ สนสามใบ ร้อยละ 76.30 รองลงมาคือ มังตาน ก่อ ปลายสาน มะกอกเกลื้อน และนางพญาเสือโคร่ง มีค่าร้อยละ 37.74, 17.16, 15.70 และ 15.59 ตามลำดับ ค่าดัชนีความหลากชนิด (H’) เท่ากับ 2.99 มีปริมาณมวลชีวภาพเฉลี่ย 293.88 ตันต่อเฮกตาร์หรือ คิดเป็นปริมาณทั้งหมด เท่ากับ 56,142.84 ตัน โดยสนสามใบ เป็นชนิดไม้มีปริมาณมวลชีวภาพมากที่สุด เฉลี่ย 141.34 ตันต่อเฮกตาร์ รองลงมาได้แก่ มังตาน ก่อ มะกอกเกลื้อน และ กำลังเสือโคร่ง เท่ากับ 59.13, 17.42, 10.49 และ 9.47 ตันต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ คิดเป็นปริมาณการกักเก็บคาร์บอนทั้งหมดเท่ากับ 26,388.36 ตันคาร์บอน หรือเฉลี่ย 138.13 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ และมีปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้ต้นทั้งหมดเท่ากับ 96,754.12 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเฉลี่ย 506.46 ตันคาร์บอนออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ โดยชนิดไม้ต้นที่มีปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สนสามใบ มังตาน ก่อ มะกอกเกลื้อน และ กำลังเสือโคร่ง เท่ากับ 243.57, 101.91, 30.02 และ 18.08 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ ตามลำดับ ดังนั้น ข้อมูลจากผลการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้โดยเฉพาะป่าบนพื้นที่สูง และสามารถนำไปใช้ในการบริการจัดการฟื้นฟูป่าไม้ต่อไป</p> อาทิติยา คงทอง, พสุธา สุนทรห้าว, สคาร ทีจันทึก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267615 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการพื้นที่ทับซ้อนระหว่างพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกับ พื้นที่แกนกลางสงวนชีวมณฑลระนอง https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266582 <p>พื้นที่สงวนชีวมณฑล ได้กำหนดให้พื้นที่แกนกลางเป็นพื้นที่สงวนรักษาความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศและปราศจากกิจกรรมของมนุษย์ยกเว้นการศึกษาวิจัย แต่พื้นที่แกนกลางสงวนชีวมณฑลระนองมีการซ้อนทับกับพื้นที่ ส.ป.ก. 4–01 ซึ่งอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อการเกษตรกรรมได้ ทำให้แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินขัดแย้งกัน การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรผู้ถือครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณแกนกลางสงวนชีวมณฑลระนอง รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน และเสนอแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ภายใต้สภาพการณ์ต่าง ๆ โดยมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลัก การประชุมกลุ่ม และการสำรวจด้วยแบบสัมภาษณ์จากเกษตรกรผู้ถือครองที่ดินจำนวน 28 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย พร้อมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินรายแปลง และแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ด้วยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ปัจจัยเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินภายใต้บริบทพื้นที่ปฏิรูปที่ดินในเขตแกนกลางสงวนชีวมณฑล ให้ได้มาซึ่งฉากทัศน์แนวทางการบริการจัดการพื้นที่</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า เกษตรกรมีที่ทำกินเฉลี่ย 9 ไร่ 66 ตารางวา (14,664 ตารางเมตร) รวมที่ดินทำกินในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณพื้นที่แกนกลางสงวนชีวมณฑลระนอง ประมาณ 340 ไร่ (544,000 ตารางเมตร) รูปแบบการประโยชน์ ได้แก่ 1) ยางพาราเชิงเดี่ยว 2) ยางพาราผสมผสานกับพืชชนิดอื่น ๆ และ 3) สวนผลไม้ผสมผสานพืชชนิดอื่น แนวทางบริหารจัดการพื้นที่มี 3 ฉากทัศน์ ประกอบด้วย 1) การเวนคืนพื้นที่ 2) การใช้ขอบเขตเดิม และ 3) การเสนอขอกำหนดเขตพื้นที่แกนกลางใหม่ แนวทางการดำเนินการ ได้แก่ 1) การออกแบบการใช้ประโยชน์และจัดการพื้นที่ร่วมกัน 2) ให้ความรู้กับเกษตรกร 3) การพัฒนากลไกร่วมในการดูแลรักษา ป้องกันพื้นที่ 4) การสร้างกฎ กติกาชุมชนในการจัดการพื้นที่ 5) การพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ และ 6) การส่งเสริมอาชีพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ</p> ชิดชนก ไชยชิต, รัชนี โพธิแท่น, นิตยา เมี้ยนมิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266582 Sat, 16 Aug 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้ และปรับตัวของเกษตรกรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรณีศึกษาพื้นที่ตำบลไผ่สิงห์ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263504 <p>ภาคการเกษตรเป็นแหล่งของความมั่นคงด้านอาหาร (food security) ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น การจัดการเพื่อให้เกษตรกรเกิดการรับรู้ และมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นแนวทางสนับสนุนให้การใช้ประโยชน์ทรัพยากรต่าง ๆ เป็นไปอย่างเหมาะสม การวิจัยนี้ต้องการศึกษาการรับรู้ และการปรับตัวของเกษตรกรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือ ในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งประกอบด้วยผู้นำชุมชน 10 คน และเกษตรกร 290 คน วิเคราะห์ข้อมูลของผู้นำชุมชน โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนข้อมูลเกษตรกรใช้สถิติ t–test, F–test และการถดถอยแบบลอจิสสองทางเลือก ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ทั้ง 10 ชุมชน เกษตรกรประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก สำหรับข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 30–59 ปี สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น จำนวนสมาชิกในครัวเรือน 4–6 คน รายได้เฉลี่ยในรอบปีที่ผ่านมาระหว่าง 50,001–75,000 บาท ส่วนใหญ่มีภาวะหนี้สิน และมีพื้นที่ถือครอง 1–2 แปลง มีขนาดแปลงละ 1.60–3.20 เฮกตาร์ หรือ 10–20 ไร่ ผลการวิเคราะห์การรับรู้ของเกษตรกรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการรับรู้ระดับมาก ส่วนการรับรู้ความน่าจะเป็น และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รับรู้ระดับปานกลาง และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการปรับตัวระดับน้อย ส่วนการวิเคราะห์ทางสถิติ พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ คือ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยในรอบปีที่ผ่านมา ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัว คือ อายุ และภาวะหนี้สิน ส่วนปัจจัยที่ช่วยเสริมโอกาสในการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การรับรู้ความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ</p> กมลชนก โภคารัตน์กุล, ยุทธพงษ์ คีรีมังคละ, อนิศรา เพ็ญสุข ติ๊บแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/263504 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของไฟป่าต่อสมบัติดินและการกักเก็บคาร์บอน บริเวณศูนย์เรียนรู้การพัฒนาอมก๋อย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266768 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมบัติดินและปริมาณการกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยดินที่มีผลต่อการปรากฏของพรรณไม้ โดยเก็บข้อมูลดินชั้นบน (0–5 เซนติเมตร) ดินชั้นล่าง (20–25 เซนติเมตร) บริเวณพื้นที่เกิดไฟไหม้เป็นประจำ พื้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิง และพื้นที่ป้องกันไฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี เก็บตัวอย่างดินพื้นที่ละ 3 จุด วางแปลงขนาด 40 เมตร x 40 เมตร เก็บข้อมูลองค์ประกอบชนิดต้นไม้ รวมทั้งสิ้น 9 แปลง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่เกิดไฟไหม้เป็นประจำและพื้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิง ถูกกำหนดด้วยสมบัติดินทางกายภาพ ได้แก่ ปริมาณอนุภาคทรายแป้ง อนุภาคดินเหนียว และความชื้นดิน สมบัติทางเคมี ได้แก่ ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพของพรรณไม้ทุกชนิด เท่ากับ 255.9936 และ 230.1698 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ พื้นที่ป้องกันไฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี พบปริมาณอนุภาคดินทรายและความแข็งดิน ไม่พบปัจจัยทางด้านเคมี ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพของพรรณไม้ทุกชนิด เท่ากับ 196.6003 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ ดินพื้นที่ที่มีไฟเป็นองค์ประกอบมีเนื้อดินดี (ปริมาณอนุภาคทรายแป้ง และปริมาณอนุภาคดินเหนียว) ส่งผลให้พืชเติบโตและกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าในพื้นป้องกันไฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี ดังนั้นควรติดตามลักษณะทางพลวัตของดินและพืช เปรียบเทียบมวลชีวภาพและการกักเก็บคาร์บอน ระดับของความถี่ของไฟป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อทราบถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไม้พื้นถิ่น เพื่อให้เกิดการบริหารพื้นที่ป่าให้มีความเหมาะสมอย่างยั่งยืน</p> ศิริรัตน์ สุขช่วย, ธนากร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ, จักรพงษ์ ไชยวงศ์, ภัทราพร ผูกคล้าย, ธัญญรัตน์ เชื้อสะอาด, สินีนาฏ สองศรี, พิศุทธิ์ ลักษวุธ, ณัฐวดี ข้อค้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266768 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบ IoT และฐานข้อมูลสภาพอากาศของสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์ 6 สถานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266839 <p>สถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์เป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้คณะวนศาสตร์ ตั้งอยู่ทั่วประเทศ มีจำนวน 8 สถานี มีบทบาทที่สำคัญในการให้บริการการเรียนการสอนและงานวิจัยที่หลากหลาย ทั้งด้านนิเวศวิทยา การวางแผนการปลูกป่า เป็นต้น เพื่อความถูกต้องของข้อมูลสภาพอากาศ นักวิจัยจำเป็นต้องอ้างอิงข้อมูลจากสถานีวัดสภาพอากาศที่อยู่ใกล้เคียงทำให้ข้อมูลที่ได้มานั้นไม่ใช่ข้อมูลที่แท้จริงของสถานี ดังนั้น ทำให้มีแนวคิดในการศึกษาครั้งนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศและการส่งข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อทุกสรรพสิ่ง (internet of things : IoT) เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลวัดสภาพอากาศ และศึกษาความแม่นยำของอุปกรณ์ IoT วัดสภาพอากาศเทียบกับอุปกรณ์มาตรฐานของสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดวนกร โดยให้อุปกรณ์ IoT วัดสภาพอากาศ ทำงานร่วมกับคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ (NETPIE) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการส่งถ่ายข้อมูลไปยังฐานข้อมูล และนำข้อมูลมาแสดงบนหน้าเว็บไซต์</p> <p><br />ผลการศึกษา พบว่า การสอบเทียบระหว่างอุปกรณ์ IoT วัดสภาพอากาศ เทียบกับเครื่องวัดมาตรฐานของสถานีวิจัยและ<br />ฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดวนกร รุ่น WS–GP1 DELTA–T DEVICE พบว่า โดยเฉลี่ยอุปกรณ์ IoT วัดสภาพอากาศ จำนวน 6 เครื่อง <br />มีค่ารากที่สองของค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ยของอุปกรณ์ (RMSE) ร้อยละ 5.6 และมีความแม่นยำของค่าอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเข้มแสง ความเร็วลม และปริมาณฝุ่นPM2.5 ร้อยละ 93.9, 91.9, 96.1, 93.3 และ 94.6 ตามลำดับ และหน้าเว็บไซต์จะแบ่งระบบออกเป็น 3 ส่วน คือ ผู้ใช้ทั่วไป เรียกดูข้อมูลสภาพอากาศได้ สมาชิก สามารถดาวน์โหลดข้อมูลสภาพอากาศได้ และผู้ดูแลระบบ สามารถแก้ไข เพิ่ม ลบ ข้อมูลสมาชิกและข้อมูลสถานีได้</p> ปลื้มปีติ งึ้มนันใจ, ชาคริต ณ ตะกั่วทุ่ง, ปิยวัตน์ ดิลกสัมพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266839 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของการฟื้นฟูป่าชายเลนต่อการเติบโตของปูดำ (Scylla olivacea) ในจังหวัดปัตตานี https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266809 <p>ป่าชายเลนเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญในการช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ตลอดจนเป็นแหล่งอาหารของประชาชน ในอดีตป่าชายเลนเคยมีความอุดมสมบูรณ์ หากแต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ปริมาณสัตว์น้ำตามธรรมชาติจึงลดลงตามไปด้วย การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาชนิดไม้ การเติบโต และปริมาณมวลชีวภาพของไม้ป่าชายเลน ภายหลังการปลูกฟื้นฟู ในพื้นที่แปลงสาธิต ตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของปูดำ (<em>Scylla olivacea</em>) ที่เลี้ยงในพื้นที่แปลงสาธิต ตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง และพื้นที่นากุ้งร้าง ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี รวมถึงศึกษาปัจจัยแวดล้อมบางประการในพื้นที่ดังกล่าว โดยทำการศึกษาเป็นเวลา 7 เดือน (กรกฎาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2567)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ในพื้นที่แปลงสาธิตพบชนิดไม้ทั้งสิ้น 5 ชนิด ได้แก่ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ถั่วขาว แสมขาว และลำแพน มีมวลชีวภาพรวม 13.21 ตัน/ไร่ (82.56 ตัน/เฮกตาร์) เป็นมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน 9.97 ตัน/ไร่ (62.31 ตัน/เฮกตาร์) และมวลชีวภาพใต้พื้นดิน 3.24 ตัน/ไร่ (20.25 ตัน/เฮกตาร์) จากการศึกษาอัตราการเติบโตของปูดำ พบว่า ปูดำที่เลี้ยงในพื้นที่แปลงสาธิต และปูดำที่เลี้ยงในพื้นที่นากุ้งร้าง มีอัตราการเติบโตของกระดองเฉลี่ย 0.31 และ 0.22 มิลลิเมตร/วัน ตามลำดับ โดยปูดำที่เลี้ยงในพื้นที่แปลงสาธิต มีอัตราการรอดตายร้อยละ 52.5 และปูดำที่เลี้ยงในพื้นที่นากุ้งร้าง มีอัตราการรอดตายร้อยละ 42.0 และเมื่อพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมบางประการ พบว่า สมบัติทางเคมีของน้ำในพื้นที่แปลงสาธิตอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามมาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง หากแต่ในบริเวณพื้นที่นากุ้งร้าง มีสมบัติทางเคมีของน้ำบางประการที่สูงเกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้แก่ แอมโมเนีย และไนเตรท อันเนื่องมาจาก อาหารสดที่ใช้เลี้ยงปูดำตกค้างในบ่อ จึงทำให้น้ำเกิดการเน่าเสีย</p> วรากร กุญแจนาค, สมพร แม่ลิ่ม, ขรรค์ชัย ประสานัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/266809 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของสังคมไม้รุ่นและกล้าไม้ในพื้นที่กันไฟ บริเวณป่าชุมชนบ้านวังกะบาก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267721 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิด โครงสร้างทางนิเวศวิทยา การจัดกลุ่มหมู่ไม้ และการสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของสังคมไม้รุ่นและกล้าไม้ บริเวณป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่มีการกันไฟต่อเนื่อง บริเวณป่าชุมชนบ้านวังกะบาก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการศึกษาด้วยการวางแปลงตัวอย่างแบบสุ่มเจาะจง จำนวน 40 แปลง ในพื้นที่กันไฟของทั้งป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ทำการระบุชนิด วัดขนาดเส้นรอบวงเพียงอก (GBH) ของไม้รุ่น และนับจำนวนของกล้าไม้ ที่พบในแต่ละแปลงตัวอย่าง เพื่อแสดงบัญชีรายชื่อชนิด ค่าดัชนีความหลากชนิด (H') ค่าดัชนีความสำคัญทางนิเวศวิทยา (IVI) ค่าดัชนีความร่ำรวย (R) และค่าดัชนีความสม่ำเสมอ (E) รวมทั้งการวิเคราะห์การจัดกลุ่มสังคมพืชในแต่ละชั้นอายุ ผลการศึกษาพบชนิดไม้รุ่นและกล้าไม้ รวมจำนวน 50 ชนิด 49 สกุล 21 วงศ์ มีค่าดัชนีความหลากชนิด ค่าดัชนีความร่ำรวย และค่าดัชนีความสม่ำเสมอเท่ากับ 3.01, 7.78 และ 0.77 ตามลำดับ โดยยมหิน (<em>Chukrasia tabularis</em>) เป็นชนิดไม้ที่มีค่าดัชนีความสำคัญสูงสุดทั้งในสังคมไม้รุ่นและกล้าไม้สำหรับชนิดไม้ในสังคมไม้รุ่นพบจำนวน 42 ชนิด มีค่าดัชนีความหลากชนิด และค่าดัชนีความร่ำรวย เท่ากับ 3.16 และ 7.54 ตามลำดับ ซึ่งถือว่ามีความหลากชนิดและความร่ำรวยทางชนิดพันธุ์อยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมกล้าไม้ที่พบชนิดไม้เพียง 28 ชนิด ที่มีค่าดัชนีความหลากชนิดอยู่ในระดับต่ำ และค่าดัชนีความร่ำรวยอยู่ในระดับปานกลาง เท่ากับ 2.35 และ 4.69 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคม และค่าดัชนีความคล้ายคลึงระหว่างสังคมระหว่างไม้รุ่นและกล้าไม้ ในพื้นที่ป่าที่ได้รับการกันไฟป่าต่อเนื่อง พบว่าสังคมทั้งสองชั้นอายุของป่าเต็งรังจะถูกบุกรุกด้วยชนิดพันธุ์เด่นจากป่าเบญจพรรณ ที่เจริญรุกล้ำเข้ามาเป็นไม้เด่นในพื้นที่ป่าเต็งรังมากขึ้น ดังนั้นในกรณีของการกันไฟป่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้แนวโน้มการสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของสังคมไม้ต้นในอนาคต ทั้งอายุไม้รุ่นและกล้าไม้เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย จากป่าเต็งรังไปเป็นป่าเบญจพรรณ</p> เชิดศักดิ์ ทัพใหญ่, ลิปิการ์ สีห์ตระกูล, กฤษณา เฮงสิ, วรรณิศา อุปนันไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267721 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความหลากชนิดของแมลงตอมดอกและการติดฝักของพะยูง ในพื้นที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ไม้ป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267380 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาความหลากชนิดของแมลงตอมดอกบริเวณช่อดอก และการติดฝักของพะยูงบริเวณศูนย์เมล็ดพันธุ์ไม้ป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น โดยใช้วิธีการวางกับดักมุ้ง และเปรียบเทียบอัตราการติดฝักตามธรรมชาติของพะยูงในพื้นที่แปลงปลูกพะยูงและป่าธรรมชาติ ซึ่งได้ดำเนินการระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือน ธันวาคม 2566 ผลการศึกษาพบแมลงทั้งสิ้น 3,313 ตัว 177 ชนิด 11 อันดับ (อันดับ Blattodea, Coleoptera, Diptera, Ephemeroptera, Hemiptera, Hymenoptera, Lepidoptera, Neuroptera, Odonata, Psocoptera และ Thysanoptera) ซึ่งพบจำนวนชนิดของแมลงวันในอันดับ Diptera มากที่สุด รองลงมาเป็นอันดับ Lepidoptera อันดับ Coleoptera และอันดับ Hymenoptera คิดเป็นร้อยละ 36.36, 17.61, 15.91 และ 15.34 ของจำนวนชนิดทั้งหมด ตามลำดับ สามารถจัดกลุ่มตามบทบาททางนิเวศของแมลงได้ 3 กลุ่ม โดยพบกลุ่มแมลงศัตรูพืชที่ทำความเสียหายให้แก่ดอกพะยูงมีจำนวนชนิดมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มแมลงศัตรูธรรมชาติ และแมลงช่วยผสมเกสร จำนวน 79, 56 และ 42 ชนิด ตามลำดับ จากการศึกษาอัตราการติดฝักของพะยูง โดยวิธีการผสมเกสรแบบเปิด (opened – pollination) ในป่าธรรมชาติ มีอัตราการติดฝักสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 42.75 ± 1.06 (n = 12,046) และการผสมเกสรแบบควบคุม (controlled – pollination) ในแปลงปลูกพะยูง มีอัตราการติดฝักต่ำสุดคิดเป็นร้อยละ 0.95 ± 0.69 (n = 7,487) เมื่อวิเคราะห์ค่าทางสถิติพบว่าอัตราการติดฝักพะยูงจากการผสมเกสรทั้ง 2 วิธี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 4.10; <em>p</em>&lt;0.05) ซึ่งจากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าดอกพะยูงต้องการการช่วยผสมเกสรจากแมลงหรือพาหะอื่น ๆ ในการติดฝักเพิ่มขึ้น</p> พนิดา เพชรสุวรรณ, Wattanachai Tasen , ชาคริต ณ ตะกั่วทุ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวนศาสตร์ไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tjf/article/view/267380 Fri, 15 Aug 2025 00:00:00 +0700