https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. 2025-12-11T10:53:34+07:00 YRU Journal of Science and Technology (ฟิตรีนา ดาราแม) ejournal_sci@yru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. เป็นเอกสารวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาดังนี้<br /> - สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส์ เคมี) <br /> - สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (เกษตรศาสตร์ ชีววิทยา จุลชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ) <br /> - สาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เทคโนโลยีการอาหาร วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม) </p> <p>โดย<strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน</strong><strong> 2 หรือ 3 คน </strong><em>(ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) </em>โดย<strong>ประเมินแบบ Double-Blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ (ISSN: 2985-1416 Online) ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม) </p> https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265775 ปริมาณจุลินทรีย์ในอากาศและคุณภาพอากาศภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2024-12-25T00:13:47+07:00 สุชาดา ชัยวิเศษ suchada22303@gmail.com พิชญาภา รามศรี mild22256@gmail.com เบญทราย บริเพชร Boripechbensai@gmail.com ลภัสรดา อักษรไทย Laphatrada1107@gmail.com รัชฎาพร ไทยเกิด ratchadaporn.tha@sru.ac.th จิรวัฒน์ มาลา jirawat.mal@sru.ac.th <p>คุณภาพอากาศภายในอาคารเป็นปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานประจำภายในอาคาร การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคาร ปริมาณจุลินทรีย์ และความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณจุลินทรีย์กับคุณภาพอากาศภายในอาคารห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเทศไทย ทำการตรวจวัดมลภาวะอากาศภายในอาคารทางชีวภาพ ได้แก่ แบคทีเรียและเชื้อราทั้งหมดทางเคมี ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และภาวะสบายเชิงความร้อน ได้แก่ อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ เลือกจุดเก็บตัวอย่างทั้งหมด 17 จุด ทำการตรวจวัด 2 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ต่อเนื่องกัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความแปรปรวน และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่าอุณหภูมิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ แบคทีเรียทั้งหมดและเชื้อราทั้งหมดภายในอาคารห้องสมุดมีความเหมาะสมเป็นไปตามประกาศของกรมอนามัย สำหรับความชื้นสัมพัทธ์มีค่าระหว่างร้อยละ 47.3-82.3 (เฉลี่ยร้อยละ 68.5±6.5) ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (ร้อยละ50-65) ปริมาณแบคทีเรียและเชื้อราไม่มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ CO<sub>2</sub> และ CO (p&gt;0.05) ปริมาณแบคทีเรียและเชื้อราในวันที่มีคนใช้บริการและไม่มีคนใช้บริการภายในห้องสมุดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และสัดส่วนปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และแบคทีเรียภายในต่อภายนอกอาคาร (I/O) พบว่า มีค่า 1.3 และ 1.2 เท่าตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า การระบายอากาศจากภายในอาคารออกสู่ภายนอกอาคารยังไม่เพียงพอ ดังนั้นห้องสมุดแห่งนี้จำเป็นต้องจัดการระบายอากาศเพื่อลดความชื้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปริมาณแบคทีเรีย เช่น เพิ่มการติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ตลอดจนการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารให้เหมาะสม</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265227 การคัดเลือกพันธุ์กระทือในพื้นที่ภาคใต้เพื่อการผลิตไม้ดอกอัตลักษณ์และการใช้ประโยชน์เป็นชาสมุนไพร 2024-11-04T07:06:09+07:00 ณัฐยาวรรณ พิชัยยุทธ natayawan.p@pkru.ac.th เบญจพร พงษ์นริศร benjapor.p@pkru.ac.th ชัยภูมิ สุขสำราญ chaiyapoom.s@pkru.ac.th โสภา ชูเพ็ง sopa.c@pkru.ac.th <p>กระทือ (<em>Zingiber zerumbet</em>) เป็นพรรณไม้พื้นถิ่นของภาคใต้ใช้เป็นพืชเครื่องเทศและพืชสมุนไพร รวมถึงเป็นไม้ตัดดอก แต่การวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพันธุ์ การผลิต และการศึกษาทางเภสัชวิทยา ดังนั้นงานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์กระทือในเขตภาคใต้ที่มีศักยภาพในการเป็นไม้ดอกอัตลักษณ์และแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาชงสมุนไพรพบว่า กระทือพิลาสและกระทือผีมีศักยภาพเป็นไม้ตัดดอก ส่วนกระทือพร้าวเป็นสายพันธุ์ที่มีศักยภาพสำหรับแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้จากการนำกลีบประดับและเหง้าของกระทือพร้าวมาวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีพบว่า มีค่าพีเฮชเท่ากับ 5.78 และ 6.33 ปริมาณของแข็งที่ละลายได้เท่ากับ 0.009 และ 0.057 องศาบริกซ์ ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดเท่ากับ 5.48 และ 4.44 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมน้ำหนักแห้ง และ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH สูงถึงร้อยละ 68.34 และ 61.85 ตามลำดับ นอกจากนั้นกลีบประดับ มีปริมาณเส้นใยร้อยละ 1.83 น้ำหนักสด ทั้งนี้เมื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชาชงสมุนไพรโดยใช้ส่วนผสมของผงกลีบประดับ ผงเหง้า และผงชาอู่หลงในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความแตกต่างทางสถิติทั้งทางด้านทางกายภาพและเคมี (p≤0.05) โดยชุดการทดลองที่ 3 ใช้ผงกลีบประดับผสมกับผงเหง้าและผงชาอู่หลงในอัตราส่วน 1 : 0.25 : 0.75 มีความเหมาะสมมากที่สุด โดยได้รับคะแนนความชอบโดยรวมมากที่สุดเท่ากับ 7.17 คะแนน รวมถึงมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดเช่นกัน</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265602 การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตแก๊สชีวภาพจากเศษอาหารด้วยถังปฏิกรณ์ไร้ออกซิเจนแบบไหลขึ้นสองขั้นตอน ณ สภาวะเมโซฟิลิก 2024-12-09T13:55:42+07:00 พัชรี อินธนู patchareeintanoo@gmail.com กาญจนา สมฤทธิ์ j_o_y_kanjana@hotmail.com <p>ในปัจจุบันความต้องการใช้พลังงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งตรงกันข้ามกับปริมาณทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อรองรับความต้องการพลังงานอย่างยั่งยืนจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทางเลือกที่มีสมบัติใกล้เคียงกับพลังงานฟอสซิลนั่นคือ การผลิตแก๊สชีวภาพจากเศษอาหารโดยใช้ถังปฏิกรณ์ไร้ออกซิเจนแบบไหลขึ้นสองขั้นตอน (Two-stage Upflow Anaerobic Sludge Blanket: UASB) ภายใต้สภาวะเมโซฟิลิก (คือสภาวะที่ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ 37 องศาเซลเซียส) และติดตามค่าความเป็นกรดด่างให้อยู่ในช่วง 4.50–7.50 ด้วยอัตราการป้อนกลับ ที่ 1:1 จากการศึกษาการผลิตแก๊สชีวภาพจากเศษอาหารด้วยถังปฏิกรณ์ไร้ออกซิเจนแบบไหลขึ้นสองขั้นตอนที่ภาระบรรทุกสารอินทรีย์ในช่วง 10.54 ถึง 26.40 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อวันของขนาดถังปฏิกรณ์ขนาด 5 ลิตร และภาระบรรทุกสารอินทรีย์ในช่วง 8.10 ถึง 21.60 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อวันของขนาดถังปฏิกรณ์ขนาด 16 ลิตรพบว่า ที่ภาระบรรทุกสารอินทรีย์ที่เหมาะสมที่ 21.07 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อวันของขนาดถังปฏิกรณ์ 5 ลิตร และที่ 18.90 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อวันของขนาดถังปฏิกรณ์ 16 ลิตร ระบบมีประสิทธิภาพในการผลิตชีวภาพสูงสุดในรูปของอัตราการเกิดแก๊สมีเทนสูงสุดเท่ากับ 33.85 มิลลิลิตรต่อวัน ผลได้ของแก๊สมีเทนสูงสุดคือ 0.114 มิลลิลิตร (CH<sub>4</sub>) ต่อกิโลกรัมซีโอดีขาเข้า หรือ 2.38 มิลลิลิตร (CH<sub>4</sub>) ต่อกิโลกรัมซีโอดีขาออก และอัตราการเกิดแก๊สมีเทนเฉพาะเจาะจงสูงสุดเท่ากับ 1.58 มิลลิลิตร (CH<sub>4</sub>) ต่อลิตรต่อวัน หรือ 4.19 มิลลิลิตร (CH<sub>4</sub>) ต่อกรัมแบคทีเรียต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการย่อยสลายสารอินทรีย์ประเภทเศษอาหารมากที่สุดคือ ร้อยละ 45.14</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265350 เปรียบเทียบการเจริญของเส้นใยเห็ดนางฟ้าบนอาหารเลี้ยงเชื้อและหัวเชื้อบนเมล็ดข้าวฟ่างต่อผลผลิตจากแหล่งเชื้อที่จำหน่ายในประเทศไทย 2024-11-20T09:43:58+07:00 สมทบ เวทโอสถ somthob.w@yru.ac.th สุเทพ วัชรเวชศฤงคาร suthep_mju@hotmail.com <p>เห็ดนางฟ้า (<em>Pleurotus</em> spp.) ได้รับความนิยมในการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ แต่ความแปรปรวนทางพันธุกรรม ของเชื้อเห็ดนางฟ้าจากแหล่งผลิตต่าง ๆ ในประเทศไทยส่งผลต่อประสิทธิภาพการให้ผลผลิตที่แตกต่างกัน การวิจัยนี้จึงศึกษาเปรียบเทียบเชื้อเห็ดนางฟ้าจาก 10 แหล่งผลิตในประเทศไทยต่อการเจริญของเส้นใยและการให้ผลผลิต ประเมินการเจริญของเส้นใยเห็ดนางฟ้าบนอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA เมล็ดข้าวฟ่าง และวัสดุเพาะขี้เลื่อยไม้ยางพารา โดยบันทึกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโคโลนีบนอาหาร PDA และเมล็ดข้าวฟ่าง ความยาวของเส้นใยบนวัสดุเพาะ น้ำหนักแห้งเส้นใย ความหนาแน่นเส้นใย และประเมินผลผลิตจากน้ำหนักดอกสดและจำนวนดอกต่อช่อ วิเคราะห์ข้อมูลแบบสุ่มสมบูรณ์ด้วยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยวิธี DMRT ผลการวิจัยพบว่า เชื้อจากแหล่ง DOA และ WTN MF-RYG เป็นกลุ่มเชื้อที่มีการเจริญเส้นใยบนอาหาร PDA สูง (87.43 และ 86.87 มิลลิเมตร ตามลำดับ) บนเมล็ดข้าวฟ่างเชื้อจากแหล่ง DOA เส้นใยเจริญสูงสุด (96.77 มิลลิเมตร) เชื้อจากแหล่ง DOA, SP MF-CMI, SRY MF-LEI และ SHP-TAK มีน้ำหนักแห้งเส้นใยอยู่ในกลุ่มสูง (10.02-5.99 กรัม) ในด้านผลผลิต กลุ่มเชื้อจากแหล่ง DD MF-SKA, SP MF-CMI, SRY MF-LEI, SHP-TAK, WTN MF-RYG, NKP LM-NPT, PP MF-PCT และ CB MF-RBR ให้น้ำหนักดอกสด (67.42-56.57 กรัม) และจำนวนดอกต่อช่อ (19.67-9.33 ดอกต่อช่อ) ที่สูง ผลการศึกษาเชื้อจากแหล่ง DOA มีประสิทธิภาพสูงสุดครบทุกด้านและเชื้อจากแหล่ง SHP-TAK, SRY MF-LEI และ SP MF-CMI เส้นใยเจริญรวดเร็วบนวัสดุเพาะและให้ผลผลิตที่ดีเช่นกันเหมาะสำหรับการเพาะเชิงพาณิชย์ ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการคัดเลือกและพัฒนาเชื้อเห็ดนางฟ้าให้เหมาะสมต่อความต้องการของผู้ผลิต</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/267541 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา 2025-05-08T01:10:58+07:00 นฤมล พันธ์ทวีทรัพย์ narumolt@yru.ac.th อารีฟ เจะเซ็ง arif.c@yru.ac.th เมธิยา หมวดฉิม maytiya.m@yru.ac.th ฮัฟเสาะห์ เจ๊ะโซ๊ะ 406424066@yru.ac.th <p>ภัยพิบัติทางธรรมชาติทวีความรุนแรงมากขึ้น เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกของมนุษย์ ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่าไม่ได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และเสนอแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การบริหารส่วนตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ดำเนินการประเมินใน 3 ขอบเขต และพิจารณาแยกในกรณีการรั่วไหลของสารทำความเย็นชนิด R-22 ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) รวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม พ.ศ. 2566 พบว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ตลอดปี พ.ศ. 2566 มี 51.42 tCO<sub>2</sub>e การใช้พลังงานไฟฟ้าในขอบเขตที่ 2 มีปริมาณสูงสุดที่ 41.87 tCO<sub>2</sub>e (ร้อยละ 81.39) ขอบเขตที่ 1 มีปริมาณ 8.69 tCO<sub>2</sub>e (ร้อยละ 16.90) และน้อยที่สุดในขอบเขตที่ 3 มี 0.86 tCO<sub>2</sub>e (ร้อยละ 1.71) ส่วนการรั่วไหลของสารทำความเย็นชนิด R-22 มีปริมาณ 152.41 tCO<sub>2</sub>e (ร้อยละ 74.76 เทียบกับทุกกิจกรรมที่ประเมิน) การเปลี่ยนหลอดไฟเป็นแบบ LED จะช่วยให้องค์กรสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ร้อยละ 49 มีระยะคืนทุนสั้นเพียง 10 เดือน การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเป็นแนวทางที่มีความคุ้มค่าแก่การลงทุนในระยะยาว และการเปลี่ยนสารทำความเย็นเป็นแบบ R-32 จะช่วยให้องค์กรประหยัดพลังงานได้ถึง 48.89 กิโลวัตต์.ชั่วโมงต่อปี หรือเป็นแบบ R-290 ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่มี GWP ต่ำกว่าชนิดเดิมถึง 550 เท่า การสร้างระบบบันทึกข้อมูลและเพิ่มกิจกรรมการประเมินให้ครอบคลุมตามแนวทางการประเมิน จะช่วยให้องค์กรสามารถประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สู่การบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/267996 ผลของการสุกแก่ทางสรีรวิทยาต่อคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ทานตะวันลูกผสม 2025-06-12T14:27:19+07:00 สุรศักดิ์ ชูทอง surasak.c@rmutsv.ac.th วัฒนา ณ นคร wattana.n@rmutsv.ac.th ชำนาญ ขวัญสกุล chamnan.k@rmutsv.ac.th วัชรินทร์ จันทร์คีรี watcharin.c@rmutsvmail.com ธัญลักษณ์ มุสิกะพันธ์ thanyaluk.m@rmutsvmail.com พัชรี พระสงฆ์ phatcharee.pr@rmutsv.ac.th สุวรรณษา ชูเชิด suwansa.c@rmutsv.ac.th <p>การกำหนดเวลาเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญในการได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในระยะที่เมล็ดเข้าสู่การสุกแก่ทางสรีรวิทยา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ทานตะวันลูกผสมให้ได้คุณภาพดีที่สุด การทดลองดำเนินการที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) มี 4 ซ้ำ 5 สิ่งทดลอง ได้แก่จำนวนวันที่เก็บเกี่ยวหลังจากดอกบาน โดยผูกดอกทานตะวันที่เริ่มบานด้วยไหมสีต่าง ๆ เพื่อระบุวันดอกบาน แล้วทำการเก็บเกี่ยวที่ 10 20 30 40 และ 50 วันหลังดอกบาน จากนั้นประเมินลักษณะทางกายภาพและคุณภาพของเมล็ด ผลการทดลองพบว่า ทั้งลักษณะทางกายภาพและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ทุกลักษณะ มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p≤ 0.01) โดยระยะ 40 วันหลังดอกบาน ให้ผลดีที่สุด ดอกมีสีจานดอกสีน้ำตาลอ่อนและเข้มอย่างละ 50 เปอร์เซ็นต์ ความชื้นเมล็ดก่อนและหลังลดความชื้นเท่ากับ 17.00 เปอร์เซ็นต์ และ 8.33 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 100 เมล็ด 6.84 กรัม ความงอก 84.75 เปอร์เซ็นต์ ความงอกในดิน 78.25 เปอร์เซ็นต์ความงอกในแปลง 74.00 เปอร์เซ็นต์ และเวลาเฉลี่ยในการงอก 4.32 วัน ดังนั้น ที่ระยะ 40 วันหลังดอกบาน เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ทานตะวันลูกผสมพันธุ์แปซิฟิค อะควอร่า 6</p> 2025-12-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.