วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst
<p>วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. เป็นเอกสารวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพ ในลักษณะของบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาดังนี้<br /> - สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส์ เคมี) <br /> - สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (เกษตรศาสตร์ ชีววิทยา จุลชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ) <br /> - สาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เทคโนโลยีการอาหาร วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม) </p> <p>โดย<strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ จำนวน</strong><strong> 2 หรือ 3 คน </strong><em>(ขึ้นกับความประสงค์ของผู้นิพนธ์) </em>โดย<strong>ประเมินแบบ Double-Blinded review</strong> เผยแพร่แบบออนไลน์ (ISSN: 2985-1416 Online) ปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม) </p>
สถาบันวิจัยและพัฒนาชายแดนภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
2985-1416
<p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. นี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย. ก่อนเท่านั้น</p>
-
สมรรถภาพการผลิตไก่เบตงของเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/262289
<p>พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภาคการเกษตรเป็นหลัก และทุนศักยภาพทางวัฒนธรรมทางปศุสัตว์อีกอย่างหนึ่งคือ ไก่เบตง มีการเลี้ยงกระจายอยู่ทั่วไปตามชนบท หมู่บ้านต่าง ๆ ทำให้เกิดความหลากหลาย ในการผลิต การจัดการ และการใช้ประโยชน์ วิธีการวิจัย เป็นการวิจัยแบบผสม มี 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) สัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ประกอบการผู้ให้ข้อมูลสำคัญ และ 2) ศึกษาสภาพการเลี้ยงไก่เบตงของเกษตรกรรายย่อย ต่อสมรรถภาพการผลิตในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จำนวน 9 ราย ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดั้งเดิมและมีประสบการณ์พบว่า เกษตรกรรายย่อยมีอัตราการเลี้ยงเฉลี่ย 50-200 ตัวต่อโรงเรือน ผู้เลี้ยงใช้เงินลงทุนของตัวเอง ได้แก่ ค่าก่อสร้างโรงเรือนแบบประหยัด ลูกไก่ และอาหาร มีการจัดการการเลี้ยงรวมกันระหว่างตัวผู้และตัวเมีย เน้นการให้อาหารแบบดั้งเดิม คือ การต้มปลายข้าวร่วมกับรำ และหยวกเข้าด้วยกัน เป็นต้น เสริมวัตถุดิบที่หาได้ตามท้องถิ่น และอาหารธรรมชาติบ้าง ให้กินวันละ 2 มื้อ จนกระทั่งได้น้ำหนักจำหน่ายที่อายุประมาณ 24 สัปดาห์ มีน้ำหนักเฉลี่ย 2.1 กิโลกรัม อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัวเฉลี่ยเท่ากับ 5.04-5.55 น้ำหนักหลังฆ่าเฉลี่ย 1.69 กิโลกรัม มีเปอร์เซ็นต์หัว คอ ขา เนื้ออก สะโพก น่อง ปีก และไขมันช่องท้อง เท่ากับ 4.68 6.57 3.82 14.57 13.16 12.51 8.55 และ 3.08 ตามลำดับ จากการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่าเกษตรกรรายย่อยสามารถปรับปรุงการจัดการด้านอาหาร ระบบวัคซีน และวิธีการเลี้ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดระยะเวลาการเลี้ยง และสร้างความยั่งยืนในการเลี้ยงไก่เบตงเชิงพาณิชย์ในอนาคต</p>
เกตวรรณ บุญเทพ
เถลิงศักดิ์ อังกุรเศรณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
1
9
-
ผลของชนิดเครื่องเทศในการเป็นสารต้านการเกิดออกซิเดชันในผลิตภัณฑ์เนื้อเชียงจากเนื้อแพะ
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/264417
<p>ปัจจุบันพื้นที่ภาคใต้มีความนิยมเลี้ยงแพะเป็นจำนวนมาก แต่เป็นการบริโภคแบบปรุงสุก ไม่นิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ งานวิจัยนี้ศึกษาการแปรรูปเนื้อแพะเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อเชียง และศึกษาผลของเครื่องเทศในการเป็นสารต้านออกซิเดชันของไขมันในระหว่างการเก็บรักษา โดยชนิดของเครื่องเทศที่นำมาศึกษามี 3 ชนิดคือ อบเชย <em>(</em><em>Cinnamomum verum)</em> ยี่หร่า (<em>Ocimum gratissimum</em> L.) จันทร์แปดกลีบ (โป๊ยกั๊ก) (<em>Illicium verum</em>) ผลการศึกษาพบว่า เนื้อเชียงจากเนื้อแพะ ที่มีปริมาณไขมันร้อยละ 50 ของน้ำหนักเนื้อแพะ มีคะแนนความชอบโดยรวมทางประสาทสัมผัสสูงที่สุด (P<u><</u>0.05) ผลการศึกษาชนิดของเครื่องเทศที่มีผลต่อการต้านการเกิดออกซิเดชันของไขมันพบว่า ในวันที่ 8 ของการเก็บรักษา อบเชยให้ค่า PV (Peroxide Value) และค่า TBARS (Thiobarbituric Acid Reactive Substances) น้อยที่สุด (P>0.05) ผลการศึกษาอายุการเก็บรักษาและปริมาณเครื่องเทศพบว่า เนื้อเชียงจากเนื้อแพะที่เติมอบเชยในปริมาณร้อยละ 0.1 จะมีค่า PV และ TBARS น้อยที่สุด (P>0.05) ผลการตรวจปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ยีสต์และรา ของผลิตภัณฑ์เนื้อเชียงจากเนื้อแพะที่บรรจุแบบสุญญากาศเมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานาน 90 วัน พบว่า หลังจากวันที่ 60 ของการเก็บรักษา มีปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ยีสต์และราของทุกระดับความเข้มข้นของเครื่องเทศอบเชยเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสในวันที่ 45 ของการเก็บรักษา ผลิตภัณฑ์เนื้อเชียงจากเนื้อแพะที่มีการเติมปริมาณอบเชยที่ระดับความเข้มข้นร้อยละ 0.1 ได้รับคะแนนความชอบโดยรวมมากที่สุด 6.95 (P<u><</u>0.05) แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงยอมรับผลิตภัณฑ์เนื้อเชียงจากเนื้อแพะที่เก็บไว้นาน 45 วัน</p>
อานีสาห์ บือฮะ
ซอบีเราะห์ การียอ
รอมลี เจะดอเลาะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
10
24
-
ผลของแป้งข้าวไรซ์เบอรี่ต่อสมบัติทางเคมี-กายภาพ และคุณภาพจุลินทรีย์ของคุกกี้ปลากะตัก
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/264382
<p>คุกกี้เป็นผลิตภัณฑ์ขนมอบชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของแป้งสาลี งานวิจัยนี้ได้ศึกษาสมบัติด้านกายภาพ และเคมีของแป้งข้าวไรซ์เบอรี่โดยการนำข้าวจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอำเภอเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา มีพลังงานทั้งหมด 370 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัม มีไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เถ้า เส้นใย ความชื้น และค่าปริมาณน้ำอิสระ ร้อยละ 3.44 8.76 76.1 1.57 4.38 10.1 และ 0.430 ตามลำดับ สมบัติด้านเคมีของคุกกี้ปลากะตักทดแทนแป้งข้าวไรซ์เบอรี่ ร้อยละ 0 15 30 และ 45 พบว่า ปริมาณพลังงานทั้งหมด โปรตีน โซเดียม เถ้า และความชื้นมีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P≤0.05) และคุณภาพด้านจุลินทรีย์เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนคุกกี้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยจากจุลินทรีย์ก่อโรคในอาหาร จากการวิจัยนี้ แป้งข้าวไรซ์เบอรี่สามารถใช้เป็นแป้งทางเลือกในอุตสาหกรรมอาหาร อีกทั้งยังเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับผลิตภัณฑ์ และเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอำเภอเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงาทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ควรศึกษาต้นทุนร่วมด้วย เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตคุกกี้ปลากะตัก เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร</p>
กมลวรรณ สุขสวัสดิ์
จักรพล ฉิมอินทร์
ชลสาย กังงา
นำโชค ชูชิต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
25
33
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ธัญพืชหมักเสริมด้วยโปรตีนข้าวไฮโดรไลเสท
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265674
<p>ในปัจจุบันกระแสการนิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ การบริโภคมังสวิรัติเป็นอาหารทางเลือกใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องความยั่งยืน การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาการแพ้ในการบริโภคอาหาร การลดอาการแพ้อาหารที่เกี่ยวข้องกับนมและผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก ดังนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ธัญพืชหมักจึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่น่าสนใจ โดยงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการผลิตผลิตภัณฑ์ธัญพืชหมักเสริมปริมาณโปรตีนข้าวที่เหมาะสมต่อผลิตภัณฑ์ ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค พร้อมทั้งศึกษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ธัญพืชหมักที่ผลิตได้ จากการศึกษาพบว่า การใช้นมข้าวมอลต์ (ข้าวท่อนจากข้าวมอลต์ปทุมธานี 1) ผสมกับนมธัญพืชผสม (นมถั่วหรั่ง และนมข้าวโพด ในอัตราส่วน 1:2) ที่อัตราส่วน 50:50 เติมโปรตีนข้าวไฮโดรไลเสทที่ร้อยละ 2.5 และปรับปรุงคุณภาพของเนื้อสัมผัสโดยการใช้เจลแลนกัมที่ร้อยละ 3.5 ภายหลังกระบวนการหมักผลิตภัณฑ์ มีปริมาณแบคทีเรียกรดแลคติก 1.86 x 10<sup>7</sup> CFU/g และเมื่อศึกษาการยอมรับผลิตภัณฑ์กับผู้บริโภคกลุ่มวีแกน และผู้บริโภคทั่วไป พบว่าให้การยอมรับผลิตภัณฑ์อยู่ที่ร้อยละ 98 โดยทุกคุณลักษณะให้ความชอบอยู่ในระดับชอบปานกลาง คุณลักษณะทางประสาทสัมผัสทางด้าน สี กลิ่นรส รสชาติ ความชอบโดยรวมเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตจากนมพืชในท้องตลาดนั้น ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P>0.05) แต่คะแนนลักษณะทางประสาทสัมผัสทางด้านเนื้อสัมผัสมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับสูตรของผลิตภัณฑ์ทางการค้า(P<0.05) ซึ่งอาจนำไปปรับปรุงคุณลักษณะนี้ได้ต่อไปในอนาคต งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นศักยภาพของการพัฒนาผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตทางเลือกจากพืชตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการและความยั่งยืน</p>
ฐานวีร์ ลอยแก้ว
ยุพกนิษฐ์ พ่วงวีระกุล
สุวิมล สร้อยทองสุข
วราพร ลักษณะลม้าย
ชิตสุดา ชัยศักดานุกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
34
45
-
เปรียบเทียบสายพันธุ์เห็ดภูฏานที่เหมาะสมกับการเพาะในจังหวัดปัตตานี
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/264515
<p>เห็ดภูฏานได้รับความนิยมในการบริโภค และมีความต้องการของตลาดสูงในจังหวัดปัตตานี อย่างไรก็ตามปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งในการเพาะเห็ดชนิดนี้เพื่อให้ได้รับผลผลิตสูงและคุณภาพดี คือ สายพันธุ์เห็ดที่เหมาะสมต่อการเพาะในพื้นที่จังหวัดปัตตานี เนื่องจากปัจจุบันเห็ดภูฏานที่ใช้เพาะในประเทศไทยมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์และแต่ละสายพันธุ์มีความเหมาะสมในการเพาะในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ทำการศึกษาคัดเลือกสายพันธุ์เห็ดที่เหมาะสมต่อการเพาะในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบสายพันธุ์เห็ด 5 สายพันธุ์ที่ได้จากกรมวิชาการเกษตร ได้แก่สายพันธุ์ ภูฏาน 2 ภูฏาน 3 ภูฏาน 4 ภูฏาน 5 และภูฏาน 6 มีการวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 4 ซ้ำ โดยใช้วัสดุเพาะชนิดเดียวกัน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม พ.ศ. 2565 และ ช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม พ.ศ. 2565 ณ สาขาวิทยาการเกษตรและประมง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผลการศึกษาพบว่าการเจริญเติบโตของเส้นใย ผลผลิต และลักษณะประจำพันธุ์ของเห็ด เช่น สี ขนาดดอก น้ำหนักผลผลิตต่อช่อดอก จำนวนดอกต่อช่อ และจำนวนรุ่นของการออกดอกต่อรอบการผลิต ผลผลิตมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F < 0.05) โดยสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดคือ เห็ดภูฏานสายพันธุ์ 6 รองลงมาจะเป็นสายพันธุ์เห็ดภูฏาน 5 ภูฏาน 4 ภูฏาน 3 และภูฎาน 2 ดังนั้น สายพันธุ์ภูฏาน 6 จึงควรนำมาพัฒนา และส่งเสริมแก่ผู้เพาะเห็ดในจังหวัดปัตตานีเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรต่อไป</p>
จรรยพร ทองคำ
พิณทิพย์ จันทรเทพ
พัฒนสุดา ศิรินุพงศ์
มนูญ ศิรินุพงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
46
57
-
ผลของการใช้กระถินหมักเป็นแหล่งอาหารหยาบต่อการย่อยได้ และสมรรถภาพการเจริญเติบโตในแกะลูกผสมพื้นเมือง
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/yru_jst/article/view/265809
<p>การใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาถูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่นช่วยลดต้นทุนและเสริมความยั่งยืนให้การเลี้ยงสัตว์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กระถิน (<em>Leucaena leucocephala</em>) หมักเป็นแหล่งอาหารหยาบต่อการย่อยได้และสมรรถภาพการเจริญเติบโตในแกะลูกผสมพื้นเมือง การทดลองนี้ได้ศึกษาในแกะลูกผสมพื้นเมืองหย่านม เพศผู้ จำนวน 3 ตัว มีน้ำหนักเฉลี่ย 17.17±0.22 กิโลกรัม อายุประมาณ 3 เดือน ใช้แผนการทดลองแบบ 3 x 3 ลาตินสแควร์ ซึ่งแกะแต่ละตัวได้รับอาหารทดลอง 3 สูตรที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงการทดลอง ดังนี้ อาหารทดลองที่ 1 แพงโกล่าแห้ง (<em>Digitaria eriantha</em>) 100 เปอร์เซ็นต์ เสริมอาหารข้น อาหารทดลองที่ 2 แพงโกล่าแห้ง 50 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับกระถินหมัก 50 เปอร์เซ็นต์ เสริมอาหารข้น และอาหารทดลองที่ 3 กระถินหมัก 100 เปอร์เซ็นต์ เสริมอาหารข้น ตลอดการทดลอง ได้บันทึกน้ำหนักแกะก่อนและหลังการทดลอง ปริมาณอาหารกิน และปริมาณมูล สุ่มตัวอย่างอาหารทดลองและมูล เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี แล้วนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติ ผลการศึกษาพบว่า การใช้กระถินหมัก 50-100 เปอร์เซ็นต์ เป็นแหล่งอาหารหยาบในแกะลูกผสมพื้นเมืองไม่มีผลต่อการย่อยได้และสมรรถภาพการเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) อย่างไรก็ตาม การใช้กระถินหมักในระดับสูงส่งผลให้ปริมาณการกินได้ของโปรตีนและลิกนินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ควรใช้กระถินเป็นทั้งแหล่งโปรตีนและอาหารหยาบร่วมกับแหล่งอาหารหยาบอื่นที่มีลิกนินต่ำ จะช่วยลดปริมาณอาหารข้น โปรตีนส่วนเกิน และลิกนินในสูตรอาหาร</p>
บุคอรี มะตูแก
จารุณี หนูละออง
อารยา เจียรมาศ
ไมซาเราะห์ สะมะแอ
เกตวรรณ บุญเทพ
สุวรรณา ทองดอนคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรย.
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-07
2025-07-07
10 2
58
65