ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของรกในครรภ์และ Placenta Accreta, Increta & Percreta

Authors

  • จิราภรณ์ ศรีนัครินทร์

Abstract

สาเหตุของภาวะเลือดออกจากการตั้งครรภ์นิยมแบ่งตามอายุของทารกในครรภ์(Stage of gestation) เป็น 2 ระยะได้แก่ first trimester และ second – third trimester สาเหตุการเลือดออกจากการตั้งครรภ์ในระยะ first trimester ได้แก่ implantation bleeding, miscarriage, การตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy), ครรภ์ไข่ปลาอุกและมะเร็งไข่ปลาอุก (gestational trophoblastic disease) ขณะที่อายุครรภ์ ระยะ second – third trimester ที่พบสาเหตุการเลือดออกได้แก่ placenta previa, placenta abruption, vasa previa, ครรภ์ไข่ปลาอุกและมะเร็งไข่ปลาอุก (gestational trophoblastic disease) และ placenta accreta , increta , percreta เป็นต้น ตามมาตรฐานสากลการวินิจฉัยเบื้องต้นของโรคดังกล่าวนิยมตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ร่วมกับ color Doppler ทั้งนี้เพราะไม่มีรังสีที่พบในการเอกซเรย์  การตรวจอัลตร้าซาวด์ในสตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะตรวจโดยสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในบทนี้จึงขอกล่าวในส่วนของการตรวจโดยอาศัยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า หรือบางที่เรียกทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษว่าเครื่อง เอ็มอาร์ไอ ( MRI, Magnetic Resonance Imaging) เป็นเครื่องที่ไม่มีรังสีเช่นกัน และได้รับการยอมรับแล้วว่าสามารถวินิจฉัยภาวะทารกพิการในครรภ์ที่ไม่สามารถตรวจละเอียดได้ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตรวจรก มดลูกและอวัยวะอื่นๆเช่นเดียวกับคนไม่ตั้งครรภ์ และยังช่วยวางแนวทางการรักษา และวางแผนการให้คำปรึกษาแก่สตรีตั้งครรภ์และญาติเมื่อทราบพยากรณ์ของโรค  ในรายงานนี้จะขอนำเสนอเนื้อหาที่ประกอบด้วยเทคนิคการตรวจและลักษณะภาพจากเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าในโรค placenta accreta, increta , percreta ที่มีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์หรือขณะคลอด  จากการศึกษาพบว่าสตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติการคลอดด้วยวิธีการผ่าตัด(cesarean section) และภาวะการตั้งครรภ์ร่วมกับมีรกเกาะต่ำ (placenta previa) จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด Placenta accrete เท่ากับ 40%-60% และ 6.8%-10% ตามลำดับ1-3

Downloads

How to Cite

1.
ศรีนัครินทร์ จ. ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของรกในครรภ์และ Placenta Accreta, Increta & Percreta. SRIMEDJ [Internet]. 2013 Nov. 27 [cited 2024 Dec. 22];28(4):108-11. Available from: https://li01.tci-thaijo.org/index.php/SRIMEDJ/article/view/14773