การพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับ
DOI:
https://doi.org/10.69598/tbps.10.2.82-98Keywords:
วัคซีน, ชีวสารสนเทศ, การพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับ, โรคไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis serogroup BAbstract
การใช้วัคซีนเป็นหนทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการลดอัตราการเกิดโรคและการตายจากโรคติดเชื้อ แต่อย่างไรก็ตามในโรคติดเชื้อบางโรคยังคงไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ในการป้องกันโรค เนื่องมาจากวิธีการในการพัฒนาวัคซีนแบบดั้งเดิมไม่สามารถนำมาใช้ในการค้นหาแอนติเจนที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ในการพัฒนาวัคซีนต่อไปได้ อีกทั้งยังใช้เวลาและเงินทุนในการพัฒนาวัคซีนค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและชีวสารสนเทศพัฒนาไปมากทำให้เราสามารถออกแบบวัคซีนโดยใช้เพียงเครื่องมือบนคอมพิวเตอร์นำมาใช้ในการทำนายหาแอนติเจนที่เหมาะสมจากข้อมูลพันธุกรรมของเชื้อได้ ซึ่งวิธีการนี้มีชื่อเรียกว่า การพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับ วิธีการนี้สามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในการค้นหาแอนติเจน และอาจเป็นหนทางใหม่สำหรับวัคซีนที่ยากต่อการพัฒนาในปัจจุบัน การพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับถูกนำมาประยุกต์ใช้ครั้งแรกในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นที่เกิดจากเชื้อ Neisseria meningitidis serogroup B ทำให้สามารถค้นพบแอนติเจนใหม่เพิ่มอีก 3 ชนิดคือ fHbp NadA และ NHBA ที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดี ซึ่งเมื่อนำมาพัฒนาเป็นวัคซีนร่วมกับแอนติเจนที่เป็นโปรตีนบนพื้นผิวเซลล์ที่ค้นพบก่อนหน้านี้ ทำให้ได้วัคซีนตัวใหม่ที่มีชื่อการค้าว่า Bexsero® ต่อมาวัคซีนนี้ได้ผ่านการรับรองให้ใช้ได้ในประเทศแถบยุโรปในเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 และในประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซึ่งผลจากความสำเร็จนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในกระบวนการพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับและอาจนำวิธีการนี้มาใช้ในการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อที่สำคัญอีกหลายโรคต่อไปในอนาคตDownloads
How to Cite
อ่อนเอี่ยม ว. (2015). การพัฒนาวัคซีนแบบย้อนกลับ. Thai Bulletin of Pharmaceutical Sciences, 10(2), 82–98. https://doi.org/10.69598/tbps.10.2.82-98
Issue
Section
บทความวิชาการ
License
All articles published and information contained in this journal such as text, graphics, logos and images is copyrighted by and proprietary to the Thai Bulletin of Pharmaceutical Sciences, and may not be reproduced in whole or in part by persons, organizations, or corporations other than the Thai Bulletin of Pharmaceutical Sciences and the authors without prior written permission.