อัตราความชุกของความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้าในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย
คำสำคัญ:
ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่; ความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า; โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์บทคัดย่อ
หลักการและวัตถุประสงค์: ความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ ปากแหว่งและเพดานโหว่ เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดที่พบบ่อยที่สุด ส่งผลกระทบต่อทารกที่มีภาวะดังกล่าว บิดา มารดา และระดับประเทศโดยเฉพาะปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทารกกลุ่มนี้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาอัตราความชุกของภาวะดังกล่าวย้อนหลัง 10 ปี เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และวางแผนแก้ไขปัญหาดังกล่าว
วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังจากสมุดลงทะเบียนผู้คลอดที่มาคลอด ณ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 – เดือนกันยายน พ.ศ. 2559 โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า ได้แก่ ภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ ปากแหว่งและเพดานโหว่ และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้าอื่น ๆ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ และร้อยละ และนำเสนออัตราความชุก
ผลการศึกษา: ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 – เดือนกันยายน พ.ศ. 2559 โรงพยาบาลเชียงรายประชานุ-เคราะห์มีอัตราความชุกโดยรวมของภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ ปากแหว่งและเพดานโหว่ และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้าอื่น ๆ คือ ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ และความผิดปกติของหู เท่ากับ 0.35, 0.31, 0.67 และ 0.61 ตามลำดับ ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 ราย
สรุป: ความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้าที่พบมากที่สุด คือ ภาวะปากแหว่งและเพดานโหว่ สตรีมีครรภ์ควรได้รับความรู้เกี่ยวกับภาวะดังกล่าว และบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการรณรงค์ให้สตรีมีครรภ์ได้รับประทานกรดโฟลิก ขนาด 400 ไมโครกรัม วันละ 1 เม็ด ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิดดังกล่าวตามนโยบายการฝากครรภ์แนวใหม่ขององค์การอนามัยโลก
เอกสารอ้างอิง
2. Chowchuen B, Thanaviratananich S, Chichareon V, Kamolnate A, Auvichipotchana C, Godfrey C. Multi-center study of oral clefts and associated abnormalities in Thailand: the epidemiologic data and need of health care service. Paper presented at The 10th International Congress on Cleft palate and Related Craniofacial Anomalies; 2005 Sep 4-8; Durban, South Africa.
3. Panamonta V, Pradubwong S, Panamonta M, Chowchuen B. Global birth prevalence of orofacial clefts: a systematic review. J Med Assoc Thai 2015; 98 (Suppl 7): S11–21.
4. Watkins SE, Meyer RE, Strauss RP, Aylsworth AS. Classification, epidemiology, and genetics of orofacial clefts. Clin Plast Surg 2014; 41: 149–63.
5. บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น, ผกาพรรณ เกียรติชูสกุล. คู่มืออุบัติการณ์ สาเหตุ การป้องกัน ภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า: ทำความรู้จัก ทราบสาเหตุ อุบัติการณ์ และ การป้องกัน. ขอนแก่น: ศูนย์วิจัยผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2554.
6. สมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย). คู่มือปฏิบัติการในระดับโรงพยาบาล โครงการปฏิบัติการระดับชาติเพื่อวางแผนป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย. [Cited May 21, 2018]. Available from: https://bit.ly/2SXbRPV
7. Newborn with cleft lip/palate (CLP).ASTV Manager Online [Internet]. 2015 Jan 18 [Cited Mar 1, 2018]. Available from: https://goo.gl/BDEypM
8. Pradubwong S, Lekbunyasin O, Chantachum V, Udomtanasup S, Simmalee K, Chowchuen B. Application of Geographic Information System (GIS) for management of cleft lip-palate care at the Tawanchai Cleft Center. J Med Assoc Thai 2010; 93 (Suppl 4): S58–62.
9. พิษณุ ขันติพงษ์. เอกสารประกอบการประชุม การดูแลหญิงตั้งครรภ์แนวใหม่ตามข้อแนะนำองค์กรอนามัยโลก วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554. เชียงราย: โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์; 2554.
10. จำรัส วงศ์คำ, ถวัลย์วงค์ รัตนสิริ, มาสินี ไพบูลย์, พรรณวดี ชาติวิเศษ, นุชวรา สุทธิศรี, ปิยะมาศศักดิ์ศิริวุฒโฒ, และคณะ. ความรู้และทัศนคติในการรับประทานกรดโฟลิกเพื่อป้องกันความพิการแต่
กำเนิดของสตรีมีครรภ์. ศรีนรินทร์เวชสาร 2559; 31: 192–6.
11. อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์. 5 โรคพิการแต่กำเนิด ป้องกันได้ด้วย “โฟลิก” [ออนไลน์]. 22 กุมภาพันธ์ 2560 [ค้นพบเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2561]. แหล่งที่มา: https://bit.ly/2lbj65F
