สถานการณ์ของแบบสอบถามที่ใช้ในการประเมินการทำงานของมือโดยนักกายภาพบำบัด
คำสำคัญ:
แบบสอบถาม; การประเมิน; มือ; นักกายภาพบำบัดบทคัดย่อ
หลักการและวัตถุประสงค์ : พยาธิสภาพที่มือเป็นอุปสรรคกับการทำงานและส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งนักกายภาพบำบัดมีบทบาทเป็นผู้ตรวจประเมิน วางแผนและให้การรักษา แต่ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานของการประเมินการทำงานของมือที่เป็นรูปแบบเดียวกันในการให้บริการ ดังนั้นการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสถานการณ์ของแบบสอบถามที่ใช้ในการประเมินการทำงานของมือโดยนักกายภาพบำบัด
วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักกายภาพบำบัดที่ดูแลรักษาผู้ป่วยและมีประสบการณ์การทำงานในโรงพยาบาลของรัฐอย่างน้อย 1 ปี จำนวน 336 ราย ที่ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้น ผู้วิจัยส่งจดหมายขอความอนุเคราะห์ตอบแบบสอบถามทางไปรษณีย์ให้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างสามารถเลือกตอบแบบสอบถามแบบออนไลน์ หรือตอบแบบสอบถามกระดาษพร้อมส่งแบบสอบถามกลับทางไปรษณีย์ โดยกำหนดระยะเวลาตอบกลับภายใน 2 สัปดาห์ แบบสอบถามผ่านการประเมินเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน มีทั้งหมด 2 ตอน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) แบบประเมินหรือเครื่องมือในการประเมินบริเวณมือของผู้ป่วย
ผลการศึกษา : จากแบบสอบถามที่ส่งออกจำนวน 336 ฉบับ มีผู้ตอบแบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 115 ฉบับ (ร้อยละ 34.23) สำหรับโรคที่ผู้ป่วยระบบกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณมือมารับการรักษาบ่อยที่สุด คือโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ซึ่งการประเมินหรือเครื่องมือที่ใช้มากที่สุด คือโกนิโอมิเตอร์ (ร้อยละ 38.30) มาตรวัดระดับความเจ็บปวด (ร้อยละ 30.40) และการประเมินกำลังกล้ามเนื้อ (ร้อยละ 27.00) โรคระบบประสาทที่มีพยาธิสภาพบริเวณมือที่มารับการรักษาบ่อยที่สุด คือโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด แบบประเมินหรือเครื่องมือที่ใช้มากที่สุด คือ การตรวจการทำงานของมือ (ร้อยละ 27.80) การประเมินกำลังกล้ามเนื้อ (ร้อยละ 24.30) และแบบประเมิน The Barthel activity of daily living index (ร้อยละ 17.40)
สรุป : รูปแบบในการตรวจประเมินการทำงานของมือโดยนักกายภาพบำบัดที่ความหลากหลาย จึงควรกำหนดเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานในการประเมินการทำงานของมือเพื่อส่งเสริมการให้การรักษาผู้ป่วยโดยช่วยในการส่งต่อข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง
2. Guo H. Prevalence of musculoskeletal disorder among workers in taiwan a nationwide study. JOH 2004; 46: 26-36.
3. Picavet H. Musculoskeletal pain in the Netherlands: Prevalences, consequences and risk groups, the DMC(3)-study. Pain 2003; 1-2: 167-78.
4. Salik Y, Ozcan A. Work-related musculoskeletal disorders: A survey of physical therapists in Izmir-Turkey. BMC Musculoskeletal Disorders 2004; 5: 27.
5. West D, Gardner D. Occupational injuries of physiotherapists in North and Central Queensland. Australian Journal of Physiotherapy 2001; 47: 179-86.
6. Macdonald B, Cockerell O, Sander J, Sheorvon S. The incidence and lifetime prevalence of neurological disorders in a prospective community-based study in the UK. Brain 2000; 123: 665-76.
7. Arwert H, Schut S, Boiten J, Vliet Vlieland T, Meesters J. Patient reported outcomes of hand function three years after stroke. Top Stroke Rehabil 2018; 25: 13-9.
8. ประวิตร เจนวรรธนะกุล. โรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในผู้ที่ทำงานสำนักงาน ความชุกและอุบัติการณ์ของโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในผู้ที่ทำงานในสำนักงาน. กรุงเทพฯ:ก.พล(1966), 2558.
9. Lee k, Jung M. Ergonomic Evaluation of Biomechanical Hand Function. Saf Health Work 2015; 6: 9-17.
10. ราชกิจจานุเบกษา. มาตรฐานบริการกายภาพบำบัด. 2553 [cited 6 กุมภาพันธ์ 2562]. Available from https://pt.or.th/file_attach/09Aug201210-AttachFile1344509470.PDF.
11. Dale A, Adamson C, Rempel D, Gerr F, Hegmann K, Silverstein B, et al. Prevalence and incidence of carpal tunnel syndrome in US working populations: pooled analysis of six prospective studies. J Work Environ Health 2013; 5: 495-505.
12. Thinen N, Tsukimoto D, Tsukisumoto G. Functional evaluation of hemiplegic patients post stroke using the Disabilities of the Arm, Shoulder and Hand - DASH questionnaire. Acta Fisiatr 2016; 1: 25-9.
