ภาวะขาดสารไอโอดีนของทารกแรกเกิดและพัฒนาการเด็กปฐมวัย ในโรงพยาบาลสกลนคร

ผู้แต่ง

  • สมนึก อภิวันทนกุล กลุ่มงานสูติกรรม-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร 47000
  • สุดารัตน์ ศิริชัยพรศักดิ์ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร 47000
  • นิยะดา บุญอภัย กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร 47000

คำสำคัญ:

โรคขาดสารไอโอดีน; พัฒนาการในวัยเด็ก

บทคัดย่อ

หลักการและวัตถุประสงค์: ฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (Thyroid stimulating hormone ; TSH) มากกว่า 11.2 mU/L จะส่งผลต่อพัฒนาการในช่วงปฐมวัย โดยมีโอกาสทำให้พัฒนาการลดลง ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับค่า TSH ของทารกแรกเกิดที่มากกว่า 11.2 mU/L ต่อพัฒนาการในช่วงปฐมวัยในโรงพยาบาลสกลนคร

วิธีการศึกษา: การศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective study) จากข้อมูลทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH มากกว่า 11.2 mU/L จำนวน 393 ราย จากทารกแรกเกิดจำนวนทั้งหมด 6,336 ราย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่มาคลอดในโรงพยาบาลสกลนคร ในปีงบประมาณ 2559 – 2562  เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบรายงานค่า TSH  แบบบันทึกพัฒนาการเด็ก และเวชระเบียนผู้ป่วยนอก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา

ผลการศึกษา: ทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH มากกว่า 11.2 mU/L มีจำนวน 393 ราย (ร้อยละ 6.20)  มีผลตรวจพัฒนาการ จำนวน 211 ราย (ร้อยละ53.69) พบพัฒนาการสมวัย ร้อยละ 69.19 และพัฒนาการสงสัยล่าช้า ร้อยละ 30.81 ภายหลังกระตุ้นพัฒนาการ พบพัฒนาการสมวัย ร้อยละ 56.92 และพัฒนาการไม่สมวัย ร้อยละ 43.08 เมื่อทำการเปรียบเทียบกับทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH น้อยกว่าหรือเท่ากับ 11.2 mU/L พบว่ามีพัฒนาการน้อยกว่า สำหรับมารดาของทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH มากกว่า 11.2 mU/L ได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน จำนวน 227 ราย (ร้อยละ 87.30) โดยส่วนใหญ่ได้รับยาในระดับปานกลาง จำนวน 105 ราย (ร้อยละ 40.38), ระดับน้อย จำนวน 99 ราย (ร้อยละ 38.08)  และระดับมาก จำนวน 56 ราย (ร้อยละ 21.54) ตามลำดับ

สรุป: การลดอุบัติการณ์ของทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH มากกว่า 11.2 mU/L ควรส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ทุกรายได้รับประทานยาเม็ดเสริมไอโอดีนทุกวัน และควรกระตุ้นพัฒนาการทารกแรกเกิดที่มีระดับค่า TSH มากกว่า 11.2 mU/L โดยเร็วที่สุด

เอกสารอ้างอิง

1. Zimmermann MB, Gizak M, Abbott K, Anderson M, Lazarus JH. Iodine deficiency in pregnant women in Europe. Lancet Diabetes Endocrinol 2015; 3: 672-4.
2. De Benoist B, Clugston G. Eliminating iodine deficiency disorders. Bulletin of the World Health Organization 2002; 5: 341.
3. Pirahanchai Y, Jialal I. Physiology, Thyroid stimulating hormone (TSH) [Updated 2019 Apr 25].
In: StatPearls [Internet]. [Cited Jan 21, 2020]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK499850/
4. Bleichrodt N, Born MP. A metaanalysis of research on iodine and its relationship to cognitive development. In: Stanbury JB, ed. The damaged brain of iodine deficiency. New York: Cognizant Communication Corporation, 1996: 195-200.
5. World Health Organization/International Council for the control of the Iodine Deficiency Disorders /United Nations Children Fund (WHO/ICCIDD/UNICEF). Assessment of the iodine deficiency disorders and monitoring their elimination. Geneva: WHO, 2007.
6. จินตนา พัฒนพงศ์ธร. รายงานการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัยไทย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2560. สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย, 2561.
7. HDC- Dashboard สำนักงานกระทรวงสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร. HDC 43 แฟ้ม [อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2562]. เข้าถึงได้จาก: https://hdcservice.moph.go.th
8. Dandamrongrak P, Chawanpaiboon S. Correlation between iodine supplement in pregnancy and neonatal TSH level. J Med Assoc Thai 2016; 99: 1257-62.
9. นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล. รายงานการศึกษาผลของการให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีนต่อภาวะโภชนาการไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์. กรุงเทพฯ: บริษัทสามเจริญพาณิชย์; 2562.
10. ภัสพร สมภาร, มานพ คณะโต, ภัสสร์วัลย์ รังสิปราการ. พฤติกรรมป้องกันภาวะขาดสารไอโอดีนของหญิงตั้งครรภ์กับระดับฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ของทารกแรกเกิดในอำเภอนาวังและอำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2556; 1: 117-30.
11. สมนึก อภิวันทนกุล. การเปรียบเทียบระดับไอโอดีนในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์กับหญิงวัยเจริญพันธุ์ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร. วารสารโรงพยาบาลสกลนคร 2555; 15: 32-40.
12. ศูนย์ปฏิบัติการตรวจคัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิดแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. ข้อมูลไอโอดีน[อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2562]. เข้าถึงได้จาก:
https://www.neoscreening. go.th/web/images/Stories/pdf/stat_th_update.pdf.
13. สุภาภัค สิงห์เสนา, เบญจา มุกตพันธุ์. ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2558; 12: 161-72.
14. สมพงษ์ ชัยโอภานนท์. สถานการณ์ของโรคขาดสารไอโอดีนของหญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทย ปี 2554-2558. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย 2560; 7: 200-11.
15. Xue-Yi C, Xin-Min J, Zhi-Hong D, Rakeman MA, Ming-Li Z, O'Donnell K, et al. Timing of Vulnerability of the Brain to Iodine Deficiency in Endemic Cretinism [Cited Jan 21, 2020]. Available from: https://bit.ly/3f5NDgS
16. ชัชฎา ประจุดทะเก. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย ในเขตสุขภาพที่ 9 ปี 2560. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 วารสารส่งเสริมสุขภาพแลละอนามัยสิ่งแวดล้อม 2561; 12: 5-19.
17. รัตนา กาสุริย์. ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะและระดับไอคิวในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร. วารสารกุมารเวชศาสตร์ 2555; 51: 27-34.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2020-07-21

รูปแบบการอ้างอิง

1.
อภิวันทนกุล ส, ศิริชัยพรศักดิ์ ส, บุญอภัย น. ภาวะขาดสารไอโอดีนของทารกแรกเกิดและพัฒนาการเด็กปฐมวัย ในโรงพยาบาลสกลนคร. SRIMEDJ [อินเทอร์เน็ต]. 21 กรกฎาคม 2020 [อ้างถึง 19 ธันวาคม 2025];35(4):390-8. available at: https://li01.tci-thaijo.org/index.php/SRIMEDJ/article/view/245510

ฉบับ

ประเภทบทความ

Original Articles