การอัปเดตแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่แบบสหวิทยาการในช่วงตั้งครรภ์ถึงอายุ 5 ปี

ผู้แต่ง

  • สุธีรา ประดับวงษ์ งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ดาราวรรณ อักษรวรรณ งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • สุนทรี น้ำใจทหาร งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • อรทัย แสนบน งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • จำรัส วงศ์คำ งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ทิพยวรรณ มุกนำพร ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ชณัติพร ชลไพร ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • นิรมล พัจนสุนทร ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ปฏิมาพร พึ่งชาญชัยกุล คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • เอกสิทธิ์ มโนสุดประสิทธิ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • พูนศักดิ์ ภิเศก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • เบญจมาศ พระธานี ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • เก่งกาจ วินัยโกศล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

คำสำคัญ:

แนวปฏิบัติการดูแล; ปากแหว่งเพดานโหว่; ทีมสหวิทยาการ; ศูนย์ตะวันฉาย

บทคัดย่อ

หลักการและวัตถุประสงค์: ผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ต้องการการดูแลรักษาเป็นเวลานานจากทีมสหวิทยาการ ช่วงสำคัญของการรักษาคือระยะก่อนตั้งครรภ์จนถึง 5 ปี การอัปเดต (การปรับปรุง) แนวปฏิบัติการดูแลจึงเป็นสิ่งสำคัญ

วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการโดยทีมสหวิทยาการของศูนย์ตะวันฉาย 10 สาขา จำนวน 30 ราย ร่วมวิเคราะห์ปัญหาและอัปเดตแนวปฏิบัติ 24 ราย จำนวน 2 ครั้ง ส่งแนวปฏิบัติให้ 3 สาขา คือ กุมารแพทย์ สูติแพทย์ และจิตเวช ที่ไม่เข้าร่วมประชุมเพื่อให้ข้อเสนอแนะ และตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้แนวปฏิบัติที่อัปเดตนำไปใช้ และประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกได้  ดำเนินการ 4 เดือน (มกราคม-เมษายน 2562) สรุปและวิเคราะห์ข้อมูล

ผลการศึกษา: พบว่า ช่วง 6 สัปดาห์ก่อนการตั้งครรภ์อัปเดตเป็นให้วิตามินโฟลิก ช่วงอายุ 3-6 เดือน เพิ่มการใส่เครื่องมือประคองรูปร่างจมูกหลังการผ่าตัดซ่อมแซมริมฝีปาก ส่งปรึกษาทันตแพทย์สำหรับเด็ก และส่งประเมิน ส่งเสริมพัฒนาการภาษาและการพูดครั้งที่ 1 ยกเลิกติดตามผลการรักษาตามระบบการลงทะเบียนออนไลน์ ช่วงอายุ 10-18 เดือน เพิ่มประเมินพัฒนาการของสันเหงือกและกระดูกขากรรไกรร่วมกับสุขภาพช่องปากก่อนผ่าตัดเพดานโหว่ ช่วงอายุ 1 ปีครึ่ง-3 ปี และ 4-5 ปี เพิ่มการตรวจหูและหากพบว่ามีการติดเชื้อของหูชั้นกลางให้ตรวจซ้ำทุก 3 เดือน หากไม่มีให้ตรวจซ้ำทุก 6 เดือน จนถึงอายุ 7 ปี จนยูสเตเชี่ยนทำงานได้ดี และยกเลิกติดตามผลการรักษาตามระบบการลงทะเบียนออนไลน์

สรุป: ได้แนวปฏิบัติที่อัปเดตครอบคลุมการดูแลทุกสาขาตามช่วงอายุก่อนตั้งครรภ์จนถึง 5 ปี และประเมินผลลัพธ์ช่วง 5 ปีได้ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับศูนย์การดูแลอื่นๆ ที่มีบริบทใกล้เคียงกันได้

เอกสารอ้างอิง

1. Chowchuen B, Thanaviratananich S, Chichareon V, Kamolnate A, Uewichitrapochana C, Godfrey K. A multisite study of oral clefts and associated abnormalities in Thailand: the epidemiologic data. Plast Reconstr Surg Glob Open 2015; 3(12): e583.
2. Chowchuen B, Kiatchoosakun P. Incidence guide cause prevention of cleft lip-cleft palate and craniofacial deformities: get to know, know the cause, incidence and prevention. 2nd ed. Khon Kaen: Klungnana Vitthaya Press; 2018.
3. Chinchai S, Rattakorn P, Sonsuwan N, Khwanngern K, Lekmool S. Feeding problems and treatment in cleft lip and cleft palate children. J Assoc Med Sci 2017; 50(3): S533- 43.
4. Wongkham J, Pradubwong S, Chatvised P, Ratanasiri T. Evidence-triggers for care of patient with cleft lip and palate at Srinagarind hospital: antenatal care unit. J Med Assoc Thai 2016; 99 (Suppl 5): S51- 7.
5. Pradubwong S, Surit P, Pongpagatip S, Petcharat T, Chowchuen B. Evidence-triggers for care of patient with cleft lip and palate in Srinagarind hospital: the tawanchai center and out-paitents surgical room. J Med Assoc Thai 2016; 99 (Suppl 5): S43- 50.
6. Weraarchakul W, Weraarchakul W. Dental caries in children with cleft lip and palate. J Med Assoc Thai 2017; 100 (Suppl. 6): S131-5.
7. Rod-ong D, Rongbudsri S, Maneeganondh S, Samretdee H, Pradubwong S, Patjanasoontorn N. Home and environment survey of children with CLP in Khon Kaen province. J Med Assoc Thai 2017; 100 (Suppl 6): S76-83.
8. De Ladeira PR, Alonso N. Protocols in cleft lip and palate treatment: systematic review. Plast Surg Int 2012; 2012: 562892. doi: 10.1155/2012/562892.
9. BMJ Best Pratice [Internet]. London: Cleft lip and palate, treatment algorithm. [cited Apr 30, 2019]. Available from: https://bestpractice.bmj.com/topics/en-gb/675/treatment-algorithm.
10. Rattanasiri T. Common obstetrics problems in fetal diagnosis and treatment. Khon Kaen: Fetal Diagnosis and Treatment Division, Department of Obstetrics and Gynaecology, Faculty of Medicine, Khon Kaen University; 2018.
11. Pradubwong S, Mongkhonthawornchai S, Keawkhamsean N, Prathanee B, Patjanasoontorn N, Chowchuen B. Clinical outcomes of primary palatoplasty in pre-school-aged cleft palate children in Srinagarind hospital: quality of life. J Med Assoc Thai 2014; 97 (Suppl 10): S25- 31.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2020-10-16

รูปแบบการอ้างอิง

1.
ประดับวงษ์ ส, อักษรวรรณ ด, น้ำใจทหาร ส, แสนบน อ, วงศ์คำ จ, มุกนำพร ท, ชลไพร ช, พัจนสุนทร น, พึ่งชาญชัยกุล ป, มโนสุดประสิทธิ์ เ, ภิเศก พ, พระธานี เ, วินัยโกศล เ, เชาวน์ชื่น บ. การอัปเดตแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่แบบสหวิทยาการในช่วงตั้งครรภ์ถึงอายุ 5 ปี. SRIMEDJ [อินเทอร์เน็ต]. 16 ตุลาคาม 2020 [อ้างถึง 28 ธันวาคม 2025];35(6):700-6. available at: https://li01.tci-thaijo.org/index.php/SRIMEDJ/article/view/247322