พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี พันธุ์ข้าวหอมแนะนำพันธุ์ใหม่

ผู้แต่ง

  • เดชา ตุนา สถานีทดลองข้าวสุพรรณบุรี
  • สุรพล จัตุพร สถานีทดลองข้าวสุพรรณบุรี

DOI:

https://doi.org/10.14456/thaidoa-agres.1999.1

คำสำคัญ:

พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี

บทคัดย่อ

พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้มาจากการผสมพันธุ์สามทางระหว่าง สายพันธุ์ SPR84177-8-2-2-2-1, SPR85091-13-1-1-1-4 และพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยดำเนินการผสมพันธุ์ และคัดเลือกพันธุ์ที่สถานีทดลองข้าวสุพรรณบุรี จนได้สายพันธุ์ ที่สถานีทดลองข้าวสุพรรณบุรี จนได้ สายพันธุ์ข้าว SPR89111-17-2-2-2-2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ข้าวหอมชนิดไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วัน ความสูงประมาณ 126 เซนติเมตร ให้ผลผลิตประมาณ 700 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดข้าวเปลือกยาวเรียว มีสีฟาง ข้าวกล้องมีท้องไข่น้อย คุณภาพการขัดสี ทำข้าว 100 เปอร์เซ็นต์ได้ มีปริมาณอมิโลสต่ำ คุณภาพข้าวสุกเป็นประเภทข้าวนุ่มแบบขาวดอกะมลิ 105 และค่อนข้างเหนียว ตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยดีปานกลาง ต้านทานต่อโรคและแมลงบางชนิดดีกว่าข้าวขาวดอกะมลิ 105 เช่น โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยจักจั่นสีเขียวและเพลี้ยกระโดดหลังขาว แต่อ่อนแอต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและโรคใบหงิก คุณสมบัติที่ดีเด่นของข้าวสายพันธุ์นี้ คือ มีคุณภาพเมล็ดดีพิเศษทั้งทางด้านกายภาพ และทางด้านเคมี คุณภาพข้าวสุกนุ่มเหนียว และมีกลิ่นหอมแบบข้าวขาวดอกะมลิ 105 และไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ทั้งในฤดูนาปี และนาปรัง สถานีทดลองข้าวสุพรรณบุรี จึงได้เสนอข้าวสายพันธุ์ SPR89111-17-2-2-2-2 ต่อ สถาบันวิจัยข้าว และกรมวิชาการเกษตร เพื่อพิจารณาให้เป็นพันธุ์แนะนำ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2540 โดยใช้ชื่อว่า พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี เพื่อใช้เป็นพันธุ์ข้าวแนะนำให้แก่เกษตรกรในเขตจังหวัดรับผิดชอบของสถานีฯ และจังหวัดใกล้เคียงใช้เป็นพันธุ์ปลูกเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตข้าวหอมนาปรังที่มีคุณภาพเมล็ดดีพิเศษ ในเชิงการค้าให้มีมากขึ้นต่อไป นอกจากนั้นยังเป็นความก้าวหน้าในด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่อาจนำไปใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพเมล็ดดี ในโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมไทยให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นต่อไปในอนาคต

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

1999-03-04

รูปแบบการอ้างอิง

ตุนา เ., & จัตุพร ส. (1999). พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี พันธุ์ข้าวหอมแนะนำพันธุ์ใหม่. วารสารวิชาการเกษตร, 17(1), 4–14. https://doi.org/10.14456/thaidoa-agres.1999.1

ฉบับ

ประเภทบทความ

งานวิจัย