ประสิทธิภาพของก้อนเชื้อเห็ดเรืองแสง Neonothopanus nambi Speg.ต่อไส้เดือนฝอยรากปม (Meloidogyne incognita Chitwood) ในพริก

ผู้แต่ง

  • สุรีย์พร บัวอาจ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร
  • บุษราคัม อุดมศักดิ์ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร
  • นุชนารถ ตั้งจิตสมคิด สำนักวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร
  • วีระศักดิ์ ศักดิ์ศิริรัตน์ ภาควิชาพืชศาสตร์และทรัพยากรการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

DOI:

https://doi.org/10.14456/thaidoa-agres.2014.11

คำสำคัญ:

ก้อนเชื้อเห็ดเรืองแสง, ไส้เดือนฝอยรากปม, การควบคุมโดยชีววิธี

บทคัดย่อ

การใช้ก้อนเชื้อเห็ดเรืองแสง Neonothopanus nambi Speg. ไอโซเลท PW2 ควบคุมไส้เดือนฝอย รากปม Meloidogyne incognita Chitwood วางแผนการทดลองแบบ Randomized complete block design (RCB) มี 6 กรรมวิธี จำนวน 12 ซ้ำ ด้วยการรองก้นหลุมก่อนปลูก พริก ในอัตรา 5, 10, 15 และ 20 ก./ต้น เมื่อครบ 60 วัน ประเมินเปอร์เซ็นต์การเกิดปมที่ ราก, ความสูง และน้ำหนักต้นสด พบว่าที่อัตรา 10 ก./ต้น สามารถควบคุมไส้เดือนฝอยรากปมได้ ดีที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์การเกิดรากปมเพียง 11.25 % รองลง คือ อัตรา 5, 15 และ 20 ก./ต้น เติบโตของพืชมีผลสอดคล้องกัน ทั้งความสูงและน้ำหนักต้นสด การใส่ก้อนเชื้อเห็ด ที่อัตรา10 ก./ต้น ทำให้พริกสูงมากที่สุด คือ 71.55 ซม.รองลงมา คือ ที่อัตรา 15 และ 20 ก./ต้น ความสูงเท่ากับ 63.63 และ 56.71 ซม. ตามลำดับขณะที่กรรมวิธีที่ไม่มีการปลูกเชื้อใดๆ ซึ่งมีความสูงเพียง 49.75 ซม. นอกจากนี้ผลของน้ำหนักต้นสด ที่อัตรา 10 กรัม/ต้น มีน้ำหนักต้นสดมากที่สุด คือ 113.48 ก. รองลงมา คือ อัตรา 15 และ 20 ก./ต้น โดยมีน้ำหนักสด 102.28 และ 63.98 ก. ตามลำดับ กรรมวิธีที่ไม่มีการปลูกเชื้อใดๆ ซึ่งให้น้ำหนัก 33.48 ก. ดังนั้น อัตราการใช้ก้อนเชื้อเห็ดเรืองแสงที่เหมาะสมในการควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม M. incognita แนะนำให้ใช้ที่อัตรา 10 ก./ต้น เนื่องจากใช้ก้อนเชื้อเห็ดปริมาณน้อย แต่มีประสิทธิภาพดีที่สุด

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2014-08-31

รูปแบบการอ้างอิง

บัวอาจ ส., อุดมศักดิ์ บ., ตั้งจิตสมคิด น., & ศักดิ์ศิริรัตน์ ว. (2014). ประสิทธิภาพของก้อนเชื้อเห็ดเรืองแสง Neonothopanus nambi Speg.ต่อไส้เดือนฝอยรากปม (Meloidogyne incognita Chitwood) ในพริก. วารสารวิชาการเกษตร, 32(2), 154–163. https://doi.org/10.14456/thaidoa-agres.2014.11

ฉบับ

ประเภทบทความ

งานวิจัย