นวัตกรรมหุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงแบบมีระบบเซนเซอร์ (สมิหลา)
คำสำคัญ:
นวัตกรรม, หุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิง, ระบบเซนเซอร์บทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาหุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงแบบมีระบบเซนเซอร์ (สมิหลา) และศึกษาประสิทธิผลของหุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงแบบมีระบบเซนเซอร์ (สมิหลา) ดำเนินการ 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 สร้างและพัฒนาหุ่นช่วยฝึก ประกอบด้วย การวิเคราะห์ความต้องการ ทบทวนวรรณกรรม สร้างชุดหุ่นฝึก ทดลองใช้ และปรับปรุงหุ่นฝึก ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาประสิทธิผลของหุ่นช่วยฝึก ประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 72 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หุ่นช่วยฝึกสมิหลา หาคุณภาพเครื่องมือได้ค่า IOC ระหว่าง .67 – 1.00 และได้ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test ผลวิจัยพบว่า
- หุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงแบบมีระบบเซนเซอร์ (สมิหลา) ทำมาจากน้ำยางข้นธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์ เรซิน ลักษณะภายนอก ตัวหุ่นเป็นกล่องไม้ที่มีแผ่นอวัยวะเพศหญิงที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาคติดตั้งอยู่ กล่องของหุ่นทำจากพลาสวูด มีน้ำหนักเบา ทนทาน และไม่เปียก ลักษณะภายใน เป็นหุ่นมีมดลูกและช่องคลอดติดตั้งภายในตัวหุ่นโดยเชื่อมต่อกับแผ่นอวัยวะเพศหญิง มีกระเพาะปัสสาวะจำลองสามารถเติมน้ำปัสสาวะเทียมได้จริง และมีน้ำปัสสาวะไหลออกทางปลายสายสวน โดยลักษณะพิเศษจะมีสัญญาณเสียงดังเมื่อใส่สายสวนในช่องคลอด
- ประสิทธิผลของหุ่นช่วยฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงแบบมีระบบเซนเซอร์ (สมิหลา) มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าหุ่นเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (p<.001) และหลังการใช้หุ่นช่วยฝึกนี้ นักศึกษาพยาบาลสามารถฝึกใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงจากหุ่นฝึกถูกต้องร้อยละ 100 ดังนั้นควรนำหุ่นช่วยฝึกที่พัฒนาขึ้นไปให้นักศึกษาที่ต้องขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรก หรือนักศึกษาที่ต้องฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการพยาบาลตลอดจนนักศึกษาที่ต้องการนำกลับไปฝึกที่หอพัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความถูกต้องในการใส่สายสวนปัสสาวะเพศหญิงก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติงานจริงบนหอผู้ป่วย
เอกสารอ้างอิง
Chotiban, P., Nawsuwan, K., Nontaput, T., & Rodniam, J. (2013). Innovation of Assisted Models for Practicing Basic Nursing Skills. Princess of Naradhiwas University Journal, 5(3), 1-12.
Faculty of Medicine Siriraj Hospital, Mahidol University. (2016). Outstanding innovation Star Rating Project of the Year 2014.Quality Development Faculty of Medicine Siriraj Hospital Mahidol University.Bangkok. (In Thai).
Hair, F.J., Black, C.W., Babin, J.B., & Anderson, E.R. (2010). Multivariate Data Analysis (7th ed). New Jersey: Pearson Education.
Kheokao, J., Yingrengreoung, S., & Krirkgulthorn, T. (2014). Uses of Online Social Media in Nursing Education. University of the Thai Chamber of Commerce Journal Humanities and Social Sciences, 34(4), 219-235.
Kumkong, M., & Nasae, J. (2020) Risk Management in Nursing Practicum. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health, 7(3), 10-22
Kunaviktikul, W. (2015). Teaching and learning in the discipline of nursing in the 21st century. Nursing Journal, 4(2), 152-156.
Lertlum, L., Tanasansutee, C., & Panawatthanapisuit, S. (2019). DevelopmentofaSimulation-Based Learning Model. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health 6(special), 43-58.
Pheeraphan, N. (2014). Development of Information and Communication Technology Usage Model for 21stCenturyLearning Skills in Higher Education. Journal of Education, Prince of Songkla University, 25(3), 19-34.
Ruengrong, P., Jiravarapong, B., Manyum, W., Somyaron, W., Muendet, S., & Srisurat, C. (2014). Educational Technologyvs Thai Teachers in 21st Century. Panyapiwat Journal, 5(Special Issue), 195-207.
Saraketrin, A., Rongmuang, D., & Chantra, R. (2019). Nursing Education in the 21st Century: Competencies and Roles of Nursing Instructors. Journal of the Royal Thai Army Nurses, 20(1), 12-20.
Stauffer, B. (2020). What Are 21st Century Skills?.Retrieved September 23, 2020 from https://www.aeseducation.com/blog/what-are-21st-century-skills
Wangsookpaisal, A., Sawas-Chootor, P., & Wongsuttutham, S. (2017). Instruction in Nursing for Students’ Freedom. Journal of Nursing and Health Care, 35(3), 6-14.
