พฤติกรรมการป้องกันตนเองของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนใน จังหวัดนราธิวาส

ผู้แต่ง

  • Patchinee Santhikarn คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา
  • Isara Tongsamsi
  • Kanlaya Tansakun

คำสำคัญ:

พฤติกรรมการป้องกัน, โรคเรื้อน, สมาชิกในครอบครัว

บทคัดย่อ

     การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์และเชิงสาเหตุเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของตัวแปรแฝงภายนอกคือ ความรู้เรื่องโรคเรื้อน และเจตคติต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อนที่มีต่อตัวแปรแฝงภายใน คือ พฤติกรรมการป้องกันตนเองของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนในจังหวัดนราธิวาส โดยมีตัวแปรกำากับ คือ ปัจจัยส่วนบุคคลของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนได้แก่ เพศ อายุ และรายได้ ขนาดของครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อน และลักษณะครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อน ประชากรในการวิจัยสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนในบ้านที่มีผู้ป่วยซ้ำามากกว่า 1 คน จำานวน 68 คน สมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนในบ้านที่ไม่มีผู้ป่วยซ้ำา 415 คน และต้องเป็นสมาชิกที่อาศัยอยู่กับผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อนในบ้านเดียวกันมากกว่า 5 วันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน และอายุมากกว่า 18 ปี กำาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์กำาหนดกลุ่มตัวอย่างสำาหรับการวิจัยที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลพหุตัวแปรในรูปแบบของโมเดลสมการโครงสร้างกำาลังสองน้อยที่สุดบางส่วนและเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปลายปิดแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้เรื่องโรคเรื้อน โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) ได้ 0.82 แบบสอบถามเกี่ยวกับเจตคติต่อโรคเรื้อน และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อนใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิของแอลฟา (Coefficient of alpha) ของ (Cronbach) ได้ 0.78 และ 0.69 ตามลำาดับ
     ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลด้านปัจจัยส่วนบุคคลในส่วนของ อายุ และรายได้ กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนในจังหวัดนราธิวาส ไม่มีความสัมพันธ์กัน ในส่วนข้อมูลด้านเพศ ด้านขนาดของครอบครัวและลักษณะครอบครัว มีพฤติกรรมการป้องกันตนเองไม่แตกต่างกัน ความรู้เรื่องโรคเรื้อนไม่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อนของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในขณะที่เจตคติต่อโรคเรื้อนมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อนของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ .01โดยความรู้เรื่องโรคเรื้อน และเจตคติต่อโรคเรื้อนร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อนของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนได้ ร้อยละ 39.4

เอกสารอ้างอิง

Anna, M., et al. (2011). Leprosy among Patient Contacts: A Multilevel Study of Risk Factors. London School of Hygiene and Tropical Medicine, United Kingdom.

Anuruk, Y. (2000). Health education process and health behavior development 2000. Bangkok: Sigma Graphic Design.

Benyama, N. (2007). Knowledge, understanding and practice on leprosy amon Thai Muslim patients and househol contact : case study of Rueso district, Narathiwat province. Master of Public Health. (in Thai).

Cronbach, L. J. (1963). Educational Psychology. New York :Harcourt, Brace and World.

DeeMak , N. (2004). Factors Related to Leprosy Prevention and Control Behaviors of Peoplein Sampaniang Subdistrict, Ban Phraek District, Phra Nakhon Si Ayutthaya Province. Master of Science Program in Health Education. (in Thai).

Hair, J. F., Hult, G. T. M., Ringle, C. M., & Sarstedt, M. (2014). A Primer on Partial Least Squares Structural Equation Modeling (PLS-SEM). Thousand Oaks, CA: Sage.

Morchawban. (2008). Leprosy is not as scary as you think. Retrieved9 December 2016, from https://www.doctor.or.th/article/detail/1150 (in Thai).

Petchaphum, J. (2016). Health Belief Model: HBM. Retrieved 10 November 2016, from https:// www.gotoknow.org/posts/611058

Provincial Public Health Office.,(2016). New Leprosy Patient Registration Report 2016. (in Thai).

Raj Pracha Samasai Institute. (2017). Leprosy Situation in Thailand 2017. Retrieved 7 January 2018, fromhttp://thaileprosy.ddc.moph.go.th/site/index.htm

Ringle, C. M., Wende, S., & Will, A. (2005). SmartPLS 2.0.M3. Hamburg: SmartPLS, http://www.smartpls.de., 19 July 2016.

Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the Health Belief Model. Health Education Monographs. Health Education Monographs.

Serckkic, C. & Cheuin. (2014). Forecasting of leprosy by using Risk analysis Thailand, 2014. Bangkok : Raj Pracha Samasai Institute Department of Disease Control. (in Thai).

Siriudomphais, S. (2014). Leprosy. Retrieved 13 July 2016, from http://haamor.com/th/โรคเรื้อน/.

Sompoyun, S. & Aburanon, W. (1999). Health education teaching (theory and practice). Bangkok: Mind health. (in Thai).

Techaumuauywit, A. (2009). Self-Care And Factors Related To Self-Care Of Older Persons with Leprosy.

Master of Nursing Science Thesis in Gerontological Nursing, Graduated School, Khon Kaen University. (in Thai).

World Health Organization. (2018). Leprosy: world focused on ending transmission among children. Retrieved 19 July 2018, from http://www.who.int/neglected_diseases/news/Leprosy_ending_transmission_ among_children/en/.

ไฟล์ประกอบ

เผยแพร่แล้ว

2019-01-29

รูปแบบการอ้างอิง

Santhikarn, P., Tongsamsi, I., & Tansakun, K. (2019). พฤติกรรมการป้องกันตนเองของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อนใน จังหวัดนราธิวาส. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, 11(3), 29–40. สืบค้น จาก https://li01.tci-thaijo.org/index.php/pnujr/article/view/168230

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย