การใช้ฟางข้าวเป็นแหล่งอาหารหยาบเพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงกวาง
Main Article Content
บทคัดย่อ
การทำธุรกิจฟาร์มกวางเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรที่ต้องการมีรายได้เสริมร่วมกับการทำการเกษตรอื่น ๆ เงินลงทุนในเรื่องของอาหารที่ใช้เลี้ยงกวางเป็นปัจจัยที่เกษตรกรหรือผู้สนใจลงทุนเลี้ยงกวางจะคำนึงถึงเป็นอันดับแรกที่จะใช้พิจารณาก่อนดำเนินการทำธุรกิจฟาร์มกวาง ฟาร์มกวางมหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงดำเนินการวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับเกษตรกรผู้สนใจลงทุนทำฟาร์มกวาง โดยทดลองว่า เมื่อใช้อาหารหยาบที่มีต้นทุนต่ำในการเลี้ยงกวาง จะทำให้ผลผลิตที่ได้จากการทำฟาร์มกวาง ซึ่งในที่นี้ คือ น้ำหนักตัวกวางเป็นตัวชี้วัด แตกต่างจากที่เลี้ยงกวางด้วยอาหารที่มีต้นทุนสูงกว่าหรือไม่ จากการทดลองในกวางอายุ 3 ปี 2 ชนิด คือ กวางรูซ่าและกวางซิก้า ชนิดละ 60 ตัว คัดเลือกกวางแต่ละชนิดก่อนนำมาทดลองทั้ง 60 ตัวนั้นให้มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน แบ่งกวางทั้ง 2 ชนิด ๆ ละ 60 ตัวเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 30 ตัว กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารข้น/หญ้าเนเปียร์หมัก/น้ำตาล/และหญ้าแพงโกล่าแห้ง ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน 2561 และเมื่อเริ่มการทดลองในเดือนตุลาคม 2561 ถึงเดือนมีนาคม 2562 ให้กลุ่มที่ 1 ของกวางทั้ง 2 ชนิด กินอาหารเหมือนเดิม คือ ให้กินอาหารข้น/หญ้าเนเปียร์หมัก/น้ำตาล/และหญ้าแพงโกล่าแห้ง ส่วนกลุ่มที่ 2 ของกวางทั้ง 2 ชนิด ให้กินอาหารข้น/หญ้าเนเปียร์หมัก/น้ำตาล/และฟางข้าว ชั่งน้ำหนักตัวทั้งก่อนและหลังการทดลอง จากการทดลองพบว่า น้ำหนักตัวของกวางทั้ง 2 ชนิดเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ของกวางกลุ่มที่ 2 ไม่แตกต่างจากของกวางกลุ่มที่ 1 ทั้งที่ราคาอาหารของกวางกลุ่มที่ 1 ที่ใช้เลี้ยงกวางรูซ่าเฉลี่ย 13.05 บาท/ตัว/วัน ส่วนของกวางซิก้าเฉลี่ย 11.03 บาท/ตัว/วัน แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ฟางข้าวในการทดลองในกวางกลุ่มที่ 2 ราคาอาหารที่ใช้เลี้ยงกวางรูซ่าเฉลี่ยลดลงเหลือ 7.99 บาท/ตัว/วัน ส่วนของกวางซิก้าลดลงเหลือ 6.98 บาท/ตัว/วัน แสดงว่า การเลือกใช้พืชอาหารในการเลี้ยงกวางที่มีราคาถูกกว่า ผลผลิตที่ได้จากการเลี้ยงกวางไม่แตกต่างจากการใช้พืชอาหารที่มีราคาแพงกว่า
Article Details
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เอกสารอ้างอิง
มณี อัชวรานนท์ พรชัย วงศ์วาสนา วิสาล อธิพรธรรม และจิตรภาณุ อินทวงศ์ 2557. การวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของฟาร์มกวางมหาวิทยาลัยรามคำแหง. วารสารวิจัยรามคำแหง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี). 17(1): 38-49.
มณี อัชวรานนท์ พรชัย วงศ์วาสนา ยิ่งยง เมฆลอย
จิตรภานุ อินทวงศ์ ธงชัย ช่วยสถิตย์ และจิระวุฒ
นาเค. 2561ก. การผันแปรของวงรอบการเจริญ
ของเขากวางและพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของกวาง
ที่เลี้ยงในฟาร์มกวางมหาวิทยาลัยรามคำแหง.
วารสารวิจัยรามคำแหง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี). 21(1): 1-12.
มณี อัชวรานนท์ พรชัย วงศ์วาสนา จิตรภานุ อินทวงศ์ ธงชัย ช่วยสถิตย์ และจิระวุฒ นาเค. 2561ข. การบริหารจัดการฟาร์มกวางมหาวิทยาลัยรามคำแหงและการรอดชีวิตของลูกกวาง. วารสารวิจัยรามคำแหง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี). 21(2): 1-19.
มณี อัชวรานนท์ พรชัย วงศ์วาสนา จิตรภานุ อินทวงศ์ ธงชัย ช่วยสถิตย์ จิระวุฒ นาเค แพรพิไล
เจริญสิทธิ์กองคำ และวีระศักดิ์ มะประสิทธิ์. 2562. ความหลากหลายของอาหารผสมที่มีต่อผลผลิตเขากวางอ่อน. วารสารวิจัยรามคำแหง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี). 22(2): 1-12.
มณี อัชวรานนท์ พรชัย วงศ์วาสนา จิตรภานุ อินทวงศ์ ธงชัย ช่วยสถิตย์ จิระวุฒ นาเค แพรพิไล
เจริญสิทธิ์กองคำ วีระศักดิ์ มะประสิทธิ์ และ
ธวัชชัย ทวีตา. 2563. ความหลากหลายของ อาหารผสมที่มีต่อผลผลิตเขากวางอ่อน. วารสารวิจัยรามคำแหง (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี). 23(1): 1-12.
Archawaranon, M. 2018. The Hill Mynah in Thailand: A 30-year Study. Behavioral Ecology, Evolution, and Conservation Biology. Bangkok, Amarin Printing and Publishing Public Company Limited. 286 pp. (1,000 copies)
Barry ,T.N.; Wilson, P.R. and Semiadi, G. 1998. Growth, voluntary food intake and digestion in farmed temperate and tropical deer. Acta Vet Hung. 46(3): 369-80.
Hewitt, D.G. 2011. Nutrition. In: Biology and Management of White-tailed Deer, ed. Hewitt, D.G. Boca Raton, FL: CRC Press. pp. 75-105.
Kammermeyer, K.E., Miller, K.V. and Thomas,
L. Jr. 2006. Quality food plots: Your guide to
better deer and better deer hunting. Bogart, GA: Quality Deer Management Association.
Sookhareea, R., Woodford, K. A. and Dryden, G. McL. 2001. The effect of castration on growth and body composition of Javan rusa stags. Asian-Australasian Journal of Animal Sciences 14: 608-614.
Ullrey, D. E. 1982. Nutrition and antler development in white tailed deer. In: Antler Development in Cervidae, ed. Brown, R.D. Kingsville, TX: Caesar Kleberg Wildlife Research Institute. pp. 49 - 60.