Abundance and Distribution of Some Viverrid Species in Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuary
Main Article Content
Abstract
การศึกษาความชุกชุมและการกระจายของสัตว์ในกลุ่มชะมดและอีเห็น ดำเนินการศึกษาในพื้นที่เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ในระหว่างปี พ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2552 โดยใช้กล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าอัตโนมัติ เพื่อสำรวจชนิด ความชุกชุม และการกระจายของสัตว์ในกลุ่มชะมดและอีเห็น จำนวนทั้งสิ้น 709 จุด คิดเป็น 10,756 วันตั้งกล้อง ผลจากการศึกษาสามารถถ่ายภาพสัตว์ในกลุ่มชะมดและอีเห็นได้ทั้งหมด 5 ชนิด ประกอบไปด้วย ชะมด แผงหางปล้อง (Viverra zibetha) ชะมดเช็ด (Viverricula indica) ชะมดแผงสันหางดำ (Viverra megaspila) อีเห็นข้าง ลายหรืออีเห็นธรรมดา (Paradoxurus hermaphroditus) อีเห็นเครือ (Paguma larvata) ผลการศึกษาพบว่า ชะมดแผง หางปล้องมีค่าความถี่สัมพัทธ์ และความชุกชุมสัมพัทธ์มากที่สุดเมื่อเทียบกับชนิดอื่น (37.56, 5.99) รองลงมาคือ อีเห็น ข้างลาย (12.43, 1.45) ชะมดแผงสันหางดำ (4.11, 0.48) อีเห็นเครือ (2.24, 0.18) และชะมดเช็ด (0.35, 0.44) ตามลำดับ ป่าผสมผลัดใบเป็นพื้นที่ที่สัตว์ทั้ง 5 ชนิดเข้ามาใช้ประโยชน์ สัตว์ในกลุ่มนี้ 4 ชนิดเข้ามาใช้ป่าเต็งรัง และป่าดิบแล้ง ส่วนป่าดิบเขาพบเฉพาะชะมดแผงหางปล้องเท่านั้นที่เข้ามาใช้ประโยชน์
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ขอรับรองว่า ต้นฉบับที่เสนอมานี้ยังไม่เคยได้รับการตีพิมพ์และไม่ได้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาตีพิมพ์ลงในวารสารหรือสิ่งตีพิมพ์อื่นใด ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาต้นฉบับ ทั้งยินยอมให้กองบรรณาธิการมีสิทธิ์พิจารณาและตรวจแก้ต้นฉบับได้ตามที่เห็นสมควร พร้อมนี้ขอมอบลิขสิทธิ์ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ให้แก่วารสารวนศาสตร์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรณีมีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับภาพ กราฟ ข้อความส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือ ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในผลงาน ให้เป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) แต่เพียงฝ่ายเดียว และหากข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ประสงค์ถอนบทความในระหว่างกระบวนการพิจารณาของทางวารสาร ข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วม (ถ้ามี) ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณาบทความนั้น”