การใช้ตัวแบบการกำหนดราคาสินทรัพย์เพื่อเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธนาคาร
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในหลักทรัพย์ของหมวดธนาคารในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ว่ามีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น (overvalue) หรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (undervalue) เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน การศึกษาครั้งนี้ใช้หลักทรัพย์จำนวน 11 หลักทรัพย์ หมวดธนาคาร ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลราคาปิดรายเดือนของหลักทรัพย์หมวดธนาคารมาคำนวณหาอัตราผลตอบแทนหลักทรัพย์ ใช้อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน เป็นตัวแทนของอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง และใช้ข้อมูลดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาคำนวณหาอัตราผลตอบแทนตลาด จำนวนข้อมูลรายเดือนทั้งสิ้น 60 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 มาประมาณค่าพารามิเตอร์ด้วยสมการถดถอยเชิงเส้นตามทฤษฎีตัวแบบการกำหนดราคาสินทรัพย์ (capital asset pricing model, CAPM) ผลการศึกษาจากสถิติเชิงพรรณนาพบว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีค่าเท่ากับ 0.418 % โดยมีค่าสูงสุดเท่ากับ 6.865 % ค่าต่ำสุดเท่ากับ -9.053 % และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 3.479 % ส่วนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนของตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน หรืออัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงมีค่าเท่ากับ 0.148 % และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.482 % พบว่าหลักทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนมากกว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดมี 7 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BAY, KBANK, KKP, LHBANK, TCAP, TISCO และ TMB ส่วนหลักทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนน้อยกว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดมี 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BBL, CIMBT, KTB และ SCB ซึ่งหลักทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนสูงสุด คือ หลักทรัพย์ KKP มีค่าเท่ากับ 1.131 % และหลักทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรายเดือนต่ำสุด คือ หลักทรัพย์ CIMBT มีค่าเท่ากับ -1.127 % การวิเคราะห์ความเสี่ยงพบว่าหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่เป็นระบบมากกว่าตลาดและมีทิศทางเดียวกับตลาดมี 7 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BAY, CIMBT, KBANK, KKP, KTB, SCB และ TISCO ส่วนหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่เป็นระบบน้อยกว่าตลาดและมีทิศทางเดียวกับตลาดมี 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BBL, LHBANK, TCAP และ TMB การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์พบว่าหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งควรตัดสินใจลงทุนมี 6 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BAY, KKP, LHBANK, TCAP, TISCO และ TMB ขณะที่หลักทรัพย์ที่ไม่ควรลงทุน คือ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นมี 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ หลักทรัพย์ BBL, CIMBT, KBANK, KTB และ SCB
คำสำคัญ : ราคาปิด; ความเสี่ยงที่เป็นระบบ; อัตราผลตอบแทนส่วนเกิน; ส่วนชดเชยความเสี่ยง; การถดถอยเชิงเส้น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
[2] ดวงฤดี วงศ์จรัสเกษม, 2554, การวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดวัสดุก่อสร้าง, การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเงิน, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, กรุงเทพฯ, 98 น.
[3] Brigham, E.F. and Ehrhardt, M.C., 2005, Financial Management Theory and Practice, 11th ed., Thomsom/South-Western, Mason.
[4] ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์หมวดธนาคารในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, แหล่งที่มา : http://www.setsmart.com, 15 กุมภาพันธ์ 2561.
[5] ธนาคารแห่งประเทศไทย, อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล, แหล่งที่มา : http://www2.bot.or.th/statistics/ReportPage.aspx?reportID=223, 16 กุมภาพันธ์ 2561.
[6] เปรมประภา สุทธิประภา และกาญจนา เศรษฐนันท์, 2558, การวิเคราะห์ผลตอบแทนและความเสี่ยงการประเมินราคาหุ้นและการจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยวิธี Capital Asset Pricing Model, น. 1674-1678, ใน การประชุมวิชาการทางธุรกิจและนวัตกรรมทางการจัดการระดับชาติและนานา ชาติ ประจำปี 2558, วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ขอนแก่น.
[7] Pamane, K. and Vikpossi, A.E., 2014, An analysis of the relationship between risk and expected return in the BRVM stock exchange: Test of the CAPM, RWE 5: 13-28.
[8] ดนัย ปัตตพงศ์, Capital asset pricing model (CAPM), แหล่งที่มา : http://it.nation.ac.th/faculty/danai/download/mbamadeeasy73.pdf, 22 กุมภาพันธ์ 2561.