การออกแบบกับดักฟีโรโมนเพศสังเคราะห์ เพื่อควบคุมผีเสื้อหนอนใยผักในการผลิตกะหล่ำปลีบนพื้นที่สูง
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
ทำการทดสอบประสิทธิภาพในการดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผักเพศผู้ของกับดัก 2 แบบ คือ wing spin trap และ delta spin trap โดยใช้ร่วมกับสารฟีโรโมนเพศสังเคราะห์ Z-11-hexadecen-1-ol (alc) : compound A : compound B อัตรา 0.1:1:1 มิลลิกรัม ผสมกับสารชะลอการระเหย คือ solid paraffin ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าหลังการวางกับดักเป็นเวลา 7, 14 และ 21 วัน กับดักแบบ wing spin trap สามารถดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผักเพศผู้ได้รวม 19.56, 19.11 และ 10.78 ตัวตามลำดับ มากกว่ากับดักแบบ delta spin trap ที่สามารถดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผักได้รวม 12.67, 13.94 และ 8.89 ตัวตามลำดับ จึงสรุปได้ว่ากับดักแบบ wing spin trap มีประสิทธิภาพในการดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผักได้มากกว่าการใช้กับดักแบบ delta spin trap และพบว่าการวางกับดักฟีโรโมนนอกแปลงพร้อมกับวางภายในแปลงปลูกกะหล่ำปลี มีประสิทธิภาพในการดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผักสูงกว่าการวางเฉพาะนอกแปลงหรือเฉพาะในแปลงเพียงอย่างเดียว
Article Details
References
จิราพร กุลสาริน และ อภิวัฒน์ ธีรวุฒิกุลรักษ์. 2555. การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กับดักฟีโรโมนเพื่อควบคุมหนอนใยผักในการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำบนที่สูง. รายงานการวิจัยและพัฒนา ชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชเพื่อทดแทนสารเคมีบนพื้นที่สูง. สถาบันวิจัยพื้นที่สูง, เชียงใหม่. 70 หน้า.
นุชนารถ จงเลขา. 2546. คู่มือการควบคุมโรคและศัตรูพืชต่าง ๆ ของพืชผักแบบผสมผสาน. ศูนย์อารักขาพืช มูลนิธิโครงการหลวง, เชียงใหม่. 164 หน้า.
สมบัติ ศรีชูวงศ์ ไสว บูรณพานิชพันธุ์ และ ชวนพิศ บุญชิตสิริกุล. 2547. เพื่อพัฒนาโครงการการลดการใช้สารเคมีเกษตรในพืชผักตระกูลกะหล่ำ. รายงานผลการวิจัย. คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่. 12 หน้า.
อัจฉราพร เกตุกระทุ่ม เกศรา จีระจรรยา และ สิริวัฒน์ วงษ์ศิริ. 2528. กับดักสารเพศของหนอนใยผัก. วารสารวิชาการเกษตร 3(3): 176-181.
อนุสรณ์ พงษ์มี จิราพร กุลสาริน และ อภิวัฒน์ ธีรวุฒิกุล-รักษ์. 2556. อัตราส่วนที่เหมาะสมของสารฟีโรโมนเพศสังเคราะห์เพื่อดึงดูดผีเสื้อหนอนใยผัก. วารสารวิชาการเกษตร 29(2): 145-153.
Chow, Y. S. 1977. Disruption effect of the synthetic sex pheromone and its analogues on diamondback moth. Academia Sinica 12: 105-108.
Gadi, V., R. Prasad and A. Guerrero. 2001. Optimum timing of insecticide applications against diamondback moth Plutella xylostella in cole crops using threshold catches in sex pheromone traps. Pest Managemaent Science 57: 90-94.
Lee, S., D. W. Lee and K. S. Boo. 2005. Sex pheromone composition of the diamondback moth, Plutella xylostella (L.) in Korea. Journal of Asia Pacific Entomology 8: 243-248.
Michereff, M. F. F., E. F. Vilela, F. Michereff and A. Mafra-Neto. 2000. Synthetic sex pheromone use for field trapping of diamondback moth males. Pesquisa Agropecuaria Brasileira 35(10): 1919-1926.
Nemoto, H., E. Yano and K. Kiritani. 1992. Pheromonal control of diamondback moth in the management of crucifer pests. pp. 91-97. In: N. S. Talekar (ed.). Proceedings of the second international workshop on diamondback moth and other crucifer pests. AVRDC Publication No. 92-368, Shanhua, Taiwan.
Phillips, T. W. 1997. Semiochemicals of stored-product insects: research and applications. Journal of Stored Products Research 33(1): 17-30.
Rushtapakornchai, W. and T. Saito. 1990. Development and implementation of the yellow sticky trap for diamondback moth control in Thailand. Report on Insect Toxicological Studies on Resistance to Insecticides and Integrated Control of Diamondback Moth. Department of Agriculture, Bankok, Thailand, 523-528.
Su, F. C., M. Y. Lin and N. S. Talekar. 2004. How to see sex pheromone for controlling eggplant fruit and shoot borer. AVRDC, Taiwan. 15 p.
Talekar, N. S. and A. M. Shelton. 1993. Biology, ecology and management of diamondback moth. Annual Review of Entomology 38: 275-301.
Talekar, N. S., H. C. Yang, S. T. Lee, B. S. Chen and L.Y. Sun. 1985. Annotated bibliography of diamondback moth. Asian Vegetable Research and Development Center. Shanhua, Taiwan. 469 p.
Wang, X., V. Le, Y. Fang and Z. Zhang. 2004. Trap effect on capture of Plutella xylostella (Lepidoptera: Plutellidae) with sex pheromone lures in cabbage fields in Vietnam. Applied Entomology and Zoology 39(2): 303-309.