งานวิจัยกับการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
ถ้ามองย้อนหลังไป 3 -5 ปี คำว่า "การขาดแคลนงบประมาณวิจัย" หรือ "รัฐบาลไม่จริงใจในการสนับสนุนการวิจัย ดูเหมือนจะเป็นคำยอดฮิตที่ถูกยกขึ้นมาพูดโดยนักวิชาการและนักวิจัย เมื่อมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้ในเวทีต่างๆ และได้กลายเป็นข้อกล่าวอ้างเพื่อยืนยันว่า นักวิจัยไม่ผิด แต่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจทั้งหลายต่างหากที่ผิด เพราะไม่ให้เงินทำวิจัยอย่างเพียงพอ จนทำให้ผลการวิจัยที่ได้ขาดคุณภาพ ไม่สามารถตอบคำถามในเชิงปฏิบัติ ไม่ส่งผลในเชิงพัฒนาตามที่ภาคเอกชนต้องการ ได
ในปีหลังๆ มานี้ รัฐบาลได้กำหนดงบประมาณจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยเชิงบูรณาการที่มีโจทย์และเงื่อนไขหลักเพียง 2 ประการ คือ ต้องเป็นชุดโครงการที่ทำงาน เชิงสหสาขาวิชา ถ้าเป็นไปได้ต้องเป็นสหสถาบันและเป็น Value Cha และเงื่อนไขที่สองคือต้องมีเป้าหมายของโครงการวิจัยชัดเจนในด้นกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้ประโยชน์ และมีความชัดเจนในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการส่งสินค้ำออกของประเทศ ทั้งนี้ โดยมีวงเงินไม่จำกัด รวมอย่างน้อย 500 - 1,000 ล้านบาทต่อปี
หลังจากประเทศให้ทุนวิจัยดังกล่าวไปเกือบ ปี (ธันวาคม 2546) ปังจุบันมีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณแล้วไม่ถึง 5 โครงการ วงเงินไม่ถึง 100 ล้านบาท
ปัญหาอยู่ที่ไหน การขาดแคลนงบประมาณวิจัยไม่น่าจะเป็นปัญหาอีกต่อไป แต่น่าจะเป็นที่ตัวนักวิจัยมากกว่า ความเคยชินในการทำงานเป็นเอกทศตามนิสัยคนไทย การขาดประสบการณ์ในการทำงานเป็นทีม การขาดแคลนผู้นำในการประสานชุดโครงการวิจัย การบาดวิธีคิดเชิงระบบเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหนึ่งเดียว (Value Cha) หรือการขาด... ล้วนเป็นเรื่องน่าคิดทั้งสิ้น และเรื่องเหล่นี้ล้วนท้าทายการพัฒนาทั้งสำหรับหน่วยงานแลการวิจัยของประเทศในการกำหนดการพัฒนาบุคลากรวิจัยของประเทศรวมทั้งทำทายนักวิจัยเองในการที่จะพัฒนาตนเองไปในอนาคต
ดูเหมือนว่า เราจะต้องมาช่วยกันวิจัยตัวเองให้ได้เสียก่อน จึงค่อยไปช่วยเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ซึ่งถ้ำเป็นเช่นนี้จริงเราคงไม่มีเวลามากนัก ในอันที่จะรักบาดวามเป็นเลิศด้านการวิจัย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบนที่กำลังเร่งตนองให้แซงหน้าประเทศไทยให้ได้
เผยแพร่แล้ว: 2020-09-25