การทำกิจกรรมหลายอย่างในมหาวิทยาลัย หลายครั้งเกิดคำถามขึ้นมาว่า กิจกรรมชนิดนี้เราควรทำหรือไม่? เป็นหน้าที่ของเราหรือไม่? ถ้าใช่ เราควรทำกิจกรรมนั้นในระดับไหน? มีความลุ่มลึกอย่างไร? ถ้าไม่ใช่ เพราอะไร? เราไปแย่งงานคนอื่นทำหรือไม่? บางครั้งไม่น่าเชื่อว่าเราตั้งคำถามแม้กระทั่งว่า สิ่งนี้เป็นสาระหรือไม่? เพื่อหาคำตอบคำถามข้างต้น คงจะให้ข้อคิดอะไรได้บ้างถ้าเรามองไปข้างหลังดูที่มาของมหาวิทยาลัย จากนั้นค่อยดูปัจจุบัน เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการกำหนดทิศทางในอนาคต. อาจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ (2511)* ได้อธิบายพัฒนาการการเกิดมหาวิทยาลัยดังนี้ : ที่ประเทศอินเดียมีมหาวิทยาลัยแห่งตักศิลาที่ซึ่งราชโอรสจากแคว้นต่างๆ และมหาวิทยาลัยแห่งนาลันทา (Nalanda) ที่พระถังซัมจั๋งได้เดินทางด้วยความยากลำบากจากประเทศจีนมายังอินเดีย เพื่อแสวงหาวิชาความรู้มาทดแทนบางส่วนที่ขาดไปในประเทศจีน ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นศิลปวัฒนธรรมของประเทศจีนก็รุ่งเรืองอยู่แล้ว ในยุโรปศตวรรษที่ 12 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส, เมืองโบโลญา (Bologna) ประเทศอิตาลี ได้มีการพยายามศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ มนุษย์ต่อพระเจ้า โดยใช้วิชาตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือ เกิดเป็นมหาวิทยาลัยแห่งกรุงปารีส และมหาวิทยาลัยเมืองโบโลญา ในระหว่างพัฒนาการเกิดมหาวิทยาลัยมีทั้งเกิดจากนักเรียนรวมตัวกันแล้วจ้างอาจารย์มาสอน และอาจารย์รวมตัวกันแล้วรับนักเรียนเข้ามา จะอย่างไรก็ตามทั้งสองแบบมีความเหมือนกันคือ เกิดการรวมตัวกันขึ้นเพื่อแสวงหาความรู้ แน่นอนว่าความรู้ที่แสวงหานี้จะต้องเป็นความรู้ที่เป็นเลิศทางวิชาการ ดังนั้นถ้ามหาวิทยาลัยสอนวิชาที่ไม่มีความเป็นเลิศคงไม่มีคนมาเรียน ต่อมามหาวิทยาลัยได้เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของทวีปยุโรป รวมทั้งอังกฤษที่เกิดมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ ที่นี่มีบรรยากาศของการเรียนรู้เองของนักศึกษา อาจารย์เป็นผู้ชี้แนะส่วนหนึ่งเท่านั้น นั่นคือการเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่การสื่อทางเดียวจากอาจารย์เข้าไปหานักศึกษาเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นหลายครั้งอาจารย์ได้ความคิดจากการถามของนักศึกษา.
จากประวัติศาสตร์ อย่างน้อยได้ให้ภาพบทบาทของมหาวิทยาลัยว่าเป็นแหล่งของวิทยาการใหม่ ๆ ที่มีความเป็นเลิศสำหรับสังคม เป็นที่ซึ่งมีการนำวิทยาการต่างๆ มารับใช้ หรือชี้นำสังคมได้ด้วย. ถ้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยจะทำในสิ่งเดียวกันนี้ ถ้าดูจากวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย คือสอน, วิจัย และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ถ้าไม่ขยายความแล้วโรงเรียนต่างๆก็ได้ทำสิ่งนี้อยู่แล้ว ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่ว่าจะต้องสอนวิชาการที่เป็นเลิศ ที่ชี้นำสังคมได้วิจัยเรื่องที่สู่ความเป็นเลิศที่ชี้นำสังคมได้ และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเลิศ ที่ดีงามหรือไม่?
เผยแพร่แล้ว: 2020-10-29